วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 10:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2022, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ มาเด้อไผอยากหนีโลกกว้างทุกใหญ่ในกองไฟ
อย่าไปตามตัณหาหมู่กามคุณ ๕
มาทำวิปัสสนาให้เห็นฮู้ หาทางสิพ้นโศก
ฮีบเร็ว ๆ ญาติพี่น้องมันสิช้าค่ำทาง
ให้เจ้าวางขันธ์ ๕ อุปมาให้เจ้าหน่าย
ข้าวของหลายมากล้นตนม้อยละมิ้งไป
บ่เห็นเอาไปได้ ตายไปกะเสียเปล่า
ฝูงหมู่เจ้าคิดเบิ่งให้มันคัก
ให้ประจักษ์ในใจให้ฮำฮอนดูบ้าง
ฮีบหาทางสิไปหน้า หาทางให้พ้นโศก
สมบัติในโลกนี้ให้วางถิ่มไว้สา…

#ใจความคติธรรมสำคัญของหลวงปู่ผาง_จิตตฺคุตฺโต
เมตตาแสดงธรรมโดย #หลวงปู่ประเสริฐ_สิริคุตฺโต








แสงจันทร์
ไม่เย็นเท่าศีล
เพราะแสงจันทร์
ได้แต่เย็นตา
#แต่ศีลเย็นสงบ
เข้าไปถึงจิตใจ
.
โอวาทธรรม ...
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ








อย่าขาดสติ จนลืมไปว่า เราท่านทั้งหลาย ทุกคน เกิดมาแล้ว ต้องตาย ตายแล้วเค้าก็เอาไปเผาไฟ จะหาเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยนะ แม้แต่อย่างเดียว ทรัพย์สิน
เงินทอง ของที่เรารัก ที่เราหวงแหน ลาภ ยศ สรรเสริญ
เอาติดตัวไปไม่ได้สักอย่างเลยนะ เรายึดติดว่าสิ่งต่างๆ
เป็นของๆเรา แต่แท้จริงแล้วมันเป็นของๆโลก

แต่สิ่งที่ตามติดตัวเราไป บันทึกประทับ สะสมอยู่ในจิตใจของเรา ก็คือ ความดี และ ความชั่ว ที่เราได้ทำ มันจะส่งผล สืบต่อไปอย่างยาวนาน ให้เราไปในทางที่ดี หรือ ไม่ดี ก็อยู่ที่ตลอดชีวิตของเรานี่เหละนะ บันทึกอะไรมามากกว่ากัน

จิตสุดท้าย อารมณ์ ก่อนจะออกจากร่างนี่ เรานึกคิดถึงอะไร นึกคิดถึงความดี ที่เคยได้ทำมา ข้าสร้างวัดนะ ข้าสร้างโรงพยาบาลนะ ข้ารักษาศีลนะ ข้าไม่เคยเบียดเบียนสร้างความทุกข์ กาย ทุกข์ใจ ให้ใครนะ ข้าสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ จิตนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บุญกุศลต่างๆ นึกแล้วก็อิ่มอกอิ่มใจ เบิกบานใจ เบาสบาย ดวงจิตออกจากร่างตอนอารมแบบนี้ ก็ไปสู่สุคติภูมิ ไปในทางที่ดี

กับอีกพวกหนึ่งนะ ตลอดชีวิต ข้าไม่เชื่อหรอกบาป บุญมีจริง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ข้าจะเบียดเบียนใคร จะฆ่าจะแกงใคร จะเอาเปรียบใคร คดโกงใคร ก็ได้ ข้าไม่สนใจนะ คนอื่นจะทุกข์ใจ เสียใจ ขอตัวข้านี้สุขสบายก็พอ

บางพวก บุญก็ทำบาปข้าก็ทำล่ะที่นี้ คิดจะเอามาลบล้างกัน
ลืมไปว่าข้านี่ต้องตาย ตายไป ข้าก็เอาอะไรไปไม่ได้ ขาดสติ ความโลภ ความหลง กิเลสมันบังตานะ

ก่อนตายที่นี้ เบียดเบียนทำคนอื่นเสียใจ ทุกข์ใจ ทรมานใจไว้มาก กรรมมันกลับมาเล่นงาน นึกถึงความดีอะไร ไม่ออก ข้าไม่เคยทำดีอะไรมาเลย ทำก็นึกไม่ออกล่ะที่นี้ ความชั่วมันเยอะ เคยฆ่าปลา ฆ่าหมู ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ภาพมันก็มาหลอกหลอนล่ะที่นี่ เจ็บป่วยเป็นโรคทุกข์ทรมาน เหมือนสัตว์ที่ฆ่า ดิ้นรน จิตสุดท้ายก่อนตาย เศร้าหมอง เจ็บปวด ทุกทรมาน
ออกจากร่างดิ่งลงต่ำ ตามความหนักที่ตัวเองได้ทำมา
ล่ะที่นี้

เราท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาทนะ
คิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ไม่ทำให้ตนเอง
และ ผู้อื่นเดือดร้อน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ทำแต่ความดีนะ คนเรานี้ เด็กก็ตาย หนุ่มก็ตาย วัยกลางคนก็ตาย ไม่ไช่แก่แล้วตายอย่างเดียวนะ

ความตายเกิดขึ้นกับเราทุกคนอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็วก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอน คนที่อายุน้อยกว่าเราที่ต้องจากโลกนี้ไปก่อน ก็เป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นมานักตัวนัก ตัวเราเองก็เช่นกัน

คนเราทุกวันนี้ ดิ้นรน ไขว่คว้าหา สิ่งที่ไม่มี และ สุดท้ายทุกคน ก็จะได้ในสิ่งเดียวกัน คือ ไม่ได้อะไร

หลวงพ่อ พุทธทาส ภิกขุ







"...สมาธิก็ดี ญาณก็ดี ฌานก็ดี ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์
ไม่มีทางที่จะพ้นทุกข์ได้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่พยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
บริบูรณ์ได้ ภาวนาไม่เป็นก็หมดปัญหา

จะตัดกรรมตัดเวรก็คือ ศีล ๕ ข้อ แต่ไม่ใช่ตัด
กรรมเวรที่เราสร้างมาแล้วให้มันหมดไป
เพียงแต่ตัดผลเพิ่มของมัน เมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์
ก็ตัดผลเพิ่มของบาปได้ ตัดผลเพิ่มของกรรม
ของเวร

จะละกิเลสก็อยู่ที่ศีล ๕ ข้อ ศีล ๕ ข้อเป็นการละ
กิเลสฝ่ายชั่ว โลภ โกรธ หลง ฝ่ายชั่วละให้มันหมด
ทีนี้เมื่อละกิเลสฝ่ายชั่วได้ จิตใจของเราก็อบอุ่นอยู่
กับคุณงามความดี กิเลสฝ่ายชั่วก็ค่อยๆ เบาลงไปๆ
ถึงมันมีอยู่มันก็ไม่เกิดโทษ..."

#ที่มา หนังสือฐานิยปูชา ๒๕๖๐ หน้า ๑๘ - ๑๙
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)







"ยอมโดดเดี่ยว
ในเส้นทาง ที่เลือกเดิน
ดีกว่า...
เป็นส่วนเกิน ในทางเดินของคนอื่น

อย่าเสียเวลา กับเรื่องของคนอื่น
ไม่ใช่ ธุระของเรา
ใครจะชั่ว หรือเลว ก็เป็นกรรมของเขา
ก็เป็นบาป ของเขา

รักษาใจ ของเรา
ให้ดี มีเมตตา
ให้นิ่ง...สงบ...เย็น
อยู่...เสมอ ก็เป็นบุญแล้ว."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.






#ทนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

“...ข้ามด้วยสติกำลังปัญญาตัวนี้มันไม่สามารถข้ามได้ด้วยสมาธิ สมาธิเป็นการหนีแต่ปัญญาเป็นการข้ามเป็นการทำลายล้างโคตรล้างเผ่าพันธุ์กันได้ เพราะสมาธิเป็นการหนี หลบ คือความคิดปรุงแต่งมันแรง ๆ ๆ ๆ มาอยู่ มันหงุดหงิดงุ่นง่านปั๊บ ภาวนาโดยเกาะพระพุทโธหรือเกาะลมหายใจเข้าออก กำหนดลมหายใจเข้าออกเพ่งบางสิ่งบางอย่างมันก็เหมือนหนีจากจุดที่กำลังตะลุมบอลกันอยู่คือความสุขหรือความทุกข์น่าจะรู้นะจะเห็นน่าจะจัดการกันในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น ด้วยสติกำลังปัญญาพังกันตรงนั้นมันไม่ไปสิ หนีสิ หนี วกออกมาจากจุดนี้เข้ามาสู่สมาธิปั๊บ มันก็ลืมเรื่องนั้นก็มีพุทโธ ๆ ๆ รู้โดดเด่นอยู่ หรือดับความรู้สึกนึกคิดที่เป็นรูปเป็นนาม ดับไป ๆ ก็หายเงียบ

พอถอนขึ้นมาปั๊บ มันก็เป็นเรื่องเก่าแล้วก็เรื่องใหม่อีก แล้วก็เรื่องเก่า แล้วก็เรื่องใหม่ มันไม่สามารถที่จะทำลายกันได้ ยกเว้นปัญญา ผู้มีปัญญาจึงสู้กับเวทนาพวกนี้ มันจะโกรธขนาดไหนทนอยู่อย่างงั้น มันจะรักขนาดไหนทนอยู่อย่างงั้น มันต้องการขนาดไหนทนอยู่อย่างงั้น ไม่ใช้ปัญญาเข้าไปกลบ ถ้าใช้ปัญญาเข้าไปกลบเหมือนสร้างสมาธิหรือหนีจากตัวนี้ ถ้าเค็มก็ให้ทราบว่ามันเค็มสุด เผ็ดก็บอกให้มันเผ็ดสุด ให้มันรู้ในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น ทนกับเค็ม ทนกับเผ็ดกับร้อนกับหนาวได้ในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น ทนให้มันตายไปข้างหนึ่ง นั่นแหละสิ่งที่เผยออมา จากหยุดอยู่ตรงนั้นหรือรู้อยู่ตรงนั้นนั่นแลภาวนามยปัญญามันเกิดตรงนั้น

ตอนนี้รู้แล้วแจ้งแล้วมันสว่างขึ้นนี่มันไม่ได้มืดมนอนธการ ราหูมันอมจันทร์มันก็สว่างออกๆเห็นแล้วนี่นั่น พวกเธอจะบอกว่าออกสิ ๆ ราหูมันอมจันทร์อยู่นี่ใช่ไหมล่ะ มันมืดมนอนธการในไตรโลกธาตุออกไปซะ ออกไปซะ มันก็ไม่ออก ถึงกาลเวลามันค่อยออก เฉกเช่นเดียวกัน ถ้าทนอยู่อย่างงั้นทนได้ กับความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เราจะมีปัญญาแฝงออกมาจากตัวทนหรือตัวรู้นั้นที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา ออกมาได้ ตอนนี้เริ่มมีสติเริ่มมีกำลังปัญญาอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นปั๊บ อะไรเกิดขึ้นทนตรงนั้นปั๊บ จับปั๊บ ๆ ๆ ทน ใครจะด่าใครจะว่าทน ปัญญามันจะค่อยแฝงขึ้นมาเรื่อยเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ถ้าทนแล้วปัญญามันยังไม่เกิดแสดงว่าทนยังไม่ถึงที่ถึงฐาน ไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมมันต้องทนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เนี่ยเล่นกันขนาดนั้น นั่นแหละที่สุดของมัน

คือให้มันตายไปข้างหนึ่ง ที่สุดแห่งทุกข์ก็คือตายไปข้างหนึ่ง อย่าบอกว่าที่สุดแห่งทุกข์คือเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนะ ที่สุดแห่งทุกข์ที่หลวงปู่หลวงวตารูปนี้ได้รู้ได้เห็นมาก็คือตายกันไปข้างหนึ่ง เห็นทุกข์จนใจมันขาดจนร่างมันแตกสลายเงียบ สลบอยู่อย่างงั้นกี่วันกี่คืนก็ช่างมันถ้าไม่ฝึกก็ตายไปนั่นแหละที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าจะบอกว่าการเห็นทุกข์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเห็นที่สุดนั่นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์แล้ว จะบอกว่าเราก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายพ่อแม่ครูอาจารย์หรือหมู่คณะหรือใครจะปฏิบัตินะ แต่ของหลวงปู่หลวงตารูปนี้เป็นอย่างนี้ เลยพูดให้ฟัง เราทนเพื่อต้องการเห็นทุกข์เพราะทุกข์มันเข้ามาโหมกระหน่ำ เห็นแต่เพียงผิวเผินที่มันทำลายใจ ใจจะขาดใจจะเป็นจะตาย โฮย...ชนิดที่บอกว่า มันดิ้นรนกวัดแกว่งขวนขวายต่าง ๆ นานาที่จะมันจะเป็นในใจตัวนี้ เพียงเห็นภายนอกเรายังไม่เห็นที่สุดของมันเรื่องที่หลวงปู่หลวงตารูปนี้จะเห็นจึงทนกับสภาพที่เกิดสภาวะที่เกิดทนอยู่อย่างงั้น

มันจะแตกมันจะสลาย มันจะดิ้นรนขวนขวายกวัดแกว่ง มันจะเป็นมันจะตายขอให้รู้ในขณะนั้นเดี๋ยวนั้นรู้อยู่อย่างงี้ทนอยู่อย่างงี้ จนเห็นการขาดสะบั้นของมัน คือใจมันขาดไป เมื่อใจมันขาดปั๊บร่างกายนี้มันก็หยุดทำงาน เมื่อมันหยุดทำงานปั๊บ ตอนนี้ตัวรู้เห็นการขาดของมันและเห็นร่างกายที่มันหยุดทำงานแต่ตัวรู้มันรู้อยู่อย่างงั้นมันทำงานตัวไหนตัวรู้รู้เห็นเฉย ๆ จนเห็นร่างที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิดค่อยเอนลง ๆ ๆ ล้มครืนลงเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน จบ รู้แล้วตัวนั้นนี้ไม่สงสัย เอ้า...ทุกข์อะไรจะเกิดก็เกิดตอนนี้ เพราะข้ามมาแล้วผ่านมาแล้วอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ นี่เราปฏิบัติมาเห็นอย่างงี้...”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๒๔ เมษายน ๒๕๖๕ (ตอนเย็น)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 136 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร