วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2023, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“พระกรรมฐานอย่าย้านตาย

หลวงปู่ผางสอนไว้

ให้วางความตาย อย่าเสียดายความมี

อย่าทิ้งพุทโธ หัวใจโตรักษาให้ดี “

#หลวงปู่นงค์_ปคุโณ





เมื่อครั้งมีโยมมาถามอาตมาว่า

"ผมภาวนา พุทโธ อยู่ปีหนึ่งไม่เห็นได้อะไรเลยครับ"

อาตมาเลยตอบเขาไปว่า

"คุณบอกคุณภาวนาอยู่ปีหนึ่งไม่ได้อะไร ก็แล้วกิเลสเกาะหัวใจคุณมาตั้งกี่กัปป์กี่กัลป์ คุณบอกภาวนา "พุทโธ" แค่ปีเดียว แล้วมันจะได้อะไรล่ะ หัวใจมีกิเลสมาตั้งกี่กัปป์ มาภาวนาแค่นี้มันจะสมดุลกันเหรอ ทำเพียงเท่านี้ มันจะละกิเลสได้เหรอ.."

หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร
วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย
จ.บึงกาฬ





ดูเอาเถิดโลกใบนี้เกิดมาก็เช่นนี้มืดกับแจ้งมีมาแต่ไหน พอได้อยู่ได้กินก็พลัดพลากจากกันไปวันหนึ่ง
ถามตัวเองดูเกิดมาอายุเท่านี้ได้อะไร เราทำอะไรอยู่ ถามตัวเองดู
วิ่งตามความอยากนี้ทุกข์หมด อันนี้สวยงาม หรูหรา ฟู่ฟ่า โอ่อ่า บ้านก็หลายหลัง เมียและผัวก็หลายคน
สิ่งชั่วช้าลามกขนใส่ใจ ขนมาให้ใจมันทุกข์ ทุกข์อันเดียวล่ะกับกรรมที่เฮาก่อบ่หายไปไหน คือเงาตามตัวนิ
รถก็หรูๆหลายๆคัน ร่างกายนับตั้งแต่เนื้อหนังมังสาอาการ 32 วัตถุสิ่งของงามหมด เจ้าหนังหุ้มห่อกระดูกนี้สำคัญมันทำให้คนหลง
นี้เจ้าความอยากมันครอบงำมันเลยปิดบังมองไม่เห็นพุทธะตัวจริง แต่งเข้าไปเช้าเที่ยงเย็นกลัวแต่ไม่สวยงาม สุดท้ายคือเก่าล้างออกหมดเสื่อมโทรมหมด
พิจารณาสิคนเราเกิดมาเหมือนกันหมด กินก็กินเหมือนกัน ขี้ก็ขี้เหมือนกัน เยี่ยวก็เยี่ยวเหมือนกัน ต่างกันตรงไหนนั้น
สังขารคือกันพออายุ 30-40-50 ย่างเข้ามาเริ่มแล้วนั้นผมงอกบ้าง หน้าเหี่ยวบ้าง ฟันหักหลุดบ้าง
ร่างกายเริ่มเกิดโรคอาการเจ็บป่วยเริ่มมาเยี่ยมแล้วนั้น
ใช้เงินแต่งร่างกายหมดหลายล้าน สุดท้ายมันแก่ชราคือเก่า ตายแล้วแกงกินก็ไม่ได้ สุดท้ายตายเขาเอาไฟมาเผาทิ้ง ไม่เกิดประโยชน์
มันพากันประมาทหลงไปตามโลกตามความอยาก สุดท้ายไม่ได้อะไรไม่เกิดประโยชน์
ใช้ชีวิตหาแต่ความสุขสบาย วิ่งตามผู้หญิงผู้ชายบ้าง วิ่งตามเหล้าบ้าง วิ่งตามผับตามบาร์คาราโอเกะบ้าง
เกิดมาตายทิ้งเปล่าๆ แทนที่จะฝึกตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม บางคนว่าเกิดมาครั้งเดียวรีบหาความสุขไว้มากๆตายแล้วเอาไปไม่ได้
เราบอกเลยว่าไม่ใช่ คิดผิดเราเป็นลูกหลานชาวพุทธ อย่าน่ะ ให้เชื่อพุทธะตายแล้วเกิดอีก
ตายแล้วไม่สูญหลักพระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ หลวงปู่ทุยวัดดงท่านก็สอน "ไผบ่เชื่อพระพุทธเจ้า ทุกข์โลด ทุกข์อีหลี"
เราฟันธงได้เลยว่าผู้เดินตามธรรมจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน.....
"ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" ใครยังเดินตามกิเลสอยู่ทำผิดในศีลทั้งห้าข้อ
เราพูดได้เลยตายไปเตรียมตัวเลย เพราะเมื่ออำนาจแห่งกรรมส่งผล เมื่อนั้นเราจะไม่มีทางฟื้นคืนมาได้
กรรมคือการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำชั่วจะดีได้อย่างไร ทำดีจะชั่วได้อย่างไรนั้น..."

หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร






หลวงพ่อชาสอนเรื่องอริยสัจสี่ด้วยวิธีง่ายๆ ตรงไปตรงมา ท่านสอนลูกศิษย์ว่าถ้าเราทุกข์ก็ต้องเกิดจากตัณหาและความยึดมั่นถือมั่น ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ ต้องหาตัณหาและความยึดมั่นถือมั่นตัวนั้นให้เจอแล้วละมันเสีย

เพื่อช่วยให้ลูกศิษย์ฝึกสังเกตเรื่องนี้ หลวงพ่อชาสอนให้พระทดสอบขีดจำกัดของความอดทนทางกาย ท่านสร้างสิ่งแวดล้อมในวัดให้ฝืนความต้องการทางเนื้อหนังของลูกศิษย์ เวลาเกิดความชอบหรือไม่ชอบก็ให้เห็นว่าเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบของจิตมากกว่าจะเป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม ท่านบอกว่า “ถ้ายังทำตามความชอบ ความไม่ชอบ ก็ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติ”

แต่เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัดเพื่อพิจารณาอริยสัจสี่ เมื่อใดก็ตามที่ทุกข์เกิดขึ้นในจิต เราต้องไม่หันหน้าหนีหรือพยายามหลบเลี่ยง เรามองทุกข์ตรงๆ ว่า “กิเลสอยู่ตรงไหน”

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดหรือมีอะไรกระตุ้น กิเลสต่างหากที่เป็นเครื่องตัดสินว่าเราจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ การละตัณหาและความยึดมั่นถือมั่นเปิดโอกาสให้สติและปัญญามารับมือกับปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ






"..ไผ๋นั่งสมาธิตาย ให้มันตายโล๊ด สิไปสวดบังสกุลให้ บ่ เห็นมีผู้ได๋ตายจักคน มีแต่เขานั่งแล้วได้มรรคได้ผล เห็น บ่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านนั่งเป็นวัน เป็นคืน บ่ เห็นท่านเป็นหยังเลย.."

โอวาทธรรม องค์หลวงปู่อ้ม สุขกาโม





“ เกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่ว่าหมู่สัตว์ใดสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ เป็นไห่เป็นกานกนากาแร้งบินอยู่บนฟ้า ก็ต้องลงมาตายอยู่ดิน หลวงปู่ผางท่านว่าให้วางความตาย อย่าเสียดายความมี “

“ การภาวนาจะนอนก็ได้จะนั่งก็ได้ อย่าทิ้งพุทโธหัวใจโตรักษากุ้ม(ได้) ยามเจ็บป่วยหนักๆท่านภาวนาให้วางความตาย อย่าเสียดายความมี สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ใช่ของเรา เราจะเห็นทุกคนทุกบ้าน นั่นแหละจุดสิ้นสุดของมนุษย์ “

#โอวาทธรรมเรื่องมรณานุสสติ(พิจารณาความตาย)
ธรรมเทศนาครั้งสุดก่อนมรณะภาพของหลวงปู่ ที่ลูกศิษย์หลวงปู่นงค์ได้ขออนุญาตบันทึกไว้ 31 มกราคม 2566 เพื่อเป็นคติธรรมและข้อคิดที่จะน้อมนำมาปฏิบัติกัน






#ธรรมเป็นกัลยาณมิตรในเรือนใจ

"... ธรรมเป็นกัลยาณมิตรในเรือนใจ
อันประเสริฐกว่าสิ่งอื่น..
ผู้มีธรรมย่อม ได้ชื่อว่ามีกัลยาณมิตร
ที่เยี่ยมยอดสูงสุด..
ย่อมไม่ว้าเหว่เหงาหงอย ..."
......................................
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่






บ่ต้องอยากเก่ง อยากดังดอก
ถ้าเฮาดีอิหลีแล้ว
ความเก่งจะตามมาบ่ต้องประกาศ
คนเก่งบางคนนั้น ก็ใช่ว่าจะดี
คนดีนี้สิหายากมีค่ากว่าทรัพย์สินหลายเท่า
ไผสิเก่งกะซ่างเขา ไผสิดังกะซ่างเขา
แต่เฮาเฮ็ดโตให้ดีกะพอ .
.
.
พระครูนิวิฐสมณวัตร (หลวงปู่นงค์ ปคุโณ)
วัดอุดมคงคีรีเขต จ.ขอนแก่น
.
.






การปล่อยวาง
โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

โยม ไม้อันที่อาตมาถืออยู่นี่นะ มันสั้น หรือว่ามันยาว ?

โยม ไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้...มันไม่สั้น และก็ไม่ยาว

โยม ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ “ทุกข์”
ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น

สมมุติว่าวันนี้ โยมหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท
จะอยากให้ได้มากกว่านั้น...ก็ไม่ได้
จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้น...ก็ไม่ได้
หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น
หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมันก็เท่ากับหาไม่ได้เลย
ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็ไม่เกิด

ธรรมะอย่างนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้
ใครๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไหร่ ที่ไหน...ทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่น

โยม อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าถ้าเราจะปลูกต้นไม้
อันดับแรก เราต้องเตรียมดินให้ดี ขุดหลุมกว้างเมตร ลึกเมตร
คลุกดินด้วยปุ๋ยคอกอย่างดี แล้วจึงปลูกต้นไม้ลงไป
เมื่อปลูกแล้ว เราต้องคอยดูแล โดยหมั่นรดน้ำ
พรวนดิน ดายหญ้า และล้อมรั้วกันอันตรายให้

หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ ทำให้ครบ ทำให้ดีที่สุด
ส่วนผลที่ต้นไม้จะให้นั้น บางชนิด ๑ ปีให้ผล บางชนิด ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี
นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของต้นไม้เขาเอง

โยม อย่าลืมนะ หน้าที่ของเรานั้น
ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา
ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา

ธรรมะอย่างนี้...ใครๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้.

หลวงพ่อชา สุภัทโท






" ปฏิจจสมุปบาทธรรม " ก็เหมือนกัน อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ฯลฯ เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามาเป็นจริง คือท่านแยกเป็นส่วนๆ ไปเพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อมันเกิดมาจริงๆ แล้วนับไม่ทันหรอก รู้จากปริยัติต่างจากปฏิบัติ อุปมาเหมือนเราตกจากยอดไม้ ก็ตุ๊บถึงดินโน่น ไม่รู้ว่ามันผ่านกิ่งไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊บขึ้นมา ถ้าชอบใจก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้ มันไปตามที่ปริยัติรู้นั่นเอง แต่มันก็ไปนอกปริยัติด้วย มันไม่บอกว่าตรงนี้เป็นอวิชชา ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ ตรงนี้เป็นนามรูป ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริง ๆ เมื่อมันพลาดจากต้นไม้ไปปุ๊บ มิได้คณนาว่ามันกี่นิ้วกี่ฟุตเห็นแต่มันตูมถึงดินเจ็บแล้ว.

หลวงปู่ชา สุภัทโท
ที่มา: อุปมาอุปไมยของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท)





“พุทโธให้ระลึกไว้ในใจของใครของมัน ใครระลึกได้ถึงใจก็เป็นของคนนั้น”

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์
พระฉนฺทกโร หลวงปู่ปรีดา หลวงปู่ทุย
วัดป่าดานวิเวก(ดงสีชมพู) บ้านแสงอรุณ ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร