จิตตนแปลว่าจิตแล่นไปในอารมณ์ที่ถูกจิตรู้
นิมิตคือภาพมายาลวงจิตตนให้คิดเกินตัว
สัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เกิดในกายตน
มีจิตใจตนเป็นประธานรับรู้ที่คิดเองไม่ได้
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มีจริง
นิมิตปรากฏเพราะมีสัจจะที่เกิดทีละ1ปรมัตถ์
ปรมัตถ์คือสัจจะตรงทีละ1เป็นแต่ละ1ใหม่หมด
ไม่มีจิตดวงเดิมเพราะสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้คือ
ภาพมายาที่เป็นผลของกรรมในอดีตมาปรากฏ
มีนิมิตภพภูมิที่ให้ศึกษาความจริงตามธรรมได้
สาวกของพระพุทธเจ้าแปลว่าผู้ฟังคำสอนเข้าใจ
ทรงแสดงความจริงตรงสัจจะเพื่อให้คิดตามได้
คิดตามได้ตรงตามการฟังไม่ใช่ไปเดาคิดทำเอง
เพราะขณะนี้จิตกำลังเกิดดับแสนโกฏิดวงจิต
ที่ปรากฏแต่นิมิตลวงให้หลงคิดผิดโลภมาก
พระพุทธเจ้าสอนให้คิดตรงตามความเป็นจริง
ทรงตรัสรู้สัจจะที่กายมีที่เกิดด้วยดีกับปัญญา
เป็นสัจจะทีละ1แต่ละ1ลักษณะตรง1ที่กำลังมี
จิตแล่นไปตรงสัจจะที่มีจริงที่กายจิตใจตนมี
การส่งออกไปตามนิมิตทำให้คิดเกินสัจจะที่มี
การเรียนจึงต้องคิดตามธรรมทีละ1ปรมัตถ์
จนกว่าจะหมดอยากรู้อยากทำอยากได้อยากดี
เพราะยิ่งความอยากมีมากยิ่งเพิ่มกิเลสในจิตใจ
กิเลสในจิตใจคืออยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ไม่มี
แต่สัจจะเกิดเร็วมากจนปรากฏเป็นตัวตนแล้ว
มีอวิชชาคือมีความเขลาเบาปัญญาขาดสุตะ
นิมิตปิดบังความจริงต้องอาศัยสุตะคือฟังดีดี
คิดดีดีคือฟังแล้วคิดถูกตรงคำตามได้เท่านั้น
เพราะความหลงของตัวตนมากจำผิดเกิน1คำ
สัจจะเกิดตรง1คำตรง1ปรมัตถ์ดังนั้นการฟัง
เป็นคิดตรงตาม1คำใหม่ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์
เพราะสัจจะเกิดที่กายใจตนเองทีละ1ปรมัตถ์ที่
ดับสัจจะทั้งหมดที่ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก
จิตเกิดดับทีละ1ดวงจิตไม่เกิดปนกันไม่ซ้ำขณะ
สุจิปุลิคือการเรียนจากฟังตามปกติเป็นปกติ
ดังนั้นการฟังพระพุทธพจน์คือหนทางเดียว
ที่คิดตรงคำใหม่ตรงสัจจะตามคำสอนได้
เพราะทำมากเท่าไหร่ก็รู้แต่นิมิตที่คิดมาก
สัจจะคืออุชุ(ตรง1ปรมัตถ์)คิดตามตรงคำที่ฟัง
นิมิตตัวอักษรที่อ่านส่งเสริมความคิดมากเกินตัว
สัจจะเกิดที่ตัวตนดับตรง1ปรมัตถ์ไม่มีเราเลย
สัจจะกำลังเกิดดับที่กายใจตนเองนับไม่ถ้วน
สะสมอวิชชาตลอดเวลาทีละแสนโกฏิขณะ
แสนโกฏิขณะ=ล้านล้านดวงจิตเป็นธรรมดาขาดสุตะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าฟังเพื่อคิดตรงสัจจะที่กายใจมีตามได้เท่านั้น
https://youtu.be/rv4gvthXGN8