วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 21:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2022, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#ขึ้นเวทีแล้วพักยกไม่ได้

“...คุยกันเรื่องการภาวนากับครูอาจารย์ไสว เจ้าคณะอำเภอบ้านฝาง ก็พูดถูกนะถ้าทำเพียรจิตภาวนาเพียงถ่ายเดียวมันฟุ้งซ่าน มันต้องเข้าหาครูหาบาบ้างเป็นบางช่วง ท่านพูดมันก็ถูก ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์เราจึงเป็นบ้าไปเยอะ เพ่งลมกสิณเดินบนน้ำได้ก็ยังเป็นบ้าอยู่ไม่รู้ไปไงมาไง สมัยหลวงปู่มั่นก็เป็นบ้าเยอะนี่นะ สมัยพุทธกาลก็วิปลาสเยอะพระเทวทัตก็วิปลาส หลายต่อหลายรูปนี่เป็นบ้าเป็นบอไปก็วิบากกรรม ท่านพูดนี่มันถูก แต่ยังไงมันก็เท่าเก่ามันถ้าบอกว่าวิบากกรรมมาถึงนี่มันก็เท่าเก่ามัน ดังที่รู้นะลูก แม้อยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้ามันก็ยังวิปลาสได้ ท่านพูดถูก ถูกหมดนั่นแหละพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ยกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

แต่นี้เราสิที่ไม่เข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์ เราว่าเราเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม กรรมที่ได้สร้างไว้ยังไงมันก็เป็นงั้นล่ะ กรรมที่สร้างมาในทางตายมันก็ตาย กรรมที่สร้างมาทางวิปลาสมันก็วิปลาสนั่นแหละ สร้างมาในทางมรรคทางผลมันถึงจบสมบูรณ์แล้วก็ทรงมรรคทรงผล จะเข้าหาครูหาบามันก็พอที่จะเป็นทางเดินในมรรคขององค์ท่าน ของเราเป็นยังไง สันทิฏฐิโกในการรู้เองเห็นเอง ปัจจัตตัง สาวะกะ เราก็ก็เป็นผู้สดับรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็เอาล่ะ นานาจิตตังของพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เป็นอีกอย่าง เราก็เป็นอีกอย่างก็คงเข้ากันได้ยาก ถ้าบารมีมันสร้างมาดีมันก็ทรงมรรคทรงผล ถ้าบารมีสร้างไม่ถึงมันก็เป็นผีบ้าก็ช่างมันเถอะลงนั่นแหละก็เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม ก็ซัดเลยเรานี่ ในพระสูตรมันก็มีใช่ไหมล่ะ ทำเพียรมากจิตมันไม่ได้พักมันก็ฟุ้งซ่าน ต้องทำเพียรแล้วก็ให้จิตมันมาพักเป็นธรรมชาติของมัน มันจึงจะเป็นปกติ

อันนั้นมันเข้ากันได้แล้วนี่ถ้าจะพูดถึงนะ มันจับทางได้แล้วมันก็เป็นอย่างงั้นได้ลูก ดั่งที่หลวงปู่ได้พิจารณาดูนะเราได้ปฏิบัติมานี่มันเป็นอย่างงั้น ถ้ามันจับทางได้มันก็ได้ลูก แต่ถ้ามันจับทางไม่ได้ล่ะมันไม่ได้ มันก็จะเป็นจะตายอยู่เดี๋ยวนี้ ไฟมันไหม้อยู่มันก็ต้องรีบดับ ๆ ๆ จะไปถามใครล่ะนั่น มันถามใครไม่ได้ มันไม่ฟังใคร ฟังใครได้ยังไงเพราะหูหื้อตาลายแล้วไฟมันไหม้ ไฟไหม้หัวใจดวงนี้จะว่าไง อย่างที่เรารู้มานะ ท่านพูดก็ถูกในตำรามันก็ถูกก็ไม่ได้ว่า พ่อแม่ครูอาจารย์เทศน์มันก็ถูกใช่ไหมล่ะ ก็จิตมันยังยึดมันหาทางออกอยู่นี่มันไม่มีใครที่บอกว่าสอนกันได้ มันต้องเป็นสันทิฏฐิโกรู้เองเห็นเองพังกันเองฆ่ากันเองอยู่ในภายในของมัน เนี่ยเราก็เลยไม่ได้เข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์

ก็มันไม่ยอมลงสักทีนี่ภายในหัวใจดวงนี้ใช่ไหมล่ะ มันเอากันอยู่นี่มันฆ่าเราอยู่นี่ มันเตรียมพร้อมอยู่นี้ แล้วจะมีเวลาไปถามใครล่ะนั่น มีเวลาพักผ่อนเหรอมันขึ้นเวทีแล้วนี่ คู่ต่อสู้มันตะลุมบอลเราตลอด ตะลุมบอลเราตลอดไม่ให้เราพักผ่อนนี่นั่น แล้วจะไปถามใครจะให้มันพักผ่อนได้ยังไง ท่านพูดถูกแต่มันก็ไม่ถูก (หัวเราะ) จะว่าถูกมันก็ถูกตามอุปนิสัยของใครของมัน มันไม่อยู่หรอกลูก ภายในขณะนั้นเดี๋ยวนั้นมันตะลุมบอลกันอยู่ที่บนเวทีนี่ รับรองได้เลยว่าหูอื้อตาลายแล้วไม่ได้ยินเสียงพี่เลี้ยงตะโกนหรอก และไม่มีตำราในขณะนั้น สละตาย สละตาย สละตาย โดนหมัดก็เออ...เอ้า สลบก็สลบไป ตายก็ตายไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น ไม่ได้ออกมาพักผ่อนเดี๋ยว ๆ ๆ ๆ พักผ่อนก่อน พักยก พักยกไม่ได้เพราะว่ามวยนี้ไม่มีคำว่าพักยก เพราะกิเลสมันไม่ยอมพักให้เรานั่น

ถ้ามวยที่ว่าเขาชกต่อยกันธรรมดามันก็ได้พักยก มีกรรมการห้าม แต่เวลากิเลสมันตะลุมบอลเรานี่ มันเผาเราเอาไฟเผาเราอยู่มันจะพักผ่อนไม่ได้ ครูบาอาจารย์พูดถูกแต่มันก็ไม่ถูกทำนองนั้นแหละ เราจึงเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม เราเอาโสตายของเรานั่นแหละ ลองดูสิถ้ามันเอาจริงเอาจัง หัวใจดวงนี้ไฟมันเผาอยู่จ้างมันก็ไม่มีเวลาพักหรอกลูก จะเป็นบ้าก็เป็นบ้าไปตามวิบากกรรมก็ปล่อยไปสิ เป็นบ้าก็บ้าไปตามกรรมของมันสิ ถ้ามันเอาจริงเอาจังออกมาพักทำไม มาพักก็พักนั่นแหละให้กิเลสมันมีกำลังมันเป็นอย่างงั้น เราก็เลยไม่พักเลย การพักมีอยู่อีกมาก การนอนมีอยู่อีกมากที่หลุมฝังศพ มันถึงได้ อันนี้เราอาจจะเป็นอุปนิสัยหยาบหน่อยนะไม่เหมือนหมู่ ว่าคนจริงหน่อย ถ้าบารมีสร้างมาทางบ้าก็บ้าสิใช่ไหมล่ะใครจะสามารถที่จะต้านทานได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถต้านทานได้....”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕






คำอธิษฐานเพื่อมรรคผลของครูบาอาจารย์

สมัยก่อนอธิษฐานทุกวัน ไม่เคยพลาดสักวัน

ให้พระเมตตาครอบคลุมกาย ควบคุมดวงจิตให้เรามีสติตั้งมั่นทุกๆขณะจิต

มีกำลังจิตเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ มีกำลังปัญญาเป็นเครื่องรู้แจ้งแทงตลอด ตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน ถึงอรหัตผลในชาตินี้โดยฉับพลันทันทีง่ายๆ

เอาง่าย เอาไว

ใช่ ฉันทำมาตั้งแต่เป็นฆราวาสน่ะ ทุกวัน หลังฉันสวดมนต์ไหว้พระ ฉันก็จะอธิษฐานอย่างนี้ทุกวัน

ประการแรก คือว่า ที่ให้พระคลอบคลุมกายเรา ควบคุมดวงจิตของเราก็เพราะว่า เราเองเป็นคนประมาท เรายังเป็นคนเลว

ถ้าเราอยู่กับพระ พระยังได้เตือนเรา ดลใจเราบ้าง ยามที่เราคิดไม่ดีก็ยังรู้สึกว่า พระยังดลใจเรา ให้เราตักเตือนตัวเรา เหมือนอย่างนั้นน่ะ คือ เราก็จะไม่ห่างพระ

ฉันจึงบอก ขอให้พระคลอบคลุมกายเรา ให้เราได้อยู่กับพระ แล้วควบคุมดวงจิตของเราไว้ไม่ให้จิตไปกระสับกระส่ายคิดชั่ว

ให้เรานี่มีสตินี้ตั้งมั่น และมีกำลังใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ อย่างนั้นนะ

ถ้าเรากำลังปัญญาเราอ่อนแอนี่ บางทีไปตัดอะไรไม่ได้

ถ้ากำลังใจเราเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง กล้าหาญ มีปัญญาเป็นเครื่องรู้แจ้งแทงตลอด ตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน เข้าถึงอรหัตผลในชาติปัจจุบันอย่างง่ายดาย

อย่างนั้น ขอทุกวัน ขอจนจบ ไม่จบไม่เลิกขอ

ลูกศิษย์ : แต่ผมก็ทำอย่างนี้ แต่ว่าก็แพ้ตลอด สงสัยพระเบื่อแล้ว …

ท่านจิตโต : พระไม่เบื่อเธอ เธอจะเบื่อพระเหรอ ?

เอ้า … มันเป็นอธิษฐานบารมี เราต้องทำ

ที่ให้ผลมากก็ตรงที่ไป ที่พระธาตุดอยตุง อันนั้นน่ะเหมือนเราอยู่ใกล้พระ เราอยู่ปกตินี่เราเหมือนเรานึกถึงพระ

แต่เวลาที่ไปพระธาตุดอยตุง เราเหมือนกับพระท่านอยู่ตรงนั้น จะให้ความรู้สึกเหมือนเราไปอยู่ใกล้ๆพระองค์ แล้วเราก็ขอในสิ่งที่เราตั้งใจเรื่องมรรคเรื่องผล

อันนี้ได้ผลแน่

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ให้ผลมาก ก็ตรงที่ทำกฐิน

คือ ทำบุญกฐินให้กับท่านผู้มีพระคุณที่ท่านคอยดูแลปกปักรักษาเรา คอยอบรมสั่งสอนตักเตือนเรามาโดยตลอด … ระลึกนึกถึงท่านน่ะนะ

เพราะว่าช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี่ คือ เรามันเดินทางบ่อย ไปแจกของทั่วไป มันก็อันตราย บางที่ก็อันตราย

คือ เราปรารถนาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้นน่ะ ไม่ผิดไปจากคำที่เราอธิษฐานหรอก ทุกคนนั่นแหละ มันได้ไปตามนั้น

แต่ว่าช้าหรือว่าเร็ว เราไปกำหนดเวลาไม่ได้ มันขึ้นมาอยู่กับกำลังความดีที่เราสะสม

ถ้าเราสะสมความดีอยู่เนืองๆ คือ ทำอยู่เรื่อยๆ แล้วเราก็พยายามทำให้มันแบบตั้งใจทำ

ถึงบางครั้งมันอาจไม่ได้ดั่งที่ใจเราปรารถนา ตั้งใจมากแต่ว่ามันทำได้น้อย

อย่างเราตั้งใจจะทำ แต่ว่าเงินมีเท่านี้ ไอ้เราจะไปรอให้เงินมันครบตามที่ตั้งใจทำ มันก็เนิ่นนาน แล้วมันก็เสียเวลาอีกใช่ไหมลูก

เอาเท่าที่เรามี มันถึงเวลาแล้วเราต้องทำ แต่เรารวบรวมเราได้เท่านี้ เราก็ทำเท่านี้ มันเต็มที่ของเราแล้วน่ะ เราก็อธิษฐานของเราไป

ส่วนใหญ่อาศัยอานิสงส์สร้างพระกับบุญกฐิน … ๒ อย่างที่ทำมานะ

กับเรื่องทานที่ทำปกติ ก็เหมือนที่เธอทำกันมาน่ะ สมัยหลวงพ่ออยู่ก็ทำ ทำแบบระเรี่ยระราดเลยล่ะ หลวงพ่อว่าดีก็ทำหมดแหละสมัยนั้นน่ะนะ

คำสอนของครูบาอาจารย์ ท่านจิตโต
ถอดความเสียง By Dhipya






#การปฏิบัติธรรม

"...ทีนี้เราปฏิบัติอยู่เราก็ต้องรู้ของจริง รู้ลักษณะ
อาการของมันว่าชนิดนี้เรียกว่าสัญญา ชนิดนั้นเรียก
ว่าสังขาร ชนิดนั้นเรียกว่าวิญญาณ เช่นนั่งอยู่นี่ง่วง
เหงาหาวนอนเกิดขึ้น...ตัวนี้ก็รู้แล้วว่านี่ถีนมิทธะง่วง
เหงาหาวนอนเป็นนิวรณ์ สัญญานี่เราเรียนรู้อย่างนี้
ถ้าเราเรียนรู้สัญญาดีแล้วเมื่อมันเกิดขึ้นกับเรากับ
กายกับจิตเรา อะไรเกิดขึ้นก็ตามมันก็รู้ทันทีว่าเกิด
ที่ตรงนั้นๆ เกิดในขันธ์กองนั้นๆ แล้วเราก็ละสิ่งที่
เกิดขึ้นคือวิปัสสนา คือว่ามันเกิดขึ้นแล้วเราละมัน
แล้วมันดับไปนั่นเรียกว่า #ปัญญา ถ้าเกิดขึ้นแล้ว
รู้แล้วว่ามันเกิด เช่นมันเกิดขึ้นที่รูปของเราคือกาย..
มันเจ็บมันปวดมันเมื่อยแต่เราไม่ละ ถือว่าไม่เป็นไร
ไม่หนักนั่น #โมหะ รู้แล้วไม่ละ แต่ถ้ารู้แล้วละเป็น
ปัญญา ถ้าละแล้วดับได้สมาธิดี จิตดี จิตรู้จักสละแล้ว
รู้จักสละนี่แหละเราเรียนรู้อย่างนี้ ไม่ใช่เรียนรู้อะไร
เรียนรู้อย่างนี้ ถ้าใครรู้แล้วละได้ อันนั้นแหละเรียกว่า
#รู้แจ้งโลก_รู้จักโลก..."

#โอวาทธรรม พระครูภาวนาภิรมย์ (หลวงพ่อสรวง
ปริสุทฺโธ) วัดถ้ำขวัญเมือง ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร
(๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘)







ทุกเช้าที่เราลืมตาตื่นขึ้นมา ชีวิตของเรามีเวลาเหลือน้อยลง
ไปทุกที เรื่องราวของเมื่อวานจะดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม
ปล่อยให้เป็นอดีตไป อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอน
จะคิดกังวลไปก็ทำให้เสียเวลาเปล่า ผู้มีปัญญานั้น
จะเห็นประโยชน์ของปัจจุบันทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่เสียเวลากับเรื่องราวในอดีต และ อนาคต
ไม่เสียเวลาไปยุ่งเรื่องของคนอื่น กรรมของคนอื่น
เห็นโลกตามความเป็นจริงว่า คนก็เป็นเช่นนั้นเอง
แต่เรา จะทำแต่ความดียิ่งๆขึ้นไป ทำแต่สิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ให้แก่ตนเอง และ ผู้อื่น เหมือนกับว่าวันนี้
เป็นวันสุดท้ายของชีวิต จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง

อมตะธรรม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ








ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวายอยู่นี้
ธรรมะในพระพุทธศาสนาจะช่วยโลกได้อย่างไรบ้าง...?
และจะทำอย่างไรธรรมะจึงจะช่วยเขาได้อย่างแท้จริง....?
ขอฟังคำอธิบาย....?

สำหรับปัญหาข้อนี้ เราอาจจะแยกประเด็นออกพิจารณาเป็น ๓ ประเด็นด้วยกัน คือ....

๑. โลกปัจจุบันกำลังวุ่นวายจริงหรือ...?

๒. ธรรมะในทางพระศาสนาจะสามารถช่วยโลกที่กำลังวุ่นวายได้อย่างไร หรือไม่....?

๓. ธรรมะจะช่วยได้ทุกคนหรือว่าเฉพาะคน และจะช่วยได้โดยวิธีอย่างไร....?

ประการแรก ถ้าพูดถึงความวุ่นวายของโลกกันแล้ว....
โลกไม่เคยปรากฎว่าไม่มีความวุ่นวายเลย
จะมีได้ก็แต่เพียงวุ่นวายน้อยลงเท่านั้น
แมัในสมัยพระพุทธกาลก็วุ่นวายเหมือนกัน

การออกบวชของพระพุทธเจ้าและพระสาวก
มูลเหตุก็มาจากต้องการจะหนีความวุ่นวายในโลกนั่นเอง
จนถึงกับสาวกบางท่านต้องเดินออกจากบ้านพร้อมบ่นไปพลางว่า...
" ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ "
แม้พระพุทธภาษิตก็มีเป็นจำนวนมากที่ทรงแสดงถึงความวุ่นวายของโลกไว้ เช่น ตรัสว่า....
"ท่านทั้งหลายจะมัวรื่นเริงเพลิดเพลินอะไรกันเล่า... ในเมื่อโลกกำลังวุ่นวายและถูกห่อหุ้มด้วยความมืดบอด ทำไมไม่ช่วยกันหาประทีปสำหรับส่องทางชีวิตเล่า....? "

และแม้ในที่อื่นก็มีการกล่าวถึงเรื่องความวุ่นวายของโลกไว้เป็นอันมาก
จึงเป็นการแสดงว่า....โลกหาได้วุ่นวายแต่เพียงในปัจจุบันไม่
แท้จริงแล้วโลกได้เคยวุ่นวายมาก่อน และกำลังวุ่นวายอยู่อีกในปัจจุบัน
แม้ในอนาคตก็จะวุ่นวายเช่นเดียวกัน

ปัญหาจึงมีต่อไปว่า.... ความวุ่นวายทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้เกิดจากอะไร....?
ก็อาจจะได้คำตอบว่า....
#เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยปุถุชน ที่ยังตกอยู่ภายใต้การ" #บงการ "ของกิเลสตัณหา
และที่ร้ายที่สุดคือคนส่วนมาก #มักจะทำอะไรไปตามอำนาจของมันด้วย
แทนที่จะกลับหันมาใช้เหตุผลกันในการดำเนินชีวิต
คือสรุปว่า... คนเราใช้อารมณ์ #ที่เกิดจากอำนาจของกิเลสมากกว่าการใช้เหตุผล ในการทำงาน และการดำเนินชีวิต เป็นต้น
ความวุ่นวายทั้งหลายจึงหาทางจบสิ้นไม่ได้
และผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามนั้นก็คือ...
#ความโลภอยากได้จนเกินพอดี เป็นเหตุให้ประพฤติผิดศีลธรรม
โทสะความประทุษร้ายในทรัพย์สิน, บุตร,ภรรยา, อิสรภาพและเสรีภาพ
ตลอดถึงความสงบสุขของกันและกัน
และ #ความหลงไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
ตลอดถึงไม่รู้ หรือถึงรู้ก็ไม่ยอมรับสภาวะความเป็นจริงของสัตว์และชีวิต ว่า...ภาวะอันแท้จริงเป็นอย่างไร... ความวุ่นวายจึงหาที่สุดไม่ได้

ประการที่ ๒ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่า...
ธรรมะในทางพระพุทธศาสนาจะสามารถช่วยโลกได้อย่างไรหรือไม่...?
#ขอตอบว่า ได้อย่างแน่นอน
เพราะว่าหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น เป็นผลงานอันเกิดจากการค้นคว้าเพื่อแก้ หรือควบคุมความวุ่นวายของโลกโดยตรง
และเคยใช้ปรากฎผลมาแล้วมากมาย
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า....ชาวโลกจะทำอย่างไร... พระธรรมจึงจะช่วยโลกได้....?

จึงมาถึงประเด็นของปัญหาตอนที่ ๓
ประการที่ ๓ " ธรรมะจะช่วยได้เฉพาะคนหรือทุกคน และจะช่วยได้โดยวิธีอย่างไร..... ?
" เรื่องธรรมะจะช่วยได้กี่คน...?นั้น
จะต้องเข้าใจเสียก่อนว่าธรรมะไม่ใช่" หน่วยกู้ภัย "ที่ใครไปตกอยู่ที่ไหน จะไปยกประครองขึ้นมาได้
#แต่ธรรมะเป็นเหมือนยาที่สูงด้วยคุณภาพ
พระพุทธเจ้า เป็นต้น เพียงแต่ผู้ค้นพบยา แล้วมาบอกแก่คนทั้งหลาย
ชาวโลกทุกคนจึงเป็นเหมือนคนป่วย
เมื่อทราบว่ายานั้นแก้โรคอะไรแล้ว ก็ต้องนำยานั้นไปรับประทาน โรคจึงจะหาย

" ยา "ช่วยคนกินยาให้หายจากโรคได้ฉันใด
ธรรมะในทางพระพุทธศาสนา ก็ช่วยได้สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติตามฉันนั้น
คือ.... ชาวโลกทุกคนจะต้องหันมาใช้" เหตุผล "ในการดำเนินชีวิต มากกว่าที่จะใช้อารมณ์
มีเมตตาต่อกันและกันให้มาก
ขจัดความเห็นแก่ตัวและพวกพ้องของตัวเองให้น้อยลง
ปลูกฝังความรักหมู่รักคณะในทางที่ถูก
สำนึกถึงความรับผิดชอบในเมื่อจะกระทำอะไรก็ตาม ทั้งที่เป็นส่วนตัวและเกี่ยวข้องกับคนอื่น
ละเว้นไม่กระทำอันใดที่เป็นการยังตนเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อน
มีความละอายแก่ใจในการกระทำผิด
และหวาดสะดุ้งต่อความผิด กอปรด้วยการใช้สติปัญญา เป็นประทีปนำทางชีวิต ก็อาจที่จะบรรเทาความวุ่นวายของโลกได้เป็นอย่างมาก
แต่จะแก้ไขให้หายเลยนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ #ในเมื่อโลกยังเป็นโลกของคนมีกิเลส
การแก้ปัญหาในทางพระพุทธศาสนานั้น ทุกคนจะต้องแก้ที่ตนเอง
เมื่อทุกคนเป็นคนดีแล้ว ส่วนรวมก็จะดีไปเอง

จากหนังสือ ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา
พระโสภณคณาภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร เรียบเรียง...ฯ








ทุกเช้าที่เราลืมตาตื่นขึ้นมา ชีวิตของเรามีเวลาเหลือน้อยลง
ไปทุกที เรื่องราวของเมื่อวานจะดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม
ปล่อยให้เป็นอดีตไป อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอน
จะคิดกังวลไปก็ทำให้เสียเวลาเปล่า ผู้มีปัญญานั้น
จะเห็นประโยชน์ของปัจจุบันทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่เสียเวลากับเรื่องราวในอดีต และ อนาคต
ไม่เสียเวลาไปยุ่งเรื่องของคนอื่น กรรมของคนอื่น
เห็นโลกตามความเป็นจริงว่า คนก็เป็นเช่นนั้นเอง
แต่เรา จะทำแต่ความดียิ่งๆขึ้นไป ทำแต่สิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ให้แก่ตนเอง และ ผู้อื่น เหมือนกับว่าวันนี้
เป็นวันสุดท้ายของชีวิต จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง

อมตะธรรม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ








#พระกรรมฐานไม่มีทางจงกรม

#ก่อนจังหัน

#พระเท่าไร (๒๙ ครับผม) #เวลานี้เอาแน่นอนไม่ได้พระเข้าออกๆ #ถ้าในพรรษาก็คงเส้นคงวา #ออกพรรษาแล้วมีเข้ามีออกตลอด #พระในครั้งพุทธกาลท่านพอออกพรรษา #แล้วท่านจะออกหาเที่ยวที่วิเวกสงัดในป่าในเขา มีในตำรับตำรา นั่นละคือองค์ศาสดาอยู่ในตำรา ให้ดูตำราคือองค์ศาสดา พระในครั้งพุทธกาลพอออกพรรษาแล้วท่านไปละ เข้าในป่าในเขาไปภาวนา ไม่ยุ่งกับอะไรพระในครั้งพุทธกาล ไม่มีอะไรยุ่ง ไม่ใช่พระกวนบ้านกวนเมืองเหมือนอย่างพระปัจจุบันนี้ พระปัจจุบันนี้นักกวนบ้านกวนเมือง เป็นบ้าลาภบ้ายศไปหมดเดี๋ยวนี้ พระหัวโล้นๆ ท่านให้สมณศักดิ์ อะไรจะยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี่เลิศเลอโลกยอมกราบทั้งนั้น มันเป็นบ้าอะไรพระเราบวชเข้ามาแทนที่จะละกิเลส ถอดถอนกิเลส มันโกยเอากิเลสเข้ามา #มีแต่ยศแต่ลาภ #ชื่อเสียงโด่งดัง #ประสาชื่อตั้งฟากจรวดก็ได้ยากอะไร ให้มีธรรมอยู่ในใจอยู่ไหนสบายหมด เอาซินักภาวนาเอาให้เห็นประจักษ์ ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าหลอกสัตว์โลกหรือกิเลสหลอกสัตว์โลก เอามาเทียบกันซิ จ้าเข้าในหัวใจนี้แล้วเท่านั้นพอ พระพุทธเจ้าท่านไปถามใคร พอตรัสรู้ผางขึ้นมาสอนโลกได้ทันทีทั้งสามโลก โลกมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ไปได้หมด นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก พระสาวกทั้งหลายพอปฏิบัติธรรมได้รู้เห็นขึ้นภายในใจแล้ว ก็เป็นแบบเดียวกัน ถูกต้องแม่นยำเหมือนกัน เป็นแต่ภูมิต่างกันตามนิสัยวาสนาเท่านั้น

ศาสนาเป็นสิ่งที่ทำโลกให้สงบร่มเย็น กิเลสทำโลกให้เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่รู้จักเขาจักเราแหละถ้าลงเป็นกิเลส มีแต่จะเอาๆ กวาดต้อนเข้ามาๆ นี้คือกิเลส ถ้าธรรมแล้วดูกว้างขวาง ดีไม่ดีไม่ดูเจ้าของเลย ดูแต่สัตว์อื่นนั่นละมาก นั่นละเมตตาธรรม ท่านไม่ได้ดูกวาดต้อนเข้ามา ท่านดูเบิกกว้างออกไปด้วยความเมตตา สุดท้ายตัวเองท่านไม่ค่อยสนใจ กินอะไรใช้อะไรก็แล้วแต่ เอ้าจะอดก็อดบ้าง แต่ความภาคภูมิใจในความเมตตาต่อโลกทั่วๆ ไป ต่อเพื่อนฝูงนี้เต็มหัวใจท่าน นั่นละธรรมไปที่ไหนเบิกกว้างๆ ไปที่ไหนเย็น...ธรรม กิเลสไปที่ไหนตีบตันอั้นตู้ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม นั่นคือกิเลส จำเอาไว้ทุกคนเราเป็นลูกชาวพุทธ กิเลสเป็นตัวยังไงดูในหัวใจเรานั่นน่ะ เมียมันก็อยากได้ ๑๐ คน ผัวอยากได้ร้อยคนนู่นน่ะ นี่คือกิเลส จำเอานะ มันไม่มีละคำว่าพอลงกิเลสแล้ว ถ้าธรรมแล้วพอ อันเดียวพอ นี่เรียกว่าธรรม กิเลสไม่มีคำว่าพอท่านทั้งหลายเข้ามาในวัดในวา ดูสิ่งที่เป็นคติตัวอย่างมีเยอะในวัด ท่านไปหา กวาดเข้ามาๆ เป็นคติตัวอย่างแก่องค์ท่านเองและสอนผู้อื่นด้วย นั่นเรียกว่าวัด คือรวบรวมข้อวัตรปฏิบัติอันดีงามเข้ามา ทั้งตนก็ปฏิบัติ แจกจ่ายให้กันไปปฏิบัติ เช่นอย่างเทศนาว่าการ คือแจกจ่ายอรรถธรรมให้ไปปฏิบัติ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน

ห่างเหินศาสนาเท่าไรโลกยิ่งจมลงๆ แต่กิเลสมันหลอกว่าโลกเจริญๆ เจริญด้วยไฟ ใครจะไปเชื่อหัวมัน มีใครกราบกิเลส แต่ธรรมโลกเขากราบกันทั่วหน้า กิเลสไม่มีใครกราบ แต่ชอบหมอบหัวให้มันเหยียบเอาๆ น่าทุเรศนะ ให้ธรรมขึ้นมาที่ใจแล้วมันจ้าออกหมด ปิดไม่อยู่ นั่นละพระพุทธเจ้าที่ว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก ปิดไม่อยู่ เปิดออกหมด ที่ปิดนั่นคือกิเลสมาปิดให้มืดดำกำตา ถ้าเป็นธรรมแล้วเบิกกว้างออกไป จากนั้นก็ อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าตลอดเวลา พากันเอาไปปฏิบัตินะธรรมจะไม่มีอะไรเหลือในชาวพุทธเรานะ มีแต่ชื่อนะเวลานี้ มันดีดมันดิ้นกับกิเลสตัณหา เป็นบ้ากันไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักเข็ดจักหลาบ คือมนุษย์ชาวพุทธเรานี้แหละ ชาวพุทธเรา ชาววัดเรานี้แหละ ที่เขาไม่รู้ภาษีภาษายกไว้เสีย ไอ้พวกเรารู้ภาษีภาษาแต่มันหน้าด้านซิ ยิ่งพระเรานี้หน้าด้าน ดูได้เมื่อไรพระหน้าด้าน มันน่าทุเรศนะ พระพุทธเจ้าบวชแล้วให้สละลาภยศสรรเสริญ โลกธรรม ๘ ปัดออกให้หมดๆ แต่นี้มันไปเที่ยวหากว้านเข้ามาๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าเข้ามาเวลานี้ กิเลสมันอายเมื่อไร หน้าด้านที่สุดคือกิเลส ไม่มีใครหน้าด้านเกินกิเลส มันอยู่ในหัวใจเราทุกคนๆ ถ้าเอาธรรมเข้าไปจับมันก็รู้กิเลส ก็มีหิริโอตตัปปะ รู้จักอาย รู้จักพอ ถ้าเป็นแต่กิเลสล้วนๆ แล้วไม่รู้เลย หน้าด้านที่สุดคือกิเลสนั่นละ หน้าบางที่สุดคือผู้มีธรรม รู้ดีรู้ชั่วทุกอย่าง พากันจำเอานะ เอาละให้พร

"พระกรรมฐานไม่มีทางจงกรม"
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙






หลวงปู่เคยบอกว่า “คนฉลาด เขาไม่เคยมีเวลาว่าง”
เวลาเป็นของมีค่า เพราะไม่เหมือนสิ่งอื่น แก้วแหวน เงิน ทอง สิ่งของทั้งหลาย เมื่อหมดไปแล้วสามารถหามาใหม่ได้ แต่สำหรับเวลาแล้ว หากปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขอให้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า...
“สมควรแล้วหรือกับวันคืนที่ล่วงไปๆ คุ้มค่าแล้วหรือกับลมหายใจที่เหลือน้อยลงทุกขณะ”

( คนฉลาดเขาไม่เคยมีเวลาว่างในที่นี้คือ คนฉลาดจะเจริญสติฝึกฝนพัฒนายกระดับจิตใจของตัวเองอยู่ทุกขณะจิต
ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยการ ภาวนา สะสมอริยทรัพย์
ภายในให้แก่ตนเองอยู่ตลอดเวลา )

#โอวาท​ธรรม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ







#ขึ้นเวทีแล้วพักยกไม่ได้

“...คุยกันเรื่องการภาวนากับครูอาจารย์ไสว เจ้าคณะอำเภอบ้านฝาง ก็พูดถูกนะถ้าทำเพียรจิตภาวนาเพียงถ่ายเดียวมันฟุ้งซ่าน มันต้องเข้าหาครูหาบาบ้างเป็นบางช่วง ท่านพูดมันก็ถูก ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์เราจึงเป็นบ้าไปเยอะ เพ่งลมกสิณเดินบนน้ำได้ก็ยังเป็นบ้าอยู่ไม่รู้ไปไงมาไง สมัยหลวงปู่มั่นก็เป็นบ้าเยอะนี่นะ สมัยพุทธกาลก็วิปลาสเยอะพระเทวทัตก็วิปลาส หลายต่อหลายรูปนี่เป็นบ้าเป็นบอไปก็วิบากกรรม ท่านพูดนี่มันถูก แต่ยังไงมันก็เท่าเก่ามันถ้าบอกว่าวิบากกรรมมาถึงนี่มันก็เท่าเก่ามัน ดังที่รู้นะลูก แม้อยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้ามันก็ยังวิปลาสได้ ท่านพูดถูก ถูกหมดนั่นแหละพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ยกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

แต่นี้เราสิที่ไม่เข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์ เราว่าเราเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม กรรมที่ได้สร้างไว้ยังไงมันก็เป็นงั้นล่ะ กรรมที่สร้างมาในทางตายมันก็ตาย กรรมที่สร้างมาทางวิปลาสมันก็วิปลาสนั่นแหละ สร้างมาในทางมรรคทางผลมันถึงจบสมบูรณ์แล้วก็ทรงมรรคทรงผล จะเข้าหาครูหาบามันก็พอที่จะเป็นทางเดินในมรรคขององค์ท่าน ของเราเป็นยังไง สันทิฏฐิโกในการรู้เองเห็นเอง ปัจจัตตัง สาวะกะ เราก็ก็เป็นผู้สดับรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็เอาล่ะ นานาจิตตังของพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เป็นอีกอย่าง เราก็เป็นอีกอย่างก็คงเข้ากันได้ยาก ถ้าบารมีมันสร้างมาดีมันก็ทรงมรรคทรงผล ถ้าบารมีสร้างไม่ถึงมันก็เป็นผีบ้าก็ช่างมันเถอะลงนั่นแหละก็เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม ก็ซัดเลยเรานี่ ในพระสูตรมันก็มีใช่ไหมล่ะ ทำเพียรมากจิตมันไม่ได้พักมันก็ฟุ้งซ่าน ต้องทำเพียรแล้วก็ให้จิตมันมาพักเป็นธรรมชาติของมัน มันจึงจะเป็นปกติ

อันนั้นมันเข้ากันได้แล้วนี่ถ้าจะพูดถึงนะ มันจับทางได้แล้วมันก็เป็นอย่างงั้นได้ลูก ดั่งที่หลวงปู่ได้พิจารณาดูนะเราได้ปฏิบัติมานี่มันเป็นอย่างงั้น ถ้ามันจับทางได้มันก็ได้ลูก แต่ถ้ามันจับทางไม่ได้ล่ะมันไม่ได้ มันก็จะเป็นจะตายอยู่เดี๋ยวนี้ ไฟมันไหม้อยู่มันก็ต้องรีบดับ ๆ ๆ จะไปถามใครล่ะนั่น มันถามใครไม่ได้ มันไม่ฟังใคร ฟังใครได้ยังไงเพราะหูหื้อตาลายแล้วไฟมันไหม้ ไฟไหม้หัวใจดวงนี้จะว่าไง อย่างที่เรารู้มานะ ท่านพูดก็ถูกในตำรามันก็ถูกก็ไม่ได้ว่า พ่อแม่ครูอาจารย์เทศน์มันก็ถูกใช่ไหมล่ะ ก็จิตมันยังยึดมันหาทางออกอยู่นี่มันไม่มีใครที่บอกว่าสอนกันได้ มันต้องเป็นสันทิฏฐิโกรู้เองเห็นเองพังกันเองฆ่ากันเองอยู่ในภายในของมัน เนี่ยเราก็เลยไม่ได้เข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์

ก็มันไม่ยอมลงสักทีนี่ภายในหัวใจดวงนี้ใช่ไหมล่ะ มันเอากันอยู่นี่มันฆ่าเราอยู่นี่ มันเตรียมพร้อมอยู่นี้ แล้วจะมีเวลาไปถามใครล่ะนั่น มีเวลาพักผ่อนเหรอมันขึ้นเวทีแล้วนี่ คู่ต่อสู้มันตะลุมบอลเราตลอด ตะลุมบอลเราตลอดไม่ให้เราพักผ่อนนี่นั่น แล้วจะไปถามใครจะให้มันพักผ่อนได้ยังไง ท่านพูดถูกแต่มันก็ไม่ถูก (หัวเราะ) จะว่าถูกมันก็ถูกตามอุปนิสัยของใครของมัน มันไม่อยู่หรอกลูก ภายในขณะนั้นเดี๋ยวนั้นมันตะลุมบอลกันอยู่ที่บนเวทีนี่ รับรองได้เลยว่าหูอื้อตาลายแล้วไม่ได้ยินเสียงพี่เลี้ยงตะโกนหรอก และไม่มีตำราในขณะนั้น สละตาย สละตาย สละตาย โดนหมัดก็เออ...เอ้า สลบก็สลบไป ตายก็ตายไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น ไม่ได้ออกมาพักผ่อนเดี๋ยว ๆ ๆ ๆ พักผ่อนก่อน พักยก พักยกไม่ได้เพราะว่ามวยนี้ไม่มีคำว่าพักยก เพราะกิเลสมันไม่ยอมพักให้เรานั่น

ถ้ามวยที่ว่าเขาชกต่อยกันธรรมดามันก็ได้พักยก มีกรรมการห้าม แต่เวลากิเลสมันตะลุมบอลเรานี่ มันเผาเราเอาไฟเผาเราอยู่มันจะพักผ่อนไม่ได้ ครูบาอาจารย์พูดถูกแต่มันก็ไม่ถูกทำนองนั้นแหละ เราจึงเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม เราเอาโสตายของเรานั่นแหละ ลองดูสิถ้ามันเอาจริงเอาจัง หัวใจดวงนี้ไฟมันเผาอยู่จ้างมันก็ไม่มีเวลาพักหรอกลูก จะเป็นบ้าก็เป็นบ้าไปตามวิบากกรรมก็ปล่อยไปสิ เป็นบ้าก็บ้าไปตามกรรมของมันสิ ถ้ามันเอาจริงเอาจังออกมาพักทำไม มาพักก็พักนั่นแหละให้กิเลสมันมีกำลังมันเป็นอย่างงั้น เราก็เลยไม่พักเลย การพักมีอยู่อีกมาก การนอนมีอยู่อีกมากที่หลุมฝังศพ มันถึงได้ อันนี้เราอาจจะเป็นอุปนิสัยหยาบหน่อยนะไม่เหมือนหมู่ ว่าคนจริงหน่อย ถ้าบารมีสร้างมาทางบ้าก็บ้าสิใช่ไหมล่ะใครจะสามารถที่จะต้านทานได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถต้านทานได้....”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕











#บ้านเช่าชั่วคราว

ก็เหลืออีกจุดเดียว เราจะถึงพระนิพพาน เลิกเกิดต่อไป เราก็หันเข้ามาทำลาย #โมหะ #ความหลง #หรือว่าอวิชชา #ความโง่ การทำลายอวิชชา ความโง่ หรือว่าโมหะ ความหลง อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธบัญญัติ #ให้พยายามตัดขันธ์ ๕ #คือร่างกาย #ทำใจไม่ห่วง #ให้ใจของเรานี้ไม่มีความห่วงใยในร่างกายเสียอย่างเดียว ทรัพย์สินทั้งหลายเราก็ไม่มีความห่วงด้วย #คำว่าไม่ห่วงในที่นี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้พวกเราหาอาหารมาเลี้ยงร่างกาย หนาวไม่ยอมปรนเปรอร่างกายให้มีความอบอุ่น เวลาร้อนไม่ผ่อนคลายความร้อน ไม่ใช่อย่างนั้น หน้าที่ในการที่จะบริโภคอาหาร หาทรัพย์สินมาเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำตามหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่าง #ความเป็นพ่อบ้านในฐานะเป็นพ่อบ้าน #แม่บ้าน #ลูกบ้าน #จะรับราชการ ทำกิจการงานต่างๆ ทุกอย่างถ้าเราจะต้องทำ ถือว่าทำตามหน้าที่ทุกอย่าง อย่างครบถ้วน ถ้าร่างกายมันหิว ก็หาอาหารให้กิน มันหนาว ก็หาของเครื่องอบอุ่นมาให้ มันร้อนก็หาความเย็นมาให้ ป่วยไข้ไม่สบายก็รักษา

ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ก็คงจะคิดว่าไม่ห่วงตรงไหน คือว่าเราไม่ห่วงกันตรงนี้ เราเป็นไข้ เราก็รักษา หิวเราก็หาอาหารให้ #แต่จิตใจของเราคิดไว้เสมอว่า #เรารู้ตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้ความจริงมันไม่ใช่เรา #มันไม่ใช่ของเรา #มันเป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว #บ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ที่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ #ธาตุน้ำ #ธาตุดิน #ธาตุลม #ธาตุไฟ #ร่างกายของเราก็ดี #ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี #เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เป็น #โรคนิทธัง #จัดว่าเป็นรังของโรค #ปภังคุณัง #มันจะต้องเปื่อยเน่าไปในที่สุด เราจะไม่เมาในร่างกาย คือไม่ยึดถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ขณะใดที่มันยังคงอยู่ เราก็อาศัยมันอยู่ และก็จะสร้างความดีเพื่อหนีความเกิด คือความมีร่างกายอย่างนี้อีกต่อไป

ถ้าร่างกายมันจะแก่ เราก็รู้ไว้ก่อนว่ามันจะต้องแก่ เมื่อความแก่เข้ามาถึง เราก็ไม่หนักใจ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะแก่ ถ้าความป่วยไข้ไม่สบายปรากฏเราก็สบายใจ ที่สบายใจก็เพราะไม่ตกใจ ก็รู้แล้วว่ามันจะป่วย เมื่อถึงเวลาที่มันจะตายจริงๆ เข้ามาถึงเราก็สบายใจอีก คิดไว้ว่าเจ้าร่างกายแบบนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นร่างกายที่มีความกลับกลอก เลี้ยงไม่เชื่อง จะเลี้ยงสักเท่าไรก็ตามที ประคบประหงมสักเท่าไรก็ตาม เอาอกเอาใจอย่างหนักก็ตาม มันไม่ยอมตามใจเรา เอาแต่ใจของมันอย่างเดียว ร่างกายที่มีความสับปลับ ไม่รู้บุญคุณของบุคคลผู้เลี้ยง อันนี้จัดว่าเป็นโทษหนัก เราไม่ต้องการ เวลานี้มันจะสิ้นลมปราณก็เชิญมันสิ้นไป ขึ้นชื่อว่าร่างกายแบบนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราจะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าเราสิ้นลมปราณเมื่อไร สิ่งที่เราต้องการนั่นก็คือพระนิพพาน

แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ก็จงอย่าคิดว่าเราจะคิดอย่างนี้ต่อเมื่อแก่ ควรจะคิดไว้ทุกวันว่าร่างกายมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ อนัตตา มีการสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เข้ามาประชุมกันชั่วคราว มีการทรุดโทรมเป็นปกติ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงร่างที่อาศัยชั่วคราว และเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีกต่อไป เราจะมีร่างกายอย่างนี้ชาตินี้เป็นชาติเดียว เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปเราจะไม่มีอีก “เราต้องการพระนิพพาน”

เมื่อจิตคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดต่อไปว่าเราไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ชาติ ปิ ทุกขา” “ความเกิดเป็นทุกข์” นี่เป็นความจริง “ชรา ปิ ทุกขา” “ความแก่เป็นทุกข์” นี่เป็นความจริง “มรณัม ปิ ทุกขัง” “ ความตายเป็นทุกข์” นี่เป็นของจริง การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ถ้าเราเกาะติดไว้ นึกว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา มันเป็นทุกข์ ก็เป็นของจริง ในเมื่อความเกิดเป็นปัจจัยของความทุกข์ คือมีร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันอีก เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าหาทางเกาะความพ้นแห่งความเกิดเป็นอันดับแรก คือ ศีล ๕ รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ เมื่อศีล ๕ บริสุทธิ์แล้ว เราไม่มัวเมาในร่างกายจนเกินไป ก็ขึ้นชื่อว่าเราเป็น “พระโสดาบัน” “ตอนนี้เราก็ปิดอบายภูมิได้แล้ว” “ก้าวเข้าไปสู่นิพพานได้จุดหนึ่ง”

พระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง)ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๓๕ หน้าที่ ๑๒๗~๑๒๙







เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำชำระร่างกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาตร เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีการไปเทศน์ก็ไปเทศน์ตามที่นิมนต์ไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้มีใครเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาการศึกษาเล่าเรียน เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกไปจากกุฏิหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใด ๆ ทั้งสิ้น

หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
1. จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2. จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3. พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐานดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเราเพื่อฝึกจิตรให้เข้มแข็ง

ทางแห่งความหลุดพ้น

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่าชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้นใครประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสาวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำชำระร่างกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้จิตใจของมนุษย์เศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมแก่งแย่งความชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

แต่งใจ

ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้… ใจของเราละ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกายเป็นผู้สั่งบัญชางานให้กายแท้ ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโต เป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ

กรรมลิขิต

เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างศัตรูบ้างแต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่ ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง

นักบุญ

การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฎฐิมานะทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเขาสร้างโบสถ์เป็นหลัง ๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอบุญบังหน้าในการเสวยสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

ละความตระหนี่มีสุข

ดังนั้นบุญที่เขาทำมานี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้นจึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เราเป็นคนตระหนี่ รูจักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน

อย่าเอาเปรียบเทวดา

ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์เรารู้ว่าสิ่งทีเราทำนี้เป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง กรทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ทุกคนจงอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์ แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่งอันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใคร และของเรื่องราวนั้น ๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตน ๆ นั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย

บุญบริสุทธิ์

การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้นก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิ์เป็นขั้นที่หนึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากมนุษย์โลกไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้หำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน

สั่งสมบารมี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

เมตตาบารมี

การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้แต่สักว่าให้เขาท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่า ไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนานั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

แผ่เมตตาจิต

ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรมหรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ทุกคนก็จะไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

อานิสงส์การแผ่เมตตา

ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไปเมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคนเมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขา ๆ ก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุก ๆ วัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง ดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง ย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้วคือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

ประโยชน์จากการฝึกจิต

ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่าง ๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่าง ๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่าง ๆ จะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

(คัดลอกจากหนังสือเรียน ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน
เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร