วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 03:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2023, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


” นั่งเฉยๆ ไม่พิการหรอก “

ถาม : เคยมีคนพิการจากการนั่งสมาธิเป็นเวลานานหรือไม่

พระอาจารย์ : ไม่มี ร่างกายนั่งเฉยๆ ไม่พิการหรอก จะพิการเพราะไปเที่ยวมากกว่า เครื่องบินตก รถชน พิการแบบนี้มากกว่า นั่งเฉยๆไม่มีใครพิการกัน

.ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ทรงนั่งประทับตั้งแต่หกโมงเย็นจนสว่าง ก็ไม่พิการ กิเลสมันหลอกเราว่า จะเป็นนั่นเป็นนี่ เวลาปีนป่ายหาความสนุก เล่นโน่นเล่นนี่ กิเลสไม่เคยบอกว่าจะเจ็บตัว

.แต่พอจะนั่งสมาธิ จะเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาทันทีไม่สนใจความเจ็บ เจ็บก็เจ็บไป แต่ใจจะไม่ไปยุ่งกับมัน ให้ใจเกาะกับพุทโธไว้ ถ้าเกาะได้อย่างต่อเนื่อง ไม่นานใจจะปล่อยได้

.ความเจ็บอาจจะหายไปหรือไม่หายไปก็ได้ แต่ใจจะสงบเป็นอุเบกขา ต้องทำอย่างนี้ เป็นที่ตัดสินคดี แพ้ชนะก็อยู่ตรงนี้แหละ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๒๔ กัณฑ์ที่ ๔๒๑
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔






"..ไหนๆ เราก็หายใจอยู่แล้ว
ให้เอาสติกำกับจิตให้จดจ่อกับลมหายใจ.."

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์เขาพนมปลายบัด อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์






#อสุภะ

"คำว่า อสุภะ เป็นความจริงของอัตภาพร่างกาย ร่างกายทุกส่วน จะส่วนไหนๆ ส่วนใดๆ ที่สมมติกันเป็นชื่ออย่างนั้นๆ แล้ว ก็ชื่ออย่างนั้นๆ ก็สมมติกันเอามาเป็นคน ชื่อแต่ละอย่างๆ ที่สมมติขึ้นมา

ความจริงของเขาคือของไม่งาม และความจริงเขาก็เป็นของปฏิกูล คือของสกปรก ของน่าเกลียด นี่ใจสว่าง ใจเห็นชัดตามความเป็นจริงที่เขาเป็น ใจก็รู้ความาจริงที่ใจเข้าไปเห็นนั้น ว่าความจริงเขาเป็นอสุภะ

ส่วนใจที่มืดใจที่โง่ เห็นของปลอมๆ เป็นของสวยของงาม หรือว่าเป็นสุภะ คือความงาม ความเห็นทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ การเห็นตามความเป็นจริง ถ้าหากเราเห็นชัดตามความเป็นจริง ใจของเราจะปล่อยวางสิ่งที่เราเห็นชัดนั้น "

..... หลวงปู่แบน ธนากโร







. จิตดวงนี้ก็เหมือนกัน ต้องหล่อเลี้ยงด้วยศีลด้วยธรรม ซักฟอกจิต จิตจะไม่มีเรื่องมีราว ไม่มีความยุ่งเหยิงวุ่นวาย

แต่คำว่าซักฟอกไม่ได้หมายความว่าวันเดียว พระพุทธเจ้าท่านว่า วิริเย ทุกขมัจเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ให้พยายาม

พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนสัตว์โลกไม่มีผิดพลาด ขอให้นำคำของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ จิตดวงเดียวของเรานี้ แก้ด้วยสัตย์ด้วยศีลเท่านั้น อย่าไปแก้ด้วยอย่างอื่น เริ่มจากการซักฟอกด้วยบุญ แล้วก้าวขึ้นไปถึงศีลห้า...

คำสอนหลวงปู่ทุย ฉันทกโร
วัดป่าดานวิเวก จ.บึงกาฬ







คำถาม : การภาวนาเข้าไปเห็นจิตผู้รู้นั้น ทำอย่างไรครับ?

หลวงปู่ : ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ

คำถาม : ดูจิตแล้วเห็นปรุงแต่งเรื่องราวมากมาย ไม่ชนะ จะตามดับมัน?

หลวงปู่ : ต้องลำบากไปตามดับมันทำไม ดูแต่จิตอย่างเดียว มันก็ดับไปเอง มันออกไปปรุงแต่งข้างนอก มันเกิดจากต้นตอที่จิตทั้งนั้น หาแต่ต้นตอให้พบ ก็จะรู้แจ้งหมด อะไรก็ไปจากนี้ อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่นี้ทั้งหมด (ท่านพูดพลางเอาหัวแม่มือชี้ที่หน้าอก) สิ่งที่ได้รู้ได้เห็น แล้วอยากรู้อยากเห็นอีก นั่นแหละคือตัวกิเลส

คำถาม : เมื่อถึงโลกุตตระแล้ว มีเมตตา กรุณา อะไรไหมครับ?

หลวงปู่ : ไม่มีหรอกความเมตตากรุณา จิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ในโลกทั้งหมด จิตสูงสุดหลุดพ้น อยู่เหนือโลกทั้งหมด

คำถาม : ไม่มีเมตตาหรือครับ?

หลวงปู่ : มีก็ไม่ว่า ไม่มีก็ไม่ว่า เลิกพูด เลิกว่า เลิกอะไรๆ ทั้งหมด มันเป็นเพียงคำพูดแท้ๆ ให้ดูจิตอย่างเดียวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว เป็นแต่เพียงคำพูด

"สลัดทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นมายาออกเสีย ตัวผู้ที่รู้ และเข้าใจอันนี้แหละคือตัวพุทธะ"

หมดภารกิจ หมดทุกอย่าง ที่จะทำอะไรต่อไปอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่นี่จบอยู่ที่นี่ ไม่มียาวต่อไปอีก ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีคำพูด มีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่า... และบริสุทธิ์

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล






. หลวงพ่อขอเน้นย้ำ เราอย่าไปคิดไปหวังว่า ข้าตายซะก่อนแล้วให้คนอื่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้
อันนั้นโง่นะ..หลวงตามหาบัวท่านว่าโง่นะ

เพราะเหตุไร..เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ล่ะ เราจะทำอะไร เราจะรักษาศีลหรือเราจะไหว้พระสวดมนต์
หรือเราจะนั่งภาวนาหรือเราจะปฏิบัติ ให้ปฏิบัติเอาให้พอ

อย่าไปมุ่งหวังต่อไปภายภาคหน้า
ในเมื่อเราตายไปแล้ว สูเจ้าทำบุญให้ข้านะ ขนาดเขายังมีชีวิตอยู่ เราสั่งให้เขาไปซื้อของ เขายังซื้อผิดๆ ถูกๆ เผลอๆ เขาซื้อราคาถูก

เขายังกินอมเงินของเราไปอีกต่างหาก
ในเมื่อเราตายไปแล้วน่ะไม่ยิ่งกว่านั้นไปเหรอ

เพราะฉะนั้นขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เนี่ย เราจะทำอะไรเราทำเอาเต็มที่ ทำตามอัธยาศัย เมื่อเราทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็บอก..
เอ้อ..เมื่อข้าตายไปแล้วสูเจ้าไม่ต้องทำให้ข้าอีกนะ
ข้าทำเอาเพียงพอแล้วล่ะ นี่เงินอยู่ก้อนนี้น่ะ
มีเงินอยู่เท่านี้ บัญชีเท่านี้ ที่ดินมีเท่านี้
อะไรมีนี่สูเจ้าแบ่งกันนะ อย่าทะเลาะกันนะ เผลอๆ เราแบ่งให้เขาก่อนอีกก็ได้
แล้วไม่ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรา เราทำเอาพอแล้ว

คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
วัดป่านาคำน้อย จ. อุดรธานี





#จิตนี้เป็นของฝึกยาก

"...การทำใจให้สงบระงับเป็นสมาธิภาวนานี่ มันก็ได้แก่
การทวนกระแสจิตเข้ามาในปัจจุบันนี่นะ ไม่ปล่อยให้
จิตคิดฟุ้งซ่านออกไปข้างนอกโดยส่วนเดียว
นั่นแหละมันจึงจะสงบลงได้ มันจึงจะรู้ความจริงของ
ชีวิตได้ ว่าความจริงของชีวิตนี้หมายถึงดวงจิตนี่มา
อาศัยอยู่ในของไม่เที่ยง อัตภาพร่างกายอันนี้แหละ
มันไม่เที่ยง จะไม่ให้มันเป็นทุกข์ได้อย่างไรล่ะ
ในเมื่อร่างกายนี้ไม่เที่ยงแล้ว สิ่งที่แวดล้อมอยู่กับ
ร่างกายนี้มันก็ไม่เที่ยงเหมือนกันนะ
ลองสังเกตดูให้ดี

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมเราจึงมาหมกมุ่นกันอยู่
ยังทำความพอใจอยู่ อันนี้มันก็เพราะอวิชชา
ความไม่รู้นั่นแหละมันหุ้มห่อจิตใจ ทำให้เกิด
ความเข้าใจผิดไป นึกว่าโลกอันนี้ น่าอยู่ น่าอาศัย
เพราะว่าสิ่งล่อใจทำให้เกิดความสุข ความสบายนี่
มันก็มีอยู่เหมือนกัน

เมื่อไม่รู้ทันสิ่งที่มาล่อหลอกจิตใจ ให้หลง ให้ติด
ดังกล่าวมานี้ มันจึงได้หลงติดอยู่ในโลกอันนี้ ไม่เบื่อไม่หน่าย ผู้ใดที่จะ
เบื่อหน่ายในสังขารนี้ก็เพราะทวนกระแสจิตเข้ามา
ในปัจจุบันนี้ มาสงบนิ่งอยู่ในนี้ ให้จิตเป็นผู้รับรู้
ในกองสังขาร แล้วจะรู้เท่าตามความเป็นจริง..."

#ที่มา หนังสือ ๑๐๐ ปี ชาตกาล หน้า ๒๓๙
พระสุธรรมคณาจารย์ ( หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ )





#ผู้ไม่มีปัญญาก็ติดทรัพย์สมบัติต่อไป

“...เนิ่นนานต่อไปในการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระพุทธศาสนาจึงสอนให้พวกเรานั้นออกจากภพทั้งสามเข้าสู่สุคติที่เลิศคือเมืองพระนิพพาน ลูกว่ามันยากหลวงปู่ว่ามันไม่ยากหรอก ทำไมจึงว่าอย่างงั้นเพราะเราแจ้งไปหมดเราจึงว่ามันไม่ยาก แต่ว่าพวกเราไม่ขวนขวายตัวนั้น ขวนขวายแต่ดึงเข้ามา ดึงเข้ามา รั้งเข้ามา รั้งเข้ามา ทับถมจิตใจมันก็เลยไม่ทราบไม่เห็นจิตเดิมที่เป็นความปภัชรของจิตอยู่อย่างงั้น เมื่อเห็นจิตเป็นปภัชรแล้วเราจะมีสติมีปัญญาที่จะทิ้งทรัพย์สมบัติตัวนี้หรือไม่แค่นั้นเอง ถ้าคนมีปัญญาที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ในอดีตก็สามารถทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลคือปภัชรนี้ได้อย่างรวดเร็วอยู่ แต่ผู้ไม่มีปัญญาก็ติดทรัพย์สมบัตินี้ต่อไปก็เหมือน #ติดทรัพย์สมบัติภายนอกที่เป็นสมมุติโลกอยู่ #ติดทรัพย์สมบัติภายในติดจิตติดใจตัวเองก็เฉกเช่นเดียวกันนั่นแหละ ติดทรัพย์สมบัติภายนอกติดทั้งสมบัติภายในก็ไม่เกินกัน #ความเรื้อรังของภพชาติก็เกิด ติดทรัพย์สมบัติภายนอก ติดทรัพย์สมบัติภายนอกนั้นเวียนว่ายตายเกิดก็เป็นผู้ที่มาเฝ้าทรัพย์ไม่มีที่สิ้นสุดล่ะ ติดทรัพย์สมบัติภายในก็เป็นการทะเยอทะยานอยากในภพที่ตัวเองได้อรรถได้ธรรมนั้นๆ หมายถึงที่เป็นโลกียะในรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ แต่ถ้าเป็นโลกุตระเราข้ามไม่ได้เพราะยังติดทรัพย์สมบัติภายในอยู่ อยู่ในภพทั้งสามต่อไป หมดเชื้อบุญในรูปภพในอรูปภพก็ลงมาสู่กามภพ ได้บุญได้กุศลจากกามภพก็ขึ้นสู่รูปภพและอรูปภพ หมุนเวียนอยู่อย่างงั้นในภพทั้งสามทั้งกามภพ รูปภพ และอรูปภพออกไม่ได้

พระพุทธเจ้าจึงอุบัติขึ้นเพื่อทำลายทรัพย์สมบัติที่เป็นภายในและภายนอก สอนให้สัตว์โลกรู้จักสิ่งไหนที่ถูกต้องและสิ่งไหนที่ไม่ถูกไม่ต้องแต่สัตว์โลกจะมีปัญญาไหม ที่หลวงปู่พูดให้ฟังหลวงปู่ว่าง่ายในความรู้สึกหลวงปู่ พวกเราก็คงจะคิดว่ายากก็เหมือนกับลักษณะผู้ที่เรียนผ่าน ป.๑ ป.๒ ไปแล้วและผู้ที่ยังไม่ได้เข้าอนุบาลเลยก็ลักษณะนั้นถือว่ามันยากขนาดนั้น ผู้ที่เข้าอนุบาลแล้วก็พอที่จะรู้อยู่ ผู้ที่ยังไม่เคยเข้าอนุบาลเลยไอ้หมอนั่น จบ ป.๖ ไปแล้ว มันก็ยากที่จะรู้ทันกันได้ ลักษณะเดียวกัน การร่ำเรียนวิชาในพุทธศาสนาร่ำเรียนเพื่อละเพื่อวางเพื่อถอดถอนอาสวะเข้าสู่เมืองพระนิพพานพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้พวกเรายึดถือไม่ได้สอนให้พวกเรามากินบุญกินกุศลในการต่อภพต่อชาติต่อไป…”

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
๘ มีนาคม ๒๕๕๗
#องค์หลวงปู่น้อย #วัดป่าห้วยริน #ทรัพย์สมบัติภายใน #ทรัพย์สมบัติภายนอก








"ปัญญาเกิดจากการเพียรเพ่งพินิจ
เพราะว่า...ความดีนี่ มันมีความชั่วเป็นศัตรู
มันเป็นอย่างนั้น คันว่าเริ่มทำความดีเข้าไป
เรียกว่า...ความชั่วก็โผล่มาแล้ว
มารบกวนจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป บางที
ก็เลยทำความดีไม่ได้ ซ้ำใจ ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย

โอ้ย ทีแรกคิดว่า จะไปวัดหน่อยอย่างนี้นะ
พอมีเรื่องอะไรมากระทบกระทั่งก็จิตใจหวั่นไหวเดือดร้อนเข้าไปแล้ว โอ้ย ใจไม่ดี ไม่ไปวัดหรอกคราวนี้ ก็ต้องงดไปวัดไปวากันไป
แล้วก็ไม่ได้ไปฟังธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ได้ไปฝึกจิตใจในที่สงบสงัด เพราะกิเลสมันรบกวนจิตใจเอา

ตน ก็จิตใจดวงนี้
ไม่มีอำนาจอยู่เหนือกิเลส ก็ปล่อยให้กิเลสมัน
จูงไปตามประสงค์อย่างนี้นะ มันเป็นอย่างนั้น

ถ้าหากว่าผู้รู้ตัวดีว่า...
ในขณะนี้ กิเลสมันกำเริบขึ้นมาครอบงำจิตใจ
ของเรา เราจะไม่ยอมให้มันครอบงำอยู่อย่างนี้ แม้เราจะไม่ได้นั่งสมาธิภาวนา
เรากำหนดเพ่งละกัน อยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง ยืนอยู่ ก็กำหนดละนั่นแหละ
เดินไป ก็กำหนดละมัน
นั่งอยู่ ก็กำหนดละมัน
นอนอยู่ ก็กำหนดละมันอยู่อย่างนั้น

เมื่อหากว่า
เราเพียรพยายามเพ่งกำหนดละมันอยู่อย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่ไหวละ กิเลสเหล่านั้นมันก็ทนไม่ไหวเพราะใจไม่ส่งเสริมแล้ว มันก็ค่อยดับไป ดับไปเท่านั้นเองนะ ในที่สุดอารมณ์อันชั่วร้ายเหล่านั้น ดับไปจากจิตแล้วจิต ก็สงบสบาย

ก็อย่างที่แสดงมาแล้วแต่ตอนต้นนั้นแหละ
ไอ้ปัญญามันจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะเรามีความเพียรเพ่งพินิจ เมื่อมีเรื่องอะไรกระทบกระทั่งมา จิตใจมันหวั่นไหว เราก็อย่าไปย่อท้อถอยหลัง
สู้ทำความเพียรเพ่งพินิจ เมื่อจับอารมณ์อันใด
ได้ว่า...จิตใจหวั่นไหวเพราะเรื่องนี้แหละ
อย่างนี้เราก็กำหนดละมันเรื่อยไปอย่างนี้นะ
ไม่ส่งเสริมมัน

ไอ้การกำหนดละอารมณ์อย่างที่ว่า นั้น...
ก็ร้อนใจบ้างแหละ เพราะอารมณ์เหล่านั้น มันเป็น "สื่อของกิเลส" เมื่อเรากำหนดละมัน
มันก็แผลงฤทธิ์ ทำให้เกิดความรู้สึกทุกขเวทนาเกิดขึ้นในจิตใจอย่างนี้นะ นั่น "ฤทธิ์เดชของกิเลส" น่ะ ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันแหละ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวกับมันนะ ไม่ต้องหวั่นไหว กำหนดละมันไปเรื่อยๆ...

มันจะทุกขเวทนาอะไรเกิดขึ้น
ก็อดกลั้นทนทาน ไม่ย่อท้อ อันนี้เรื่องของกิเลสมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

เรื่องของบุญกุศลเป็นของเย็น
ไอ้เราก็เทียบกันได้อยู่นี่ เพราะฉะนั้นเราจะไปปล่อยให้กิเลสมันเผาลนจิตใจอยู่อย่างนี้ ทำไมเล่า เตือนตนเข้าไป ก็สู้กับกิเลส...
แล้วบัดนี้เพ่งพินิจกันอยู่อย่างนั้น แล้วละกันอยู่อย่างนั้น...
ในที่สุดเมื่อสติสัมปชัญญะมันแก่กล้าขึ้นไปแล้ว สมาธิมันก็ตั้งขึ้น เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้นไปแล้ว กิเลสเหล่านั้น...
มันตั้งอยู่ไม่ได้ มันก็ระงับไป อืม มันเป็นอย่างนั้น

บาดนี่เราก็ได้ปัญญาสิบาดนี่นะ
ได้ปัญญาเพิ่มเติมขึ้นนะ เรามีอุบายละอารมณ์
ละกิเลสที่มันครอบงำจิตใจเกิดขึ้นเป็นครั้ง เป็นคราวนั้นได้ เราก็ได้ปัญญาอีกส่วนหนึ่ง นี่ อ๋อ ต้องมีอุบายอย่างนี้ อย่างนี้...สอนจิต
จิต มันจึงจะมีกำลังเข้มแข็งละกิเลสได้ อย่างนี้ เราก็รู้ตัวได้ มันเป็นอย่างนั้น...

ถ้าเราไม่ทำความเพียรอย่างว่านี่น่ะ
อยู่เฉยๆ จะให้ปัญญามันเกิดขึ้นนี่...ไม่ได้
มันจะไม่เกิดเลย ขอให้เข้าใจ
เมื่อเวลาที่เราทำการงานอะไรไปอย่างนี้นะ
แล้วมันมีเรื่องอะไรไม่ดีกระทบกระทั่งมานี่
เอ้า เราก็กำหนดรู้กัน ทำความเพียรกำหนดละ
กัน อยู่...ในปัจจุบันนั้นเลย

เออ อันนี้มันเรื่องชั่วเนี่ยเราอย่าไปหลงใหล
อย่าไปหวั่นไหวกับมัน อย่างนี้นะเรากำหนดรู้กำหนดละมันอยู่อย่างนั้น...
เมื่อหากว่ามันดับไปอย่างนี้ ใจเราก็ปลอดโปร่งขึ้นมา เราก็รู้ได้เลยว่า...
อารมณ์นั้น ดับไปจากจิตแล้ว

นี้ล่ะ "ปัญญา"
มันย่อมเกิดขึ้น โดยอุบายที่เรามีความเพียร
เพ่งพินิจ อยู่...ในจิตเสมอเสมอไป
เมื่อเวลามีเรื่องอะไรกระทบกระทั่งมา เราไม่ย่อท้อ...ให้เข้าใจไว้."
--------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ






เสียงธรรมะจากภูกุ้มข้าว

ฤกษ์ดีแต่อย่าเลิกดี"

หึ หึ คุณเอ้ย..อย่าไปติดข้องกับวันเวลาเด้อ เกิดเป็นคนอย่าอาศัยเลิก(ฤกษ์)ดี คนเลิก(ฤกษ์)ดี มีตะเสื่อม
กับเสีย อย่าเป็นคนคอยตะเลิก(ฤกษ์)ดี ให้เป็นคนเริ่มดี อย่าเลิกดี เข้าใจบ่ เริ่มดีเริ่มมันทุกมื้อ อย่าคอยโอกาสเวลา เวลามันกะเเล่นไปของมัน ถ่าตะมื้อตะเว่น มื้อนั้นมื่อนิ่ มันกะมีตะเลิกดี บ่มีเริ่มดี จักเทื่อทอนั่นแหลว...

พระเทพมงคลวชิรมุนี (หลวงปู่หา สุภโร)
วัดสักกะวัน(ภูกุ้มข้าว) ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์







การที่จะดับอวิชชาตัณหาได้ต้องอาศัยปัญญาจึงจะดับได้ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสมาธิเป็นกำลัง

โอวาทธรรม:หลวงปู่หลอด ประโมทิโต






อยาก..มีโชค..มีลาภ ก็ต้องสู้จักให้ทานสม่ำเสมอ ทำบุญทำทานแล้ว โชคลาภ มันสิ มาเอง

หลวงปู่แสง ญาณวโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 199 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron