วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 23:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2023, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…นี่แหละคือการเจริญมรรค
ด้วยการกำหนดรู้ทุกขสัจ
ว่าเกิดมาแล้วต้องตาย

.หายใจออกก็ว่า ถ้าไม่หายใจเข้าก็ตาย
หายใจเข้าก็ว่า ไม่หายใจออกก็ตาย
ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ใจจะน้อมรับความจริง

.จะเกิดความสงบสุข ดับความกังวล
ความวุ่นวายกระสับกระส่าย
กินไม่ได้นอนไม่หลับได้
พอเห็นผลแล้วจะติดใจ
จะพิจารณาตลอดเวลา

.จนไม่มีความอยากที่จะอยู่
ไปนานกว่าความจริง จะเป็นอย่างไร
ก็ปล่อยให้เป็นไปตามความจริง

.มันแก่ก็ให้มันแก่ไป
มันเจ็บก็ให้มันเจ็บไป
มันตายก็ให้มันตายไป

.ผู้พิจารณาไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ
ไม่ได้ตายไปกับร่างกายเสียอย่าง

“ จะไปเดือดร้อนทำไม ”.
…………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๑๖ กัณฑ์ที่ ๓๙๕
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๒






"ถ้าแตงโมนี้ไม่หวานอย่างที่ควรจะเป็น
และขนมนี้ไม่อร่อย ตามแบบฉบับของมัน
ก็ถือเสียว่า มันเป็นของใหม่ หรือแบบใหม่
ที่ทำให้เราได้กินแปลกใหม่ออกไป
ควรจะนับว่าเป็นโชคดี หรือความเจริญ
ดีกว่าจะขัดเคือง ให้เปลืองใจ"

ท่านพุทธทาสภิกขุ






คำว่า "ดีเกินไป"ไม่มี
แต่ขอให้ดีนั้นเป็น "ดีแท้"
ดีจริงๆก็เป็นพอ

พระพรหมวชิรคุณ ดร.(ไพบูลย์ สุมงฺคโล)
วัดเทพนิมิตสุดเขตสยาม​ เชียงของ จ.เชียงราย





. "การผูกเวรกันนำมาซึ่งทุกข์ไม่จบไม่สิ้น แต่เวรระงับได้ด้วยการอโหสิกรรม เวรก็จะระงับกันไป”

“สิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นต้องมีดับเป็นธรรมดา สิ่งใดไม่มีเกิดไม่มีดับนั่นแหละ คือ ที่สุดแห่งทุกข์”

โอวาทธรรมหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัด อรัญญบรรพต จ.หนองคาย







"...การเพ่งรูปเพ่งนามเป็นสมถะนะ หลายคนเข้าใจว่า
ถ้ามีอารมณ์รูปนามแล้วต้องเป็นวิปัสสนาเสมอไป
นี่ไม่จำเป็นนะ จริงอยู่ที่ว่าการทำวิปัสสนานี่ต้องใช้
อารมณ์รูปนาม ต้องรู้อารมณ์รูปนาม อันนี้แน่นอน
จะไปรู้อารมณ์บัญญัติหรือไปรู้อารมณ์นิพพานไม่ได้
จะไม่ใช่วิปัสสนา แต่สมถะนี่ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้
ใช้อารมณ์รูปนามก็ได้ กระทั่งอารมณ์นิพพานก็ใช้ทำ
สมถะได้ พระอริยเจ้าทำสมถะโดยใช้อารมณ์รูปนามก็ได้
ใช้บัญญัติก็ได้ ใช้อารมณ์นิพพานก็ได้ คนทั่วๆ ไปทำ
สมถะได้โดยใช้อารมณ์บัญญัติคือเรื่องราวที่คิด
กับอารมณ์รูปนามโดยการเพ่งรูปเพ่งนาม อย่างนี้เป็น
สมถะ ส่วนวิปัสสนาไม่ใช่แค่การเพ่งรูปนามเฉยๆ
แต่จะต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
จึงจะเป็นวิปัสสนาจริงๆ..."

#โอวาทธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙





..เราปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองเราจึงได้พากันมาสร้างสมอบรมคุณงามความดีเอาไว้ เกิดชาติใดภพใดก็ขอให้เจริญรุ่งเรืองกว่านี้ไปเรื่อยๆ ไม่ให้มีสิ่งที่ขาดตกบกพร่อง
..ทั้งหลายก็จะค่อยเป็นไปเพราะเราได้สร้างสมอบรมเอาไว้แล้ว บุญนี้ก็จะติดสอยห้อยตามแก่บุคคลที่ได้สร้างสมอบรมบุญบารมีเอาไว้ ก็เรียกว่าสร้างกรรม
..เมื่อเราได้สร้างกรรมได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้แล้ว ก็มีความปิติยินดีในชีวิตนี้ ว่าเราเกิดขึ้นมาไม่ขาดทุนแล้ว ได้ทำคุณงามความดีเอาไว้เป็นที่พึ่งของตน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่





" ผู้วางเฉย มีอุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายเป็นผู้พอ
พอใจในสภาพของตน ไม่ดิ้นรนเพื่อให้ตนสูงขึ้นด้วยประการทั้งปวง
ไม่เห่อเหิมว่าตนสูงแล้ว เมื่อความไม่ยินดียินร้ายมีอยู่
ท่านจึงกล่าวว่า ผู้วางเฉยดังกล่าวเป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น "
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร





จงทำใจให้เหมือนแผ่นดิน
เพราะว่าแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้
ไม่ได้เคยโกรธใครทำอะไรใครเลย
จงทำใจเหมือนน้ำ
เพราะธรรมดาของน้ำ
ย่อมเป็นของสะอาดชำระของสกปรก
ได้ทุกเมื่อและเป็นของดื่มกิน
เพื่อมีชีวิตช่วยเหลือแก่สรรพสัตว์
ทั้งหลายทั้งปวง
จงทำตนให้เหมือนผ้าเช็ดเท้า
เพราะธรรมดาของผ้าเช็ดเท้า
ย่อมไม่มีความรักความชัง ฉันใด
ใจเราก็ทำเหมือนกัน ฉันนั้น
เมื่อเราตั้งใจฝึกฝนอบรมได้เช่นนี้แล้ว
ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข
ความทุกข์ในใจก็จะไม่เกิด
ดังสุภาษิตที่ท่านกล่าวไว้ว่า
" จิตตังทันตัง สุขาวะหัง "
จิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว นำมาซึ่งความสุข
ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

..#โอวาทธรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย..
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู






"...ความต้องการของใจ คือความปรารถนาให้มีใจ
ต้องการที่ไปจุดเดียว #คือนิพพาน เมื่อใจต้องการ
นิพพานจริงจัง จิตจะเริ่มสงบไม่ทุรนทุรายมาก
จิตจะค่อยๆ บรรเทาความรักในระหว่างเพศ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะค่อยๆ สลายตัว
ไปจนถึงไม่เหลืออะไรไว้เลย จะมีแต่อารมณ์สบายใจ เป็นสุข วางเฉยต่ออารมณ์ที่ทำให้ขัดใจ และเฉยไม่ สนใจต่อสิ่งที่ทำให้ชอบใจ มีอารมณ์ปกติที่เรียกว่า #สังขารุเปกขาญาณ เมื่อมาถึงตอนนี้มีหวังไป นิพพานแน่นอน..."

#ที่มา หนังสือ วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี





อดีต​มันล่วงไปแล้ว​ มันล่วงมาแล้ว
จะเอามาเป็นอารมณ์​ให้ใจเศร้า​หมองทำไม

อนาคต​ยังมาไม่ถึง​ อย่าไปคิดมัน​
ให้มันมาเจอก่อนจึงคิด
ให้พิจารณา​ปัจจุบัน​ พิจารณา​ร่างกายนี้
ของแตกของเน่านี่

มันจะตายวันไหน​ มันจะเป็นอย่างไร​
พิจารณา​ให้เห็นว่ามันไม่พ้นความตายแล้ว
ตายนอนทับกันอยู่
รีบทำความเพียร
รีบทำบำเพ็ญ​ภาวนา
ให้ศีล ให้สมาธิ​ ให้ปัญญา​เกิดขึ้น

ความชั่วที่เก็บมาให้มันเผาจิต​
ต้องเปิดออกปัดออก
เอาแต่ความดีเข้ามาสู่ดวงจิต​ดวงใจของตน
ให้ใจเบิกบาน​ใจร่าเริง​ ให้ใจกว้างอย่าให้ใจแคบ

หลวงปู่ขาว​ อ​นา​ลโย






"...ความต้องการของใจ คือความปรารถนาให้มีใจ
ต้องการที่ไปจุดเดียว #คือนิพพาน เมื่อใจต้องการ
นิพพานจริงจัง จิตจะเริ่มสงบไม่ทุรนทุรายมาก
จิตจะค่อยๆ บรรเทาความรักในระหว่างเพศ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะค่อยๆ สลายตัว
ไปจนถึงไม่เหลืออะไรไว้เลย จะมีแต่อารมณ์สบายใจ เป็นสุข วางเฉยต่ออารมณ์ที่ทำให้ขัดใจ และเฉยไม่ สนใจต่อสิ่งที่ทำให้ชอบใจ มีอารมณ์ปกติที่เรียกว่า #สังขารุเปกขาญาณ เมื่อมาถึงตอนนี้มีหวังไป นิพพานแน่นอน..."

#ที่มา หนังสือ วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 206 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร