วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2022, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ดูที่ใจเราเป็นหลักดีกว่า”

ถาม : ท่านอาจารย์เจ้าคะ เวลาคนที่กำลังจะตายนี่ ร่างกายจะตายทุกส่วนพร้อมกันไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ : เราไม่ได้เป็นหมอ เราไม่รู้หรอก ความจริงร่างกายมันไม่ได้ตายมันไม่ได้เป็น มันก็เป็นเหมือนกับนาฬิกา มันก็ทำงานของมันไป ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งหยุดไป มันก็ทำให้ส่วนอื่นหยุดไปด้วย เช่นหัวใจหยุดเต้นเสียอย่างเดียว มันก็หยุดหมด ตับไตไส้พุงจะดีขนาดไหน ก็ต้องหยุดตามไปด้วย ถ้าตัวสำคัญหยุดทำงานปั๊บก็จบ ถ้าหัวใจยังเต้นอยู่ แต่ไตไม่ทำงานไปข้างหนึ่ง ก็ยังอยู่ได้ หรือปอดเสียไปข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งก็ยังทำงานได้ เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องไปสนใจมันมากจนเกินไป เราไม่ใช่หมอ มาดูที่ใจเราเป็นหลักดีกว่า เรื่องร่างกายก็เหมือนรถยนต์ เวลารถยนต์เสียก็เอาเข้าอู่ ให้ช่างเขาดู ให้เขาซ่อม ให้เขาแก้ ถ้าช่างบอกว่าซ่อมไม่ได้ก็ขายไป แล้วก็ไปซื้อคันใหม่ ซ่อมไปก็ไม่คุ้มอย่าไปซ่อมมันดีกว่า ความตายมันลำบากตรงที่ความเจ็บปวดเท่านั้นเอง ถ้าเราผ่านความเจ็บปวดได้ เช่นนั่งสมาธิไปนานๆ จะเจ็บจะปวดอย่างไร ใจก็นิ่งเป็นสุขได้ หาวิธีรับมันให้ได้ ถ้ารับมันได้แล้ว มันจะปวดแต่กาย แต่จะไม่ปวดที่ใจ ปวดที่ใจมัน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ปวดที่กายแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าสามารถระงับดับความปวดที่ใจได้แล้ว ความปวดที่กายจะไม่เป็นปัญหาเลย คนเราที่กลัวกัน ก็กลัวความเจ็บเวลาจะตาย เสียดายที่จะต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่ถ้าไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีสมบัติอะไรสักชิ้นหนึ่ง จะไปเสียดายกับอะไร

ถ้าพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปพิจารณา พิจารณาพอให้รู้บ้าง พอรู้สึกหดหู่ก็หยุดก่อน แล้วหันมาทำสมาธิ เจริญเมตตาภาวนาก็ได้ สัพเพสัตตา อเวรา โหนตุ ทำจิตให้สงบด้วยการเจริญเมตตาภาวนา พอจิตสงบแล้วค่อยกลับมาพิจารณาใหม่ ตอนต้นก็พิจารณาแบบง่ายๆก่อน เช่นเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายไปไม่ได้ ก็ท่องไปก่อน เป็นนกแก้วไปก่อน ยังไม่ต้องไปคิดลึก คิดลึกแล้วเดี๋ยวกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่สำหรับเราเองนี่มันแปลก ตั้งแต่อายุ ๑๒ เห็นคนตาย เห็นเพื่อนนักเรียนตายที่โรงเรียน มันติดหู ติดตา ติดใจ แล้วก็คิดอยู่ตลอดเวลา ว่าเราก็ต้องเป็นเหมือนกัน อีกหน่อยพ่อแม่พี่น้อง คนนั้นคนนี้ ก็ต้องเป็นเหมือนกันหมด แต่ไม่หดหู่ เหมือนเป็นการรื้อฟื้นความรู้เก่า ว่านี่แหละคือความจริง แต่มันไม่หมกมุ่นนะ

เพราะตอนนั้นก็ยังเป็นเด็กอยู่ มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไหนจะต้องไปเรียนหนังสือ ไปทำอะไรต่างๆ ก็ทำไป แต่ความรู้นี้มันก็อยู่ลึกๆในใจ บางครั้งก็จะโผล่ขึ้นมาเตือน แต่ไม่ถึงกับทำให้หมดกำลังจิตกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป ทำอะไรต่อไป ก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างปกติ เหมือนมีภูมิคุ้มกัน เหมือนฉีดวัคซีนไว้ หากเสียคุณพ่อคุณแม่ไปตอนนั้น จะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ อาจจะเสียใจบ้าง อะไรบ้าง แต่จะไม่ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จิตใจก็จะไม่วุ่นวาย ควรจะมีธรรมะนี้ไว้บ้าง เป็นเหมือนยา หรือวัคซีน ถ้าลูกจากเราไปก่อน เราจะทำอย่างไร หรือคนที่เราไม่คาดคิดว่าจะจากเราไป เขาไปก่อนเราอย่างนี้ แต่ถ้าคิดเผื่อไว้บ้างว่า ไม่มีอะไรแน่นอนนะ เขาไม่ไปก่อนเราๆก็ไปก่อนเขา หรือไม่ก็ไปพร้อมๆกัน ก็มีอยู่ ๓ ทาง แต่ต้องทำจิตให้สงบก่อนนะ ถ้าจิตไม่สงบแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าคิด.

กัณฑ์ที่ ๒๔๐ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๙ (จุลธรรมนำใจ ๕)
“อัดเสียงธรรมด้วยใจ”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








"สิ่งที่ล่วงไปแล้ว
ไม่ควรทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วง
ไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูก
พันและหมายมั่นให้
สิ่งนั้นกลับมาเป็น
ปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้

ผู้ทำความสำคัญมั่น
หมายนั้นเป็นทุกข์แต่
ผู้เดียวโดยความไม่
สมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น
เป็นสิ่งไม่ควรไปยึด
เหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน

อดีตควรปล่อยไว้
ตามอดีต อนาคต
ควรปล่อยไว้ตาม
กาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้น
จะสำเร็จประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่
ควรทำได้ไม่สุดวิสัย"

หลวงปู่มั่น ภูริตทัตโต






"มองตัวเองให้มาก
จึงจะกลายเป็นคนดีได้
มัวแต่มองท่านผู้อื่นแล้วไซร้
ก็กลายเป็นคนพาลไปไม่รู้ตัว
เพราะนิสัยคนพาล
ย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร”

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต






"...การภาวนา ถ้ารู้จักใช้ปัญญาพิจารณาในการวาง
แผนในเบื้องต้นให้ถูกต้องตรงต่ออริยมรรคอริยผล
แล้ว การภาวนาปฏิบัติก็ไม่มีอุปสรรคกังวลในความผิด
เพราะตัดความลังเลสงสัยในคำว่าผิดออกไป จะเหลือ
แต่ความเข้าใจที่ถูกต้อง การปฏิบัติก็ตรงต่อมรรคผล
นิพพาน เหมือนกับผู้ดูแผนที่เส้นทางอย่างถูกต้อง
แม่นยำแล้ว เมื่อขับรถก็เร่งรถเต็มที่ได้ ไม่ต้องกลัวว่า
จะผิดทาง เร่งรถให้เร็วได้มากเท่าไร การที่จะไปถึง
จุดหมายปลายทางก็ถึงได้เร็วเท่านั้น

ถ้าดูเส้นทางในแผนที่ไม่เข้าใจ ขับรถไปจากที่นี่จะไป
วกวนหาทางออกว่าอยู่แถวไหน เดี๋ยวก็เดินหน้า เดี๋ยว
ก็ถอยหลัง ถามคนนั้นถามคนนี้ เมื่อไปถามผู้ที่ไม่รู้จัก
เส้นทางเหมือนกัน เขาก็จะบอกส่งเดชพอให้หมด
ภาระไป ในที่สุดก็จะขับรถคลานไปมาอยู่แถวไหนไม่รู้
ถ้าหากไปถามผู้ที่ท่านรู้เส้นทางจริงๆ ท่านก็สงเคราะห์
ด้วยความเมตตา เราก็จะพอมีทางออกได้ ให้ถือว่า
เป็นโชคดีของเราก็แล้วกัน หรือถ้าท่านบอกเส้นทาง
ตรงแล้วไม่เชื่อ หรือไม่ไปตามท่านก็ให้ถือว่าเป็นกรรม
ของเราก็แล้วกัน นี้ฉันใด นักภาวนาปฏิบัติก็ต้องใช้
ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด
เอาไว้

เมื่อเราวางเส้นทางในอุบายการปฏิบัติไว้ตรงแล้ว
การปฏิบัติก็จะไม่มีอุปสรรคให้เกิดความลังเลใจ
ความเพียรมีมากน้อยเท่าไรก็ตัดสินใจทุ่มเทเต็มที่
ถึงจะมีกิเลสมารเข้ามาขัดขวาง มาหลอกลวงให้เรา
หลงกล เราก็รู้เท่าทัน เพราะรู้แล้วว่าต้องมีมาร
ประเภทนี้เข้ามาขัดขวางหลอกลวงให้เราล่าช้า
เราต้องใช้สติปัญญาฝ่าฟันอดทนต่อสู้ ความเพียร
มีเท่าไรทุ่มเทเต็มที่ จึงจะผ่านหมู่มารไปได้ จึงนับ
ได้ว่าเป็นผู้ฝากเป็นฝากตายไว้กับธรรม..."

หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ







มนุษย์ส่วนใหญ่
มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม
เรื่องกินและเรื่องเกียรติ
จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถให้ความสุข
แก่ตนได้ทุกเวลา
สิ่งนั้นคือ ..
"#ดวงจิตที่ผ่องใส"

โอวาทธรรม
หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธัมโม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร