วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 16:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2023, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ โกหก ”

ถาม : ถ้าการโกหกผิดศีลข้อ ๔ แต่ถ้าเราโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ จะถือว่าผิดศีลไหมครับ

พระอาจารย์ : ผิดทั้งนั้นแหละถ้าโกหกมันก็ผิด ไม่ได้เขียนวงเล็บไว้ว่า ถ้าโกหกให้คนอื่นสบายใจแล้วไม่ผิดศีล มันไม่มี มันไม่มีข้อยกเว้น

คือเวลาไม่พูดความจริงมันก็ผิด เพราะข้อนี้ต้องการให้เรามีสัจจะ มีความจริงไม่พูดเรื่องไม่จริง เพราะมันเป็นเครดิตของเรา คนที่พูดจริงนี้ถึงแม้ว่าจะผิดแต่พูดไป คือยอมรับผิดนี้ก็ยังดีกว่าคนที่ทำผิดแล้วโกหกว่าไม่ได้ทำผิด เพื่อให้คนฟังสบายใจ

เช่น หลอกภรรยาว่าไปทำงานแต่ที่ไหนได้ไปจู๋จี๋กับใครอยู่ ถ้าบอกว่าไปจู๋จี๋กับใครเดี๋ยวภรรยาจะเสียใจ ก็เลยโกหกอย่างนี้ ให้ภรรยาสบายใจ อันนี้มันก็โกหกมันก็ไม่ดี เพราะถ้าเกิดเขาจับได้ ทีนี้มันจะเสียหายมากกว่าที่เราพูดความจริง

แต่ถ้าเราคิดว่าการพูดความจริงแล้วทำให้เขาเสียใจก็อย่าพูดก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโกหกเลย ก็เปลี่ยนเรื่องพูดไป หรือไม่พูดไป ทำเป็นเจ็บฟันปวดฟันไป พูดไม่ออก อะไรก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไอไปจามไป

ก็ไม่ต้องพูดก็ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องโกหก ถ้าโกหกแล้วคนอื่นเขารู้ คนอื่นเขารู้ว่าเราโกหก เขาก็จะไม่เชื่อถือเรา.

…………………………………………
ธรรมะบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัด ชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน






ดูคนดี ดูการกระทำ ดูผู้นำ ดูการเสียสละ
ดูพระเจ้าพระสงฆ์ ดูญาติดูโยม ดูความขยัน

โอวาทธรรม : หลวงปู่ทองมา สุตธมฺโม
แห่ง วัดถ้ำกวาง






"..ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้ละโลกนี้ไปแล้วก็คือชีวิตในโลกหน้า ในโลกใหม่ของแต่ละคน หัดนึกถึงความจริงที่จะต้องหนีไม่ได้ คือการเกิดใหม่ในทันทีที่การเกิดเก่าจบสิ้นลง ที่ว่าชีวิตในภพชาติใหม่น่ากลัวที่สุด ก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าชาติหน้าของเราแต่ละคนจะเป็นเช่นไร ดีหรือร้ายเพียงไหน

จะขึ้นสวรรค์หรือจะลงนรก ต่างก็น่าจะไม่รู้กัน และเพราะน่าจะพากันไม่เคยสนใจแม้เพียงจะคิด ว่าทันทีที่ขาดใจตาย เราจะเป็นอย่างไร เราจะไปไหน ไปเป็นอะไร เราพากันไม่สนใจ ไม่นึกถึง

สิ่งที่ควรสนใจ ควรนึกถึง อย่างที่สุดนี้ เพื่อจะได้ให้เวลาตัวเองในการจัดที่ใหม่ให้ชีวิตตนชาติหน้า ที่ทุกคนต้องไปถึงแน่ทันทีที่ออกจากร่างในชาตินี้ จะเป็นการช่วยตนเอง ให้มีโอกาสหาที่ทางเตรียมไว้สำหรับชีวิตใหม่ ที่ต้องพบแน่ในวันหนึ่งข้างหน้า เพียงแต่อาจจะช้า หรืออาจจะเร็วเท่านั้น

ใครจะไม่มีภพชาติใหม่ไม่มี นอกจากพระอรหันต์ ผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงเท่านั้น ที่ท่านจะไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว.."

พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






"..ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คืออาศัยการกำหนดพิจารณาธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่ ได้ยินอยู่ สัมผัสอยู่ ปรากฏอยู่ จิตใจเล่าก็มีอยู่ ความนึกคิด รู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอก ภายใน ก็มีอยู่ ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่น ใบไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงมา พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายมีอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทุกเมื่อแล.."

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"..ธรรมอยู่ที่ใจนั่นแล ต่อไปท่านจงรักษาระดับจิตระดับความเพียรไว้ให้ดีอย่าให้เสื่อมได้ นั่นแลคือฐานของจิต ฐานของธรรม ฐานของความเชื่อมั่นในธรรม และฐานแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นแล จงมั่นใจและเข้มแข็งต่อความเพียรถ้าอยากพ้นทุกข์ การพ้นทุกข์ต้องพ้นที่นั่นแน่นอนไม่มีที่อื่นเป็นที่หลุดพ้น อย่าลูบคลำให้เสียเวลา เรามิใช่คนตาบอดพอจะลูบคลำ.."

พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)ที่มาจากหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่ขาว อนาลโย







"..#ก่อนจะมาเป็นเราแต่ละคนในภูมิมนุษย์นี้ ต่างก็ได้เป็นอะไรต่อมิอะไร มาแล้วมากมาย นับชนิดนับชาติไม่ได้ เป็นกันทั้งเทวดาสัตว์ใหญ่เล็ก รวมทั้งมนุษย์ชายหญิง คนดีคนจน คนสวยคนไม่สวย คนพิการคนไม่พิการ ขาวดำ ไทยจีน แขกฝรั่ง ต่างเคยมีเคยเป็นกันมาแล้วทั้งนั้น แม้เป็นผู้ระลึกชาติได้ก็จะสลดสังเวชยิ่งนัก และอาจจะสละละวางความโลภความโกรธความหลงได้เป็นอันมาก

#เห็นสุนัขขี้เรื้อนสักตัว แล้วลองนึกว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยเป็นเช่นเดียวกัน เคยกระเซอะกระเซิงเที่ยวหาอาหารกิน ถูกคนตี ถูกสุนัขด้วยกันกัด ถูกใครทั้งหลายที่ได้มาประสบพบผ่านแสดงกิริยาวาจารังเกียจเกลียดชัง ไม่ยอมแม้แต่จะให้เข้าไปใกล้เพื่ออาศัยร่มเงากันแดนกันฝน ก้อนอิฐก้อนหินก็ถูกทุ่มขว้างใส่ให้ต้องถึงเลือดตกยางออก ตกใจกลัวภัยนานา แต่จะบอกกล่าวอ้อนวอนให้ผู้ใดเห็นใจก็ทำไม่ได้ อย่างมากก็เพียงเปล่งเสียงโหยหวนที่หามีผู้เข้าใจในความทุกข์ร้อนไม่

แม้นึกไปในอดีตเช่นนี้ สมมุติตัวเองว่าในภพชาติหนึ่งเป็นเช่นนี้ นึกให้จริงจังเช่นนี้ จะเกิดความกลัวกรรมเพราะย่อมได้ความเข้าใจว่า กรรมไม่ดีแน่แท้ที่ทำให้ชีวิตต้องเป็นเช่นนั้น.."

พระนิพนธ์ 'ชีวิตนี้น้อยนัก'
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






"..เรามาศึกษาหาอรรถหาธรรม ไม่ควรกล้าจนเกินตัวและกลัวจนเกินไป เพราะความผิดพลาดอาจมีได้ด้วยกันทุกคน ความเห็นโทษความผิดนั่นแลเป็นความดี พระพุทธเจ้าท่านก็เคยผิดมาก่อนพวกเรา ตรงไหนที่เห็นว่าผิดท่านก็เห็นโทษในจุดนั้น และพยายามแก้ไขไปทุกระยะที่เห็นว่าผิด เจตนานั้นดีอยู่ แต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นอาจมีได้ ควรสำรวมระวังต่อไปทุกกรณี เพราะความมีสติระวังตัวทุกโอกาสเป็นทางของนักปราชญ์.."

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)อ้างอิงหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระโดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน




"..การปฏิบัติต่อร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน การปฏิบัติต่อจิตใจก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน ถ้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเท่าที่ควร ก็ต้องทำผิดจริง ๆ ด้วย โดยไม่เลือกเพศวัยและชาติชั้นวรรณะใด ๆ เลย เพราะสามัญมนุษย์เราเป็นเหมือนเด็ก ซึ่งต้องได้รับการดูแลและอบรมสั่งสอนจากผู้ใหญ่อยู่ทุกขณะจึงจะปลอดภัยและเจริญเติบโตได้ คนเราใหญ่แต่กาย ใหญ่แต่ชาติ ใหญ่แต่ชื่อ ใหญ่แต่ยศ ใหญ่แต่ความสำคัญตน แต่ความรู้ความฉลาดที่จะทำตนให้ร่มเย็นเป็นสุขทั้งทางกายและทางใจโดยถูกทาง ตลอดผู้อื่นได้รับความร่มเย็นเป็นสุขด้วย นั่นไม่ค่อยเจริญเติบโตด้วยและไม่สนใจบำรุงให้ใหญ่โตอีกด้วย จึงเกิดความเดือดร้อนกันอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่เลือกเพศวัยและชาติชั้นวรรณะอะไรเลย.."

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)ที่มาหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน






"..อะไรที่มันไม่เที่ยง แล้วเราไม่รู้ทันมัน อยากจะให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์เท่านั้น เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ตามปรารถนาไม่ได้ตามความอยาก ที่จะให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นความอยากที่เกิดจากอำนาจจิตที่สกปรก สกปรกด้วยความไม่รู้จักอันนี้ มันก็เกิดกิเลสตัณหาตรงนี้แหละ พอมีความรู้สึกเกิดขึ้นมา เช่นว่า เราได้กระทบ รูปเสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีความชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง คือมีความยึดมั่นถือมั่น เต็มอยู่ในใจของเรา ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้คลี่คลายออก เรื่องที่มันเกิดขึ้นมานี่ให้ยกเอาความไม่เที่ยงเป็นหลักวินิจฉัย อะไรที่มันเกิดขึ้นมาให้เห็นว่า ถึงเราจะชอบมันหรือไม่ชอบมัน อันนี้ไม่แน่นอนอันนี้ไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดมั่นมันมันก็พาให้เราเป็นทุกข์ ทำไมเป็นทุกข์ เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ทุกอย่าง.."

โอวาทธรรม
พระโพธิญาณเถร(หลวงปู่ชา สุภทฺโท)วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)







"..ธาตุมนุษย์เป็นธาตุตายตัว ไม่เป็นอื่นเหมือน นาค เทวดาทั้งหลายที่เปลี่ยนเป็นอื่นได้ มนุษย์ มีนิสัยภาวนาให้สำเร็จง่ายกว่าภพอื่น อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคฺคํ สตฺต วิสุทฺธิยา มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคม คอยประดิษฐ์ กุศล อกุศล สำเร็จอกุศล...มหาอเวจีเป็นที่สุด ฝ่ายกุศล มีพระนิพพานให้สำเร็จได้ ภพอื่นไม่เลิศเหมือนมนุษย์ เพราะมีธาตุที่บกพร่อง ไม่เฉียบขาดเหมือนมนุษย์ ไม่มีปัญญากว้างขวางพิสดารเหมือนมนุษย์ มนุษย์ธาตุพอหยุดทุกอย่าง สวรรค์ไม่พอ อบายภูมิธาตุไม่พอ มนุษย์มีทุกข์ สมุทัย...ฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี...กุศลมรรคแปด นิโรธ รวมเป็น ๔ อย่าง มนุษย์จึงทำอะไรสำเร็จ ดังนี้ ไม่อาภัพเหมือนภพอื่น.."

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร






ทีแรกกราบพระก่อน
อรหัง สวากขาโต สุปฏิปันโน
เสร็จแล้วนั่งสมาธิ
หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ
พุทโธ พุทโธ พุทโธ
ใจให้อยู่กับพุทโธ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอดีต-อนาคต

อดีตผ่านมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้
อนาคตยังมาไม่ถึง ไม่ต้องไปคิด
ให้ใจอยู่กับพุทโธ พุทโธอย่างเดียว
ไม่ต้องเอาใจไปไว้ที่อื่น อย่าเอาใจไปไว้ที่นั่นที่นี่
เอาใจกลับมาอยุ่กับตัวกับร่างกายนี้

พระราชวุฒาจารย์ (ปรีชา สุปญฺโญ)
วัดศรีจันทร์(พระอารามหลวง)
จ.ขอนแก่น





#กรรมดีหรือชั่ว..!!

"... ถ้าได้ทำลงไปแล้ว ถึงแม้คนอื่น
จะไม่รู้เรื่องที่เราทำ ตัวเรานั้นแหละ
รู้ตัวเองดีที่สุด

... ถึงจะโกหกคนทั้งโลกได้ แต่เรา
จะโกหกความจริงไม่ได้ ปากคนเรา
พูดจริงพูดเท็จได้
แต่จิตไม่เคยบอกเท็จในเรื่องกรรม

... พอตายไปแล้วยมบาลไม่ต้องถาม
ให้ยาก จิตเราที่บันทึกกรรมดีชั่ว จะ
อธิบายบอกเล่าให้ฟังเอง ..."
_____________________
#หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย







"..ทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่อยากให้มันทุกข์ มันก็ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ มันก็ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ มันก็เอาทุกข์ออกไม่ได้ ความจริงทุกข์นี้แหละจะทำให้เราฉลาดขึ้น ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาทุกข์ คนเป็นทุกข์ควรพิจารณาทุกข์ มิใช่ว่าหนีไม่อยากทุกข์ ทุกข์เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ตรงนี้ไม่ถูก ตรงนี้ไม่สบาย คนเราก็เหมือนกัน ทุกข์จะพาให้เราไปหาครูอาจารย์และความสงบในที่สุด..''

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี จากหนังสือ อุปลมณี หน้า ๑๑๙ - ๑๒๐





"..ไปทำเถอะ ทำอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอให้ปฏิบัติตัวเองให้ดี นั่นแลคือการปฏิบัติ พระพุทธเจ้า ระลึกถึงท่านด้วยการระมัดระวังตัวให้ดี นั่นแลคือการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ พระสงฆ์ท่านปฏิบัติดีอย่างไร เราปฏิบัติดีอย่างนั้น นั่นแล คือการบูชาพระสงฆ์.."

โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"..ที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์นี้ ใหญ่โตมโหฬารแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัว และติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ เหมือนคนเป็นโรค แต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น ธรรมของเราตถาคตก็ เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายในใจ เบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์ แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไรสิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิด คละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล.."

พุทธโอวาท
จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หน้า ๑๒๘






"ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายชั่วโมง
บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็ยิ่งจะเกิดปัญญา
มากเท่านั้น

ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติ ในทุกๆ อิริยาบท
การฝึกปฏิบัติของท่าน ต้องเริ่มขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอน
ตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป"

หลวงปู่ชา สุภัทโท






“ชนะตัวเอง ก็คือ ชนะตัวหลงที่มันเกิดขึ้นกับจิต
ไม่ใช่ไปชนะคนอื่น ชนะคนอื่นร้อยครั้งพันหน
ไม่เท่าชนะตนครั้งเดียว”

หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 194 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร