วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 22:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2023, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#หลวงพ่อกัณหา_สุขกาโม
#พระเทพพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ฟิลลิป ญาณธมฺโม) ณ วัดโพธิญาณ เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย

พวกเราต้องทำเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เอาอะไร เพราะศาสนามันคือเรื่องจิตเรื่องใจ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละไม่มีอะไรมาแอบแฝง เพราะว่ามรรคผลนิพพานเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ ไม่ใช่เรื่องวัตถุ...

ศาสนาจะเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่การประพฤติพรหมจรรย์ อยู่ที่ทุกคนมุ่งมรรคผลพระนิพพาน ไม่ใช่โบสถ์ วิหาร ไม่ใช่ศาสนา อันนั้นมันเป็นส่วนประกอบ

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทุกคนเน้นทางจิตทางใจเน้นที่เจตนา พระเรามาบวช บวชมาก็ต้องเป็นผู้ที่เสียสละ ...

บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมอยู่ที่พรหมจรรย์

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วันศุกร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔
วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา








จิตที่ไม่มีสมาธิก็เพราะมีนิวรณ์
ทำให้ไม่ได้มีความสงบ ไม่ใช้ปัญญา

จึงได้แสดง นิวรณ์ ๕
และกัมมัฏฐานสำหรับแก้เพิ่มเติม ดังต่อนี้

๑. ความพอใจใฝ่ถึงด้วยอำนาจของกิเลสกาม เรียกว่า “กามฉันทะ”

แก้ด้วยเจริญ อสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ
หรือเจริญ กายคตาสติ
พิจารณาร่างกายอันยังเป็นให้เป็นของน่าเกลียด

๒. ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ เรียกรวมว่า “พยาบาท”

แก้ด้วยเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
หัดจิตให้เกิดในทางหัดคิดให้เรียเกิดเมตตา สงสาร กรุณา
ช่วยเหลือเมื่อมีความสามารถ
เกิดความพลอยยินดีไม่มีริษยา
เกิดความปล่อยวาง หยุดใจที่คิดโกรธได้

๓. ความท้อแท้ หรือคร้าน หรือความหดหู่ง่วงงุน เรียกว่า “ถีนมิทธะ”

แก้ด้วยเจริญ อนุสติกัมมัฏฐาน
พิจารณาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้าง
พิจารณาความดีของตนบ้าง
เพื่อให้จิตเบิกบาน และมีแก่ใจหวนอุตสาหะ
หรือทำอาโลกสัญญา กำหนดหมายแสงสว่าง ให้จิตสว่าง

๔. ความฟุ้งซ่าน หรือคิดพล่าน
และความจืดจางเร็ว หรือความรำคาญ เรียกว่า “อุทัจจกุกกุจจะ”

แก้ด้วย เพ่งกสิณ กำหนดลมหายใจเข้าออก
หัดผูกใจไว้ในอารมณ์เดียว
หรือเจริญมรณสติ อันจะทำให้ใจสงบด้วยสังเวช

๕. ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกว่า “วิจิกิจฉา”

แก้ด้วยเจริญ ธาตุกัมมัฏฐาน หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน
เพื่อกำหนดรู้สภาวที่เป็นอยู่ตามเป็นจริง

อีกอย่างหนึ่ง
ทำความกำหนดรู้จิตที่มีนิวรณ์ และนิวรณ์ที่มีในจิต
เมื่อเกิดปัญญาความรู้จักนิวรณ์ และโทษของนิวรณ์ขึ้น
นิวรณ์ก็จะสงบหายไป,

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
(ที่มา : “รวมธรรมะ”; พิมพ์เผยแพร่เนื่องในงานฉลอง ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓. หน้า ๒๒๒-๒๒๓)






-ถ้าเรากระทำกรรมดี มีศีล สมาธิ ปัญญา เราย่อมมั่นใจ ไม่หวั่นไหวแม้มรณภัยเข้ามา เชื่อมั่นว่าจะทำให้ภพชาติเราสั้นเข้าๆ
-ศีล ช่วยควบคุมกายวาจา สมาธิช่วยคุมใจ
-จิตที่เห็นความจริงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะทำให้เราลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวเราได้มากขึ้น

พระอาจารย์ตั๋น วัดบุญญาวาส





#เรียนพุทโธเสียก่อน#

หลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านให้บริกรรมพุทโธ
แม้จะเรียนสูงมาได้ ๕ ประโยคก็ตาม
ก็ต้องได้มาเรียนพุทโธกับท่าน
บางองค์เรียนหนึ่งปีหกเดือนถึงค่อยอยู่กับพุทโธก็มี สองปีก็มี พอมันอยู่กับพุทโธเท่านั้นแหละ
มันจะเกิดหรอกธรรม
จะเกิดถ้ามันสงบ ให้มันติดความสงบเสียก่อน.

โอวาท"เศรษฐีธรรม"
หลวงปู่ลี กุสลธโร






"กรรมฐาน อย่ากลัวตาย
อย่าเสียดาย ของมี
ตู้พระคัมภีร์ อยู่ในหัวใจ"

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร
วัดภูเขาดิน ผาผอด จ.เลย





เคยมีผู้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า...
"ราคะนี้มันละยาก ตัดยาก จะทำอย่างไรดี?"

หลวงปู่ท่านก็ยิ้มๆ และเมตตาตอบว่า..
"ราคะนี้ มันมีมาตั้งแต่ก่อนเฮาเกิดพู่น
มันเป็นกิเลสที่ละเอียดลออ
มันเป็นความหลงอย่างละเอียด มันเป็นโมหะตั้วะ!!

ขั่นความหลงเกิดขึ้น โมหะก็เกิดขึ้น
ความโกรธเกิดขึ้น โทสะก็เกิดขึ้นนำ
บ่เว้าฮอดความโลภดอก มันเป็นของหยาบ

ความหลง มันเป็นมูล ทั้ง 3 มูล
ราคะ โทสะ โมหะ
นี่แหละมันเป็นรากเหง้าของบาป เฮาต้องมีสติตั้งมั่น

มีแต่การบวชแล้วปฏิบัติเคร่งครัดตามคำสอนของพระพุทธเจ้าท่อนั่น มันจั่งสิค่อยๆลดลงเองดอก

บวชแล้วบ่ปฏิบัติ มาแสดงธรรมโวๆเวๆ
มันบ่ลดลงดอก

มันก็หลงเจ้าของท่อนั่นล่ะ
สิตอบให้ไผกะส่าง กะมาคานำเจ้าของ.

โอวาทธรรม
หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร






#อย่าหลงมัวหลงเมาอยู่ในโลกนี้

ในวัฏสังสาร เราเที่ยวมายาวนานแล้ว
แต่เราไม่รู้ได้

เกิดตาย เกิดตาย ท่องเที่ยวไปนาน
ไม่รู้กี่อสงไขย ไม่รู้กี่กัป กี่กัลป์
เราไม่รู้ได้

จิตไม่ตาย ไปเกิดได้ทุกรูปสัตว์ อบายภูมิ 4
เคยขึ้นสวรรค์ ก็เคยขึ้นมาแล้ว
ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้

น้ำตาเรา เกิดมาในสังสารวัฏนี้
มหาสมุทร กว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน
ยังน้อยกว่า น้ำตาที่เราหลั่งออกมา
ที่เราท่องเที่ยวในสังสารวัฏนี้
ยาวนานเหลือเกิน

ดินแดน ทั่วทุกที่ทุกทาง ในแผ่นดินโลกนี้
ไม่มีแผ่นดินตรงไหน ที่ว่างจากป่าช้าเลย
ไม่มี ...
มี สัตว์เป็น สัตว์ตาย อยู่เกลื่อนแผ่นดิน

เพราะแผ่นดินนี้
ไม่ใช่เกิดมาแค่ ล้านปี สองล้านปี
มันเกิดมายาวนานแล้ว

พระอาทิตย์เกิด มืดแจ้ง มืดแจ้ง
อยู่ตลอดเวลา
นั่นแหละ ... เราไม่รู้ได้

จะเกิด ไปดี ไม่ดี
ก็ขึ้นอยู่กับ บุญ กุศล
คุณงาม ความดี เข้าสู่ใจ ....
_________________________
#หลวงปู่เจม_จิรธฺมโม
วัดป่าเขาพนมปลายบัด อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์







" เงินมันบ่ได้ฆ่าไผ คนเฮานี้โง่เอง ไปหลงว่ามันว่าเป็นเงิน เเล้วกะสะสมไว้หลายๆ เงินมันยังบ่เคยบอกว่ามันเป็นเงิน
มีหลายกะบ่ว่า สิซื้อสวรรค์นิพพานได้เด้อ เเต่ปู่เกิดมายังบ่ทันเห็นเศรษฐีคนได๋ซื้อพระนิพพานได้ มีเเต่ตายถิ่มสื่อๆ
พระนิพพานต้องทำเอง ปฏิบัติเองเนาะ เเล้วจะพ้นเอง "

โอวาทธรรม
หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต
วัดเขาตาเงาะอุดมพร






#เราก็เกิดในโลกนี้เพื่อมาสร้างบารมี ไม่ใช่ว่า มาเกิดเล่น
เกิดมาแสวงหาความสุข สนุกชั่วคราว ไม่มีประโยชน์อะไร
ชีวิต เป็นของไม่เที่ยง ความตาย เป็นของแน่นอน

โลกนี้ เป็นแต่ทางผ่าน เท่านั้นเองล่ะ
เกิดมา เพื่อมาสร้างบารมี ... อาศัยบุญบารมี
นำดวงจิตนี้ ให้พ้นจากทุกข์ ไปตามลำดับนะ,

พระธรรมคำสอน พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วัดอรัญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย






คำว่า “สติ” ย่อมถือเป็นธรรมสำคัญของความเพียรทุก ๆ ประโยค
และคำว่า “ปัญญา” ก็ย่อม ถือเป็นสำคัญในเวลาที่ควรใช้ตามกาลของตน เพราะปัญญาเป็นธรรมจำเป็นไปตามภูมิของจิต ของธรรม ส่วนสติเป็นธรรมจำเป็นตลอดไปในอิริยาบถต่าง ๆ

กาลใดที่ขาดสติ กาลนั้นเรียกว่า ขาดความเพียร แม้กำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ก็สักแต่ว่าเท่านั้น แต่มิได้เรียกว่า เป็นความเพียรชอบ ดังนั้นท่านจึงสอนเน้นลงในความมีสติมากกว่าธรรมอื่น ๆ เพราะ สติเป็นรากฐานสำคัญของความเพียรทุกประเภทและทุกประโยคที่ทำ จนกลายเป็น มหาสติขึ้นมาและผลิตปัญญาให้เป็นไปตาม ๆ กัน

ภูมิต้นเพื่อความสงบต้องใช้สติ ให้มาก ภูมิต่อไปสติกับปัญญาควรเป็นธรรมควบคู่กันไปตลอดสาย,,

พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร
คัดลอก : หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
หน้า ๒๓๕






#จงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
"..ผู้ใดมาถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ผู้นั้นย่อมชนะได้ซึ่งความร้อน สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติ เข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่กลางป่า หรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ จริง ๆ แล้ว จะแคล้วคลาดจากภัยทั้งหลาย อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนได้แน่นอนทีเดียว.."

พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร






ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชาอุปมาว่า “มะม่วงมันอยู่สูงหัวเราอยากได้ เอาไม้สิบเมตรมาสอยไม่ได้มันยาวเกินไป เอาไม้สองเมตรมาสอยมันก็ไม่ได้ ไม่พอดี มันสั้นเกินไป เราอย่าเข้าใจว่า คนจบดอกเตอร์ มาปฏิบัติสบายเหลือเกิน เพราะเรียนรู้มาพอแล้ว อย่าเข้าใจอย่างนั้น ดอกเตอร์มันยาวเกินไปก็ได้”

อีกโอกาสหนึ่งท่านสอนว่าศาสตร์ทุกศาสตร์ต้องมารวมกันที่พุทธศาสตร์มันจึงจะดี การเรียนทางโลกโดยละเลยการศึกษาและปฏิบัติหลักธรรมอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะความฉลาดมักจะอยู่ใต้อำนาจของสิ่งเศร้าหมองโดยไม่รู้ตัว ท่านเคยสอนว่าผู้จบดอกเตอร์มักจะไม่รู้เลยว่ากิเลสเขาก็จบดอกเตอร์เหมือนกัน ผู้เรียนสูงแต่ไม่รู้จักรักษาศีลธรรมเปรียบเสมือนนกอีแร้งที่บินสูงๆแต่เมื่อหิวก็ลงมากินของโสโครก

พระอาจารย์ชยสาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร