วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2023, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#ผีเข้า

เมื่อหลายปีก่อน มีโทรศัพท์มาหาครูอุปัฏฐากว่า มีคนโดนผีเข้า ร้องรำทำเพลงด้วยทำนองอีสานมาสามวันแล้ว เชิญหมอผีหลายคนมาปราบก็ไม่ยอมออก และยังรำอยู่ กราบนิมนต์หลวงปู่เมตตาไปปราบให้ที เมื่อทราบดังนั้น ครูอุปัฏฐากจึงกราบเรียนหลวงปู่ ท่านจึงสั่งให้โทรหาโยมตี้เจ้าของรถตู้เพื่อยืมรถไปโปรดโยม เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเกิดเหตุ ขณะนั้นก็เย็นมากแล้ว ปรากฏเห็นสตรีสูงอายุท่านหนึ่ง กำลังร้องรำทำเพลงอยู่คนเดียวกลางบ้านไม่ได้สนใจใครเลย เมื่อท่านไต่ถาม ทราบความว่า เขาเป็นผีฟ้าที่มีเชื้อสายมาทางแม่ (ทางอีสานเรียกผีชนิดนี้ว่า ผีเชื้อ) หลวงปู่ก็สั่งให้ตั้งพระพุทธรูป และนำคณะสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกาทำวัตรเย็นโดยไม่สนใจคนที่โดนผีเข้าเลย ทำวัตรอยู่เกือบชั่วโมง ท่านจึงนำแผ่เมตตาแล้วกราบพระ ขณะนั้นเอง คนที่โดนผีเข้าก็เหมือนจะเพิ่งเห็นองค์หลวงปู่ จึงหันมาอุทานว่า "ญาครูมา อายเด้" (พระมา อายจัง) เท่านั้นแกก็มีอาการหงายหลัง เหมือนผีออกจากร่าง เคราะห์ดีที่ญาติ ๆ มาประคองไว้ทัน

หลวงปู่ : พวกเจ้าทำไมมาพากันถือ ผีฟ้า ผีแถนเล่า

โยม : ก็เมื่อพวกข้า (พวกกระผม) ป่วย ผู้ข้าไข้ ก็อาศัยผีฟ้ามาบำบัดรักษา พวกผู้ข้าเห็นว่าการเป็นลูกผึ้ง ลูกเทียน (ร่างทรง หรือศิษย์) ผีฟ้าแล้ว บันดาลความสุขให้เกิดขึ้นได้

หลวงปู่ : ความสุขนั้นมี 2 อย่าง ความสุขที่อาศัยข้าวของเงินทอง ลูกหลานหรือสัตว์เลี้ยง กับความสุขทางใจ ที่ไม่ต้องอาศัยข้าวของ เงินทอง ลูกหลานหรือสัตว์เลี้ยง แล้วผีฟ้าให้ความสุขพวกคุณแบบไหนล่ะ

โยม : เอ่อ...ก็ทั้ง 2 อย่างนั้นล่ะครับ

หลวงปู่ : ก็เงินทอง พวกคุณก็หามา ข้างของก็ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง สุขทางใจก็เกิดจากการพักผ่อนหย่อนใจ การทำดี คิดดี พูดดี การไม่เจ็บไม่ไข้ ก็ไปหาหมอให้เขารักษา แล้วคุณว่า ผีฟ้าดลบันดาลสิ่งใดให้คุณล่ะ

โยม : ก็พวกผมทำเองนั้นล่ะครับ แล้วญาครูว่า ญาครูไม่อาศัยผีฟ้าแล้วญาครูอาศัยอะไร

หลวงปู่ : เอ้า อาตมาก็อาศัยตัวเองสิ

โยม : หา ญาครูไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร ญาครูจะอาศัยตัวเองได้ยังไง

หลวงปู่ : โอ้ย...สูเอ้ย...ปวดขี้อาตมาก็ไปขี้เอง หิวอาตมาก็กินเอง ป่วยอาตมาก็ไปหาหมอเอง ไม่มีใครดลบันดาลให้อาตมาไปดอก ก็อาตมาไม่มีอิทธิฤทธิ์อันใดน่ะสิ อาตมาจึงต้องพึ่งตัวเอง

ความสุขทางกาย ร้อนอาตมาก็เข้าร่ม ไม่มีใครที่ไหนมาดลบันดาลให้อาตมาเข้าร่ม หนาวอาตมาก็ห่มผ้า ไม่มีใครดลบันดาลให้ผ้ามาห่ม ปวดแขนปวดขาก็บีบก็นวด ไม่มีใครดลบันดาลให้ความเจ็บความปวดมันหายไป

สุขทางใจ อาตมาไม่ไปลัก ไปปล้น ไปหลอก ไปลวงใคร แสวงหาความสุขทางใจ คือความสงบเย็นอยู่ในใจ ความสงบอาตมาก็หาเอง ไม่ได้มีผู้มาดลบันดาลให้อาตมาต้องพึ่งใครอีก ให้พวกคุณพากันพึ่งเจ้าของ ให้พึ่งตนเอง อย่ามัวหวังสิ่งที่มองไม่เห็น ขนาดตัวมันยังไม่มี มันจะมาช่วยพวกคุณได้ยังไง ไม่มีใครเป็นที่พึ่งอาศัยได้ นอกจากตัวเราเอง ไปรอให้แต่ผีแต่สางมาช่วย เมื่อไหร่มันจะพึ่งตัวเองได้ ชีวิตที่ยังรอคอยให้คนอื่นช่วย มันก็เป็นคนอ่อนแอ หากเขาไม่มาช่วย เราก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ให้พากันพึ่งตนเอง มีตนเองเป็นที่พึ่ง อย่าหวังรอลมๆ แล้งๆ เข้าใจนะ

หลวงปู่หา สุภโร
วัดสักกะวัน อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์







..ในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เป็นผู้ที่มีความตั้งใจ เป็นคนที่มีศรัทธาเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าทานศีลภาวนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ฝึกหัดอบรมตนตามกำลังความสามารถของตน ไม่ให้เสียเวลาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
..เมื่อเราเห็นแล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ ชีวิตของคนที่เกิดมา ไม่ว่าจะอยู่บ้านใดเมืองใด ประเทศไหน มีคนจนคนรวยสูงต่ำตามระดับ จนถึงพระเจ้าจักรพรรดิ เหตุฉะนั้นหากพวกเรามีความต้องการ ที่จะให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปแล้วละก็ ก็ต้องมีการจำแนกแจกทานไปตามกำลังความสามารถของตน
..ถ้าไม่มีอะไรก็ใช้ร่างกายนี้แหละช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เกิดขึ้น ร่างกายนี้ก็มีคุณค่า มีทรัพย์ก็ทำไปตามกำลังการทำมาหาได้ ทำบุญทำกุศลไม่ใช่ให้ทำมาก ที่จะทำให้เจ้าของมีความลำบาก ต้องทําไปทีละน้อยๆ เหมือนกับปลวกตัวเล็กๆมันคาบดินไปทำรังนี่แหละ มันมาแปะทีละน้อยมันก็เป็นจอมปลวกใหญ่ได้ ฉันใดก็ดีการทำบุญการกุศลให้ทำไปทีละน้อยๆ ไม่นานก็จะมากมายมหาศาลเกิดขึ้น
..ดังนั้นเองให้สร้างไปทุกภพทุกชาติ สร้างไปเรื่อยๆ มันก็จะเป็นคุณงามความดีเป็นพื้นฐานที่ดีของมนุษย์ที่ได้เกิดมาในโลกนี้ นี่ก็เรียกว่าเป็นการสร้างสมอบรมคุณงามความดีของชีวิตการทำคุณงามความดีเป็นพื้นฐานที่ดีของมนุษย์ที่ได้มาเกิดในโลกนี้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..






โอวาทธรรม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ไม่ต้องไปปฏิบัติที่ไหน!

ดูตัวเราเองนี่แหละ ทำใจสบายๆ
ไหว้พระสวดมนต์
ปรับจิต ปรับใจ ปรับธาตุ
อยู่บ้านนี่แหละ!
มันไม่ไปไหนหรอก กรรมฐาน
มันอยู่ที่เรา....ไม่ได้อยู่ที่ไหน

หงวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ







"...เมื่อจิตมีความทุกข์ จิตมีความเศร้าหมองขุ่นมัว
จิตมีความเดือดร้อนในอารมณ์อย่างไร ต้องใช้สติ
ปัญญาค้นหาเหตุที่เกิดขึ้น ว่าจิตมีความทุกข์เดือด
ร้อนด้วยเหตุอันนี้ ชี้จุดที่ผิดให้จิตได้รู้เห็นอย่างชัด
เจน เพื่อจะใช้ปัญญาสอนจิตให้ตรงกับเหตุนั้นๆ
มีสติระวังสังวรไม่ให้จิตไปก่อเหตุอย่างนี้ขึ้น และ
มีสติปัญญาที่เตรียมพร้อม เพื่อแก้ปัญหาให้ทันต่อ
เหตุการณ์ เพราะอารมณ์เหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นที่จิต
ได้แล้วจะหายไปได้ยาก เช่น อารมณ์ของโลภะ
อารมณ์ของราคะ อารมณ์ของโทสะ อารมณ์ของ
โมหะ เมื่อเกิดขึ้นกับจิตได้แล้ว ถ้าไม่มีอุบายที่แยบ
คายเข้าแก้ไข อารมณ์นี้จะหายไปจากจิตได้ยาก
แต่ก็ต้องพยายามที่จะแก้ไข จิตมีอารมณ์อะไรเป็น
มูลเหตุ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในเหตุนั้นๆ
อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันสังขารจิตไปปรุงแต่งให้
เหตุนั้นขยายตัว เหมือนกับไฟที่กำลังจะก่อตัว ก็ต้อง
รีบดับเสีย ถ้าปล่อยให้ไฟลุกลามไปใหญ่โตแล้วย่อม
ดับได้ยาก

นี้ฉันใด ถ้าอารมณ์แห่งความรักความใคร่เริ่มก่อตัว
ก็รีบใช้สติปัญญาแก้ไขให้ทันท่วงที ถ้าปล่อยให้
ความรักความยินดีมีกำลังรุนแรง จิตก็จะจมดิ่งลง
สู่กามคุณ เกิดอารมณ์ความโลภ อารมณ์ความโกรธ
อารมณ์แห่งราคะ อารมณ์แห่งโมหะ จะทำให้จิต
มีความเศร้าหมองขุ่นมัว หมุนตัวตามกิเลสตัณหา
โดยไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง มีแต่บ่ายหน้ามุดตัวลง
ในกามคุณตลอด ๒๔ ชั่วโมง ความผูกพันเพ้อฝัน
ในอารมณ์ของกามคุณก็จะไม่มีวันอิ่มพอได้เลย..."

#ที่มา หนังสือ พ้นกระแสโลก หน้า ๕๖ - ๕๗
หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ วัดป่าบ้านค้อ จ.อุดรธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร