วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 15:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2022, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เราภาวนาอย่าไปโอ้อวด อย่าหลงว่าเราดีเด่น เก่ง ต้องควบคุมไว้ เราภาวนาเพื่อละความโลภ ความโกรธ ละความทุกข์ออกจากใจเท่านั้น มุ่งตรงนั้น ไม่ได้เพื่อเป็นนั่นเป็นนี่

โอวาทธรรม หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี







“พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คำว่า “บังเอิญ” นั้น ไม่มี ไม่มีคำว่า บังเอิญเกิดมาเป็นคนสวย บังเอิญเกิดมาเป็นคนมีผิวพรรณสะอาดสะอ้าน มันต้องมีที่ไปที่มา เพราะเช่นนั้น ภพชาติที่มันสืบต่อกันมาเนี่ย มันให้ผลมาตลอด
คิดดูว่า คนเราเกิดมา มันอยากเหมือนกัน มีใครอยากเกิดมาขี้เหร่ไหม ไม่มี มีแต่คนอยากเกิดมาสวยงาม อยากเกิดมาเฉลียวฉลาด อยากเกิดมาร่ำรวย ถ้าคนเกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งความอยากนั้น มันต้องเกิดมาได้เท่ากัน แม้แต่พ่อแม่เดียวกัน มีลูกเกิดมา 2-3 คน ยังสวยไม่เท่ากันเลย ทั้งๆที่อยากให้เหมือนกัน ลองเอามายืนเทียบดู ยังสวยไม่เท่ากัน ฉลาดไม่เท่ากัน รวยไม่เท่ากัน
ที่มันไม่เท่ากัน เพราะมันสั่งสมบารมี สั่งสมบุญ สั่งสมบาปมาไม่เท่ากัน ถ้าสั่งสมบุญมามาก มันก็ให้ผลในทางบุญตามกำลัง ถ้าสั่งสมบาปมามาก มันก็ให้ผลในทางที่กดลงต่ำ อาจจะขี้ริ้วขี้เหร่ ไปจนกระทั่งถึงพิการเลยก็ได้ มันไม่มีใครอยากทั้งนั้น มันเกิดจากกรรมบันดาลให้
เหมือนกับคนที่ต้องเข้าคุกเข้าตาราง มันไม่มีใครอยากเข้าคุกเข้าตารางหรอก แต่เมื่อสร้างกรรมที่ส่งผลให้ต้องเข้าคุก มันก็ต้องเข้าคุกเอง แต่ถ้าพวกเราไม่ได้สร้างกรรมที่ต้องส่งผลให้เข้าคุก แม้จะอยากเข้า มันก็ไม่มีใครเขาให้เข้า
ในหลักศาสนาพุทธ ท่านสอนให้เชื่อเรื่องกรรม กรรมจำแนกสัตว์โลกให้ปราณีต หยาบ ละเอียด แตกต่างกัน ทำกรรมอะไรไว้แล้ว คำว่าไม่ได้รับผลกรรมนั้นไม่มี เราทำกรรมดีในขณะนี้ แล้วยังไม่ได้รับผล เราอาจจะคิดว่า มันก็ไม่มีอะไร แต่ทำไปแล้ว ถึงมันไม่ให้ผลในบัดนี้ มันก็ยังซ่อนไว้อยู่ เหมือนกับเราไปใส่ปุ๋ย ใส่น้ำรดต้นไม้ เราใส่ปุ๋ยใส่น้ำลงไป เหมือนกับว่ามันหายไป หายไป เหมือนกับมันไม่ได้อะไร แต่ในขณะที่มันหายไป มันไม่ได้หายแบบหายสาบสูญไป แต่มันไปซ่อนอยู่ในต้นไม้ พอถึงวันดีคืนดี ควรแก่การแตกดอกแตกผล มันก็แตกดอกแตกผลมาให้ชื่นใจ นี่หละ คือผลที่เราทำ
เพราะฉะนั้น อันนี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กรรมชั่วแม้แต่นิดเดียว อย่าอาจหาญ อย่าไปกล้าทำ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เหมือนกับไปกำหญ้าคาไว้ในมือ มันบาดมือได้โดยแท้ พอถึงเวลามันจะให้ผล ให้ผลแล้วมันแก้ไม่ได้ ถ้าพวกเราไม่นอนใจแล้ว ให้เชื่อเรื่องกรรม ว่า” ทำกรรมดีได้ดี ทำกรรมชั่วได้ชั่ว"

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด
เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่







ฝึกปล่อยวาง ด้วย 10 คำสอนหลวงพ่อชา สุภทฺโท
1. เมื่อเราทำบุญ แต่ยังไม่ละบาป ก็เหมือนกับเราเอากะละมังไปคว่ำไว้กลางแจ้งฝนตกลงมาถูก้นกะละมังเหมือนกัน แต่มันถูกข้างนอก ไม่ถูกข้างใน น้ำก็ไม่มีโอกาสที่จะเต็มกะละมังได้

2. โยม ไม้อันที่อาตมาถืออยู่นี่นะ มันสั้น หรือว่ามันยาว โยม ไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้…มันไม่สั้น และก็ไม่ยาว โยม ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ “ทุกข์” ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น

3. สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมีพิษไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา ไปจับหางมันก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกันคือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง

4. หน้าที่ของเรานั้น
ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น
ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา
ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว
ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา

5. ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเรา ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันปล่อยวาง

6. โลกนี้เป็นของพอดี แต่เรามีความโลภทะเยอทะยานไปเอง ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักภาษาของโลก ไม่รู้จักความหมายของโลกว่า มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตามธรรมชาติของมันอยู่ทุกวินาที ว่าเมื่อมันเกิดแล้วมันก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เมื่อเจ็บแล้วมันก็ตาย

7. ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไปทั้งที่มี “พิษ” อยู่ในตัวมันนั่นเอง

8 .เราอยากได้กระโถนใบนี้ เรายกมันขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยก มันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล ดูเท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ถ้าเราไปยึดอะไร อันนั้นแหละเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา “ปล่อย” มันก็ไม่มีทุกข์

9. เราเห็นแล้วว่า ถ้วยใบนี้ เอาไว้ที่ไหน มันก็ต้องแตก จานนี่ เอาไว้ที่ไหน ก็ต้องแตก แต่เราก็ต้องสอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี เราก็ต้องสอนเด็กอย่างนี้ ตามสมมุติอย่างนี้ เพื่อเราจะใช้ถ้วยนี้นานๆ อันนี้เรารู้จักธรรมะ เอาธรรมะมาปฏิบัติ
ถ้าเห็นว่า อันนี้มันจะแตกอยู่แล้ว เราบอก เออ ช่างมันเถอะลูก กินแล้วก็ไม่ต้องล้างมันหรอก จะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก เอาทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว อย่างนี้ก็เป็นคนโง่ไป
ถ้าเราเป็น “ผู้รู้สมมุติ” อันนี้ เมื่อมันเจ็บไข้ ก็หาหยูกยาให้มันกิน เมื่อมันร้อน ก็อาบน้ำให้มัน เมื่อมันเย็น ก็หาความอบอุ่นให้มัน เมื่อมันหิว ก็หาข้าวให้มันกินแต่ให้เรารู้ว่า ให้ข้าวมันกิน มันก็จะตายอยู่ แต่ในเวลานี้ ยังไม่ถึงคราวจะตาย เหมือนถ้วยใบนี้ ยังไม่แตก ก็รักษาถ้วยใบนี้ให้มัน “เกิดประโยชน์” เสียก่อน

10. สมมุติว่าวันนี้ โยมหาเงินได้ 100 บาท ธรรมชาติของมันแค่ 100 บาท จะอยากให้ได้มากกว่านั้น ก็ไม่ได้ จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้น ก็ไม่ได้ หาได้ 50 บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมันก็เท่ากับหาไม่ได้เลย ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็ไม่เกิด ธรรมะอย่างนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไร ที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่น

หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)








#ที่ไหนก็เป็นการภาวนา

“...ที่ไหนก็เป็นการภาวนามีสติรู้ ๆ ไปเรื่อย ๆ ยืนเดินนั่งนอนพูดคิดดื่มทำเป็นสติล้วน ตอนนี้ปรับสภาพแล้วนี่เริ่มที่จะเข้าสู่ที่เรียกว่ารักตัวเองดูแลตัวเอง เอาอะไรรัก เอาอะไรดูแล เอาสติ ถ้าไม่มีสติมันก็ดูแลไม่ได้และมันก็ไม่สามารถมีปัญญาที่จะรักตัวเอง รักตัวเองตัวนี้หลวงปู่หมายถึงรักษากายวาจาใจไม่ใช่รักอย่างอื่น ไม่ใช่รักแบบทางโลกนะที่พูดนี่รักแบบทางธรรม รักษากายวาจาใจให้อยู่ในธรรมในวินัยหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นนะเรียกว่ารักตัวเองในทางธรรม ทางโลกรักตัวเองก็รักไปอีกอย่างเราก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายเราก็อยู่ทางโลกมาก่อนใช่ไหมล่ะ รักตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลเท่าที่จะดูแลได้ ดูแลไม่ได้ก็ปล่อยไม่เอาไม่สน ตอนแรกก็สนก็ดูแลก่อนเดี๋ยวจะบอกว่าทิ้งกันไม่ดูแลกันก็ไม่ได้ต้องดูแลกันโดยธรรม

ปรับสภาพให้มันปกติ ใจเริ่มที่จะชุ่มเย็นไปเรื่อย ๆ ชุ่มเย็นไปเรื่อย ๆ ปกติของใจปกติของกายปกติของวาจาสมบูรณ์บริบูรณ์ พวกเราถ้าใจมันเป็นมัชฉิมาพอดี ๆ แล้ว โฮ...มันอยู่สบายนะลูกนะ เป็นปกติถึงเวลา เอ้า...เวลานี้กวาดวิหารลานวัด เช็ดถูจุดนั้นบ้างจุดนี้บ้าง เวลานี้ลงทางจงกรม เวลานี้นั่งภาวนาพอดีพอดีให้มีสติจะเดินจงกรมจะนั่งภาวนาก็ขอให้มีสติ จะพูดก็ตามจะทำอะไรก็ตามมีสติ สมควรพูดค่อยพูดไม่สมควรพูดเราก็ไม่พูดเพราะเราเป็นพระเป็นสมณะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นแม่ชีผ้าขาวเราก็สมควรของเรา เราก็รู้อยู่ในนั้น พิจารณาเนือง ๆ ๑๐ อย่าง ก็เอามาพิจารณาดู รวมไปถึงแม่ชีผ้าขาวด้วยเราต่างจากทางโลกเขาแล้ว เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมเรามีอะไรที่จะต้องทำนั่น แยกแยะปั๊บ แยกแยะปั๊บเริ่มเข้าสู่สภาพที่เรียกว่ามัชฉิมาปฏิปทาคือมรรค มันจะรวมกันที่เรียกว่ามรรคสมังคี มรรคมันสามัคคีกัน ด้วยกายด้วยวาจาและใจด้วยศีลสมาธิและปัญญามันรวมกันปั๊บ ตอนนี้มันเย็นนะ ทำอะไรขึ้นมีสติรู้ตัวก่อนปั๊บ จะพูดจะอะไรก็ตามเป็นผู้ใหม่หมดเลย...”

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕







“การกระทำผิดของผู้อื่นเป็นครูของเรา

เมื่อเห็นคนนั้นทำไม่ดี
ก็สอนตนเองว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น
หรือเห็นคนนี้พูดไม่ดี เราก็จะไม่พูดอย่างนี้

เหล่านี้ก็คือ การสอนใจตนเอง”

หลวงพ่อชา สุภัทโท







หลวงพ่อชาว่ามันเหมือนการปลูกต้นไม้ เราปลูกต้นไม้แล้วเราต้องทำหน้าที่ต่างๆ เช่น รดน้ำ พรวนดิน ป้องกันศัตรูพืช วัชพืชต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่ต้นไม้นั้นจะโตเร็วโตช้า ผลที่เกิดขึ้นจะใหญ่จะเล็ก จะหวานจะเปรี้ยวอย่างไรก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ มันเหลือวิสัยของมนุษย์ผู้ปลูกต้นไม้ที่จะกำหนดสิ่งเหล่านี้ได้

ฉะนั้นเราต้องดูเรื่องราวต่างๆ ว่าส่วนไหนเป็นเรื่องของเรา ส่วนไหนเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของประสบการณ์

พระอาจารย์ชยสาโร









…นักภาวนาระวังจะถูกกิเลสมันหลอกเอานะ
โอ๊ย เดี๋ยวไปทำผ้าป่าสักหน่อย
เดี๋ยวไปทำกฐินสักหน่อย
เดี๋ยวไปร่วมงานวันเกิดครูบาอาจารย์สักหน่อย

“ ถูกกิเลสหลอกแล้ว “

ถ้าเป็นนักภาวนา ถ้าไปปลีกวิเวกแล้วนะ
ถ้าออกมา…แสดงว่าถูกหลอก .
……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
คำถามจากซูม
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔








"... บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์
มาถึงตัว
... มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ
... ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่ เป็นประจำนิสัย
... เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า
... ที่พึ่งอื่น.. ไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว ..."

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
#วัดดอยแม่ปั๋ง_จังหวัดเชียงใหม่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร