วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2024, 13:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2023, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ความหลุดพ้น ที่มนุษย์ทุกคนพึงหานั้น อยู่ที่ตนเอง หากตนเองมุ่งปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้พบไม่ยาก ขอให้มุ่งปฏิบัติเถิด อาตมามุ่งปฏิบัติ จึงได้ค้นพบทางที่จะเดินไปสู่ทางดับ อาตมามาสู่ชั้นพรหมโลกนี้ ได้พบกับโยมชายผู้นี้ ได้ขอให้อาตมาแสดงธรรมโปรดให้กับมนุษย์ได้รู้ ธรรมะที่อาตมาจะสอนนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ อาตมาเป็นศิษย์ มีความรู้เพียงน้อย ได้แต่ฟังและนำมาบอกเล่าต่อให้ได้รู้

" การหลุดพ้นนั้น จะต้องทำจิตของตนให้หมดกิเลส หมดสิ้นจากทุกข์ทุกอย่าง หมดสิ้นจากราคะ หมดสิ้นจากสิ่งที่อยากจะได้ สิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง (โลภะ โทสะ โมหะ) ตัดสิ่งนี้ให้หมดสิ้น และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้พบทางหลุดพ้น อาตมาทำตามวิธีนี้ จึงได้พบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า เป็นทางดับที่แท้จริง "

อาตมาขอแสดงธรรมเพียงเท่านี้
เจริญพร

หลวงพ่อเกษม เขมโก
สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง








"การเจ็บปวดเมื่อนั่งสมาธิ
พระพุทธเจ้าว่า...
ให้สู้กับมัน มันจึงจะเห็นทุกขเวทนา นั่งสมาธิ
มันเจ็บ ให้ดู...มัน
มันเกิดมาจากไหนเวทนา มันก็เวทนาต่างหาก ไม่มี...ตัว
เราก็พิจารณาให้รู้เท่านั้นแหละ ของไม่มีตน มีตัว มันเกิดขึ้น ก็เกิดจากร่างกายเนื้ออย่างหนึ่ง
แล้ว...ก็มันรู้สึกถึงจิต รู้...ถึงกัน
จิต ก็ไปยึด ยึด...มันก็เจ็บ
หนักเข้าก็ไม่สู้มัน ต้องสู้...มัน มันจะเห็น

พระพุทธเจ้าว่า...
กำหนดให้รู้ทุกข์ ทุกข์มาจากไหน
ทุกข์มาจากเหตุ คืออยากเป็น อยากมี
ความอยาก เป็นอยากมี
ความอยาก...มันเกิดมาแต่เหตุ เหตุมันเกิด
มาจากไหน ?

เหตุมาจาก...ความไม่รู้
ไม่รู้เท่ากาย จนกระทั่งความคิดทั้งหลาย
เข้ามามัน ก็ไม่รู้ทั้งนั้น คือมันโง่เรียกว่าอวิชชา
เป็นเหตุให้สัตว์ผู้ไม่รู้เท่า เกิดความยินดี-ยินร้าย
เกิดความพอใจ ไม่พอใจ
เกิดความอยากเป็น อยากมี
เป็นเหตุให้วนเวียนเรียก ว่า...
สังสารจักร์วัฏฏกา เวียนอยู่อย่างนั้น เป็นเหตุ
ให้เราเวียนเกิด-เวียนตาย อยู่...ในภพน้อย
ภพใหญ่

กรรมดีเหมือนพวกคุณหมอ ก็ดี
ไม่เจอะทุกข์ปานใด เกิดมาไม่เสียชาติ
เกิดเป็นมนุษย์ มิหนำได้เกิดมาพบโอวาทคำสอน
ของพระพุทธเจ้า เกิดมาในปฏิรูปประเทศ
ประเทศอันสมควร คือประเทศมีพระพุทธศาสนา ประเทศมีนักปราชญ์อาจารย์ เพื่อนแนะนำสั่งสอน ประเทศอย่างนี้...
พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็นมงคลพวกท่านทั้งหลาย

ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท อตฺตสมฺนา ปณิธิ ผู้ตั้งตนไว้ในที่ชอบ อาชีพเลี้ยงชีพภายนอกดี โดยชอบธรรม โอวาทคำสั่งสอน ก็ไม่ประมาท
ทุกสิ่งทุกอย่าง มีการจำแนกแจกทาน มีการสดับรับฟัง แล้วก็ปฏิบัติตามดำเนินตามโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ธรรมทั้งหลายมีกาย กับใจเท่านั้นแหละ
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ใจ ที่มันรู้เท่า
แล้ว ก็มีความหน่ายต่อสิ่งทั้งปวง
ทางความชั่ว มันก็รู้เท่า แล้วมันก็เอาอยู่นั่นแหละ
ไปยึดภพน้อยภพใหญ่ อยู่นั่นแหละ
พวกเรายังนับว่าไม่เสียที แม้ยังไม่มีความเบื่อหน่าย ก็ยังเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้เอาทรัพย์สมบัติ
คืออริยทรัพย์ให้ได้ให้เกิดให้มี อยู่ในหมู่ของตน
อยู่ในสันดานของตนสะสมไว้

อัตภาพร่างกาย เป็นของไม่มีสาระแก่นสาร
ทรัพย์ภายนอก ก็ไม่มีสาระแก่นสาร
ชีวิต...ของพวกเรา
ความเป็นอยู่ ก็ไม่มีสาระแก่นสาร

เรามาพิจารณารู้อย่างนี้แล้ว
เราเป็นผู้ไม่ประมาท รีบเร่งทำคุณงามความดีประกอบขึ้น รีบเร่งสะสมอริยทรัพย์
ศีลของเรา ก็บริบูรณ์ไม่มีด่างพร้อย ตามภาวะ
ของตน ศีล ๕ ศีล ๘
เดี๋ยวนี้พวกท่านกำลังอบรมสมาธิ กำลังจะเอาทรัพย์ อันนี้เรียกว่า...อริยทรัพย์

ศีล ก็เป็นอริยทรัพย์อันหนึ่ง
สมาธิ ก็เป็นอริยทรัพย์ หมั่นอบรมจิตใจ
ปัญญา ก็เป็นอริยทรัพย์ หมั่นอบรมจิตใจ
เวลาเราเข้าสมาธิ จงให้สติ...ประจำใจ
กำหนดสติให้แม่นยำ รักษาจิตใจของเราให้อยู่กับที่ และให้จิตใจ ปล่อยวาง...
ทุกสิ่งทุกอย่าง กิจการงานของเราเคยทำมาอย่างไร ก็ดี เวลาเข้าที่ ให้ปล่อยวาง...ให้หมด
ความรัก ความชัง อดีต อนาคต วาง...
ปล่อยวาง...ไม่ให้เอาใจใส่เรื่องนั้นๆ

ให้มีสติประจำ ไม่ให้มันไปตามอารมณ์ เหล่านั้น
ครั้นควบคุมสติ ได้แล้ว...
จิต มันอยู่คงที่แล้ว อยู่ กับกายของตนแล้ว
ให้มันเห็นกายของตนนั่นแหละ สิ่งอื่น...
อย่าให้มันมาเป็นอารมณ์ของใจ ครั้นจะเพ่งเอาอารมณ์ ก็ต้องเพ่งเอาอัตภาพสกนธ์กายของตนนี้...

ให้มันเห็นมันกรรมฐาน ๕ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พระพุทธเจ้าแจกไว้หมดแล้ว
ไม่ใช่ คน ไม่ใช่ คน แต่...ไปยึดถือมัน
ผม ไม่ใช่คน ขน ไม่ใช่คน เล็บ ไม่ใช่คน
เราจะมาถือว่า...ตัวว่าตนอย่างไรล่ะ?
ฟัน ก็ไม่ใช่คน ฟันมันต้องเจ็บต้องคลอน
ต้องโยก ต้องหลุด อันนี้...มันไม่ใช่ของใคร

สิ่งเหล่านี้...เป็นของกลางสำหรับให้เราใช้
เราต้องหมายเอาใจไว้เสียก่อน
แท้ที่จริง...ก็ไม่ใช่ ของเราอีกนั่นแหละ

ถ้าใจ เป็นของเราแล้ว
เราบอกว่า...เราบังคับคงจะได้ อันนี้ !
ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร แล้วแต่มันจะไป
ถึงคราวมันจะเป็น มันถือกำเนิดขึ้น
มันยังไง มันก็ไม่ฟัง จะตีมัน ก็ไม่ฟังอีกแหละ

เพราะเหตุนั้น...
มันจึงไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เราต้องรู้เท่ามัน
เวลาเราภาวนา อย่า...ให้มันอะไรเข้ามาเป็นอารมณ์ นอกจากสังขารตัวนี้
มันก็ให้เห็นเป็นอนิจจัง ให้เห็นไตรลักษณ์
ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก เห็นเป็นไตรลักษณ์ แล้วก็ให้เห็นเป็นปฏิกูลสัญญา
ของโสโครก น่าเกลียด ให้เห็นมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา
แล้วก็ไม่ใช่จริงๆ ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก ไต หัวใจ ตับ ม้าม พังผืด อาหารใหม่ อาหารเก่า มันไม่ใช่เรา ทั้งนั้น...
ถ้าแจกออกไป ไม่ต้องไปยึดถือนะ ไม่ใช่นะ

พระพุทธเจ้าว่า...
เรายังไม่ยึดถือว่าผมของเรา ขนของเรา
เล็บของเรา ฟันของเรา อันนั้นแหละห้าม
บางที...
จิต ของเรา ใจ ของเรา ถูกกับอันหนึ่ง อันใด
ก็เอาอันเดียว เท่านั้นแหละ
พระพุทธเจ้าแจกไว้ แต่ว่า จริตของคนนิสัย
ของคน มันถูกอันไหน ก็เอาอันนั้นแหละ

จิต...มันหยุด
จิต...มันสงบกับพุทโธ
จิตใจ กับพุทโธ มันก็ อยู่...กับพุทโธ
อาตมา มันถูกกับพุทโธ
ตั้งใจเอาไว้ ปล่อย...ทุกสิ่งทุกอย่าง
กำหนดเอาสติรักษาใจไว้
เอาพุทโธ ไม่เผลอ...สติ ให้เห็นพุทโธ
ตั้งอยู่...กลางใจนี้ ไม่สบายเลยหาย

อาตมา นิสัยถูกกับพุทโธ
บริกรรมอัฐิกระดูก บางทีมันก็ถูก
ถูก...มันก็ปรากฏเห็นกระดูกหมดทั้งสกนธ์กาย

พระพุทธเจ้าต้องการ
ให้จิต มันเห็นจิต มันไม่เห็น...ให้บริกรรมให้เห็น
ต้องการให้มันเบื่อหน่าย
ให้มันเห็นว่า ไม่ใช่ตน สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น
อายตนะก็ดี ตกอยู่ในไตรลักษณ์หมดทั้งนั้น
เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย
ว่าใจ เป็นของเรา เป็นเหตุ...ให้ยึดมั่นถือมั่น
นั่ง ก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น

สมาธิ ก็ต้องออก
ท่านจึงให้สู้...มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึก
ก็ต้องอย่างนั้นแหละ
ต้องมีขันติ ความอดทน ทนสู้...กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา ดู...มัน
จิต มันถูกอันใดอันหนึ่ง เมื่อเราสกัดกั้น ไม่ให้มัน
แส่ส่ายไปตามอารมณ์ภายนอก มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น เรียกว่ากามคุณ ๕
ไม่ให้ ไปจดจ่อ อยู่...กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว
มัน จะอยู่ที่ มัน ก็ว่างอารมณ์

ไม่มี...อารมณ์เข้ามาคลุกคลีดวงจิตแล้ว
จิต ตั้งมั่นเรียกว่า...จิตว่าง
ไม่มี อะไรมาพลุกพล่าน เหมือนกันกับน้ำในขัน
หรือน้ำอยู่ที่ไหน ก็ตาม
เมื่อมันไม่กระเพื่อมแล้ว มันนิ่ง...ก็เห็นสิ่งทั้งปวง
อยู่ในก้นขัน...ต้องเห็น
เห็นอันนี้ เห็นแล้วเราต้องสละปล่อยวาง
มันจะเห็น...โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ เรามี
เราจะได้พยายามละถอน สิ่งเหล่านี้ออก
ปล่อยจิตว่าง...แล้วจิตสบาย

เพราะ...จิตเป็นหนึ่ง ไม่ขุ่นมัว
เพราะ...ไม่มีอารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว
ดวงจิตใส ดวงจิตขาว จิต...ก็เย็น
มีแต่...ความสบาย มีความสุข รู้เท่า...สังขาร
รู้เท่า...สิ่งทั้งปวง

รู้เท่า...ความเป็นจริงแล้ว
เกิดอันใดอันหนึ่ง ก็ดี หรือไม่ก็ครบรอบ ก็ดี
เมื่อพิจารณาอันใดอันหนึ่งแล้ว...
จิต ของเรา ไม่มี ความหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง
ถึงมรณะจะมาถึง ก็ตาม ทุกขเวทนาเจ็บปวด
มาถึง ก็ตาม ไม่มี ความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น

เมื่อรู้เท่า...ความเป็นจริงแล้ว
ความติฉินนินทา ก็ตาม ไม่มี ความหวั่นไหว
ต่อสิ่งเหล่านั้น เสื่อมลาภ ก็ตาม เสื่อมยศ ก็ตาม เสื่อมสรรเสริญรักชอบ ก็ตาม ไม่เอาใจใส่
เอามาเป็นอารมณ์ มันก็...มีความสุข เท่านั้น

จะหาความสุขใส่ตน
ก็มี แต่...ฝึกฝนทรมานตน นั่นแหละ
พระพุทธเจ้า ท่านว่า...
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ ให้ทรมานจิต ฟอกฝนจิต ของเรา ฝนจิต ให้มัน ว่าง...
ให้มัน รู้เท่า...ความเป็นจริง ไม่ยึดมั่น ถือมั่น

จิต นั่นแหละ
จะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือนำความสุข
คือนิพพานมาให้ หรือจิตเรายังไม่พ้น...
ก็จะนำสวรรค์มาให้ นำเอาความสุขมาให้
ตราบเท่าตลอดเวลา
ตราบเท่าชีวิต แล้วมี...สติคติโลกสวรรค์เป็น
ที่ไป."

หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล.






..ธรรมะให้เกิดความสุข..

ผู้ถาม : ลูกขอได้โปรดให้หลวงพ่อแนะนำเรื่องการดำรงชีวิตให้มีความสุข จะปฏิบัติอย่างไรดีเจ้าคะ..?

หลวงพ่อ : ไม่ยาก ๆ
๑. กินข้าวให้มาก ๆ
๒. นอนหลับดี
๓. ขี้หมดท้อง (หัวเราะ)
เอาอย่างนี้ดีกว่า ตามแบบของ..สังคหวัตถุ ๔ ง่ายดี

๑) ทาน การให้
รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ระหว่างเพื่อนบ้าน เขาไม่มีแกง เรามีแกง เราให้เขา เราไม่มีน้ำพริก เขามีน้ำพริก เขาให้เรา รู้จักยื่นโยนซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข

๒) ปิยะวาจา ปิยะ แปลว่า ที่รัก
พยายามพูดให้เป็นที่รักของบุคคลผู้รับฟัง เขาชอบใจแบบไหน พูดแบบนั้น

๓) อัตถจริยา
รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามสมควรทางกาย

๔) สมานัตตตา ไม่ถือตัวถือตน

แค่นี้มีความสุขเยอะแล้ว ไปไหนคนเกลียดน้อย จะหาว่าคนไม่เกลียดเลยไม่มีนะ คนที่ไม่ถูกใครเกลียดเลย คือคนที่ยังไม่เกิด

ฉะนั้นคนที่เกิดย่อมได้รับการโดนเกลียด และย่อมได้รับคำนินทาด้วย แม้แต่พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา.

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี








การทำสิ่งไหนก็ตาม ให้ทำจริงจังและจริงใจ ไปอยู่สถานที่ใด อยู่กับเจ้านาย เจ้านายก็รัก อยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็รักเมตตาไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะเหตุใด เพราะว่าเราทำอย่างจริงจัง

หลวงพ่อมาเห็นศรัทธาญาติโยมลูกหลานทุกวันนี้ พอเขาว่าจ้างไปทำไร่ทำนา ทำรั้ว ทำสวนให้เขา ไปดายหญ้าไปดำนาให้เขา พอไปทำแล้วกลัวเจ้าของเขาได้ดี ไปก็ไปสาย ๆ พอทำมะล่องจ๊อกแจ๊ก เสร็จแล้วก็กินข้าว แล้วก็ทำมะล็อกจ๊อกจ๋อยกลับมา ผลงานก็ไม่ได้อะไร จ้างมาก็ตั้งหลายร้อย เขาก็ไม่จ้างต่อ ตัวเองก็ไม่มีงาน ก็คือตกงาน

คนตกงานทุกวันนี้ ที่ว่าเขาตกงาน เขาอาจจะเลือกงานเกินไป ถ้างานอย่างนี้ไม่พอใจก็ไม่ทำ พอไปทำก็ทำไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้เจ้าของงานเขารำคาญ เพราะเจ้าของเงินเขาเนี่ย เขาก็มองดูมันคุ้มค่าเงินไหมที่เขาจ้างทำงาน พอไม่ตั้งใจทำงาน ผลที่สุดก็ออกจากงาน ออกจากงานเสร็จแล้ว คน ๆ นี้ อู้จะตาย อีนางนั่น ไอ้นายนี้ มันมาทำงานน่ะ อย่าไปจ้างมันนะ มันขี้เกียจยิ่งกว่าอะไรอีก อย่าไปจ้างมันนะ พอคนอื่นเขาได้ยิน เขาก็ไม่จ้างแล้ว เพราะขี้เกียจ จ้างก็ไม่คุ้มค่าเงิน เขาก็ไม่จ้าง ตัวเองก็ตกงาน เพราะเหตุใด เพราะตัวเองทำให้ตนเอง

ถ้าคนไหนก็ตามไปทำงานกับนายจ้าง ไม่เอารัดเอาเปรียบนายจ้าง ตั้งใจทำงาน ใคร ๆ ก็อยากจะให้คนนั้นมาอยู่กับตัวเอง หลวงพ่อก็ต้องการ ต้องการคนขยันนะ เพราะไว้เนื้อเชื่อใจได้ แต่ถ้าหากว่าทำงานมะล่องจ๋องจ๋อยเอารัดเอาเปรียบ ต่อหน้าทำดี พอลับหลังไม่ทำงาน สักแต่ว่าทำเท่านั้นน่ะ เมื่อมีผู้มาเล่ากล่าวให้หัวหน้าเขาฟัง เขาก็ต้องสังเกตนะมันเป็นอย่างที่เขาพูดมาไหม ถ้าเป็นอย่างที่เขาสังเกต อู้ย ไป ๆ ออกซะ อยู่ไปก็เท่านั้น ไม่คุ้มค่าเงินของเขา ผลที่สุดก็เสียงาน ตัวเองก็ตกงาน พอตกงานแล้วจะทำยังไง ไม่มีเงิน สรุปแล้วก็คือตัวเองทำให้ตัวเองทั้งนั้นนะ

เพราะฉะนั้น เราไปอยู่ ณ สถานที่ใด อย่าให้ใครหนักใจกับเรา ทำให้คนอื่นเบาใจ สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ต่อเขา ดูแลรักษาช่วยเขา เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เขาก็ไว้เนื้อเชื่อใจ โอ้ อันนี้เป็นคนดี เผลอ ๆ ถ้ายังไม่ได้แต่งงาน เขาจะให้เป็นลูกสะใภ้ให้เป็นลูกเขยอีกต่างหาก เพราะเขาดูแล้วเป็นคนดี เป็นคนรับผิดชอบ มันถลำเข้าไปถึงขนาดนั้น เพราะเหตุใด เพราะใคร ๆ ก็ต้องการคนดีทั้งหมด คนที่ทำกระรวดกระราดไปเรื่อย ทำอะไรเสียหาย ไปเลย ตาย ๆๆ ถ้าขืนทำเข้าไปเสียหายหมด นั่นแหละ การทำงานแบบนี้ใช้ไม่ได้ เขาก็มองดูอีกเหมือนกัน

อันนี้หลวงพ่อพูดคดีโลกให้ลูกหลานได้ฟังได้ศึกษา คดีโลกคดีธรรมมันไปด้วยกัน ธรรมกับโลก โลกกับธรรมมันเเฝงกันไป ถ้าหากว่าเราทำไม่ถูก อดอยากปากแห้งจะไปนั่งภาวนาได้ยังไงคนหิวกระหายอยู่ คนไม่มีผ้าจะนุ่ง ไม่มีอาหารการบริโภค หลวงพ่อมาเทศน์ ลูกหลานนั่งภาวนานะ มันจะนั่งได้ยังไงเพราะมันหิว มันต้องหาอาหารให้เขากินก่อน ต้องหาผ้านุ่งห่ม ให้กินก่อน ต้องรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายเสียก่อน ดีขึ้นมาเสียก่อน แล้วค่อยสอนธรรมะให้ เราจะไปสอนให้คนไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีอาหารการบริโภค คนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ มันสอนไม่ได้นะลูกหลานนะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “คนดีคนขยัน ย่อมเป็นที่ต้องการเสมอ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓






.

#ทำใจให้สบาย

มันป่วยก็ธรรมดาของการป่วย
แต่ว่าท่านก็นึกว่าป่วยก็ป่วยไปสิ
เราใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีเราก็พ้นมันไปแล้วนี่ ไปนิพพาน

ถ้ามันจะตายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าของรักของชอบใจพลัดพรากจากไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
มันจะหายก็หายไป
มันพังก็พังไป
มันเกิดมาเพื่อพัง มันมีอยู่เพื่อพัง
เราหามาได้เพื่อหายตกหล่น
มันจะหายไปก็ช่างมัน
ใจมันก็สบาย

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
_________
จ่กหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๑๖ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร