วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 13:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2023, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


” อารมณ์เป็นผล เราต้องพิจารณาเหตุ “

…เวลาทำสมาธิไม่ต้องการตามดูอารมณ์ ควรบริกรรมพุทโธหรือดูลมหายใจเข้าออก อย่าไปดูอะไร ถ้าดูจะไม่ได้สมาธิ เวลาไม่ได้ทำสมาธิแล้วมีอารมณ์ไม่สบายใจขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาก็ควรพิจารณาเพื่อให้มันดับไป เช่นพิจารณาว่า ทำไมต้องมีอารมณ์กับสิ่งที่เราเห็น พิจารณาหาต้นเหตุ คือการไม่เห็นไตรลักษณ์ จึงมีความรักความหวงความห่วง พอเห็นก็อดที่จะหวงไม่ได้ เกิดอารมณ์เศร้าหมองขึ้นมา ถ้ามีปัญญารู้ทันก็จะไม่หวงไม่ห่วง เพราะเดี๋ยวก็จะต้องตายจากกัน ก็จะหายเศร้าหมอง ต้องพิจารณาให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นสภาวธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ถ้าไปยึดไปติดก็จะเกิดความเศร้าหมอง เกิดความดีใจเสียใจ ต้องปล่อยวาง

อารมณ์เป็นผล เราต้องพิจารณาเหตุ อะไรทำให้เกิดอารมณ์ ถ้าดับเหตุได้อารมณ์จะไม่เกิด ความไม่สบายใจจะไม่เกิด เช่นเราไม่สบายใจเพราะไปคิดว่าเขาเป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกเรา ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาก็จะเห็นว่าเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ต้องแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ที่เป็นลูกเป็นสามีเป็นภรรยานี้ เป็นเพียงสมมุติ ไม่ได้เป็นความจริง ความจริงเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ที่จะต้องแยกสลายดับไป

ต้องเห็นความจริงที่เหนือสมมุติ เราเห็นแต่ความจริงของสมมุติ ไม่เห็นความจริงของวิมุตติ ต้องเห็นความจริงของวิมุตติ จิตถึงจะวิมุตติหลุดพ้นได้ ความจริงของวิมุตติก็คือ เห็นว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ เป็นความจริงที่เหนือสมมุติ แต่เราเห็นความจริงของสมมุติ เห็นเป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์ เป็นลูกเป็นสามีเป็นภรรยา ไม่เห็นเป็นดินน้ำลมไฟ ไม่เห็นเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา พอคิดถึงเขาหรือเห็นเขา ก็จะเกิดอารมณ์ขึ้นมาทันที ไม่รักก็ชัง ไม่ดีใจก็เสียใจ บางทีก็เฉยๆ แต่ไม่ได้เฉยๆเพราะอุเบกขา เพราะไม่ได้รักไม่ได้ชังก็เลยรู้สึกเฉยๆ อย่างนี้ไม่ใช่อุเบกขา ไม่ได้ปล่อยวาง ถ้าอุเบกขาปล่อยวาง ต้องเห็นเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เกิดแก่เจ็บตาย อนิจจังทุกขังอนัตตา ใจก็จะนิ่ง เห็นอะไรก็จะเฉยๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๒๑ กัณฑ์ที่ ๔๑๑
วีนที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๓







“โดยปกติในชีวิตประจำวัน
เมื่อเกิดอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจ
เราชอบระบายความรู้สึกออกไป
โดยการดุ หรือพูดอะไร ให้คนอื่นเจ็บใจ
แต่ถ้าเรารู้สึกตัว แล้วไม่พูดอย่างงั้น
เราก็จะได้ ธรรมะหลายข้อ

ความรู้สึกตัวว่ากำลังหงุดหงิด คือ สติ
การที่ไม่ทำตามความรู้สึกนั้น คือ ความอดทน
และ เมื่อความเศร้าหมองในใจเราหาย
เกิดสำนึกในความไม่เที่ยงของอารมณ์
ความไม่เป็นตัวเป็นตนของอารมณ์นั่น คือ
ตัวปัญญา

การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างนี้”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





. ความดีเป็นศัตรูของชีวิต ความดีต้องมีอุปสรรค เขามาร้าย อย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา จงใช้ความดีเข้าไปแก้ไข คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจ ไปสนทนา

คำสอนหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี




"ผู้ปฏิบัติต่อมารดาบิดา มีทั้งคุณกับโทษมหันต์ ต่อเมื่อเรื่องของตัวเข้าเสียแล้ว จึงสุดวิสัยที่จะแก้"

ฝ่ายบุตรธิดาควรสลดใจต่อการตะเกียกตะกายของบิดามารดา ผู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมาแต่วันก่อกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์มา ไม่มีบุตรธิดาคนใดจะไปแสวงหาความรัก ความเอ็นดูสงสาร ความพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจต่อการเลี้ยงดูด้วยความเหนื่อยยาก และบริสุทธิ์ใจโดยสม่ำเสมอได้ ณ ที่ใดและบุคคลใด นอกจากบิดามารดานี้เท่านั้นที่ยอมพลีทุกอย่างแม้ชีวิตก็ไม่อาลัยเสียดาย ท่านจึงให้นามบิดามารดาว่า “ พรหมของบุตร ”

เพราะมีพรหมวิหารสี่ต่อบุตรธิดาอย่างสมบูรณ์

#ความรักก็บริสุทธิ์ #ความสงสารก็บริสุทธิ์ #ความพลอยยินดีเมื่อบุตรธิดาได้ดีก็บริสุทธิ์ ความวางตนสม่ำเสมอต่อบุตรธิดาทุกคนก็บริสุทธิ์

การอบรมสั่งสอนก็ออกมาจากจิตเมตตาหวังความรู้ความฉลาดแก่บุตรธิดาของตนด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ

แม้จะไม่มีความรู้มากมาย แต่ก็พยายามอบรมสั่งสอนไปตามภูมิความรู้ความสามารถที่มีอยู่ อย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีปิดบังไว้เลย

ทั้งสมบัติเงินทองของมีค่าบรรดาที่มีมากน้อยอันเป็นส่วนวัตถุนอกกาย ทั้งสมบัติภายในคือพรหมวิหารสี่เป็นต้น ที่ยอมทุ่มเทลงเพื่อบุตรธิดาทุกคนโดยไม่เสียดายแม้แต่นิด

ฉะนั้น จึงสมควรเป็นทักษิณาของบุตรธิดาเสมอด้วยพระอรหันต์องค์หนึ่ง การทำคุณหรือทำโทษแก่ท่านทั้งสองแม้คนใดคนหนึ่ง จึงเท่ากับทำคุณหรือทำโทษแก่พระอรหันต์องค์หนึ่งเหมือนกัน #คุณก็มีมาก

#แต่โทษก็มีมหันต์เช่นกัน ท่านจึงสอนให้ระมัดระวังเอานักหนาไม่ให้ลบหลู่ดูหมิ่น แม้ท่านจะตกอยู่ในฐานะเช่นไร ก็ควรเทิดทูนไว้บนเศียรเกล้าไม่ควรดูแคลน

เพราะใครไม่สามารถมองเห็นเส้นทางที่มาของกรรม ซึ่งพาให้สัตว์โลกเป็นไปต่างๆ กันว่าจะมาแบบไหน

#ต่อเมื่อทราบก็กลายมาเป็นเรื่องของตัวเข้าเสียแล้ว จึงสุดวิสัยที่จะแก้ นอกจากจำต้องยอมรับกันเท่านั้นไม่มีทางหลบหลีกหรือเปลี่ยนตัว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด
#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ






#ไฟไหม้แกลบ

... " ปฏิปทาเป็นยังไง เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ขึ้นไม่ลง
ทำเจ้าของให้เหมือนไฟไหม้แกลบ อย่าทำเหมือนไฟไหม้ฟาง

... ไฟไหม้ 'ฟาง' เวลาไหม้ แสงมันวู่ๆๆ ไหม้ในที่มืดขนาดไหน แสงมันกระจ่างจ้าขึ้นมา ประเดี๋ยวดับแล้ว ดับจนกระทั่งหาจุดเอาถ่านก็ไม่ได้ หายไปหมด

... ไฟไหม้ ' แกลบ ' ร้อนระอุอยู่เสมอ แล้วสม่ำเสมออยู่อย่างนั้น ขึ้แกลบ ขี้มันก็ยังเอามาเป็นปุ๋ย ขี้ของแกลบก็ยังเป็นตัวเป็นตน

... ส่วนมาก มันเป็นไปในลักษณะ 'ไฟไหม้ฟาง' เป็นไปในลักษณะก้าวหน้าไป ก็ก้าวหน้าในลักษณะหัวเต่า ยืดไปบางทียาว เวลาหดหัวไม่เห็นแม้กระทั่วหัว หายไปหมดน่ะ

... ความเด็ดเดี่ยว ความพากความเพียรหายไปหมด แม้แต่สมาธิจิต สมาธิธรรมหายไปหมด "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







ทำกรรมฐานที่บ้านทำได้หรือไม่ได้
เดินจงกรมที่บ้านทำสมาธิที่บ้านทำได้ไหม
เราควรจะมีเวลาให้กับตนเองหรือไม่
ในวันหนึ่ง ๆ ในการปฏิบัติ

เราใช้โทรศัพท์ต้องชาร์จทุกวันไหม?
ชาร์จแบตเตอรี่ทุกวัน
เราใช้จิตใจโดยไม่ได้ชาร์จเลย ไม่มีพลัง
จิตไม่หนักแน่น ก็จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์

จิตที่หนักแน่น กับ จิตที่หวั่นไหว อันไหนจะดีกว่ากัน?
อะไรมากระทบกระทั่ง ก็ไม่โกรธไม่ขัดเคืองใจ
เรียกว่าจิตหนักแน่น

มีสิ่งใดมายั่วยวนชวนให้รักชักให้ใคร่พาใจให้กำหนัด
ก็ไม่หลงใหลไม่หัวปักหัวปำ ดีไหมหนักแน่น

หนักแน่นกับหนักใจเหมือนกันไหม?
เราจะเอาหนักแน่นหรือหนักใจ?
หนักแน่น แต่ไม่หนักใจ

จิตหวั่นไหวทำให้หนักใจ
หนักใจเพราะจิตหวั่นไหวใช่ไหม หนักอกหนักใจ
เคยเป็นไหมหนักอกหนักใจ
มันทุกข์ ทุกข์หรือไม่ทุกข์
หนักอกหนักใจทุกข์ไหม
เพราะจิตไม่หนักแน่น เพราะจิตหวั่นไหว

หนักแน่นดังแผ่นดิน
ทำจิตใจให้หนักแน่นดังแผ่นดินได้ไหม
นึกถึงแผ่นดินไว้ เราจะหนักแน่นดังแผ่นดิน
แผ่นดินนี่ใครจะเอาของดีของเสียของเน่า
ของอะไรลงไปก็ไม่ว่าอะไร
ดินก็ไม่ว่าอะไร ไม่หวั่นไหวดังภูผา

ภูผาคืออะไร? ภูเขาหิน
ภูเขาหินนี่ลมพายุพัดมาภูเขาหวั่นไหวไหม?
ไม่หวั่นไหว เราจะฝึกจิตให้ไม่หวั่นไหวดั่งภูผา

"ดีชั่ว อยู่ที่ตัวทำ"
ธรรมปิดคอร์สอบรมกรรมฐานสั้น
๒๖ มิถุนายน๒๕๖๕
............................
ธัมโมวาท โดย‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา








ร้อนในโลกยังพอทนได้ ร้อนในนรกมันร้อยเท่าพันทวี

หลวงปู่มีปกติไม่ใส่รองเท้าไปไหนมาไหนท่านก็จะเดินเท้าเปล่า ท่านว่า รองเท้าที่ธรรมชาติให้มาและดีที่สุดคือ "หนังตีน"
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ใส่รองเท้า เดินเทศน์เดินโปรดโลก ๔๕ ปี ท่านก็ไม่ใส่รองเท้า เราจะเห็นน้อยครั้งที่หลวงปู่ท่านเมตตาโยมที่เอารองเท้าที่โยมมาถวายมาใส่ แต่ไม่นานท่านก็ถอด ท่านว่า "ใส่ให้เขาได้บุญ"

เมื่อ เมษายน ปีพ.ศ.๒๕๕๕ หลวงปู่ไดรับอาราธนาให้ไปพักที่กรมยุทธการทหารเรือสัตหีบ ท่านจึงแวะไปเยี่ยมลูกศิษย์ที่ตำบลหนองปลาไหล พัทธยาก่อน โยมจึงนิมนต์ให้ท่านเดินแผ่เมตตาทั่วบริเวณรีสอร์ทของเขา ท่านจึงเมตตาเดินเท้าเปล่าทั่วรีสอร์ท ด้วยแผ่นปูนปูพื้นที่ร้อน ครูบาอุปฐากกลัวเท้าท่านจะพองจึงหารองเท้ามาถวาย

ครูบาอุปฐาก: ขอโอกาสองค์พ่อแม่ นิมนต์สวมรองเท้าครับผม ปูนมันร้อน
หลวงปู่: ไม่ร้อนดอก ทนได้อยู่
ครูบาอุปฐาก: มันร้อนนะครับผม เท้าจะพอง พวกผมขนาดสวมรองเท้ายังร้อนเลย
หลวงปู่: ครูบาเอ้ย ผมไม่ร้อนดอก ในนรกมันร้อนกว่านี้ ร้อนในโลกยังพอทนได้ ร้อนในนรกมันร้อยเท่าพันทวี อย่าพากันไปตกนรกเด้อ ให้ย้านให้กลัวนรก คนเราหน่ะไม่เคยมีใครไม่เคยผ่านนรก แต่มันพากันลืมชาติ บางคนขึ้นมาจากนรกมาเป็นคน บางคนลงมาจากสวรรค์มาเป็นคน คนมาจากนรกแล้วขึ้นสวรรค์ก็มี ขึ้นมาจากนรกกลับลงไปนรกก็มี ลงมาจากสวรรค์ลงไปนรก็มี ลงมาจากสวรรค์กลับขึ้นสวรรค์ก็มี อย่าพากันลืมชาติ พากันมาสบายบนโลกมนุษย์ ลืมความทุกข์ความร้อนในนรก พากันทำความชั่วก็ลงนรกอย่างเก่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่ผู้สร้างโลก ไม่ใช่ผู้สร้างนรก ไม่ใช่ผู้สร้างสวรรค์ ท่านเป็นโลกะวิทู เป็นผู้รู้โลก รู้นรก รู้สวรรค์ รู้นิพพาน และรู้วิธีไปสู่ที่นั้นๆ ให้พากันเชื่อพระพุทธเจ้า อย่าฝืนคำท่าน ท่านบอก ท่านสอน ท่านเอ็นดูเมตตาโลก เสียดายบางคนเป็นเทวดามาเป็นคนก็มาหลงคนหลงโลกทำความชั่วลงนรกไป ตั้งใจจากสวรรค์ว่าจะมาทำความดี จะมาทำบุญ ก็มาหลงโลก ทำชั่วแล้วลงนรก คุณเอ้ยเรายังไม่ถึงพระโสดา ก็ยังไม่พ้นนรก นรกไม่ใช่ของเล่น มันทุกข์มันยาก มันแสบมันร้อน ร้อนในโลกเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักเสี้ยวของร้อนในนรก เก็บรองเท้าคุณซะเถอะ

หลังจากนั้นคณะพระติดตามก็พากันถอดรองเท้ากันหมด หลวงปู่ก็พาเดินทั่วทุกบ้านในรีสอร์ท ตกเย็นเท่าหมู่ครูบาทั้งหลายพองกันแทบทุกรูป อัศจรรย์ที่เท้าหลวงปู่ไม่มีแม้แต่รอยแดงให้เห็นเลย

หลวงปู่หา สุภโร







อย่าน้อยใจในวาสนาของตน
การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น
ย่อมมีบุญวาสนามาก
ยิ่งได้มาพบ... พระพุทธศาสนาแล้ว
นับว่า... สั่งสมบุญมาไม่น้อย

จึงควรรีบ...
ตักตวงเอาบุญกุศลในอัตภาพนี้เสีย
อย่าได้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่มีโอกาสอย่างนี้

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต






"...เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะพร้อม เราก็มีความรู้สึกสำนึก
ผิดชอบชั่วดี และผู้ที่มีความรู้สึกสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี
เขาจะมีเจตนาตั้งใจเสมอว่าจะละชั่ว ประพฤติดี ทำใจให้
บริสุทธิ์สะอาด

ผลที่เกิดขึ้นจากการฝึกสมาธิ ฝึกสติสัมปชัญญะนั้น
จะทำให้เราเกิดความรัก ความเมตตา ความซื่อสัตย์
สุจริต ตรงไปตรงมา ต่อบุคคล ต่อการงาน ต่อหน้าที่
จะได้พลังงาน คือ ศรัทธาในการทำสุจริต ตรงไปตรงมา
มีสมาธิคือความมั่นใจในการทำงาน มีปัญญาสามารถ
รอบรู้ในกิจการที่เราทำอยู่ ที่เกี่ยวกับงานในเรื่องชีวิต
ประจำวัน

ส่วนการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น เอาไว้พูดกันทีหลัง
เมื่อเราฝึกสติสัมปชัญญะของเราให้รู้ทันเหตุการณ์
ปัจจุบัน ถ้าฝึกได้คล่องตัวจริงๆ เราสามารถที่จะทำ
สมาธิได้ตลอดเวลา และมรรคผลนิพพานก็จะ
ใกล้เข้ามาทุกทีๆ..."

#ที่มา หนังสือ สงบ หน้า ๑๒๑
พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )





#มีเงินมีทรัพย์
อยู่ที่ความขยัน
หมั่นเพียร
แสวงหาทรัพย์
อยู่ที่การกระทำ
ไม่ได้ขึ้นกับ
ชื่อนั้นดี ..ชื่อนี้ดี..

#หลวงปู่แสง_ญาณวโร







อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้สร้างบุญกุศลเข้าสู่จิตใจเอาไว้ ถ้าเมื่อเรามีบุญกุศลในจิตใจแล้ว บุญกุศลนั้นจะเป็นผู้พานำเราไปสู่ความสุข แต่ถ้าเรามีบาป ถ้าเราทำแต่บาป บาปมันไม่เอื้ออำนวยนะ มีแต่พาชักตกนรกหลุมลึกๆ ถ้าทำบาปหนักนะ ถ้าทำบาปเบาขึ้นมาก็มาเป็นเปรต มาเป็นสัตว์เดรัจฉานมาเป็นคนบ้าใบ้ หูหนวก ตาบอด เป็นได้ทั้งนั้น อันนี้คือบาปอกุศล เป็นเพื่อนสอง นำจิตใจของเรา ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ เพราะฉะนั้นให้พวกเราท่านทั้งหลาย ให้ประกอบคุณงามความดี สร้างบุญกุศล ให้เป็นเพื่อนสองของเรา อย่าตั้งอยู่ในความประมาท หากินเป็นวันๆ อยู่เป็นวันๆ แล้วก็หาเงินคำทรัพย์สมบัติ ใครได้เงินมาก ก็แปลว่าผู้นั้นฉลาด ยกยอปอปั้นกัน เชิดชูบูชากัน เป็นหน้าเป็นตาในชุมชนสังคม แต่ถ้าหากว่าคนนั้น หาแต่เงินอย่างเดียว ไม่ได้หาคุณงามความดี ไม่ได้เสาะแสวงหาบุญเข้าสู่จิตใจแล้ว หลักของพุทธศาสนาไม่ได้ยกย่องนะ ถึงจะรวยก็รวยไปเถอะ รวยก็เงินทั้งหลายทั้งปวง ส่งร่างกายของเราเข้าไปโรงพยาบาลเท่านั้นเอง ให้หมอดูแลรักษา ห้องดีที่สุด ยาดีที่สุด หมอดีที่สุด เงิน..ส่งถึงโรงพยาบาล ไม่เกินนั้น “ ตาย ” จากนั้นญาติพี่น้อง ลูกของข้าดี หลานของข้าดี สามีภรรยาของข้า..ดีที่สุด ญาติพี่น้องที่ว่าดีที่สุดนั้นก็ส่งถึงเมรุ พอวางดอกไม้จันทน์แล้ว ก็เดินหันหลังออกมา ไม่มีใครจะไปเป็นเพื่อนอีกละทีนี้ นี่แหล่ะ...คราวนั้นแหละ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน โกหินาโถ ปโรสิยา คนอื่นใครเลยจะเป็นที่พึ่งเราได้ นอกจากตัวของเรา นอกจากใจของเรา ใจของเราเท่านั้นละ ที่ได้สั่งสมบุญกุศลเอาไว้ บุญกุศลแลจะเป็นเพื่อนสองของเรา เดินเคียงข้างเราไปหละ ถ้าหากว่าเราไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล มีแต่บาปอกุศล บาปอกุศลนั้นแหละ จะเดินเคียงข้างเรา เพราะฉะนั้นให้พวกเรา มองดูสิว่า ในชีวิตของเราตั้งแต่บัดนั้น มาถึงบัดนี้ เป็นที่อุ่นใจรึยัง เป็นที่พอใจรึยัง ในการสั่งสมบุญกุศล เข้าสู่จิตใจของพวกเรา ถ้าหากว่าพวกเรายังห่างเหินอยู่ ก็ควรพยายามประกอบคุณงามความดีเข้าสู่จิตใจเรา ไว้ให้มาก เตรียมไว้ให้ดีนะ คณะศรัทธาญาติโยมลูกหลานนะ

โดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา "บุญนำทาง"
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 200 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร