วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 21:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 284 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2015, 18:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b40:
ครื่องมือที่ใช้ตรวจวัด หรือมิเตอร์วัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมที่หาได้ง่ายและชี้วัดได้ค่อนข้างจะแม่นยำคือ
ความโกรธและความขุ่นมัว(ปฏิฆะ)ในจิตใจ


ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายถ้าอยากจะรู้ว่าตนเองหรือใครก็ตามภาวนาปฏิบัติธรรมมาแล้วเจริญก้าวหน้าขึ้นไปมากน้อยเพียงไร ให้สังเกตดูที่ความโกธความขุ่นมัวของจิตเมื่อกระทบผัสสะและอารมณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเช่นเสียงด่า การถูกสบประมาทด้วยคำพูด ข้อเขียนหรือท่าทาง

กระทบปุ๊บ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที = ปุถุชน

กระทบปุ๊บ จิตขุ่นมัว ร้อนวาบ หน้าแดง หูแดง สายตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ท่าทางฮึดฮัด = คนมีความอดทน ข่มใจ

กระทบปุ๊บ จิตขุ่นมัวแต่สติเกิดขึ้นมารู้ทัน มีปัญญาคิดหาเหตุผลมาระงับความขุ่นมัว จนระงับได้ไม่โกรธ = กัลยาณชน คนดี

กระทบปุ๊บ จิตวูบขุ่นขึ้นมานิดหนึ่งสายตาท่าทางเปลี่ยนแปลงเข็งกร้าวขึ้นมานิดหนึ่ง สติรู้ทัน ปัญญาจับอารมณ์ขุ่นมัวนั้นมานิ่งรู้อยู่เฉยๆจนมันดับไป = นักวิปัสสนาภาวนา

กระทบปุ๊บ จิตขุ่น สายตา ท่าทางเปลี่ยน สติตัดปั๊บ ไม่สนใจ = นักสมถะภาวนา

กระทบปุ๊บ จิตแวบขุ่น สายตาท่าทางไม่เปลี่ยน สติรู้ทัน ปัญญารู้พร้อม ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ = อริยบุคคลชั้นต้น

กระทบปุ๊บ จิตไหวแวบ แล้วเงียบเฉย = อริยบุคคลชั้นกลาง

กระทบปุ๊บ ไร้ปฏิกิริยา เหมือนเอาก้อนหินขว้างเข้าไปในสุญญากาศ = พระอริยะชั้นสูง

:b37:
ลองเอาไปจิ้มวัดตนเองและใครต่อใครดูนะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ด้วยครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2015, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ได้ชื่อว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
อานนท์ ! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา) ในอริยวินัย เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ในกรณีนี้ อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ – ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะเห็นรูปด้วยตา. ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า “อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต) เป็นของหยาบ ๆ (โอฬาริก) เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจฺจ สมุปฺปนฺน); แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำงับและประณีต, กล่าวคือ อุเบกขา” ดังนี้. (เมื่อรู้ชัดอย่างนี้) อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ - ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป, อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
อานนท์ ! อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ - ทั้งเป็นที่ชอบใจ และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป เร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
อานนท์ ! นี้แล เราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย ในกรณีแห่ง รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ.
(ในกรณีแห่ง เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสตะ กลิ่นที่รู้แจ้งด้วยฆานะ รสที่รู้แจ้งด้วยชิวหา โผฎฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยผิวกาย และ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ทรงตรัสอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่อุปมาแห่งความเร็วในการดับแห่งอารมณ์นั้น ๆ, คือ กรณีเสียง เปรียบด้วยความเร็วแห่งการดีดนิ้วมือ, กรณีกลิ่น เปรียบด้วยความเร็วแห่งหยดน้ำตกจากใบบัว, กรณีรส เปรียบด้วยความเร็วแห่งน้ำลายที่ถ่มจากปลายลิ้นของคนแข็งแรง, กรณีโผฏฐัพพะ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการเหยียดแขนพับแขนของคนแข็งแรง, กรณีธรรมารมณ์ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการแห้งของหยดน้ำบนกระทะเหล็ก ที่ร้อนแดงอยู่ตลอดวัน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ในอาการเหล่านี้...
ผมเห็นด้วย...ใน อริยะบุคคลชั้นกลาง (อนาคามี)...กับ..อริยะชั้นสูง (อรหันต์)..ครับ

ส่วน...กัลยาณชน คนดี...นักสมถะ..นักภาวนา..อริยะเบื้องต้น (โสดา..สกทาคามี)...พอพอกัน...แยกกันด้วยปัจจุบันอารมณ์ไม่ออกครับ

ส่วนที่โกรธทันทีเป็นฟืนเป็นไฟ....ก็เป็นได้ทั้งกัลยาณชนคนดี...ปุถุชน..นักภาวนา...โสดาบัน...ถ้าผู้มีโทสะจริตครอบงำอยู่นะ...(ถ้าไม่มีก็เป็นอย่างอโสกะว่ามา)..

แต่ต่างกันที่ โสดาบันโกรธยังงัยก็ไม่ก้าวล่วงศีล5.... โกรธแล้วหายเร็ว...ไม่เก็บมาอาฆาต (ใครบอกว่าฉันไม่อาฆาตแต่แช่งในใจนิดหน่อยนี้ก็..ไม่ใช่แล้วนะครับ..อาฆาตแล้วละนั้น.. :b32: )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b40:
ครื่องมือที่ใช้ตรวจวัด หรือมิเตอร์วัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมที่หาได้ง่ายและชี้วัดได้ค่อนข้างจะแม่นยำคือ
ความโกรธและความขุ่นมัว(ปฏิฆะ)ในจิตใจ


ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายถ้าอยากจะรู้ว่าตนเองหรือใครก็ตามภาวนาปฏิบัติธรรมมาแล้วเจริญก้าวหน้าขึ้นไปมากน้อยเพียงไร ให้สังเกตดูที่ความโกธความขุ่นมัวของจิตเมื่อกระทบผัสสะและอารมณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเช่นเสียงด่า การถูกสบประมาทด้วยคำพูด ข้อเขียนหรือท่าทาง

กระทบปุ๊บ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที = ปุถุชน

กระทบปุ๊บ จิตขุ่นมัว ร้อนวาบ หน้าแดง หูแดง สายตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ท่าทางฮึดฮัด = คนมีความอดทน ข่มใจ

กระทบปุ๊บ จิตขุ่นมัวแต่สติเกิดขึ้นมารู้ทัน มีปัญญาคิดหาเหตุผลมาระงับความขุ่นมัว จนระงับได้ไม่โกรธ = กัลยาณชน คนดี

กระทบปุ๊บ จิตวูบขุ่นขึ้นมานิดหนึ่งสายตาท่าทางเปลี่ยนแปลงเข็งกร้าวขึ้นมานิดหนึ่ง สติรู้ทัน ปัญญาจับอารมณ์ขุ่นมัวนั้นมานิ่งรู้อยู่เฉยๆจนมันดับไป = นักวิปัสสนาภาวนา

กระทบปุ๊บ จิตขุ่น สายตา ท่าทางเปลี่ยน สติตัดปั๊บ ไม่สนใจ = นักสมถะภาวนา

กระทบปุ๊บ จิตแวบขุ่น สายตาท่าทางไม่เปลี่ยน สติรู้ทัน ปัญญารู้พร้อม ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ = อริยบุคคลชั้นต้น

กระทบปุ๊บ จิตไหวแวบ แล้วเงียบเฉย = อริยบุคคลชั้นกลาง

กระทบปุ๊บ ไร้ปฏิกิริยา เหมือนเอาก้อนหินขว้างเข้าไปในสุญญากาศ = พระอริยะชั้นสูง

:b37:
ลองเอาไปจิ้มวัดตนเองและใครต่อใครดูนะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ด้วยครับ
:b12:


ในอาการเหล่านี้...
ผมเห็นด้วย...ใน อริยะบุคคลชั้นกลาง (อนาคามี)...กับ..อริยะชั้นสูง (อรหันต์)..ครับ

ส่วน...กัลยาณชน คนดี...นักสมถะ..นักภาวนา..อริยะเบื้องต้น (โสดา..สกทาคามี)...พอพอกัน...แยกกันด้วยปัจจุบันอารมณ์ไม่ออกครับ

ส่วนที่โกรธทันทีเป็นฟืนเป็นไฟ....ก็เป็นได้ทั้งกัลยาณชนคนดี...ปุถุชน..นักภาวนา...โสดาบัน...ถ้าผู้มีโทสะจริตครอบงำอยู่นะ...(ถ้าไม่มีก็เป็นอย่างอโสกะว่ามา)..

แต่ต่างกันที่ โสดาบันโกรธยังงัยก็ไม่ก้าวล่วงศีล5.... โกรธแล้วหายเร็ว...ไม่เก็บมาอาฆาต (ใครบอกว่าฉันไม่อาฆาตแต่แช่งในใจนิดหน่อยนี้ก็..ไม่ใช่แล้วนะครับ..อาฆาตแล้วละนั้น.. :b32: )
นั้นไปวินิจฉัย ของสูง วินิจฉัยตนเองดีมั้ยเวลาท่องคาถาเงินล้านนะคิดอะไรอยู่ :b13: เละจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 09:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูด้วย สังโยชน์ ดีกว่าครับ
ง่ายสุดนะผมว่า

ผมว่าจิตบางคน ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งหมดนะครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:
นั้นไปวินิจฉัย ของสูง วินิจฉัยตนเองดีมั้ยเวลาท่องคาถาเงินล้านนะคิดอะไรอยู่ :b13: เละจริงๆ


ผมวินิจฉัยตนเอง..แล้วละว่า...ดีพอใช้ได้

ไม่มุสา..
ไม่จิบเหล้าเอาใจสังคม...
ไม่บิดเบือนธรรมที่พระองคกล่าว....
ไม่ได้กล่าวตู่ว่าพระองค์กล่าวเมื่อพระองค์ไม่ได้กล่าว...

:b32: :b32: :b32:

สบ๊าย...สบาย... :b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:
นั้นไปวินิจฉัย ของสูง วินิจฉัยตนเองดีมั้ยเวลาท่องคาถาเงินล้านนะคิดอะไรอยู่ :b13: เละจริงๆ


ผมวินิจฉัยตนเอง..แล้วละว่า...ดีพอใช้ได้

ไม่มุสา..
ไม่จิบเหล้าเอาใจสังคม...
ไม่บิดเบือนธรรมที่พระองคกล่าว....
ไม่ได้กล่าวตู่ว่าพระองค์กล่าวเมื่อพระองค์ไม่ได้กล่าว...

:b32: :b32: :b32:

สบ๊าย...สบาย... :b16: :b16: :b16:
วินิจฉัยแล้วดีพอใช้ได้แบบคิดเองนะซิ แต่พอเอาหลักการมาจับผิดเยอะนะกบใครมุสา ใครจิบเหล้าใครบิดเบือนคำสอน ใครกล่าวตู่ :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2015, 11:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาหลักอะไรมาจับ..
ถ้าเอาหลักพวกมิจฉาทิฏฐิมาจับ...กระผมก็ต้องถูกจัดในประเภทที่คนเหล่านี้ไม่ต้องการ
ถ้าเอาหลักพวกผิดศีลมาจับ..พวกมุสาอยู่..พวกกินเหล้าเข้าสังคมอยู่....กระผมคงอยู่ในพวกนอกรีต..
ถ้าเอาหลักของพวกชอบบิดเบือนพระธรรม...ชอบกล่าวตู่ว่าพระองค์กล่าว...กระผมคงถูกหมายหัวว่าเป็นศัตรูของพวกเขา...
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2015, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอาหลักอะไรมาจับ..
ถ้าเอาหลักพวกมิจฉาทิฏฐิมาจับ...กระผมก็ต้องถูกจัดในประเภทที่คนเหล่านี้ไม่ต้องการ
ถ้าเอาหลักพวกผิดศีลมาจับ..พวกมุสาอยู่..พวกกินเหล้าเข้าสังคมอยู่....กระผมคงอยู่ในพวกนอกรีต..
ถ้าเอาหลักของพวกชอบบิดเบือนพระธรรม...ชอบกล่าวตู่ว่าพระองค์กล่าว...กระผมคงถูกหมายหัวว่าเป็นศัตรูของพวกเขา...
:b32: :b32:

คุยธรระเขาคุยกันให้รู้ว่าทางใดคือทางที่ถูกหรือสัมมาทิฎฐิ. อย่างน้อยกบก็บอกตนเองเป็นปุถึชน. นั้นหมายความว่ากบยังมีมิจฉาทิฎฐิ. เช่านทีองคาถาเรียกเงิน. รดน้ำมนต์ แขวนวัตถุมงคลก็เป็นเรื่อวปรกติ. ทำได้ตามสบายไม่ผิดอะไร. แต่ถ้าจะขยับมาเป็นอริยะ กบต้องประกสตนว่าข้าพเจ้าเลิกหมดแล้ว. ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนะขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2015, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b13:
เอากันให้มันเลยนะครับคุณกบกับคุณศิริพงษ์
:b32:
วันนี้ผมจะขอเอาตัวอย่างที่ว่าความโกรธเป็นเครื่องมือช่วยชี้วัดความก้าวหน้าหรือความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมของผู้คนได้อย่างไร?

ที่วัดป่าของหลวงปู่ครูบาชื่อดังรูปหนึ่งทางอีสาณแถวใกล้ๆแม่น้ำโขง

ในวัดมีโยมผู้หญิงขี้คุยคนหนึ่งเช้าวันหนึ่งเธอได้วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมากราบเรียนหลวงปู่ว่า

หลวงปู่คะหลวงปู่เมื่อคืนนี้อิฉันภาวนาดีมาก ตัวตนหายลมหายใจไม่มี เหลือแต่จิตรู้กับแสงสว่างโพล่งไปหมดทั่วขอบฟ้าจักรวาล อิฉันคงบันลุธรรมแล้วคะเป็นโสดาบันแล้วคะ เธอกล่าวออกมาด้วยความดีใจ

หลวงปู่มองหน้าเธอแล้วเงียบพิจารณาไปสักพักหนึ่ง จากนั้นหลวงปู้ก็พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉยว่า

"อีตอแหล"

ผู้หญิงคนนี้พอได้ยินสีหน้าท่าทางเธอเปลี่ยนไปทันทีกลายเป็นบูดบึ้งแล้วยืนขึ้นเดินลงส้นเท้าดังปึงๆลงจากศาลาใหญ่ที่หลวงปู่พัก หายไปเกือบหนึ่งเดือน
จึงมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมารู้ตัวว่านั่นเป็นการสอนตรงๆของหลวงปู่ให้รู้ว่าถ้าได้เป็นอริยบุคคลจริงๆความโกรธมันต้องลดน้อยถอยลงไม่กะฟัดกะเฟียดตึงตังอย่างที่ตนเองเป็น เลยกลับขึ้นมากราบขอขมาหลวงปูเมื่อรู้ตัว
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2015, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอาหลักอะไรมาจับ..
ถ้าเอาหลักพวกมิจฉาทิฏฐิมาจับ...กระผมก็ต้องถูกจัดในประเภทที่คนเหล่านี้ไม่ต้องการ
ถ้าเอาหลักพวกผิดศีลมาจับ..พวกมุสาอยู่..พวกกินเหล้าเข้าสังคมอยู่....กระผมคงอยู่ในพวกนอกรีต..
ถ้าเอาหลักของพวกชอบบิดเบือนพระธรรม...ชอบกล่าวตู่ว่าพระองค์กล่าว...กระผมคงถูกหมายหัวว่าเป็นศัตรูของพวกเขา...
:b32: :b32:


ศิริพงศ์ เขียน:
คุยธรระเขาคุยกันให้รู้ว่าทางใดคือทางที่ถูกหรือสัมมาทิฎฐิ. อย่างน้อยกบก็บอกตนเองเป็นปุถึชน. นั้นหมายความว่ากบยังมีมิจฉาทิฎฐิ. เช่านทีองคาถาเรียกเงิน. รดน้ำมนต์ แขวนวัตถุมงคลก็เป็นเรื่อวปรกติ. ทำได้ตามสบายไม่ผิดอะไร. แต่ถ้าจะขยับมาเป็นอริยะ กบต้องประกสตนว่าข้าพเจ้าเลิกหมดแล้ว. ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนะขอรับ

:b32: :b32:
ถ้าจะประกาศ..นะ...ผมไม่ประกาศอะไรติ้งต๊องพวกนี้หรอกคับ...

ถ้าจะประกาส..ผมจะประกาสว่า...สีลาของผมไม่สีลัพตปรามาสแล้ว...ไม่มุสา..ไม่จิบเหล้าเข้าสังคมแล้ว...วิจิกิจฉาในพระรัตนตรัยไม่มีแล้ว..กล่าวตู่ไม่เกิดแล้ว...บิดเบือนธรรมก็ไม่มีแล้ว...รู้แล้วว่าฉันตายแน่..

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2015, 22:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เอากันให้มันเลยนะครับคุณกบกับคุณศิริพงษ์
:b32:
หลวงปู่มองหน้าเธอแล้วเงียบพิจารณาไปสักพักหนึ่ง จากนั้นหลวงปู้ก็พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉยว่า

"อีตอแหล"

ผู้หญิงคนนี้พอได้ยินสีหน้าท่าทางเธอเปลี่ยนไปทันทีกลายเป็นบูดบึ้งแล้วยืนขึ้นเดินลงส้นเท้าดังปึงๆลงจากศาลาใหญ่ที่หลวงปู่พัก หายไปเกือบหนึ่งเดือน
จึงมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมารู้ตัวว่านั่นเป็นการสอนตรงๆของหลวงปู่ให้รู้ว่าถ้าได้เป็นอริยบุคคลจริงๆความโกรธมันต้องลดน้อยถอยลงไม่กะฟัดกะเฟียดตึงตังอย่างที่ตนเองเป็น เลยกลับขึ้นมากราบขอขมาหลวงปูเมื่อรู้ตัว
:b38:


โกรธ..หายไปเป็นเดือน...นี้...เวทนาเกิดแล้ว...ตัญหาเกิดแล้ว...อุปาทานเกิดแล้ว...จนถึงกับ..ภพเกิดขึ้นแล้ว...

พอเธอคนนี้...มีสติสัมปชัญญะ..รู้ตัว...จนถึงกับมากราบขอขมาหลวงปู่ได้..นี้...อะไรอะไรมันก็ลดลงไปเยอะแล้วละ..

ในตัวอย่างไม่ได้บอกละเอียดว่า..ละได้ถึงขั้นไหน..จนละภพที่เกิดขึ้นมาได้มั้ย?..

แต่หากโยนิโส..จนเห็นธรรมผุด...ภพ(จากเหตุการณนี้)ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้...ก็ละจากจิตใจได้

เมื่อละภพที่เกิดมาได้....ความปราโมทย์..ความปีติ...ความสุขย่อมเกิดตามมาไม่มีประมาณ...

และถ้าการเห็นจริงนั้น..แจ้งแทงตลอด...ก็สามารถละภพทั้งหลายทั้งหมดลงได้..ก็พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 06:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
เจริญงอกงามไปไกลเลยนะ จิตสังขาร ของกบ

ก็ยังดีที่พยายามจะพูดแทนคุณยายคุณป้าคนนั้นว่า อะฮั้นก็ไปปฏิบัติต่อจนบรรลุธรรมจริงๆได้

แต่เรื่อง "อีตอแหล . ที่ยกมาให้พิจารณากันนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า โทสะมันชี้วัดได้ว่าใครเป็นอริยะจริงใครเป็นอริยะปลอม เพียงแค่นั้นแหละครับ


มีของฝากให้ดูว่าเด็กอย่างนี้น่าจะใกล้อริยะมากๆลองดูนะครับ

เห็นเด็กคนนี้ แล้วไม่ธรรมดา คำพูดเด็ก 6 ขวบ คนนี้ไม่ธรรมดา น่าจะได้โสดาบันมาก่อนในภพที่แล้ว พ่อแม่เค้าทะเลาะกัน เค้าบอกพ่อแม่อย่างนี้

https://www.facebook.com/rednowapp/vide ... 758592366/ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 06:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เจริญงอกงามไปไกลเลยนะ จิตสังขาร ของกบ
ก็ยังดีที่พยายามจะพูดแทนคุณยายคุณป้าคนนั้นว่า อะฮั้นก็ไปปฏิบัติต่อจนบรรลุธรรมจริงๆได้

.....


:


ว่าไปโน้น..

ไม่ตลกเลยคับ..อโสกะ..

ไม่ได้พยายามพูดแทนป้าแกครับ..พูดตามธรรมดา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 06:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
เจริญงอกงามไปไกลเลยนะ จิตสังขาร ของกบ
ก็ยังดีที่พยายามจะพูดแทนคุณยายคุณป้าคนนั้นว่า อะฮั้นก็ไปปฏิบัติต่อจนบรรลุธรรมจริงๆได้

.....


:


ว่าไปโน้น..

ไม่ตลกเลยคับ..อโสกะ..

ไม่ได้พยายามพูดแทนป้าแกครับ..พูดตามธรรมดา..
เหมือนผมสอนกบ อยู่ตอนนี้ใช่ป่าว55


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 284 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร