วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 12:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2023, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"..คนตายตายไปแล้ว เราอยู่ก็ตาย มันจะกลัวตายไปทำไม ความตายมาถึงละหวั่นไหว พระพุทธเจ้าบอกไม่ให้หวั่นไหว ได้ความสรรเสริญก็ดีใจ แต่มันไม่เที่ยง ความนินทาติเตียนก็มีในโลกนี้มีแต่มันไม่เที่ยง ลาภเกิดขึ้นก็มีในโลก แต่มันก็เสื่อมไป ความสรรเสริญเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป ความสุขเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป ความนินทาเกิดขึ้นก็เสื่อมไป สิ่งไหนล่ะจะเอามาเป็นสาระแก่นสาร เราจะไปยึดไปถือทำไม ปล่อยวางให้หมด ทำจิตให้เป็นอารมณ์เดียว ให้เป็นพุทโธ ๆ พุทโธคือผู้รู้ ให้ใจเราเบิกบาน อย่าให้ใจเราเศร้าหมอง ครั้นใจเราเศร้าหมอง ต้องชำระสะสางให้ใจเราเบิกบานอย่าให้ขุ่นมัว ให้ดูใจของตนนี่ เราจะได้บุญที่สุดก็เพราะจิตสงบวิเวก.."

อนาลโยวาท
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)







“การทรมาน ไม่ได้อยู่ที่ทุกขเวทนา
มันอยู่ที่การไม่อยากมีทุกขเวทนา
การไม่ยอมรับสิ่งที่เราแก้ไม่ได้
คือ สิ่งที่ทรมานเรา”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





"อันคนที่ทำงานที่เป็นคุณให้เกิดประโยชน์
ย่อมจะต้องประสบถ้อยคำถากถาง หรือ
การขัดขวางน้อยหรือมาก

ผู้มีใจอ่อนแอ ก็จะเกิดความย่อท้อ
ไม่อยากที่จะทำดีต่อไป แต่ผู้มีกำลังใจ
ย่อมไม่ท้อถอย ยิ่งถูกค่อนแคะ
ก็ยิ่งจะเกิดกำลังใจมากขึ้น

คำค่อนแคะ กลายเป็นพาหนะที่มีเดชะ
แห่งการทำความดี"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







. ถ้าเราเว้นทำบาป ก็จะไม่มีความเดือดร้อน ใครจะว่าอย่างก็ตาม เราไม่ว่าเขา เขาติฉินนินทา เขาก็ว่าใส่ตัวเขาเอง
ปากของเขาก็อยู่ที่เขา หูของเขาก็อยู่ที่เขา

โอวาทธรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู






"ไม่มีอะไร​ที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระ... ยกเว้น... ความดี"

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ​ สมเด็จ​พระสังฆราช​สก​ลมหา​สังฆ​ปริณายก​ วัดราชบพิตร





"... ทำบุญถ้าทำคนเดียวไม่เผื่อแผ่ใคร​ ก็จะมีทรัพย์แต่จะขาดบริวาร​ กิจการงานบางอย่างต้องมีบริวารด้วย​ กับอีกแบบบอกบุญอย่างเดียวแต่ไม่ทำ​ แบบนี้ก็จะมีแต่บริวารแต่ไม่มีทรัพย์​ ฉะนั้นหากเป็นไปได้ก็ควรจะทำทั้งสองอย่าง​ นั่นคือ​ " ทำบุญ" และ​ "บอกบุญ" เชิญคนมาทำบุญด้วย​ จะมีอานิสงส์ทำให้พร้อมทั้ง​ "ทรัพย์" และ​ "บริวาร" ทำกิจการงานใดก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้โดยง่าย​ แต่ยังไงก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของตัวเอง​ เลือกเอาว่าจะทำแบบไหน... "

#หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี







#โอวาทธรรม หลวงปู่จาม มหาปุญโญ

"...เดี๋ยวรักคนนั้น เดี๋ยวชังคนนี้ เดี๋ยวสบาย เดี๋ยวรำคาญ
เดี๋ยวชอบใจ เดี๋ยวไม่ชอบใจ เดี๋ยวชังทุกข์ เดี๋ยวเสาะหา
สุข กลับไปกลับมา หมุนไปหมุนมา ความหมุนอันนี้เอง
ชื่อว่า โลก หากเรามองดูโลกอันนี้รู้ตัวได้ ระลึกได้
นี่เรียกว่า ธรรม เป็นธรรมชาติของจิตปุถุชนเป็นอย่างนี้

คำว่า โลก คือเป็นของนอก เป็นสิ่งภายนอก เราก็เมา
หลงในสิ่งภายนอก ต้องการ อยากได้ อยากมี อยากใน
สิ่งที่ยังไม่ได้มา อยากตัวเดียวนี้ล่ะ มันจึงไม่รู้ธรรมชาติ
ของจิต

จิตของโลกนะ คือจิตทุกข์ ทุกข์เกินไป สุขเกินไป รักชัง
ดีใจเสียใจ เศร้าเหงา ผิดหวังสมหวัง เบื่อบ้า เป็นหนี้เป็น
สิน หดหู่ซึมเซ็ง วิตกกังวลอะไรต่อมิอะไร นี้ล่ะจิตปุถุชน

ทุกข์ไหม บ่ต้องถาม... ทุกข์มาก
แล้วดำริคิดที่จะแก้ไขทุกข์นั้นไหมล่ะ?..."

#ที่มา หนังสือ บทธรรม พระจาม มหาปุญโญ หน้า๒๓๕










#พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เนืองๆ

เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง

ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เนือง ๆ
มีความเพียรเพ่งเผากิเลส
มีสติ มีสัมปชัญญะ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกให้พินาศ

อันนี้คือเวทนา
มันไม่ใช่รู้กายอย่างเดียว
ต่อไปก็รู้เวทนา
สบาย ไม่สบาย เฉย ๆ
เวทนาที่มีอามิส ไม่มีอามิส
ถ้าไปเกี่ยวข้องกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าใคร่น่าปรารถนา
ได้รับก็เกิดความสุข
สุขแบบมีอามิส
พอไม่ได้ หรือสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลง ก็เกิดทุกข์
ความทุกข์ความไม่สบายก็ไปเกี่ยวกับอามิส
หรือมันเฉย ๆ เมื่อรับอารมณ์ปานกลาง มันไปเกี่ยวกับอามิสก็มี

ความสุขที่ไม่เกี่ยวก็มี
เช่น เราจิตใจปลอดโปร่งโล่งใจ สงบ สบาย
โดยเฉพาะจากการที่เราได้ปฏิบัติ
ใจสงบ แล้วก็เกิดความสุข
ความสุขไม่ได้เกี่ยวกับอามิสก็ต้องกำหนดรู้หมด

พิจารณาเวทนาในเวทนา
คือเวทนาเหล่านี้ในเวทนาทั้งหลายแหล่
เวทนามี ๙
เกี่ยวกับอามิส ไม่เกี่ยวกับอามิส ก็กำหนดรู้ทั้งนั้น
ที่เป็นภายใน ที่เป็นภายนอก
เห็นความเกิดขึ้นในเวทนา
เห็นความเสื่อมไปในเวทนา
เห็นทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในเวทนา

พิจารณาไปจะเห็นว่า
เวทนานี้มันเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน
มันเสื่อมสลาย มันไม่ได้คงที่
เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย
เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรอะไรในโลกด้วย
นี่ก็เป็นทางกำหนดไปเพื่อละความยึดถือยึดมั่น

ธรรมบรรยาย ธรรมสุปฏิปันโน ๕ ปกิณกธรรม รสอื่นหรือจะสู้รสแห่งธรรม
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา







"...สตินั้นเราฝึกได้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
ฝึกได้ทั้งหมดอย่าไปเลือกกาลเวลา ถ้าเป็นผู้เลือก
กาลนั้นกาลนี้จึงจะภาวนาฝึกสติ จะเป็นผู้ประมาทไป
ผู้ประมาทนี้ท่านว่าคือผู้ที่ตายแล้ว คือตายจากคุณงาม
ความดีที่จะพึงได้พึงถึงก็ไม่ได้ ปล่อยกาลเวลาล่วงไป
โดยเปล่าประโยชน์ จงพยายามให้เรากินกาล อย่าให้
กาลกินเรา วันคืนล่วงไปๆ อย่านิ่งนอนใจ ให้รีบเร่งทำ
ความเพียร แม้พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นแต่เพียงผู้บอก
ส่วนจะได้สมบัตินั้น เราเป็นผู้ทำเอง..."

#ที่มา หนังสือ อนาลโยวาท หน้า ๔๐๖
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู





" พูดอย่างมีสติ
เราจะได้ไม่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น
ฟังอย่างมีสติ
เราจะได้ไม่รับอารมณ์คนอื่น
มาทำร้ายจิตใจ"
.
--- คำสอน พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ







..เมื่อเราได้ทำความดีแล้ว เราก็จะได้อบอุ่นใจว่าเราจะกลับมาเกิดอยู่ภพใดชาติใด บุญกุศลก็จะอำนวยผลให้เราได้รับความสุขความสบาย ดังนั้นก็เรียกว่าอยู่ด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยกันทุกท่านทุกคน เมื่อเราเห็นอย่างนั้น เราก็ขยันหมั่นเพียรตั้งใจ มีศรัทธาเลื่อมใสในการทำคุณงามความดี ประกอบคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนสั่งสมเงินทองก็ดี ฝากธนาคารไว้ทีละน้อยๆก็จะมากขึ้น คนทำบุญก็เหมือนกัน ทำไปทีละน้อยๆ บริจาคทานอะไร อาหารการกินก็ดี
..เหตุฉะนั้นพวกเราทั้งหลายก็คิดดูให้เข้าใจ ก็จะเข้าใจว่าสร้างอะไรก็ได้รับผลเช่นนั้น สร้างผลบุญก็จะได้รับผลบุญ สร้างผลบาปก็จะได้รับผลบาป เราก็จะเห็นชัดเจนด้วยตาตนเอง ไปบ้านใดเมืองใดก็จะได้เข้าใจเรื่องแบบนี้ ก็จะได้ขยันหมั่นเพียรสร้างคุณงามความดีให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองได้มากๆก็จะอยู่ได้สบาย ตราบใดที่เรายังไม่ถึงนิพพานเมื่อไหร่ ก็ยังกลับมาเกิดอีกอยู่ ก็จะได้รับผลบุญส่วนกุศล คุณงามความดีของตนที่ได้สร้างเอาไว้นี่เอง เป็นเครื่องอำนวยผล ให้มีความสะดวก ให้มีความสุข อันนี้เป็นเป้าหมายของพวกเราที่ได้ทำคุณงามความดี ผู้ที่มีน้อยก็จะเพิ่มขึ้น คนที่ทำมากขึ้นก็จะเพิ่มขึ้นตามอำนาจของการสร้างสมอบรมคุณงามความดีนั่นเอง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 210 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร