วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 15:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2023, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


.
1. ให้รักษาศีลข้อเดียว คือ รักษาใจให้ปกติ

2. อย่าส่งจิตออกนอก คือ อย่าส่งออกไปปรุงแต่งเรื่องคนโน้น คนนี้ หรือเรื่องภายนอก ถึงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายได้ ถ้าเราไม่ส่งจิตออกนอก

3. อยู่กับผู้รู้เสมอๆ ไปอยู่ป่าเขามันว้าเหว่ ก็ให้รู้ให้ดูว่า ใครมันว้าเหว่ จะกวาดลาน ถูพื้น อาบน้ำ ทำทุกอย่างให้อยู่กับผู้รู้ แม้แต่คิดก็ให้ดูว่า ใครเป็นผู้รู้ ผู้คิด แม้แต่ปวดหัว ก็เอาไว้ดูว่าใครเป็นผู้ปวด

4. หาใจให้เจอ ใจคือความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทาง ชอบ-ชัง ถูก-ผิด ดี-ชั่ว เจอใจที่เป็นกลาง ศาสนาพุทธจบลงเท่านี้

ท่านอมยิ้มแล้วถามว่า “เป็นไง สอนเหมือนคนอื่นสอนไหม”

คำสอนของหลวงปู่เทสก์ 4 ข้อนี้ จำขึ้นใจและปฏิบัติมา 20 กว่าปี เหมือนตำพริกไทยด้วยครกหิน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามดู ตามรู้ หลงบ้าง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง

ทุกครั้งที่กระทบกับปัญหาอันไม่คาดคิด ก็จะระลึกถึงคำสอนของหลวงปู่เสมอ อยู่กับผู้รู้เสมอๆ ไม่ส่งจิตออกนอก

คำสอนหลวงปู่ เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย








ความลับสุดยอด
โลกทั้งหมด
ตั้งขึ้นและดับลงที่ผัสสะ
เมื่อควบคุมผัสสะได้
ก็คือควบคุมโลกทั้งหมดได้
นั่นก็คือ... ควบคุมทุกข์ทั้งปวงได้.

พุทธทาสภิกขุ






..เห็นไหม คนที่หวงแหนบางสิ่งบางอย่าง หวงแหนคน หวงแหนสัตว์ หวงอะไรมันก็หลงใหลไป มันก็ผิดกันเอง มันยุ่งกันไปเอง เราก็เห็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่น่าพินิจพิจารณา น่าเอามาคิดมาอ่านองค์สมเด็จพระศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นคว้ารู้เรื่องอย่างนี้ ว่ามันเป็นอยู่กับสภาวะกับโลก มันตั้งมาพร้อมกัน มันเกิดขึ้นมาแล้วมันพร้อมกันอยู่อย่างนี้แหละ
..แม้ต้นไม้ ภูเขา รถ ตึกรามบ้านช่อง ห้วยหนองคลองบึงก็ดี มันมีอยู่ในโลก มันก็เป็นไปอย่างนี้ รูปร่างกายของพวกเรา เป็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ดี มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ของมัน แต่เราไม่ศึกษาไม่รู้ ใครจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม คนที่รู้ก็เป็นไปได้อยู่อย่างเดิม ก็จะสบายหน่อย คนที่ไม่รู้มันจะทุกข์..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..







"มนุษย์อยากสุข แต่ไม่รู้จักสุข
อยากหนีทุกข์ แต่ไม่รู้จักทุกข์
สุ่มสี่สุ่มห้า เดินคลำไปคลำมา
ในความมืด

เอาความหวังในความสุขข้างหน้า
เป็นที่ปลอบใจ บางคน
อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเนรมิต
ให้ความมืดกลายเป็นความสว่าง

แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า
โยม… มันสว่างอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนหรอก
ลืมตาก็จะเห็นเอง"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ






จงคอยเตือนตนด้วยตนเองอยู่เสมอๆ
ว่าเราปฏิบัติเพื่อละโลภ โกรธ หลง
การที่จะให้ใครๆมายกย่องว่าเราเก่ง เราดี
อย่ามีในจิตใจ หากมันผุดขึ้นมาก็ให้ละมันเสีย
ด้วยการรู้เท่าทัน การมีการเป็นไม่ใช่เป้าหมาย

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






ปล่อยวาง ปล่อยวาง จงปล่อยวาง

โยม ; หลวงปู่ครับ ทำไมไปที่ไหนๆ พระท่านก็สอนแต่ให้ปล่อยวาง ปล่อยวาง ถ้าทุกคนปล่อยวางหมด ถ้าอะไร อะไรก็ปล่อยวาง แล้วประเทศชาติจะพัฒนาเหรอครับ

หลวงปู่ ; หือ คุณเข้าใจคำว่าปล่อยวางแค่ไหน

โยม ; ก็…. ผมคิดว่าการปล่อยวาง คือการละทิ้งทุกอย่าง ไม่สนใจอะไรเลย ไม่ยึดไม่ติด เอาตัวเองรอดอย่างเดียว

หลวงปู่ ; นั้นคุณกำลังยึดติด

โยม ; อ้าว ผมยึดติดยังไงครับหลวงปู่ ก็ในเมื่อผมวางทุกอย่าง ไม่สนใจอะไร ไม่สนใจใคร

หลวงปู่ ; นั้นหล่ะยึดติด ยึดติดในความคิดของคุณไง ยึดติดในความเห็นผิดไง การปล่อยวางแบบที่คุณว่าเป็นการปล่อยปละละเลย ไม่ใช่การปล่อยวาง บ้านสกปรก คุณไม่กวาดคุณก็บอกว่าปล่อยวาง ลูกทำตัวไม่ดีคุณก็ไม่ยอมบอกเตือน ไม่ยอมสอน คุณบอกว่าปล่อยวาง หนักๆเข้า อะไรมากระทบกายกระทบใจก็ปล่อยไป ปัญหาเข้ามาสุมหัวมากมาย ก็ไม่แก้ไข เพราะคุณปล่อยวาง แบบนี้ไม่เรียกปล่อยวาง เรียกว่าปล่อยปละละเลย ปล่อยวางอย่างนี้หลวงปู่ยังไม่เชื่อว่าคุณปล่อยวาง คุณขี้เกียจกวาดบ้านก็บอกว่าปล่อยวาง จะให้หลวงปู่เชื่อคุณต้องมานอนกลางลานดินอันนี้หลวงปู่ถึงจะเชื่อ แต่การปล่อยแบบคุณ มันจะมีแต่ปัญหา หลวงปู่จึงเรียกว่าการยึดติด ติดกับความคิดที่ผิดของคุณ เข้าใจนะ

โยม ; ครับผมหลวงปู่ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี คำว่าปล่อยวางกับปล่อยปละละเลยที่หลวงปู่ว่ามันต่างกันยังไง

หลวงปู่ ; คุณเคยเห็นว่าวไหม ว่าวมันลอยอยู่บนฟ้าลอยไป ลอยมาอย่างอิสระ จะขึ้นจะลงก็อิสระ ที่ว่าวมันลอยอยู่ได้เพราะมีเชือกดึง ถ้าไม่มีเชือกว่าก็ลอยขึ้นฟ้าไม่ได้ เมื่อว่าวมันลอยขึ้นไปแล้วมันก็อาศัยเชือกยึดมันไว้ให้ลอยอยู่บนฟ้าได้ ถ้าว่าวขาดเชือก มันก็จะหลุดลอยตกลงมาบนพื้นดิน

การปล่อยวางของคุณให้ทำให้ได้อย่างว่าว เอาความถูกต้องยึด ไม่ใช่ปล่อยไปตามความถูกใจ เอาความเหมาะสมยึดไม่ใช่ปล่อยไปตามความเหลวไหล เอาทางสายหลายความพอดียึดไม่ใช่เอามิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดยึด

เอาศีลเอาธรรมยึด ยึดไว้แล้วปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจ ดูแลรักษาสิ่งนั้นๆให้พอดี อย่าเอาใจไปเกาะจนทุกข์ แต่อย่าละเลยจนขี้เกียจ

อย่าเอาธรรมไปเข้าข้างตนเอง ในเมื่อตนขี้เกียจ ขี้เกียจกับปล่อยวางต่างกันฟ้ากับดิน ไม่ใช่ขี้เกียจแล้วอะไร อะไร ก็ปล่อยวางไปหมด เหมือนว่าวขาดเชือก สุดท้ายมันก็หล่นลงดิน

ปล่อยวางได้ แต่ต้องดูความเหมาะสมด้วย การเข้าใจการปล่อยวาง จะรักษากายของคุณให้ปลอดภัย รักษาใจของคุณให้เป็นสุข..แต่ถ้าทำแล้วมันเกิดทุกข์ มันไม่ใช่การปล่อยวาง เข้าใจนะ

หลวงปู่หา สุภโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร