วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2023, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“...อย่าไปวัดด้วยชื่อเสียง สักการะ ลาภยศ ว่าเป็นผู้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้า ความเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีลาภสักการะ บริวารแห่หน้าล้อมหลังเป็นแสนเป็นล้าน ไม่ใช่เครื่องวัดพระอรหันต์พระอริยเจ้า อาจจะเป็นพระอรหมุนเลยก็ได้…”

หลวงพ่อสมภพ โชติปัญโญ
วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จ.สกลนคร







#หัวใจคนมันเสื่อม

ศาสนาไม่ได้เสื่อมที่ไหนหรอก มันเสื่อมที่หัวใจคน บาปบุญคุณโทษมีอยู่ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มรรคผลนิพพานก็มีอยู่อย่างเดิมน่ะแหละ ไม่มีใครยักย้ายไปไหน ไม่ได้ใหม่ ไม่ได้เก่า ไม่ได้เป็นของลึกลับ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่ ศาสนาก็ยังมีอยู่ ผู้ไม่เชื่อบาป บาปก็มีอยู่ ผู้ไม่เชื่อบุญ บุญก็มีอยู่นั่นแหละ พระพุทธศาสนาไม่ได้ห่างหายไปจากสังสารที่ไหน พระพุทธศาสนาเป็นของคู่โลกคู่สังสาร ศาสนาไม่ได้เสื่อมไปไหน อยู่ในปัจจุบันนี่แหละ เรามันไม่เอากันเฉยๆ

พวกเรามักเข้าใจว่าพุทธศาสนาอยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับครูบาอาจารย์ อยู่กับใจเรานี่แหละ กิเลสยังอยู่กับใจเราเลย แล้วธรรมจะไปอยู่ไหนถ้าไม่ได้อยู่ที่ใจ ถ้าศาสนาเป็นของล้าสมัย นรกสวรรค์ก็คงร้างแล้วล่ะ ก็มันนานแล้วนี่ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่กับผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ใจเรารับให้ได้เถอะ แล้วเราจะเห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ให้เห็นในภายในนี่

นรกยังมีตราบใดที่ยังมีมนุษย์ทำชั่ว สวรรค์ก็มีอยู่ตราบใดที่ยังมีคนทำดี มรรคผลนิพพานก็ยังมีตราบใดที่ยังมีคนปฏิบัติ พระพุทธศาสนาเป็นของคู่โลกคู่สงสาร แม้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสหรือไม่มาตรัสก็แล้วแต่ สัจธรรมก็ยังมีอยู่ อย่าไปเข้าใจว่าพุทธศาสนาหายไปไหน มันขึ้นอยู่กับใจเราทั้งนั้น ว่าใจเราจะละได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง

พวกเรามันเข้าใจเหมือนกาลเหมือนเวลา เอากาลไปจำกัดว่าศาสนาเป็นของเนิ่นนาน คงจะเสื่อมแล้วก็เลยไม่สนใจกัน ผู้ปฏิบัติก็มีน้อยลง ผู้เข้าถึงศาสนาก็แทบจะไม่มี ชาวพุทธอุบาสกอุบาสิกาก็แทบจะไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย แล้วจะเข้าถึงมรรคผลได้ยังไง เราต้องปฏิบัติ เราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าก็เข้าถึงทางนี้แหละ เราจะเข้าถึงธรรมถึงมรรคผลก็เข้าถึงทางนี้ ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติยังไงก็ไม่เสื่อมไปไหน

พระอาจารย์โสภา สมโณ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙







มองให้ถูก "พระไม่ดี" หรือ "คนร้ายมาทำลายศาสนา"

“สภาพความเสื่อมนี้ในปัจจุบัน ญาติโยมพูดกันมาก เพราะมีข่าวร้ายต่างๆ มากมาย เรื่องอย่างนี้พระสงฆ์ก็ควรจะเอามาพูดบ้าง ไม่งั้นญาติโยมพูดฝ่ายเดียว จะกลายเป็นนินทาพระ แต่ถ้าพระเอามาพูดบ้างในฐานะที่เป็นผู้รู้เรื่องทางธรรม พูดในทางแนะนำและหาทางแก้ปัญหา ก็จะได้มีทางช่วยกันให้รู้จักวางใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องร้ายๆ และปัญหาเกิดขึ้น พระจำเป็นต้องเอามาพูดให้โยมรู้ว่า ความเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร มีทางแก้ไขอย่างไร เราจะได้ช่วยกันป้องกัน และที่จริงนั้นตัวเราเองก็มีหน้าที่ด้วย เพราะว่าในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนเรามีหน้าที่ช่วยกันป้องกันพระศาสนา

อย่างวันสองวันนี้ก็ได้ข่าวอีกแล้วรายใหม่ อาตมาเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ แต่ท่านมหาและหลวงลุงท่านก็อ่านและท่านเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งไปหลอกร้านค้าเพชร เอาเพชรไปแล้วไม่จ่ายเงินให้แก่เขา จำนวนเป็นล้านๆ บาท และขอประทานอภัยก็ไปทำศิวลึงค์นำไปแจกในต่างประเทศ พอฟังหรืออ่านข่าวพระประพฤติอย่างนี้แล้วโยมก็อาจจะพูดว่า พระไม่ดี พระเสียหาย พระหลอกลวง พระเหลวไหล ไม่น่านับถือ จากพระไม่ดี ก็เลยพาลพาโลต่อไปว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี แล้วก็จะไม่นับถือพระ จะเลิกนับถือพระพุทธศาสนา

ที่จริงนั้น พระพุทธศาสนาเป็นของเรา ไม่ใช่เป็นของพระองค์นั้น เพราะว่าคนที่จะมีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนานั้นจะต้องเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ของชาวพุทธอย่างถูกต้อง

ถ้าเป็นพระก็ต้องเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติและทำหน้าที่ของพระอย่างถูกต้อง

ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นคฤหัสถ์ที่ทำหน้าที่ของชาวบ้านอย่างถูกต้อง ถ้าเราทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนถูกต้อง เราเองนี่แหละเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา

ในทางตรงข้าม พระก็ตามญาติโยมก็ตาม แม้จะประกาศตนเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง ทำตัวเหลวไหล ก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา ควรจะระแวงว่าเป็นคนร้ายที่แฝงซ่อนเข้ามาหาประโยชน์จากพระศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้ามาปล้นศาสนา

เพราะฉะนั้น พระที่ประพฤติเลวทรามเหล่านั้น เราไม่ถือว่าเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา โยมจะต้องไม่มองว่า…“เป็นพระประพฤติชั่ว” โยมจะต้องมองว่า…“คนชั่วเข้ามาทำลายพระศาสนา"

ถ้าเราวางใจให้ถูกต้องอย่างนี้แล้วพระศาสนาก็จะดีขึ้น เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อพระศาสนา อย่าถือธุระไม่ใช่ อย่ายกสมบัติของเราให้เขาไป

อาตมาเคยเปรียบเทียบบ่อยๆ ว่า ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นบ้านแล้วเรายกสมบัติให้โจรไปเลย อย่างนี้ถือว่าวิปริตใช่ไหม ที่ถูกนั้นเราก็ต้องรักษาทรัพย์สมบัติของเรา แต่ที่เป็นกันเวลานี้เราก็ทำวิปริตกันอยู่โดยไม่รู้ตัว คือ ทั้งๆ ที่พระศาสนานี้เป็นของเรา แต่พอมีโจรคือคนที่แฝงตัวมาในเพศของพระประพฤติไม่ดี ทำเสียหาย เป็นโจรปล้นศาสนา พอมีโจรเข้ามาปล้นพระศาสนาของเราอย่างนี้ แทนที่เราจะช่วยกันรักษาพระศาสนาของเราๆ กลับยกศาสนาให้โจรไปเสียนี่ อย่างนี้เขาเรียกว่ายกสมบัติให้โจร

เพราะฉะนั้นอย่าทำอย่างนี้ เรากำลังทำผิดพลาด ต้องทำใจให้ถูกต้อง เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาของเรา”

#สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

ที่มา : ธรรมกถา เรื่อง “คุณบิดามารดา สุดพรรณามหาศาล” แสดงเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๓๕ จากหนังสือชื่อ “คุณบิดามารดา สุดพรรณามหาศาล” หน้า ๓๔ – ๓๖ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๗๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔






นะมะพะธะ เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญา
ธ​รรมทาน #คำสอนหลวงพ่อ

".. การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่จริงๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน อย่าง

นะ มะ พะ ธะ เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา
แต่ก็ยังไม่เข้าถึงอภิญญาจริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะ แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขาก็มีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่าคนข้างๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร ฝึกแบบนี้ถ้าไปได้คนข้างๆ สามารถถามได้ตลอดเวลา ไปถึงไหนๆ เล่าได้ตลอดเวลา

ถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบแต่ผู้เดียว เลิกแล้ว
กลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัยก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก จึงไปหาแบบนี้มา แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้างๆ สามารถถามได้ เวลานี้ไปถึงไหนแล้ว จะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมี.."

ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๙ ฉบับที่ ๒๐๓ ปี ๒๕๔๑ หน้า ๑๐๔







#ขอนับถือแค่พระพุทธกับพระธรรมได้ไหม?

โยม : หลวงปู่ครับ ผมจะขอนับถือแค่พระพุทธกับพระธรรมครับ เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆหมดแล้วจากพระศาสนา
.
หลวงปู่ : ฮ้วย แสดงว่าบ่นับถืออาตมานำตั้วนี่
.
โยม : เปล่าๆ ครับหลวงปู่ ผมยังเคารพศัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม
.
หลวงปู่ : เอ้าไสว่าไม่นับถือพระสงฆ์เด้
.
โยม : เว้นหลวงปู่สิครับผม
.
หลวงปู่ : บ่ะ เว้นหลวงปู่ก็แสดงว่าหลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ
.
โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก).........
.
หลวงปู่ : บักหล่าเอ้ย เวลาเขาเอาทองคำนั้นเขาไปหามาจากที่ไหน
.
โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนเอาทองมาครับ
.
หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก
.
โยม : ดินมากครับผม ร่อนทองจากดินมากแล้วจะได้ทองนิดเดียว
.
หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นหล่ะ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติสงฆ์ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็มีดีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมดมันก็ทำไม่ได้ จะให้มันเสียหมดก็ทำไม่ได้ ส่วนที่มันเป็นดินก็อย่าเอา เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ถ้าเชื่อหลวงปู่ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด ขนาดคุณยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้ พระรัตนตรัยเหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้ เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม จำไว้พระก็คือนักเรียน ผู้เป็นอริยะคือผู้สอบผ่าน ผู้เป็นข่าวคือผู้สอบตก ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจนะ.
.
หลวงปู่หา สุภโร หรือพระญาณวิสาลเถร ปัจจุบันอายุ 93 ท่านเป็นผู้ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ โดยมีเรื่องราวการค้นพบเป็นที่น่าอัศจรรย์ คณะศิษย์ยานุศิษย์จึงถวายฉายานามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ไดโนเสาร์"






"...ศาสนาคืออะไร ศาสนาคือคำสั่งสอน ท่านสอนอะไร ก็สอนกายสอนวาจาสอนใจของคน ท่านไม่ได้สอนอื่น สอนเพื่ออะไร กายวาจาใจของคน ท่านให้ละความชั่วทางกายทางวาจาทางใจ ความชั่วไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่กายที่วาจาที่ใจของคน ท่านสอนให้ละความชั่วเพราะกลัวเราทุกข์กลัวเรายาก กลัวเราลำบากรำคาญ กลัวเราอดเราจน ตกทุกข์ได้ยาก ท่านสอนอย่างนี้ก็ดูเอาซี เชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าทุกข์ยาก อะไรทุกข์ล่ะ หรือข้าวของเงินทองทุกข์ยาก หรือฟ้าอากาศทุกข์ยาก การงานทุกข์ยาก ไม่มี มีแต่หัวใจคนมันทุกข์ยาก หัวใจคนวุ่นวายเดือดร้อน นี่แหละให้ดูเอา นี่แหละบาป นี่แหละนรก เมื่อจิตใจเป็นอย่างนี้แล้ว เวลาเราดับขันธ์ จิตนั้นก็นำเราไปทุคติ เวลานี้มันก็ทุกข์อยู่แล้ว

บางคนมาคำนึงดู อดีตมันเป็นมายังไง ปัจจุบันเป็นยังไง อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ดูซิอนาคตข้างหน้าท่านไม่ให้คำนึงคิดถึง อดีตล่วงมาแล้วท่านไม่ให้คำนึงคิดถึง ปัจจุปันนัญจะโยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ท่านให้ดูในปัจจุบันนิ่งอยู่นี้ เวลานี้จิตของเราเป็นยังไง จิตเรามันสุข หรือมันทุกข์มันยากวุ่นวายเดือดร้อน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้แล้ว อนาคตก็ร้อนอย่างนี้ อนาคตก็ทุกข์อย่างนี้ พิจารณาดูซิ ถ้าจิตเราสงบ จิตเราดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่วุ่นวาย พุทโธ ใจเราเบิกบาน พุทโธ ใจเราสว่างไสว พุทโธ ใจเราผ่องใส สะอาดปราศจากทุกข์ ปราศจากโทษ ปราศจากภัย ปราศจากเวร ปราศจากความชั่วช้าลามก ปราศจากความทุกข์ความจน เมื่อจิตเราเป็นอย่างนั้น นี่แหละนำความสุขความเจริญให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้า

จึงว่าให้นั่งดู ให้ฟังธรรม ฟังดูซิ ธรรมมันเกิดที่ไหนเล่า ความสุขทุกข์ อะไรเป็นสุข อะไรเป็นทุกข์ ให้ฟังดู เราอยากดี อะไรมันดี ความดีคืออย่างอธิบายให้ฟัง ความดีมันยังงี้ คือใจเราดีใจเราสงบ ไม่ทะเยอทะยานดิ้นรน ไม่กระวนกระวายเดือดร้อน ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่หงุดหงิด ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ใจเราดีสงบนิ่ง มันว่างหมด อารมณ์ทั้งหลายว่างหมดไม่มีอะไร ใจสงบมีความสุขความสบาย อันนี้แหละนำความสุขความเจริญมาให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้า ดูเอาซี

เราทั้งหลายมานี้ก็ต้องการความสุขความสบาย มาวัด ไม่ใช่ศาลาเป็นวัด ไม่ใช่กุฏิโบสถ์วิหารเป็นวัด วัดอยู่ที่ดวงใจคน ศาลาก็คนทำ โบสถ์ก็คนทำ คนทำทั้งหมด เมื่อใจคนดี สิ่งเหล่านั้นมันก็ดี เมื่อใจคนไม่ดี สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่ดี.."

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร