วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 22:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2023, 06:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


โยม : หลวงปู่เจ้าขา โยมทำบุญสนับสนุนกิจการพระศาสนาทุกอย่าง ตั้งแต่นิมนต์พระมาเทศน์ที่บริษัท ถวายรถ ถวายของ ถวายปัจจัย หลงเชื่อว่าพระรูปนั้น #เป็นพระอรหันต์ตามที่เค้าโฆษณากัน แต่พอเรื่องจริง กลับเป็นเพียงคนในผ้าเหลืองที่เอาสวรรค์มาขายนิพพานมาล่อ เพื่อความสุขสบายของตนเอง อย่าง
นี้โยมจะได้บุญหรือไม่เจ้าคะ แล้วโยมจะเป็นบาปที่สนับสนุนเขาทำชั่วรึเปล่า

หลวงปู่ : เหอะๆ เจ้าคิดมากไปรึเปล่า

โยม : ก็นั่นสิเจ้าคะ โยมจึงทุกข์เหลือเกิน กลัวบุญที่ทำไปไม่ได้บุญ กลัวบาปที่ทำโดยไม่รู้ตัว

หลวงปู่ : ตอนถวายเขาไปนั้น มีความคิดยังไง

โยม : ก็ศรัทธาท่านเจ้าค่ะ ถึงทุ่มเทถวาย

หลวงปู่ : คุณ ฉันอาศัยคำพระพุทธเจ้าดอกนะ
ท่านว่า นัตถิ จิตเต ปะสันนัมหิ อัปปะกา นามะทักขิณา แปลว่า เมื่อจิตของคุณเลื่อมใสแล้ว บุญที่ชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี #ตอนที่คุณถวายคุณมีศรัทธามาก นั่นเป็นเรื่องอดีต บุญที่เกิดขึ้นในอดีต มันเป็นบุญมหาศาล แต่ปัจจุบันคุณเสื่อมศรัทธาจากท่านแล้ว มันเป็นปัจจุบันไม่ใช่อดีต เรื่องแล้วก็แล้วกันไป เราไม่แก้ไข
แล้ว ส่วนการสนับสนุนเขาทำบาปไหม อย่างนั้นยาสีฟันชุดนี้ที่โยมถวายมา โยมก็เอาคืนไป

โยม : #โอวาทโยมไม่เอาคืนหรอกเจ้าค่ะ เพราะโยมถวายหลวงปู่แล้วนี่ เป็นของหลวงปู่แล้ว

หลวงปู่ : เอ้า ก็คุณถวายมาแล้ว อาตมาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของอาตมานี่ จะให้คืนโยม ก็เป็นสิทธิ์ของอาตมา ถ้าคุณถวายมาแล้ว ยังตามมาบอกอาตมาว่า ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็แสดงว่ามันยังเป็นของคุณอยู่ มันยังไม่ใช่ของอาตมา ของที่คุณถวายไปแล้วนั้นมันเป็นบุญแล้ว คนที่รับเขาจะเอาไปทำบาปหรือทำบุญมันเป็นเรื่องของเขา เราให้แล้ว เราได้บุญแล้ว ขาดจากความเป็นเจ้าของของเรา เขาจะเอาไปทำดี มันก็ดีแก่ตัวเขา เอาไปทำชั่ว มันก็ชั่วแก่เขา

ในสมัยหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตใส่บาตรพระวันละ ๕๐๐ รูป ท่านทำของท่านประจำ มีขี้เมาคนหนึ่งอยากหาอาหารง่ายๆ จึงโกนหัวห่มผ้าเหลืองไปบิณฑบาต พระเจ้าพรหมทัตได้เห็นก็ศรัทธามากเหลือเกิน เพราะพระรูปนี้หน้าแดงเหมือนลูกตำลึง ดูราศีเปล่งปลั่ง ก็ศรัทธาน้อมถวายอาหาร แล้วสั่งให้อำมาตย์ติดตามไปดูว่า ท่านเป็นมนุษย์หรือเทวดา เพราะราศีท่านผ่องใสเหลือเกิน ถ้าท่านเหาะไป แสดงว่าท่านเป็นเทวดา ถ้าท่านดำดิน แสดงว่าท่านเป็นนาคราช ถ้าท่านเดินออกไปนอกเมือง แสดงว่าท่านเป็นมนุษย์หรือพระอรหันต์ อำมาตย์ก็ติดตามไป พบว่า พระรูปนั้นเปลื้องจีวรออกแล้วไปกินเหล้า เห็นดังนั้นก็กลัวพระราชอาญา จึงไปกราบทูลว่า พระรูปนั้นเหาะไปพระเจ้าข้า

โอ้... ได้ยินดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ยินดีมาก ปีติจนขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหลออกด้วยความดีใจ จากนั้นยิ่งถวายใส่บาตรพระวันละ ๑,๐๐๐ รูปพอพระเจ้าพรหมทัตสวรรคตไม่มีใครสืบราชบัลลังก์ต่อ ชาวเมืองจึงยกอำมาตย์คนสนิทให้เป็นพระราชาแทนพระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ก็ยังใส่บาตรพระวันละ
๑,๐๐๐ รูปเหมือนเดิม วันหนึ่งมีพระรูปหนึ่ง หน้าแดงยังกับลูกตำลึงสุก ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มารับบาตรด้วย พระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ก็นึกเฉลียวใจ จึงให้คนตามไปดู โดยอ้างตำราพระราชาองค์ก่อน พอพระท่านเดินไปที่ลับตาคน ท่านก็เหาะขึ้นฟ้าแล้วหายไป คนตามไปดูก็กลับมารายงานว่า พระเหาะไปพระเจ้า
ข้า พระราชาแทนที่จะดีใจ กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าเขาโกหกตน จึงสั่งเอาตัวไปประหาร แล้วเลิกใส่บาตรพระตั้งแต่วันนั้น

"#คุณว่าพระราชาองค์เก่ากับองค์ใหม่ องค์ไหนไปสวรรค์ องค์ไหนไปนรก"

โยม : องค์เก่าไปสวรรค์ องค์ใหม่ไปนรกเจ้าค่ะ

หลวงปู่ : เออ จะให้ตัวคุณไปสวรรค์ หรือนรกล่ะ

โอวาทธรรม หลวงปู่หา สุภโร
วัดสักกะวัน ภูกุ้มข้าว







ไปทำอะไร ไปพูดอะไรปั๊บ
โน่น...ไปโผล่ที่สมุดบัญชียมโลกโน่น!!! อัตโนมัติเลย
โกหกไม่ได้ด้วย...บันทึกไว้แล้ว

#หลวงปู่เจม_จิรธมฺโม
วัดป่าเขาพนมปลายบัด อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์








ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชาอุปมาว่า “มะม่วงมันอยู่สูงหัวเราอยากได้ เอาไม้สิบเมตรมาสอยไม่ได้มันยาวเกินไป เอาไม้สองเมตรมาสอยมันก็ไม่ได้ ไม่พอดี มันสั้นเกินไป เราอย่าเข้าใจว่า คนจบดอกเตอร์ มาปฏิบัติสบายเหลือเกิน เพราะเรียนรู้มาพอแล้ว อย่าเข้าใจอย่างนั้น ดอกเตอร์มันยาวเกินไปก็ได้”

อีกโอกาสหนึ่งท่านสอนว่าศาสตร์ทุกศาสตร์ต้องมารวมกันที่พุทธศาสตร์มันจึงจะดี การเรียนทางโลกโดยละเลยการศึกษาและปฏิบัติหลักธรรมอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะความฉลาดมักจะอยู่ใต้อำนาจของสิ่งเศร้าหมองโดยไม่รู้ตัว ท่านเคยสอนว่าผู้จบดอกเตอร์มักจะไม่รู้เลยว่ากิเลสเขาก็จบดอกเตอร์เหมือนกัน ผู้เรียนสูงแต่ไม่รู้จักรักษาศีลธรรมเปรียบเสมือนนกอีแร้งที่บินสูงๆแต่เมื่อหิวก็ลงมากินของโสโครก

พระอาจารย์ชยสาโร






” ..ธรรมะฟังมาเยอะแล้ว เหลือแต่การปฏิบัติ
อย่าเที่ยวขอธรรมะแล้วไม่ปฏิบัติ มันจะฟุ้งซ่าน..”

“…คนเราส่วนมาก ถ้าอยู่เป็นสุขสบาย มีกินมีใช้ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ไม่จนตรอกจนมุมชอบจะประมาท ไม่แสวงหาที่พึ่ง เวลาถึงคราวจนตรอกจนมุม จึงจะหาที่พึ่ง ปรกติส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ค่อยทัน

ให้เราเตรียมตัวเอาไว้ก่อน พึ่งทาน พึ่งศีล พึ่งพุทโธ ธัมโม สังโฆ แหละใจจะได้มีที่เกาะ อย่างทานอย่างศีลนี้ ถ้าเราได้ทำไว้แล้ว ระลึกได้เมื่อไหร่จะเย็นใจ ไม่เหมือนทำความชั่ว ซึ่งคิดแล้วเศร้าใจไม่สบาย

ถึงเราจะภาวนาไม่เป็น แต่ถ้าว่าเราได้ให้ทานเอาไว้ รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะศีลห้า ใจเราก็ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่อะไรเสียเลย ถึงคราวจำเป็นมาจะไม่มีที่เกาะ เหมือนว่าเชือกขาด แล้วแต่ลมจะพาไป…”

โอวาทธรรมหลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม
วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร







ความคิดคนเราอาจดูเหมือนเป็นกระแสที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่จะเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่มีช่องว่างระหว่างความคิดเกิดขึ้นเลยหรือ ลองพิจารณาให้ดี

อาตมามีข้อแย้งว่า ที่จริงแล้ว มีช่องว่างระหว่างความคิดมากมาย แต่เรามักมองข้ามไป ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุใด? ความเงียบตามปกติที่เกิดขึ้นชั่วครู่เหล่านี้ดูธรรมดาจนไม่อาจดึงดูดความสนใจของเราได้ เพราะมันเป็นอยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ ไม่ข้องเกี่ยวกับอะไรนอกจากตัวมันเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักจะรีบข้ามไปหาสิ่งที่อยู่ถัดไป ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำ แผนการ การลงความเห็น จินตนาการ หรือความเพ้อฝัน

แต่หากเราใช้ช่องว่างน้อยๆ ระหว่างความคิดเป็นเครื่องกำหนดของสติ ช่องว่างที่ว่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นและมีระยะเวลามากขึ้น การรับรู้ต่อสิ่งทั้งมวลภายในใจ นั่นคือ เนื้อหาของความคิดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ย่อมเปลี่ยนไป เราจะเห็นได้ชัดขึ้นว่าความคิดปรุงแต่งเป็นเพียงปรากฏการณ์​ เกิดขึ้นแล้วดับไป เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเหล่านี้มากนัก เพราะเห็นความคิดในบริบทใหม่ เราจึงเป็นอิสระขึ้น

มีคำสอนของหลวงพ่อชาข้อหนึ่งที่อาตมาชอบมาก ท่านสอนว่าเราไม่จำเป็นต้องสู้กับความคิดหรอก มันก็เหมือนเราเดินตรงไปบนถนนพลุกพล่าน แล้วพยายามผลักทุกคนที่ขวางทางเรา หลวงพ่อสอนว่าคนฉลาดต้องรู้จักเดินลัดเลาะไปตามช่องระหว่างคนที่เดินไปเดินมา ในลักษณะเดียวกัน เราอาจเดินทางผ่านความคิดในใจได้ โดยลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างความคิดเหล่านั้น

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร