วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2022, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คือว่าเราคิดหลายแง่หลายมุม เช่นตอนที่เราเปิดสำนักปี ๒๕๓๖ เราอาศัยครอบครัวหนึ่ง คือครอบครัวของโยมฮุ้นนี่ เขาอุปัฏฐากดูแลเรื่องอาหารทุกอย่าง ปัจจัย ๔ พร้อม พระก็ไม่กี่รูป ตอนพระครบ ๕ รูปแล้วเราพิจารณาว่า เราไม่อยากมีกฐินไง ถ้ามีกฐินพระก็ต้องมาจัดเตรียมสถานที่แล้วโยมมาเยอะๆเราเป็นพระที่ชอบสงบเงียบ เราก็เลยคิดในใจว่าเราจะไม่มีกฐินหรอก

แต่มาพิจารณาดูว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงมีพุทธานุญาตให้มีกฐินได้ เราก็คิดพิจารณาย้อนดูว่า แล้วแต่ก่อนในอดีตชาติ เราสร้างบารมีมาแบบไหน เราไม่เคยทำทานบารมีเหรอ? เราก็ว่าเราเคยทำ เราไม่เคยถวายผ้าป่ากฐินเหรอ? เราเคยทำ แล้วทำไมทุกวันนี้เราจะปิดกั้นไม่ให้คนรุ่นใหม่ได้สร้างบารมี เราก็เลยมาคิดว่าเราทำไมจะมาปิดกั้นให้ลูกศิษย์ที่มาใหม่ไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล เรามาอยู่ในปัจจุบันชาติแต่เดิมเราเคยสร้างทานบารมีมาไหม? เคยสร้างกุฏิวิหารหรือว่ากฐินผ้าป่าไหม? ก็เคย แล้วพระพุทธองค์ทำไมมีพุทธานุญาตว่าถ้าพระภิกษุครบ ๕ รูปให้แต่ละวัดจัดกฐินได้ ให้โยมได้มีโอกาสได้ถวายผ้ากฐินเพื่อพระได้ผลัดเปลี่ยนบริขารที่ชำรุดเนี่ย

เราคิดว่าความเห็นของเราทิ้งไปเลย เอาความเห็นของพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นหนึ่งไม่มีสอง กระทั่งความเห็นเรื่องกฐินท่านก็ไม่พร่ำเพรื่อ แค่ปีหนึ่งมีครั้งเดียว ภายในระยะเวลา ๑ เดือนหลังออกพรรษา ความเห็นของท่านย่อมถูกต้อง เราจึงทิ้งความเห็นของเรา นี่ทิ้งง่ายๆเมื่อเทียบเคียงกับพระพุทธองค์

เราก็คิดว่าในการทำอะไรที่ผ่านชีวิตซึ่งอาพาธปีหนึ่งแล้ว เราก็คิดว่าชีวิตส่วนที่เหลือเนี่ย เราจะพาโยมสร้างบุญบารมี ในการสร้างพระประธานก็ดี สร้างโบสถ์ก็ดี สร้างเจดีย์ก็ดี สร้างเสนาสนะต่างๆให้เขาได้สร้างบารมีตรงนี้ และเพื่อทำความเห็นชอบให้มันเกิดขึ้นจะชี้ทางบอกทาง ในการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีความเห็นที่ถูกต้องในอันที่จะเป็นไปเพื่อพระนิพพาน จุดประสงค์ที่เราอยู่ ในการที่เราอาพาธ ส่วนที่เหลือเราจะทำตรงนี้ อันนี้ก็แล้วแต่กรรมว่าใครได้เข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็แนะนำชี้ทางบอกทางแค่นั้นล่ะ อันนี้เป็นความตั้งใจเรานะ

เพราะเราบอกไว้แล้วว่าตอนเราอาพาธนี่ ที่เราอาพาธทุกคนก็เป็นห่วง เพราะเราอาพาธเป็นมะเร็งขั้น ๓ เราก็บอกกับตนเองว่าอธิฐานบารมีไว้ว่า ถ้าเราจะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาในกาลต่อไปก็ขอให้ผ่านอาพาธโรคร้ายนี้ให้ได้ ทีนี้ทางเลือกก็มี ๒ ทางจะผ่าหรือไม่ผ่า ทางเลือกไหนดีที่สุดให้ออกไปทางเลือกนั้น อธิษฐานไว้ แต่วิบากกรรมเรามันก็ต้องผ่า แล้วก็มารักษาแผนโบราณด้วย แผนยาสมุนไพรด้วย คือว่าจริงๆแล้วใจของเรามันพร้อมพอสมควร

คือว่า เราได้ยินเขาบอกว่าเป็นมะเร็ง จิตของเรามันก็เฉย มันไม่สะทกสะท้านเลย แล้วถ้ากายจะแตกมันก็ไม่มีห่วงอะไรเลย ไม่มีห่วงทั้งหลายในโลกนี้ แต่ว่าลูกศิษย์ร้องไห้ ลูกศิษย์อยากให้อยู่ นิมนต์ให้อยู่ อาราธนานิมนต์ไว้ เราก็มีความคิดสงสาร เราก็คิดว่าถ้าขันธ์ยังทรงตัวอยู่ได้ ก็เลยอธิษฐานอยู่ แค่นั้นเอง จะอยู่ก็ให้ได้ทำประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา ได้แนะนำชี้ทางให้คนทั้งหลายได้มีความเห็นชอบเท่านั้นเอง

หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี







หลวงปู่ครับความรักมันเป็นหยังจังเฮ็ดให้คนทุกข์

"ความรักมันบ่ได้ทุกข์ เด้ คนนิมันทุกข์นำความรักเอง
ความรักความใคร่ความเสน่หา ย่อมเป็นธรรมดาที่มักจะนำความหึงหวง ความวิตกกังวลหรือความทุกข์ร้อนมาให้ไม่ว่าชายหรือหญิง ท่านจึงพยายามแนะนำให้หมั่นสร้างทานบารมี หมั่นบำเพ็ญศีล หมั่นเจริญภาวนา เพื่อเสริมสร้างพลังชีวิต คอยประคองสติให้เกิดขึ้นในใจ อำนาจเสน่หาอันรุนแรงในตอนต้นนั้นก็จะพัฒนาไปสู่ความรักที่สูงขึ้นทีละน้อย
ความรักอันงดงามตามลำดับจะนำไปสู่ความรักแบบพระอริยเจ้า จนกระทั่งไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกาย
ความรักนั้นก็ยังมั่นคงและดำรงอยู่ เป็นความรักที่สะอาดขึ้นตามลำดับ เป็นความรักของพระโสดาบัน ความรักของพระสกิทาคามีต่อไป
จนกระทั่งสติพัฒนาขึ้นเป็นความรักของพระอนาคามี ซึ่งเป็นความรักของพรหมที่อยู่เหนือความเป็นหญิงเป็นชาย สู่ความรักของพระอรหันต์ซึ่งเป็นความเมตตาอันบริสุทธิ์สดใส อันเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่เหนือความรักของชาวโลกทั้งปวง ใช้ความรักให้มันเป็นประโยชน์เด้อ อย่าใช้มันทำลายตัวเอง"

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต







"...ไก่บ้านกับไก่ป่า ก็คือไก่เหมือนกันน่ะ
เป็ดที่บ้านกับเป็ดที่ป่า ก็คือเป็ดอย่างเดียวกันน่ะ
แต่ทำไมไก่ป่ามันบินได้ เป็ดป่ามันบินได้
เพราะว่าพ่อแม่มันพาบิน ใช่มั้ย อย่างนี้นะ

หลวงพ่อดูแล้ว
พ่อแม่นี่สำคัญน่ะ พ่อแม่นี่สำคัญ
พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ใช่มั้ย

หมู่มวลมนุษย์น่ะ
มันพากันเดิน ๒ ขาน่ะ
ปกติพวกลิง พวกอะไรน่ะ มันเดิน ๔ ขาเนาะ
อย่างนี้เราต้องเข้าใจว่า
พ่อแม่นี่สำคัญนะ
ครูบาอาจารย์นี่สำคัญน่ะ
ส่วนใหญ่ มันไม่คิดอย่างนี้เนาะ อย่างนี้น่ะ
ส่วนใหญ่มันก็จะไปสอนแต่คนอื่น
มันไม่สอนตัวเองน่ะ อย่างนี้น่ะ

พระเรานี่ บวชมาไม่กี่วัน
ยังครึ่งบ้าครึ่งคนน่ะ
ส่วนใหญ่มันอยากจะสอนคนอื่น
เหมือนกับอึ่ง หลวงพ่อดูแล้ว
อึ่งนะ ฝนตกแป๊บเดียว มันออกมาร้อง อย่างนี้น่ะ
ร้องไม่กี่ชั่วโมง เค้าก็จับใส่ข้อง ใส่กระแป๋งน่ะ
เค้าเอาไปต้ม หงายท้องทุกรายอย่างนี้นะ เห็นด้วยมั้ย
ให้เข้าใจน่ะ

พวกที่ไม่ค่อยรู้ธรรมะมันเป็นอย่างงั้น
หลวงพ่อกัณหาอย่างนี้น่ะ
บวชมาตั้งหลายปีน่ะ ยังไม่พูดให้ใครได้ยินเสียงนะ
หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาสเหมือนกัน
เพราะมันจะไปไลน์เดียวกัน
อย่างนี้น่ะ

หลวงพ่อชาน่ะ
ตั้งสิบกว่าปีแล้ว อย่างนี้
ยังไม่พูดเลย
หลวงพ่อชานี่นะ
ไปอยู่กับหลวงพ่อฉลวย
หลวงปู่ฉลวยบอกว่าท่านชานี่ทำไมพรรษามาก นี่ก็ไม่เห็นพูด ไม่จา ไม่อะไรเลย อย่างนี้น่ะ
ทีนี้น่ะ อาจารย์ชาดังแล้ว
ถึงรู้ว่าอาจารย์ชานี่ทำไมฉลาดอย่างนี้ พูดเก่งอย่างนี้
คนเราน่ะ อย่างนี้น่ะ
เขาต้องเข้าใจนะ
ส่วนใหญ่น่ะ
คนแก่รู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์น่ะ
ชอบเถียงกัน ใช่มั้ย
เห็นด้วยมั้ย
อย่างนี้น่ะ

ท่านเจ้าคุณพุทธทาสน่ะ
ไปอยู่สวนโมกข์น่ะ
ใครไปถามว่าวัดนี้มีกี่ไร่
เจ้าคุณพุทธทาสจะชี้ว่า
...ไปหาดู ไปหาดู ไม่ใช่เรื่องพระนิพพาน...
ไม่ตอบ อย่างนี้นะ

คนเราน่ะ เราเป็นพ่อเป็นแม่อย่างนี้
เราต้องรู้จักน่ะ ถ้าอย่างนั้นลูกหลานมันไม่เคารพนะ
เราจะไปว่าให้มัน อย่างนี้ เข้าใจนะ
ไม่เข้าใจน่ะ เข้าใจซะ..."

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
วันศุกร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕







การอยู่อย่างฤาษี การอยู่คนเดียวนานๆ เป็นอันตรายสำหรับคนไม่มีปัญญา เพราะเรามักจะติดนิสัยชอบทำอะไรต่ออะไรตามใจ...คนบางคนก็ชอบแต่นั่งอย่างเดียว ไม่ชอบเดิน ก็จะเอาแต่นั่ง หรือบางคนอยากตื่นเช้าก็ตื่นเช้า อยากตื่นสายก็ตื่นสายไม่มีใครว่าอะไร มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นความสุขที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ถ้าเราไม่ระวัง เราจะติดในการที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง ทนไม่ได้ที่จะมีอะไรมาขวาง เมื่อออกจากการปลีกวิเวก แล้วต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น จะรู้สึกเป็นทุกข์

สำหรับผู้ที่ปฎิบัติในทางที่ถูกต้องแล้ว จะเป็นผู้ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ท่านก็จะเป็นอย่างนั้น คือมีความสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา จิตใจของท่านไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งนอกตัว จะอยู่คนเดียวก็ได้ อยู่ ๒-๓ คนก็ได้ อยู่ ๒๐-๓๐-๕๐ คนก็ได้

พระอาจารย์ชยสาโร





...จิตใจไม่มีตัวไม่มีตนนะมันมีลักษณะที่มีบวกมีลบ

มีพอใจไม่พอใจ ถ้าพอใจมากมันก็เป็นเครื่องบดบังเหมือนกัน มันก็เป็นอุปสรรคได้เหมือนกัน เพราะความพอใจมันก่อให้เกิดความรู้สึกยินดี และมักจะถูกความรู้สึกที่เรียกว่าความพร่องชักจูง ภาษาท่านเรียกความอยาก ความอยากไม่รู้จักจบจักสิ้น อันนี้ต้องให้ระมัดระวัง...

พระเทพวชิรญาณ
หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธัมโม
วัดหนองป่าพง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร