วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 20:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2023, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…ถ้าจะเพิ่มเวลาบำเพ็ญปฏิบัติ

ก็ต้องตัดเวลาที่ให้กับสิ่งอื่นไป

จะกล้าทำหรือไม่

หรือยังเสียดายเรื่องต่างๆ

ที่ยังผูกพันอยู่ .

…………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๑๗ กัณฑ์ที่ ๓๙๘
วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒







เรื่อง "จงทำบ้านให้กลายเป็นวัด"

(คติธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

การปฏิบัติธรรมนี้ เราจะไปปฏิบัติที่ไหน อย่างไร เราเอากายกับใจนั่นแหละไปปฏิบัติ ถ้าหากต่างว่าทุก ๆ ท่านอาจจะตั้งปณิธานว่า เราจะพยายามสร้างห้องพระในบ้านของเรานี้ ให้เป็นวัดน้อย ๆ ขึ้นมา และเราจะทำสมาธิภาวนาอยู่ในห้องพระของเรานี้ ในเมื่อไหว้พระ สวดมนต์ แผ่เมตตา นั่งสมาธิภาวนา ก็มีพระปฏิบัติกิจวัตรอยู่ในบ้านทุกวัน

ถ้าหากภาวนาทำจิตให้สงบเป็นสมาธิขึ้นมาได้เพียงครั้งเดียว จะมีคุณค่ามากกว่านิมนต์พระตั้งหมื่นองค์ไปสวดมนต์ ให้พยายามหาโอกาสทำที่บ้านให้มากที่สุด โดยสร้างบ้านของเราให้มันเกิดเป็นวัด









. ฉะนั้นการที่เราเห็นว่าจิตดวงนี้โกรธ จิตดวงนี้หายโกรธ จิตดวงนี้โลภ จิตดวงนี้หายโลภ จิตดวงนี้หลง จิตดวงนี้ไม่หลง จิตดวงนี้ฟุ้งซ่าน จิตดวงนี้หดหู่

มันก็อาศัยธรรมะชนิดต่างๆ เข้ามาประกอบกับจิต ทำให้เราสามารถแยกได้ว่าจิตนั้นมันเกิดดับ จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วก็ดับ จิตฟุ้งซ่านเกิดแล้วก็ดับ จิตหดหู่เกิดแล้วก็ดับ

ที่หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์มาก็คือเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ให้ไปดูตัวจิตตรงๆ ท่านบอก

“สัพเพสังขารา สัพพะสัญญา อนิจจา สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลายไม่เที่ยง”

“สัพเพสังขารา สัพพะสัญญา อนัตตา สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย เป็นอนัตตา”

คำสอนหลวงปู่ดุลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์






" คนที่ฉลาดทางโลก
นั้น..เขาจะแสวงหาเงินตรา
แต่บุคคลที่มีปัญญา
นั้น..ท่านจะแสวงหาธรรมะ

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต





พระโสดาบันสำคัญที่ศีล

สำหรับพระโสดาบันนี่ญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบ หรื อสกิทาคามีก็ตามยังมีอารมณ์ของชาวบ้านตามปกติ แต่ว่าเป็นชาวบ้านชั้นดี ให้ดูศีลเป็นสำคัญ
#พระโสดาบัน
๑. ไม่ฆ่าสัตว์
๒. ไม่ลักทรัพย์หรือไม่โกงทรัพย์เขา
๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔.ไม่พูดปด
๕ ไม่ดื่มสุราเมรัย

มีครอบครัวได้

พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามียังไม่ห้ามการแต่งงาน คนแต่งงานแล้วไม่ต้องเลิก แต่ว่าก็ยังไม่ห้ามการแต่งตัวๆสวยกว่า แบบไหนก็ตาม คิ้วปกติ คิ้วโกน คิ้วปลวก คิ้วไหลใช้ได้หมด มีไหมใครเอาคิ้วไหลมาบ้าง ระวังนะนี่ถ้าหน้าร้อนๆอย่าเขียนคิ้วให้มันหนาเกิน มันจะไหลยาว ที่ฉันพูดนี่ไม่ได้เดานะ ฉันเห็นนะ แต่ก็สงสัยว่า..ไอ้เราน่ะแก่แล้วไม่มีฤทธิ์ คิ้วไม่ไหล แหมสาวๆคิ้วไหลได้ เขาเก่งมากสาวๆสมัยนี้นะ บางคนไม่ไหลนะ

ก็รวมความว่า ไม่ต้องทำตามลำดับการปฏิบัติจริงๆ เมื่อถึงพระโสดาบัน อย่าลืมนะ พระโสดาบัน คือชาวบ้านธรรมดา แต่ว่าเป็นชาวบ้านชั้นดี พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "พระ" แล้วนะ

ถ้าพระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาโกนหัวนุ่งเหลืองห่มเหลือง ถ้ายังไม่ถึงพระโสดาบันเพียงใดพระพุทธเจ้าไม่ทรงเรียกว่าพระ เรียกว่า #สมมติสงฆ์ ฆราวาสที่มีสามีหรือภรรยามีบุตรธิดายังครองเรือนตามปกติ

#ถ้าเป็นพระโสดาบันพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระ #นี่พระจริงๆอยู่ที่การตัดสังโยชน์ คือ ความแน่นอน ถ้าทรงอารมณ์ของพระโสดาบันได้ บาปทั้งหมดที่เราทำมาแล้วทั้งหมดจะไม่สามารถให้ผลนำลงอบายภูมิได้เลย ถ้าจะต้องตกนรกเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มีอีกเพราะกำลังบุญเหลือแล้ว

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือธรรมปฏิบัติ ๒๙ หน้า ๘๙-๙๑
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน






"...เมื่อได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้า ได้อ่านประวัติของพระสาวกท่านแล้ว เกิดความซึ้งภายในจิตใจ ความเชื่อความเลื่อมใสในจิตใจ มีความมุ่งมั่นอยากสำเร็จมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้ คือในตัวของเรานี้เอง จึงได้เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ เมื่อเสาะแสวงไปถึงท่านหลวงปู่มั่น ที่ปรากฏชื่อลือนามอยู่ทุกวันนี้ ท่านก็แสดงเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องมรรคผลนิพพานให้ฟังอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็ฟังอย่างซึ้งใจถึงใจ ถึงขนาดที่ว่าปักใจลงไปเลยว่า ในชาตินี้เราจะบำเพ็ญตนให้ถึงพระอรหันต์อย่างแน่นอน ชีวิตจิตใจไม่มีความหมาย เมื่อเชื่อแล้วว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่ ดังพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่

พอได้ฟังธรรมะของหลวงปู่มั่นอย่างถึงใจแล้ว ออกปฏิบัติก็แบบเดียวกัน คือปฏิบัติแบบถึงใจๆ ตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวที เข้าสู่ป่าสู่เขาแล้ว ฟัดกันกับกิเลสตั้งแต่บัดนั้น หาความว่างไม่ได้เลย รวมแล้วเป็นเวลา ๙ ปีที่ได้ขึ้นต่อกรกับกิเลส ถ้าหากเป็นนักมวยก็ไม่ต้องมีการให้น้ำ ไม่ต้องมีกรรมการแยก มันจะยื่นเวลาตาย ถ้ากิเลสดีก็ให้กิเลสอยู่บนเวทีเราตกเวทีไป ถ้าเราดีเราเก่งกว่ากิเลสก็ให้กิเลสตกเวทีไป มีสองอย่างเท่านั้น ที่จะให้เป็นคู่แข่งขันกันต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จากนั้นก็ฟัดกันเต็มเหนี่ยวเอาชีวิตชีวาเข้าแลก

ไม่มีทุกข์ครั้งใดสมัยใด ที่จะเป็นความทุกข์มากแสนสาหัส บางครั้งถึงขั้นจะสลบไสล แต่ไม่ปรากฏสลบไสล หากเป็นทุกข์แสนสาหัสไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ในบรรดาความทุกข์ที่โหมกันมาเพราะการต่อสู้กับกิเลสนี่หนักมากจริงๆ เวลาบำเพ็ญตะเกียกตะกาย ก็เป็นความทุกข์ประเภทหนึ่ง เวลาได้หลักได้เกณฑ์มาแล้ว ความขยันหมั่นเพียรที่จะตะเกียกตะกาย เพื่อมรรคเพื่อผลก็เป็นทุกข์แต่ละประเภทๆ จนกระทั่งเป็นเวลา ๙ ปี ถ้าเป็นนักมวยก็เรียกว่าเข้าวงในกัน ใครเผลอให้ตกเวทีทันที นี่เป็นเวลา ๙ ปี ที่ได้รับความทุกข์ความทรมานจากการแก้กิเลส การฆ่ากิเลสเรื่อยมา จนถึงขั้นเป็นที่พอใจ

คำว่าเป็นที่พอใจคืออย่างไร เราตั้งใจไว้ในจุดใด เช่นเราตั้งใจไว้ในจุดพระอรหัตภูมิเท่านั้น เราก็เป็นที่ภูมิใจในภูมินั้นแล้ว เมื่อได้ต่อสู้กับกิเลสเต็มกำลังความสามารถ ฟาดกิเลสตกเวทีลงไปแล้ว เผาศพกิเลสเรียบร้อยบนภูเขา ได้เคยพูดว่าวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร วันแรม ๑๔ ค่ำ เวลา ๕ ทุ่ม ๒๔๙๓ นั่นเป็นเวทีมวยระหว่างกิเลสกับเราฟัดกันตกเวที ในขณะนั้นเวลา ๕ ทุ่ม ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม กิเลสพังออกจากหัวใจอย่างสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ เหมือนฟ้าดินถล่ม

จากนั้นมาก็ครองความอัศจรรย์ ล้นโลกล้นสงสารภายในจิตใจ ซึ่งไม่คิดไม่คาดว่าจิตจะเป็นอย่างนี้ เพราะจิตได้ถูกกิเลสบังคับมาเป็นเวลาแสนกัปแสนกัลป์นับไม่ถ้วน เพิ่งได้มาหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสในเวลานั้น พร้อมกับการเผาศพกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีซากเหลืออยู่ภายในใจแล้ว ลงมาจากเวทีคือสนามรบกับกิเลส ด้วยความอาจหาญชาญชัย ด้วยความภาคภูมิใจ หาที่ตำหนิตนไม่ได้แล้ว

ในโลกนี้เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงพอทุกอย่างแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างไรไม่สงสัย พระธรรมเป็นอย่างไรไม่สงสัย พระสงฆ์สาวกที่ว่าเป็นพระอรหันต์ท่านสิ้นกิเลส ท่านสิ้นอย่างไรไม่สงสัย เพราะบรรจุอยู่ภายในจิตนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทูลถามพระพุทธเจ้า แม้พระองค์จะประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ตาม ไม่ทูลถาม เพราะ “สนฺทิฏฺฐิโก” ที่พระพุทธเจ้าประกาศกังวานมาเป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปีนี้ ได้ปรากฏขึ้นแล้วภายในจิตใจของเรา คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก แปลว่า รู้เองเห็นเอง ประจักษ์ใจไม่ต้องถามใคร นี่คือธรรมความจริงแท้ไม่ต้องถามใคร..."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย








การปฏิบัติธรรมนั้น
ไม่ว่านักพรตนักบวชหรือฆราวาส
ก็มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรมพิจารณาธรรมได้เท่ากัน

และธรรมที่พิจารณานั้น
ก็เป็นธรรมอันเดียวกันนั่นเอง
พิจารณาให้ไปสู่ความสงบระงับอันเดียวกัน

ด้วยวิถีของมรรคอันเดียวกัน

ฉะนั้น ท่านจึงว่าจะเป็นฆราวาสก็ตาม
บรรพชิตก็ตาม มีสิทธิที่จะประพฤติ
หรือปฏิบัติธรรมจนได้รู้ได้เห็น
ตามความเป็นจริงเหมือนกัน

เมื่อเรารู้สภาวะสังขารตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว

เราก็วางเสีย และเมื่อรู้เท่าอย่างนี้แล้ว
ภพก็เกิดไม่ได้ เพราะอะไรก็เกิดไม่ได้
เพราะมันไม่มีทางจะเกิด
เพราะเรารู้เท่าตามความเป็นจริงเสียแล้ว

ฉะนั้น ให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น มันเป็นสักแต่ว่า “อาศัย” เท่านั้น

ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านว่ารู้เท่าตามสังขาร
ทีนี้แม้จะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี
ได้ก็เหมือนเสีย เสียก็เหมือนได้

สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงสอนให้รู้อย่างนี้

เพราะนี่คือความสงบ สงบจากความสุข
สงบจากความทุกข์ สงบจากความดีใจเสียใจ
ได้มาก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่เสียใจ
มันเป็นเรื่องที่ทั้งไม่เกิดและไม่ตาย
เรื่องเกิดเรื่องตายนี้ไม่ได้หมายถึง
อวัยวะร่างกายอันนี้ แต่หมายถึงอารมณ์
ความรู้สึกที่ไม่มีแล้ว หมดแล้ว

ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา
ท่านจึงทรงบอกว่าภพสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์จบแล้ว ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว

ท่านรู้อย่างนั้นแล้ว ท่านก็รู้สิ่งที่มันไม่เกิดไม่ตาย
ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง นี่คือโอวาท
ที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงกำชับ
สาวกมากที่สุดว่าให้พยายามเข้าให้ถึง
อันนี้ที่เป็นสัมมาปฏิปทา

ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถึงทางสายกลาง
ไม่ตรงเข้าไปถึงทางสายกลางให้ได้แล้ว

ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์

-------------------------
ทางสายกลาง ตอนจบ
การบรรยายธรรมด้วยภาษาพื้นเมืองแก่พระภิกษุ
สามเณร และฆราวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓
(หนังสือนอกเหตุเหนือผล ของ พระโพธิญาณเถร





การที่เราเป็นคนใจเย็น
ลดความโมโหได้ดี
ไม่ได้หมายความว่า
เราเป็นคน "ยอมคน" แต่อย่างใด
แต่หมายถึงว่า เรามี "สติ" มากขึ้น
..................................
คำสอน หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล






เราบริกรรมพุทโธๆๆ ไปนานๆเข้า จิตก็จะค่อยคลายความฟุ้งซ่าน แล้วจะค่อยมารวมเข้ามาอยู่กับพุทโธ จิตจะตั้งมั่นเป็นอารมณ์อันเดียวกับพุทโธ จนเห็นจิตที่ว่า พุทโธอันใดจิตก็อันนั้นอยู่ตลอดทุกเมื่อ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถใดๆ ก็เห็นจิตใสแจ๋วอยู่กับพุทโธนั้น

เมื่อได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ขอให้ประคองจิตนั้นไว้ในอารมณ์นั้น นานแสนนานเท่าที่จะนานได้ อย่าเพิ่งอยากเห็นนั่นเห็นนี่ หรืออยากเป็นนั้นเป็นนี้ก่อนเลย

เพราะความอยาก เป็นอุปสรรคแห่งจิตที่เป็นสมาธิอย่างร้ายแรง

เมื่อความอยากเกิดขึ้น สมาธิก็จะเสื่อมทันที สมาธิเสื่อมเพราะหลักสมาธิ คือ “พุทโธ” ไม่มั่นคง คราวนั้นแหละ คว้าหาหลักอะไรก็ไม่ได้ เกิดความเดือดร้อนใหญ่ คิดถึงแต่อารมณ์ที่เคยได้รับสมาธิความสงบสุขเมื่อก่อน จิตก็ยิ่งฟุ้งใหญ่ ฯลฯ

ฝึกหัดสมาธิให้เหมือนชาวนาทำนา เขาไม่รีบร้อน เขาหว่านกล้า ไถ คราด ปักดำ โดยลำดับไม่ข้ามขั้นตอน แล้วรอให้ต้นข้าวแก่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นเมล็ดไม่เห็นรวงเลย แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นของเขาว่า จะมีเมล็ดมีรวงวันหนึ่งข้างหน้าแน่ๆ เมื่อต้นข้าวแก่แล้วออกรวงมา จึงเชื่อแน่ว่าจะได้รับผลแน่นอน เขาไม่ไปดึงต้นข้าวให้ออกรวงเอาตามใจชอบ ผู้ไปกระทำเช่นนั้น ย่อมไร้ผลโดยแท้

การฝึกสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกัน จะรีบร้อนข้ามขั้นตอนย่อมไม่ได้ ต้องตั้งจิตให้เลื่อมใสศรัทธาให้แน่วแน่ ว่าอันนี้ล่ะ เป็นคำบริกรรมที่จะทำให้จิตของเราเป็นสมาธิได้แท้จริง แล้วอย่าไปลังเลสงสัยว่า คำบริกรรมนี้จะถูกกับจริตนิสสัยของเราหรือไม่หนอ คำบริกรรมอันนั้น คนนั้นทำมันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำแล้วจิตไม่ตั้งมั่นอย่างนี้ใช้ไม่ได้

ถ้าจิตตั้งมั่นแน่วแน่ในคำบริกรรมที่ตนภาวนาอยู่นั้นแล้ว เป็นใช้ได้ทั้งนั้น เพราะภาวนาก็เพื่อต้องการทำจิตให้แน่วแน่เท่านั้น ส่วนนอกนั้นมันเป็นตามบุญวาสนาของแต่ละบุคคล

ครั้งพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งไปภาวนาอยู่ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง เห็นนกกระยางตัวหนึ่งโฉบปลากินเป็นอาหาร ท่านเลยถือเอาเป็นคำบริกรรมภาวนา จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นกกระยางกินปลาไม่เคยเห็นในกัมมัฏฐานบทใด แต่ท่านเอามาภาวนาจนสำเร็จ นี้เป็นตัวอย่าง

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย








"คาถาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นี่เขาเรียกว่า คาถาทำให้เกิดป้องกันภัยพิบัติ ถ้ามันจะเกิดขึ้นมานี่ ก็ป้องกันได้ คาถาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณก็คือ
อิ สวา สุ สามตัวเท่านั้นแหละ ถ้าเราไปเจออะไรเข้า เรานึกอะไรไม่ทันก็
อิ สวา สุ ผีได้ยินเข้ามันก็หนีไปร้อยโยชน์ ท่านว่าอย่างนั้น นี่เขาเรียกว่า หัวใจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ท่านก็ย่อเอามา พุทธคุณก็อิติปิโส ก็ใช้ตัว อิ เอาตัวเดียว ธรรมคุณก็สวากขาโต ย่อลงมาเหลือ สวา ตัวสุดท้ายก็สุปฏิปัณโน ก็สุ เอาตัวสุ ก็เลยเป็น อิ สวา สุ "

สมเด็จพระญาณวชิโรดม
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
คัดจากหนังสือ ความหมายแปดรอบเก้าสิบหกปี
หน้า ๕

***********************************
ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นสัตว์
...อย่างนี้ก็เรียกว่าต่ำช้า
ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจก็เป็นมนุษย์
...ถือว่าเป็นคุณงามความดี
ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเทวดา
...ก็ถือว่าประเสริฐขึ้น
เพราะฉะนั้นในจิตใจของคนเรานี้
จึงแปลสภาพได้ตามความที่อารมณ์ต่างๆจะผ่านเข้ามา

เมื่อการทำสมาธิ เราได้ทำสมาธิแล้ว
สมาธินี้..จะเป็นเครื่องกลั่นกรองอารมณ์ต่างๆ
กลั่นกรองอารมณ์ต่างๆ เอาแต่เฉพาะอย่างดี
สิ่งที่ไม่ดีเราก็ไม่เอา..
เราเอาแต่เฉพาะสิ่งที่ดีก็เรียกว่ากลั่นกรอง

เพราะว่า..การกลั่นกรองนั้น
เป็นการกลั่นกรองด้วยสติ
เป็นการกลั่นกรองด้วยปัญญา
..ไม่ใช่ว่าเราจะกลั่นกรองเอาเอง
แต่ว่าเราจะต้องทำให้การที่เรามีการกลั่นกรองขึ้นมาได้

ยกตัวอย่าง ..
คนที่ทำสมาธินั้นในครั้งแรก
ก็มีอารมณ์มากมายก่ายกองนับไม่ถ้วน
แต่พอเวลามาทำสมาธิเข้าก็เหลืออารมณ์อันเดียว
นี่ก็เรียกว่ากลั่นกรองแล้ว
กลั่นกรองจากร้อยแปดพันประการนั้นมา
เหลืออารมณ์อันเดียว นี่ก็เรียกว่าเป็นสิ่งวิเศษ

วิเศษก็คือ.. จิตก็ได้เป็นหนึ่ง
เมื่อจิตเป็นหนึ่งได้แล้ว
...จิตนั้นก็รวมลงเป็นสมาธิ
เมื่อจิตรวมลงเป็นสมาธิแล้ว
...สมาธิก็สามารถผลิตพลังจิต
เมื่อสมาธิผลิตพลังจิตได้แล้ว
...พลังจิตจะเก็บไว้ที่ใจ
เก็บไว้ที่จิตของเรา
...เมื่อเก็บไว้ที่จิตของเราแล้วมันก็เป็นการถาวร
เรียกว่าไม่เสื่อมสูญสลายตัว

เพราะว่า..
การสร้างสมาธินี้จะไม่มีการเสื่อมสูญสลายตัว
เราทำเท่าไหร่ก็ยังอยู่ในตัวของเราตลอดชาติตลอดภพ
ไม่มีการสูญหาย
เพราะฉะนั้น..
เมื่อเราทำหนึ่งขึ้นมาแล้วเราก็ได้
เราทำครั้งที่สองมาเราก็ได้ เราทำครั้งที่ต่อไปเราก็ได้
เราทำหลายครั้งเราก็ได้ เมื่อมันได้มากขึ้น มากขึ้นนี่

พลังจิตนี้...
เป็นสิ่งที่เรียกว่ารวมบุญ รวมวาสนา รวมบารมีต่างๆ
เข้ามาอยู่ในที่พลังจิตนั่นเอง
เพราะฉะนั้น...
การทำสมาธิจึงถือว่า เป็นการพัฒนาตัวบุคคลได้โดยแท้จริง

สมเด็จพระญาณวชิโรดม
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ประธานผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ
วัดธรรมมงคล สุขุมวิท๑๐๑ กรุงเทพฯ

ที่มา : หนังสือธรรมะรุ่งอรุณ๒
"เทศน์ส่งท้ายปีเก่า อวยพรปีใหม่"
( ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ) หน้า ๘๑-๘๒








..ธรรมะสวัสดีเช้านี้..
..เวลารับพรจากพระเจ้าพระสงฆ์ แผ่เมตตาส่วนบุญส่วนกุศล ไปให้คุณพ่อคุณแม่ คุณตาคุณยาย ญาติมิตรสหายที่ล่วงลับดับไปด้วย แม้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี พ่อแม่ของเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ควรแผ่เมตตาให้ท่านที่มาไม่ได้ ท่านจะได้นึกถึงว่าลูกไปวัดไปวา ทำบุญทำทาน การกุศล ปฏิบัติตนเองฝึกฝนอบรมตนเอง พ่อแม่ก็จะได้ปลื้มใจว่าลูกนี้เดินทางในทางที่ถูก จึงสมควรที่จะสรรเสริญ ชื่นชมว่าลูกตนเองนี้ฉลาดสร้างคุณงามความดีก็จะได้สบายใจ เราได้เข้าวัดเข้าวาพ่อแม่ก็ได้สบายใจ อย่างน้อยก็ได้คุณงามความดีมีกุศลติดตัวไป ได้ศึกษาธรรมะได้ศึกษาทางปฏิบัติคุณงามความดีอย่างนี้ ก็จะปลื้มใจเมื่อยังมีชีวิตอยู่
..คนที่ล่วงลับดับไปที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ ก็แผ่เมตตาไปให้ ให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล เมื่อได้รับส่วนบุญแล้วก็จะได้พ้นจากความทุกข์ ถ้าจะได้มาเกิดใหม่ก็เกิดสุข ก็ได้ไปสวรรค์ก็ได้ บางคนทำบาปเล็กๆน้อยๆทำความดีมากก็ไปทางดีก่อน จิตใจยึดแต่ในคุณงามความดีฝังคุณงามความดีไว้ในจิตในใจของตนเอง เขาเรียกว่าเป็นคนฉลาด เกิดมาแล้วไม่เสียชาติเปล่าประโยชน์เลยทีเดียว เป็นผู้โชคดี โชคดีอย่างนี้แหละที่ได้เป็นมนุษย์ ได้เข้าวัดฟังธรรมจำศีลได้ทำบุญทำทานการกุศล เลยได้รับเมตตาได้ศึกษาธรรมะ รู้จักหนทางการดำเนินชีวิต เรียกว่าโชคดี..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เราก็อย่าให้เสียทีที่เกิดขึ้นมา อย่าพากันประมาท อย่าไปหลงใหลว่า สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี อย่างนั้นเขาเรียกว่า "มิจฉาทิฐิ"

มิจฉาทิฐินี้บาปหนัก บาปอะไรก็ไม่เท่ามิจฉาทิฐิ มันทำให้บุคคลนั้นต้องเดินทางตัน เมื่อหาหนทางออกไม่ได้ก็ไปกินเหล้า กินเหล้าแล้ว ที่สุดก็ตายไป ตายไปแล้วก็ต้องไปตกนรก โดนให้กินน้ำทองแดงอยู่ในเมืองนรก

น้ำทองแดงนั้นมันร้อน กินลงไปมีแต่ไส้ขาด เมื่อขาดแล้วก็ตาย เกิดขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่แล้วก็กินน้ำทองแดงกันไปไส้ขาดแล้วก็เกิดมาใหม่ อย่างนี้เขาเรียกว่า "เมืองนรก"

ส่วนหนทางไปสู่สวรรค์นั้น เป็นสถานที่ของผู้มีบุญทั้งหลาย ถ้าไม่มีบุญแล้วจะไปไม่ได้ เมื่อไปสวรรค์แล้วก็ไปเกิดข้าวทิพย์ กินอาหารทิพย์ ต้องการอะไรมันก็ได้มา ต้องการผ้า ต้องการอาหาร ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน

"ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อผู้ใดให้ทานก็ดี เมื่อบุคคลใดรักษาศีลก็ดี เมื่อบุคคลใดได้ภาวนาก็ดี ก็จะได้ไปสวรรค์ จะได้ไปสู่นิพพาน"

ธรรมะรุ่งอรุณ 5 หน้า 14
*************************

พระพรหมมงคลญาณ (วิ.)
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล
ประธานผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ







"...พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดของโลก เพราะพระพุทธศาสนา สามารถปกป้องคุ้มครอง
โลกให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ ตราบใดที่มีพระพุทธศาสนารุ่งเรืองในโลก ตราบนั้นโลกไม่ร้อนแรง ไม่มืดมัว
ไม่เศร้าหมอง
อีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่พระพุทธศาสนายังส่องสว่างกลางจิตใจผู้คนส่วนใหญ่ ตราบนั้นโลกย่อมรุ่งเรืองสว่างอย่างหาที่เปรียบมิได้ พระพุทธศาสนา
สว่างอยู่ในใจผู้ใด ใจผู้นั้นแหละที่จะพ้นจากความเศร้าหมอง พ้นความมืด พ้นความร้อนแรง ใจผู้นั้น
จะร่มเย็นเป็นสุขอย่างพ้นพรรณา ทั้งด้วยความไกลจากกิเลส และด้วยสติปัญญาหาที่เปรียบมิได้..."

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร
วัดบวรนิเวศวิหาร






นึกพุทโธๆๆ พุทโธก็อยู่กับจิต
จิตก็อยู่กับพุทโธ
เมื่อมีการตั้งใจนึกพุทโธ
สติสัมปชัญญะจะมาเอง
หน้าที่เพียงนึกพุทโธๆๆ ไว้
จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร
จิตจะสงบหรือไม่สงบไม่สำคัญ
ให้เรานึกพุทโธไว้
โดยไม่ขาดระยะเป็นเวลานานๆ
จนกระทั่งจิตมันคล่องตัว
ต่อการนึกพุทโธ
ในที่สุดจิตจะนึกพุทโธๆๆเอง
โดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อจิตนึกพุทโธเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
แสดงว่าการภาวนาของเรา
กำลังจะได้ผลแล้ว
ในเมื่อจิตนึกอยู่ที่พุทโธๆๆ
พุทโธก็เป็นเครื่องรู้ของจิต
เครื่องระลึกของสติ..

#โอวาทธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 197 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร