วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2022, 06:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#ทำแต่กายใจไม่ทำมันก็ขาดทุน

"... การปฏิบัติมันก็ต้องดูที่เล่ห์เหลี่ยม ดูใจ
ของเรา
... ใครจะพูดขนาดไหน มันก็ไม่เท่าใจเรา
เราต้อง
... ดูเราเองดูที่หัวใจลงไป ในขณะที่บำเพ็ญ
อยู่นั้น
... ใจมันไม่สงบเพราะใจไปคิดวุ่นวายสิ่งใด อย่างนี้เราก็ต้องหาวิธีแก้ไข อย่างที่เคยพูด
อยู่บ่อยๆแล้ว
... ว่าต้องใช้คำบริกรรม เหมือนอย่างเราลอยคออยู่ในทะเลเจอะท่อนไม้ได้อาศัยเกาะไปถึงฝั่งได้ก็ไม่ถึงแก่ความตาย ..."

#หลวงปู่เจี๊ยะ_จุนฺโท







ของสด ทิ้งไว้ในที่ร้อนไม่นานมันจะเน่าหมด
ปล่อยจิตไว้อยู่กับความเร่าร้อนของกิเลส ไม่นานก็เน่าได้เหมือนกัน
ผู้ไม่ประมาทย่อมนำของสดมีค่าไว้ในตู้เย็น
ผู้ไม่ประมาทย่อมนำจิตใจของตนซึ่งมีค่ายิ่งไว้ในที่เยือกเย็นเหมือนกัน
แต่ที่เยือกเย็นของนักปฏิบัติธรรมไม่ใช่ตู้ที่ไหน มันคือความรู้สึกของผู้มีความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาป สติ และปัญญา คอยคุ้มครอง

พระอาจารย์ชยสาโร






"#คำว่าจิตรวมกับสมาธินี้ต่างกันนะ รวมหลายครั้งหลายหนเข้าไปค่อยสร้างกำลังขึ้นมาจนกลายเป็นสมาธิได้ในตัว นั่นจิตเป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจ จะคิดจะปรุงแต่งเรื่องอะไรก็ตาม จิตนี้มีฐานอันมั่นคงของตัวเองเป็นความสงบแน่วแน่อยู่ภายในตัวเอง นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตที่รวมคือเวลาที่จิตสงบเข้าไปรวมเข้าไปปราศจากความคิดความปรุงทั้งหลาย เรียกว่าจิตสงบหรือจิตรวม ถอนออกมาแล้วมันก็มีความคิดความปรุงตามธรรมดาของมัน บางทีอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้เพราะความคิดกวนใจ

เราพยายามทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จิตของเราจะมีความสง่างามขึ้นมา ความสงบของใจ ความสบายใจจะขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็เป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นขั้นของใจ ทีนี้เมื่อเราเห็นใจของเรามีความแปลกประหลาดและปล่อยวางภายนอกได้ สิ่งภายนอกที่มันเคยยุ่งเหยิงวุ่นวายเกาะนั้นเกี่ยวนี้ มันจะปล่อยเข้ามา ๆ จิตมาอยู่กับความสงบเย็นใจ สบายทั้งวันทั้งคืน ไปไหนไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายสำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ไม่กังวลกับการอยู่การกินการหลับการนอน อะไรไม่ยุ่งทั้งนั้น มีตั้งแต่หมุนตัวเข้าสู่อรรถสู่ธรรมด้วยสติสตังในการภาวนาเท่านั้น นี่เรียกว่าผู้ภาวนาเพื่อมรรคเพื่อผล ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะต้องได้เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลได้โดยไม่ต้องสงสัยเพราะธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๕ เมษายน ๒๕๔๕






#ทำแต่กายใจไม่ทำมันก็ขาดทุน

"... การปฏิบัติมันก็ต้องดูที่เล่ห์เหลี่ยม ดูใจ
ของเรา
... ใครจะพูดขนาดไหน มันก็ไม่เท่าใจเรา
เราต้อง
... ดูเราเองดูที่หัวใจลงไป ในขณะที่บำเพ็ญ
อยู่นั้น
... ใจมันไม่สงบเพราะใจไปคิดวุ่นวายสิ่งใด อย่างนี้เราก็ต้องหาวิธีแก้ไข อย่างที่เคยพูด
อยู่บ่อยๆแล้ว
... ว่าต้องใช้คำบริกรรม เหมือนอย่างเราลอยคออยู่ในทะเลเจอะท่อนไม้ได้อาศัยเกาะไปถึงฝั่งได้ก็ไม่ถึงแก่ความตาย ..."

#หลวงปู่เจี๊ยะ_จุนฺโท






"...การปฏิบัติธรรมถ้าเราอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
ย่อมจะเปลี่ยนจิตใจเรา
ให้ไปอยู่ในลักษณะที่จะเข้าถึงธรรมชาติ
รู้จักความจริงตามธรรมชาติ

การเข้าถึงธรรมะก็ง่ายเข้า

เปรียบเหมือนต้นไม้ในภาพเขียน
ย่อมจะไม่เหมือนกับต้นไม้จริงๆ ในป่าฉันใด
ปริยัติเปรียบได้กับต้นไม้ในภาพเขียน
ส่วนการปฏิบัติเปรียบเหมือนต้นไม้้ในป่าจริงๆ

พระพุทธเจ้าท่านประสูติท่ามกลางธรรมชาติ กลางดิน โคนต้นไม้
ท่านตรัสรู้ที่พื้นดินที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง
ท่านปรินิพพานที่ใต้ต้นไม้กลางพื้นดินระหว่างโคนไม้สองต้น
ในสวนป่าอุทยานแห่งหนึ่ง

ธรรมชาตินี่แหละช่วยให้เรามีจิตสงบ
แล้วการศึกษาไม่ว่าจะเป็นทางธรรม หรือทางใด
ก็บรรลุผลได้ดียิ่งขึ้น..."

พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม





เมตตา...
ไม่ใช่ว่าต้องรักทุกคน
มันเป็นไปไม่ได้
แต่ต้องหวังดีต่อเขา
การหวังดี ไม่เหลือวิสัยใคร

โอวาทธรรม
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ






หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้แสดงธรรมเมื่อ
วันมาฆบูชา เพ็ญเดือนสาม พ.ศ.๒๔๙๒

” การแสดงโอวาทปาฏิโมกข์พระพุทธเจ้าทรงแสดงเองเป็นวิสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถในท่ามกลางแห่งบุคคลผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่เหมือนพวกเราซึ่งแสดงปาฏิโมกข์ในท่ามกลางแห่งบุคคลผู้มีกิเลสล้วน ๆ ไม่มีบุคคลผู้สิ้นกิเลสสับปนอยู่เลยแม้คนเดียว

ฟังแล้วน่าสลดสังเวชอย่างยิ่งที่พวกเราก็เป็นคนผู้หนึ่ง หรือเป็นพระองค์หนึ่งในความเป็นศากยบุตรของพระองค์ องค์เดียวกัน แต่มันเป็นเพียงชื่อไม่มีความจริงแฝงอยู่บ้างเลย เหมือนคนที่ชื่อว่าพระบุญ เณรบุญ และนายบุญ นางบุญ แต่เขาเป็นคนขี้บาปหาบแต่โทษและอาบัติใส่ตัวแทบก้าวเดินไปไม่ได้

สมัยโน้นท่านทำจริงจึงพบแต่ของจริง พระจริง ธรรมจริงไม่ปลอมแปลง ตกมาสมัยพวกเรากลายเป็นมีแต่ชื่อเสียงเรืองนามสูงส่งจรดพระอาทิตย์ พระจันทร์ แต่ความทำต่ำยิ่งกว่าขุมนรกอเวจี แล้วจะหาความดี ความจริง ความบริสุทธิ์มาจากไหน เพราะสิ่งที่ทำมันกลายเป็นงานพอกพูนกิเลสและบาปกรรมไปเสียมาก มิได้เป็นงานถอดถอนกิเลสให้สิ้นไปจากใจ แล้วจะเป็นวิสุทธิอุโบสถขึ้นมาได้อย่างไรกัน

บวชมาเอาแต่ชื่อเสียงเพียงว่าตนเป็นพระเป็นเณรแล้วก็ลืมตัว มัวแต่ยกว่าตนเป็นผู้มีศีลมีธรรม แต่ศีลธรรมอันแท้จริงของพระของเณรตามพระโอวาทของพระองค์แท้ ๆ นั้นคืออะไร ก็ยังไม่เข้าใจกันเลย ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ท่านสอนว่าอย่างไร นั่นแลคือองค์ศีลองค์ธรรมแท้ ท่านแสดงย่อเอาแต่ใจความว่า การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลคือความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

การไม่ทำบาป ถ้าทางกายไม่ทำแต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำแต่ทางใจก็ทำ และสั่งสมบาปวันยังค่ำจนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากนอนก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นอยู่ทำนองนี้ โดยมิได้สนใจคิดว่าตัวทำบาปหรือสั่งสมบาปเลย แม้เช่นนั้นยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศีลมีธรรม และคอยเอาแต่ความบริสุทธิ์จากความมีศีลมีธรรมที่ยังเหลือแต่ชื่อนั้น

ฉะนั้นจึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมองวุ่นวายภายในใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะตนแสวงหาสิ่งนั้นก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้นจะให้เจออะไรเล่า คนเราแสวงหาสิ่งใดก็ต้องเจอสิ่งนั้นเป็นธรรมดา เพราะเป็นของมีอยู่ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์ ที่ท่านแสดงอย่างนี้ แสดงโดยหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านปฏิบัติ เพื่อนักปฏิบัติได้ทราบอย่างถึงใจ ”

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต








สังคหวัตถุ

การอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้เป็นสุข จะเป็นพระ เณร ฆราวาส ก็ต้องอาศัย สังคหวัตถุ ๔ ประการ ที่เป็น "คิหิปฏิบัติ" เป็นการปฏิบัติของฆราวาส แต่พระเณรก็ควรทำ ถ้าทำอย่างฆราวาสไม่ได้ ถือว่าเป็นพระเลวที่สุด คือเป็นพระที่เลวกว่าฆราวาส ก็เลยไม่สมควรเป็นพระ

..สังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ..
๑) ทาน
การให้ การอยู่ร่วมกันจะต้องมีการสงเคราะห์กันด้วยวัตถุเป็นการผูกมิตร ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ นี่เป็นการสร้างความรักในระหว่างเพื่อนและบุคคลที่อยู่ร่วมกัน

๒) ปิยวาจา
วาจาเป็นที่รัก วาจาใดที่เราไม่ชอบใจที่คนมาพูดกับเรา เราจงอย่าใช้วาจานั้น ความสะเทือนใจหรือความชอบใจจะเกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของวาจา วาจาที่เพื่อนชอบใจ เราพูดวาจานั้นคือ พูดดีไว้เสมอ ถือคติโบราณ "เอาน้ำขุ่นไว้ข้างใน เอาน้ำใสไว้ข้างนอก"

เวลาใดที่อารมณ์ไม่ดีอย่าเพิ่งพูด นิ่งไว้ก่อน ถ้ายังทนไม่ไหวก็หลีกไปเสียก่อน ให้ใจมันสบายจึงเข้ามาพูดกัน ถ้าพูดกำลังที่มีโทสะจะพูดดีไม่ได้ ต้องพูดเลว ก็บังเกิดความเดือดร้อน

๓) อัตถจริยา
กิจการงานของเพื่อนที่อยู่ร่วมกัน ถ้าอะไรเกินวิสัยเขาจะทำได้เพียงผู้เดียว เราจะช่วยเขาทำตามกำลังที่เราจะช่วยได้

๔) สมานัตตตา
ไม่ถือตัวถือตน เราจะมีตนเสมอมีใจเสมอกับเพื่อไม่ถือว่าเขาเลวกว่าเรา เขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา ถือว่าเขากับเราเป็นเพื่อน

ทั้ง ๔ ประการเป็นปัจจัยแห่งความรัก ไปไหนจะมีแต่คนรัก จิตใจเราก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง)จ.อุทัยธานี
หนังสือพ่อสอนลูก หน้า ๓๓๗-๓๓๘






#อะไรคือต้นเหตุแห่งทุกข์

"...ต้นเหตุของทุกข์อยู่ที่อวิชชา ความรู้ไม่จริง เพราะ
ความรู้ไม่จริงมาครอบงำ ทำให้เราขาดสติสัมปชัญญะ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นอายตนะภายใน ที่ว่า
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพราะมันเป็นทางเข้าแห่ง
อารมณ์ ในเมื่อตาเห็นรูป รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลงสมมุติ
บัญญัติว่ารูปนี้สวย รูปนี้งาม เพราะอวิชชาเป็นตัวการ
เป็นตัวตั้งตัวตี สิ่งที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ แต่ต้นแห่งทุกข์อยู่
ที่อวิชชา มันเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกัน อวิชชามันแสดงออก
มาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ในปฏิจจสมุปบาท
ท่านกล่าวไว้ เพราะมันเป็นพื้นฐาน อวิชชา ก็คือตัว
โมหะ มันเป็นอกุศลมูล เมื่อรู้ไม่จริงมันก็หลงในสิ่งนั้นๆ
ทำให้เราเผลอไปทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง ทำบาปบ้าง
ทำบุญบ้าง บางทีก็ไปหลงทำบาปหนักๆ เข้า ก็เพราะ
อาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัย
อาศัยอวิชชาเป็นเค้าเป็นมูล นี่มีนัยต่างกันอย่างนี้..."

#ที่มา หนังสือ ฐานิยปูชา ๒๕๖๓ หน้า ๔๗
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร