ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

กายสงบ ใจสงบ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66120
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 05 ต.ค. 2025, 11:04 ]
หัวข้อกระทู้:  กายสงบ ใจสงบ

..เกิดมาแล้ว ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย เป็นไปไม่ได้ เมื่อใช้สติปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ลักษณะอย่างนี้สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ขึ้นในชีวิต คือ ความรู้จริงเป็นเหตุให้เกิดความไม่ประมาท การเป็นผู้ไม่ประมาทจึงเป็นเหตุให้รักษาทางโลกคือการครองเรือนก็ได้ ส่วนทางธรรมนั้นมีผลมาก เมื่อผู้ใดไม่ประมาทแล้วย่อมปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดมีขึ้น ผลก็คือจะสามารถถึงความพ้นทุกข์ก็ได้..

..#โอวาทธรรมพระราชวัชรปัทมคุณ หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร : วัดป่าปางกึ๊ดกิตติธรรม..






“เกิดเป็นมนุษย์ก็อยากได้พร”
”เกิดเป็นเทวดาก็อยากได้พร“
“เกิดเป็นพรหมโลกก็อยากได้พร”
”ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานก็ขอพรตลอดเวลา“
“พวกท่านทั้งหลายจงยินดี ในนิพพาน”
“ไม่เกิดไม่เจ็บไม่แก่ไม่ตาย นิพพานัง ปรมัง สุขัง”
“สุขใดในโลกเท่าพระนิพพานไม่มี”

#หลวงปู่ศิลา_สิริจันโท






#ความเพียร

การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ขอแต่ลงมือทำ ค่อยทำไปทีละเล็กละน้อยไม่ขาด มันก็จะค่อยเดินตามทางมันไป โดยการดูลมหายใจเข้าออก ธาตุลมเป็นธาตุอาศัยเข้าเเล้วต้องออก ออกแล้วต้องเข้า เข้าไปอุ้มน้ำอุ้มดิน ให้พิจารณาลม ก็สามารถเข้าถึงธรรมได้

ลมเป็นของสะอาด เมื่ออยู่ภายนอก แต่!! เมื่อลมนั้นเข้ามาในร่างกายผ่านปอด ผ่านร่างกายนี้แล้ว เมื่อออกมาก็เป็นของไม่สะอาด

ร่างกายนี้ไม่ใช่ของสะอาด แม้แต่เครื่องแต่งกาย เมื่อมาหุ้มห่อกายนี้ก็เหม็นเน่า ให้พิจารณาน้อมลงไตรลักษณ์ และทำให้มากเข้าๆ

ร่างกายยิ่งทุกข์ยิ่งสู้ สู้กิเลส ยิ่งเจ็บยิ่งเอานี้ เอาตายเป็นแดน เพราะกิเลสกำลังลังตาย แต่ธรรมไม่กลัวตาย เดินเยียบตะปูก็ไม่เอาออกเดะ เยียบมันลงไปยิ่งปวดยิ่งดี ถึงว่าการปฏิบัติมันต้องเอาขนาดนั้น

นั่งจนแขนขาผิดรูปสู้ให้มันตาย ให้มันหักล้างกันไปข้างหนึ่ง เพราะกิเลสมันพากลัวตาย แต่ทำอย่างมีสติครอบใจตลอด ไม่ให้มีช่องว่าง ถึงแม้เจ็บมากเท่าไร ก็ไม่ละความเพียรพยายาม

แต่เมื่อก้าวข้ามความรักตัวกลัวตายได้ ให้โลกนี้อะไรก็ไม่กลัว ใจจะอาจหาญ โล้ดโผน ถึงว่าการปฏิบัติมันต้องฝ้ากตาย เอาตายเป็นเเดน มีความเพียร มีสติ มีปัญญา ก็จะชนะใจตนได้

แต่ก็ปฏิบัติไปตามจริตนิสัยนะ ขอให้ลงมือทำ ธรรมดาจิตนั้นไม่ใช่ของเรา เราบังคับไม่ได้ แต่รู้เท่าทันได้ด้วยสติ เหมือนตาที่มองไม่เห็นขนตา แต่เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ และลองลูบคลำในส่วนสงสัยจนได้สัมผัส ก็จะเข้าใจว่ามันคืออะไร

รู้เห็นด้วยตนเอง เพราะเราเคยทำมาแบบนี้ สู้เป็นสู้ตายเสืออยู่ต่อหน้าก็สละให้กินได้ เขาจะเอามีดมาปาดคอก็ไม่เกรงกลัว

นี้ถึงเรียกได้ว่า “ ความเพียรในมหาสติ “

โอวาทธรรม พระชินวัตร ฐิตโสภโณ (ครูบาแหวง)







การอุทิศบุญนี้เป็นของสำคัญนะ อุทิศด้วยการกรวดน้ำก็ได้ ไม่กรวดน้ำก็ได้

สำคัญที่อุทิศทางใจ น้ำนี้เป็นสักขีพยานภายนอกต่างหาก"

หลักอันใหญ่โตจริงๆ คือใจ น้ำใจต่างหาก นี่หลักของธรรมแท้เป็นอย่างนี้

- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







.

#ตั้งอารมณ์ก่อนหลับ

แล้วเวลาตอนจะหลับ อย่าลืมนะเมื่อหัวถึงหมอนปั๊บ จับภาพพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็นึกถึงภาพพระพุทธรูป ภาวนาว่าพุทโธ ถ้าพุทโธแล้วยังเป็นสายกลาง หมายความว่าเราจะเกิดเป็นคนก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้ เป็นนางฟ้าก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ จะไปนิพพานก็ได้ ไม่แน่นอนนัก ยังเป็นสมถภาวนา

ถ้าจับลมหายใจเข้าออกปั๊บ จิตนึกถึงร่างกายว่า ร่างกายนี้ไม่ช้ามันต้องตาย มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่มัน มันไม่ใช่เรา มันเป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ร่างกายประเภทนี้เราไม่ต้องการอีก เราต้องการนิพพานเป็นที่ไป แล้วภาวนาว่า "นิพพานะสุขัง" นี่สำหรับคนที่ไม่ได้มโนมยิทธินะ

สำหรับคนที่ได้มโนมยิทธิก็พุ่งใจไปนิพพานเลย ไปนิพพานสัก ๒-๓ นาทีก็ได้ แล้วกลับลงมา ถ้าตายคืนนั้นไปนิพพานทันที ถ้าทำแบบนี้จะตายเมื่อไหร่ก็ตาม ถ้าทำทุกคืนขอรับรองว่าก่อนจะตายทุกคนจะเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์วันนั้นแล้วก็ตายวันนั้นที่เรียกว่านิพพานนะ ไม่ยากนะ ปฏิบัติจริงๆ ไม่ยาก แต่มันง่ายเกินไป คนอื่นเขาไม่สอนกัน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
______________
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๓
ฉบับที่ ๓๖๗ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
หน้า ๖๐





#อานิสงส์การบริจาคโลงศพ
ธรรมทาน #หลวงพ่อตอบปัญหา

ผู้ถาม : การบริจาคโลงศพ ให้คนตายที่ไม่มีญาตินั้นมีบุญมาก อันนี้จริงไหมครับ ?

หลวงพ่อ : ตามธรรมดาเราถ้าป่วยญาติต้องรักษาสิ้นเงินสิ้นทองมากอยู่แล้ว ถ้าฐานะไม่ดี ถ้าตายไปแล้วแกเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลงศพนี่หนักมาก ถ้าคนจนๆ สักหน่อยนะ ก้ต้องไปซื้อไม้ยางมาแล้วมาต่อเอง ทีนี้สำคัญคนต่อโลง ถ้าไม่มีเหล้ากิน เขาต่อโลงไม่ได้ ถ้ากินเมาเกินไป ต่อโลงไม่ได้อีก นี่เป็นเรื่องจริงๆนะ เมาเกินไปก็งอแงๆ ทำท่าจะต่อไม่เสร็จ

ทีนี้คนเขามีทุกข์จากการรักษาพยาบาลเพราะเงินมันหมดแล้ว ใช่ไหม ต่อมาถ้าเกิดตายก็ต้องใช้เงินใหม่ อาจจะต้องขอยืมเขา เป็นหนี้เป็นสินเขา ถ้าเราให้อย่างนี้สร้างความสุขให้แก่เขามาก มันเป็นปัจจัยของความสุข

แต่ว่าเคยพบมาหลายรายแล้วนะ ถ้าเขาอุทิศโลงศพแล้วรวยทุกราย นี่เรื่องจริงๆ นี่พบมาจริงเลยนะ

อันดับแรกเขาต่อโลงที่บ้าน ๔-๕ ลูก ต่อๆมาก็เพิ่มหลายลูกขึ้น แล้วก็มีคนร่วมหุ้นส่วน และฐานะเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่เคยเห็นมานะ คือเอาผลปัจจุบัน เวลานั้นเขามีความทุกข์ยาก ญาติเขาตาย เจ้าภาพหนักใจมาก ไม่มีเงินก็ต้องกู้เขา สถานที่กู้ก็ยังไม่แน่จะไปกู้ได้ที่ไหน หนักใจไม่น้อยเลย

=================
จาก หนังสือ ธัมมวิโมกข์ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑






“พิสูจน์ความดี”
...
ไม่ว่าเป็นพระ ไม่ว่าเป็นโยม หากมีการ
ขัดเกลาพฤติกรรม มีการขัดเกลาอารมณ์
มีการละอกุศลธรรม มีการบำเพ็ญกุศลธรรม
มีการชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด เราก็มี
สิทธิ์จะเจริญในธรรม ไม่ว่าพระ ไม่ว่าโยม
เป็นพระอยู่ในผ้าเหลืองกี่ปี ๆ มีตำแหน่ง
มีสมณศักดิ์ แต่ไม่มีการฝึก ไม่มีการฝึก
พฤติกรรม ไม่มีการฝึกจิตใจ ไม่มีการฝึก
ทางด้านปัญญา ไม่มีการละบาป บำเพ็ญกุศล
ชำระจิตใจของตน ความเป็นพุทธมามกะ
ไม่มีเลย ไม่ต้องเอาถึงเป็นพระสงฆ์ แค่เป็น
พุทธมามกะ เป็นพุทธศาสนิกชน มันขึ้นอยู่กับ
ความจริงใจในการฝึกตนตามหลักคำสอน
ของพระพุทธเจ้า ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะ
คนไม่ฝึกตนตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
ละเลย ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตนในฐานะ
ที่เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นที่พึ่ง ไม่ว่าพระ ไม่ว่าโยม หากเรา
รับผิดชอบชีวิตของตน ค่อย ๆ ขัดเกลา ค่อย ๆ
ฝึกตน ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ความเป็นพุทธศาสนิกชนก็จะปรากฏ
และการที่เรามีส่วนมีโอกาสสืบต่ออายุของ
พระพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนาไม่หาย
จากโลก ทำให้พุทธศาสนาอยู่ได้ ทำให้
ศาสนาพุทธของเราเจริญงอกงามได้
อีกรอบหนึ่งได้ อยู่ที่พวกเรา อยู่ที่การกระทำ
ของพวกเราทุกคน ...

พระพรหมพัชรญาณมุนี
พระอาจารย์ชยสาโร
บ้านบุญ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๘






"..เพราะฉะนั้นให้พวกเราปลูกศรัทธาความเชื่อลงไป อย่าไปเชื่อกับแต่กิเลสหลาย แต่นี่ไปหาตาย ก็พยายามอบรมให้เชื่อพระพุทธเจ้า สิ่งใดท่านห้าม ก็ละซะ สิ่งที่ไม่ดีนั่นล่ะ ความโลภ โกรธ หลง นั่นแหละ ความโลภก็ให้ละ ความโกรธก็ให้ละ ความหลงก็ให้ละ อย่านำเอาไปฮอด (ถึง)วันตาย ให้ทิ้งเสียก่อนนี่แหละ ครั้นจะตายให้ตายด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยภาวนา ให้ตั้งจิตให้เป็นกาลกุศล คิด พอตายไปทีนี้ละก็คออ่อน พระสวด กุศลา ธมฺมา อกุศลา ธมฺมา อพยากตา ธมฺมา นั่นมันว่าแต่ชื่อเฉยๆ ให้เราสวด กุศลาให้ตัวเจ้าของ มาวันนี้ก็เรียกว่า สวดกุศลาใส่ตัวเองซะเดี๋ยวนี้ ศีล ก็เป็นกุศลาธัมมา ทาน ก็เป็นกุศลาธัมมา ภาวนาพุทโธ ก็เป็นกุศลาธัมมา ก็เหมือนกันนั่นแหละ ผู้ใดรักษาศีลบริสุทธิ์ทุกวัน ให้ทาน ทุกวัน ภาวนาพุทโธ ก็สร้างกุศลาธัมมาใส่ตัวเป็นประจำ ทุกขณะลมหายใจ นั่นแหละ ผู้ใดบ่มีศีลอันนี้แหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหก กินเหล้าทุกวัน ก็สร้างอกุศลใส่ตนทุกวันนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้นดอก ทานก็บ่ทำสักเทือ สร้างแต่อกุศลาธัมมา ใจมันก็โลภ โกรธ หลง ขึ้นไปหละ มันเป็นอย่างนั้น พอเวลาตายแล้ว จะนิมนต์พระไปสักร้อยวัดให้สวดกุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา อพยากตาธัมมา หมดวันหมดคืน นั่น อยากจะไปสวรรค์ ด้วยคำสวดของพระไม่ได้หรอก ให้เราละเท่านั้นแหละ ตายปุ๊บก็ไปทุคติปั๊บ ไอ้คนชั่วมันไม่ไปคอยฟัง สวดกุศลาอยู่นั่นดอก อันคนใจบุญก็เหมือนกัน ตายปุ๊บก็ไปสู่สุคติทันที ไม่คอยมาฟัง กุศลาธัมมากับพระหรอก มันเป็นยังงั้น.."

อบรมภาวนาญาติโยม
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
วัดอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม







จงจำไว้ เมื่อใครผู้ใดเกิดทุกข์ ไม่ว่าจะ
เกิดจากกายก็ดี จากใจก็ดี เกิดจากอารมณ์
ก็ดี ที่เราไปยึด ที่มากระทบเราก็ดี นั่นเป็น
สัญญาณเตือนภัย ให้เรานั้น “มีสติ”

ในยามสุข ก็อย่าได้หลงในสุขนั้น
เพราะสุข มันคือหลุมพรางแห่งความทุกข์
คือหายนะ ต้องมีสติ รู้จักระงับ รู้จักความพอดี

ถ้ามีความพอดีแล้ว จะรู้ได้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์
มันเป็นยังไง เมื่อโยมรู้จักระงับ
รู้จักความพอดีแล้ว สติมันจะตั้งมั่นของมันเอง
มันก็สงบของมันเอง ก็ลองไปพิจารณาดู ...

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี








"..หลวงปู่มั่น.." "..ยืนยัน จิตของคนเราสามารถจับจองที่เกิดใหม่ได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย!! หากไม่ระวังฝึกฝนจะนำพาไปสู่ที่ต่ำกว่าเดิมเสมอ #ตายแล้วไปไหน

“หลวงปู่มั่น” ยืนยัน จิตของคนเราสามารถไปจับจองที่เกิดใหม่ได้ตั้งแต่ยังไม่ตายได้จริง! หากไม่ระวังฝึกจิตจะนำพาไปสู่ที่ต่ำกว่าเดิมเสมอ#ตายแล้วไปไหน

เรื่อง "จิตไปจับจองที่เกิด ตั้งแต่ยังไม่ทันตาย"
(จากธรรมประวัติ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
ในสมัยบั้นปลายชีวิตของท่านพระอาจารย์มั่น มีอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวคนหนึ่งมีความเคารพเลื่อมใสในพระอาจารย์มั่นมาก มาเล่าเรื่องของตัวเองถวายท่านว่า ขณะอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวผู้นี้แกนั่งสมาธิภาวนาตลอดกลางคืนยามดึกสงัด พอจิตรวมสงบลงสนิทไม่แสดงกิริยาใดๆ สายใยยาวเหยียดออกนอกกายนอกใจไปสู่ภายนอก แกเกิดความสงสัยเป็นล้นพ้น จึงกำหนดจิตดูว่า กระแสจิตนี้มันไหลออกไปทำไม และจะไปเกี่ยวข้องกับอะไร

พอแกตามกระแสจิตอันละเอียดเป็นสายใยนั้นไปก็พบว่ากระแสจิตของแกไปเข้าที่ร่างของหลานสาวคนหนึ่งเพื่อจับจองที่เกิดในท้องหลานสาวซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แกรู้สึกตกใจมาก เพราะตัวเองยังไม่ตาย ทำไมจิตถึงส่งกระแสออกไปจับจองที่เกิดไว้แล้วเช่นนั้นจึงรีบย้อนจิตกลับมาที่เดิมและถอนจิตออกจากสมาธิทันที แกใจไม่ดีเลยนับแต่ขณะนั้นเป็นต้นมา
ในระยะเดียวกันก็ปรากฏว่าหลานสาวคนนั้นเริ่มตั้งครรภ์มาได้หนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน พอตื่นเช้าวันหลังแกรีบมาวัด เล่าเรื่องนี้ถวายพระอาจารย์มั่นดังกล่าวแล้ว ขณะนั้นมีพระเณรหลายท่านนั่งฟังอยู่ด้วย ต่างก็งงไปตามๆ กัน พระอาจารย์มั่นนั่งหลับตาอยู่ประมาณ 2 นาที แล้วลืมตาขึ้น อธิบายปรากฏการณ์แปลกประหลาดนั้นให้อุบาสิกานุ่งขาวหุ่มขาวคนนั้นฟังว่า " เมื่อจิตรวมสงบลงคราวต่อไป ให้โยมตรวจดูกระแสจิตให้ดี ถ้าเห็นแกระแสจิตนั้นส่งออกไปภายนอกดังที่โยมว่านั้น ให้กำหนดจิตตัดกระแสจิตนั้นให้ขาดด้วยปัญญาจริงๆ ต่อไปกระแสจิตนั้นจะไม่ปรากฏ แต่โยมต้องกำหนดดูกระแสจิตนั้นด้วยดี และกำหนดตัดให้ขาดด้วยปัญญาจริงๆ อย่าทำเพียงแต่ว่าทำเท่านั้น เดี๋ยวเวลาตายโยมจะเกิดในท้องหลานสาวนะจะหาว่าอาตมาไม่บอก " นี่คือคำบอกของอาตมา จงทำให้ดี ถ้าโยมกำหนดตัดกระแสจิตนั้นไม่ขาด เวลาโยมตายต้องไปเกิดในท้องหลานสาวแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย
พออุบาสิกาผู้นั้น ได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์มั่นแล้วก็กลับบ้านไป ราวสองวันแกก็กลับมาหาท่านอีกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก พอแกนั่งลงเท่านั้น พระอาจารย์มั่นก็ถามเป็นเชิงเล่นบ้างจริงบ้างทันทีว่า " เป็นยังไงโยมห้ามกระแสจิตตัวเองอยู่หรือเปล่าที่จะไปเกิดกับหลานสาวทั้งที่ตัวยังไม่ตายน่ะ " แกเรียนตอบทันทีว่าโยมตัดขาดแล้วคืนแรก พอจิตรวมสงบลงสนิทแล้วกำหนดดูก็เด่นชัดดังที่เคยเห็นมาแล้ว มันส่งกระแสไปอยู่ที่ท้องหลานสาว โยมก็กำหนัดตัดกระแสจิตพิลึกนั้นด้วยปัญญาดังหลวงพ่อบอกจนมันขาดกระเด็นไปเลย เมื่อคืนนี้โยมกำหนดดูอีกอย่างละเอียดเพื่อความแน่ใจไม่ปรากฏว่ามีอีกเลย มันหายเงียบไป วันนี้อยู่ไม่ได้ต้องรีบมาเล่าถวายให้หลวงพ่อฟัง
พระอาจารย์มั่นพูดว่า นี่แลความละเอียดของจิตคนเรา จะรู้เห็นได้จากการภาวนาสมาธิเท่านั้น วิธีอื่นไม่มีทางทราบได้ จิตของคนเรามันลึกลับยิ่งนัก เราจะไปรู้เห็นมันด้วยวิธีการคาดคิดนึกเดาเอาตามตำราไม่ได้ ต้องลงมือปฏิบัติจิตสมาธิจริงๆ ถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง โยมเกือบเสียตัวให้กิเลสขับไสไปเกิดในท้องหลานสาวแบบไม่รู้สึกตัวแล้วไหมล่ะ แต่ยังดีที่ภาวนาสมาธิจนรู้เรื่องของจิตเสียก่อน แล้วรีบแก้ไขกันทันเหตุการณ์ ฝ่ายหลานสาวคนนั้น พอถูกคุณยายอุบาสิกาตัดกระแสจิตขาดจากความสืบต่อก็ปรากฏว่าหล่อนได้แท้งลูกในระยะเดียวกัน น่าประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ
ปัญหาที่ว่า คนยังไม่ตาย ทำไมจึงเริ่มไปเกิดในท้องคนอื่นแล้วเช่นนี้ พระอาจารย์มั่นได้เฉลยปัญหานี้ให้พระเณรลูกศิษย์ทั้งหลายที่สงสัยเป็นล้นพ้นฟังว่า จิตเป็นแต่เพียงเริ่มต้นจับจองที่เกิดไว้เท่านั้น แต่ยังมิได้ไปเกิดเป็นตัวเป็นตนโดยสมบูรณ์ ถ้าคุณยายอุบาสิกาคนนั้นไม่รู้ทันปล่อยให้จิตเกาะเกี่ยวกับการเกิดในท้องหลานสาวจนทารกในครรภ์ปรากฏเป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์ขึ้นมาเมื่อไร คุณยายคนนั้นจะตายทันที ต่อปัญหาที่ว่าการที่คุณยายคนนั้นตัดกระแสจิตตัวเอง จนหลานสาวแท้งลูก จะไม่เป็นการทำลายชีวิตมนุษย์ในครรภ์ล่ะหรือ?
พระอาจารย์มั่นตอบว่า จะเป็นการทำลายก็แต่เฉพาะกระแสจิตตัวเองเท่านั้น มิได้ตัดหัวคนที่เกิดเป็นตัวเป็นตนแล้วแต่อย่างใด เพราะจิตแท้ยังอยู่กับคุณยาย ส่วนกระแสจิตทีแกส่งไปยึดไว้ที่หลานสาวนั้น พอแกรู้สึกตัวก็รีบแก้ไขคือตัดกระแสจิตของตนเสีย มิให้ไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป เรื่องก็ยุติกันไปเท่านั้น อีกอย่างก็คือทารกในครรภ์นั้นเพิ่งมีอายุได้ ๑ เดือนเท่านั้นเป็นเพียงแต่ก้อนเลือดยังไม่เป็นตัวตนแต่อย่างใด
สาเหตุที่คุณยายุอุบาสิกาเผลอไผลปล่อยให้แกระแสจิตส่งออกไปเกาะเกี่ยวกับหลานสาวนี้ คุณยายได้เล่าว่า แกรักหลานสาวคนนี้มากเสมอมา มีเมตตา ห่วงใย ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับหลานสาวคนนี้อยู่เสมอแต่มิได้คิดว่าจะมีสิ่งลึกลับคอยแอบขโมยไปก่อเหตุเช่นนั้นขึ้นมา ถึงกับจะต้องไปเกิดลูกของหลานสาวอีก ถ้าไม่ได้พระอาจารย์มั่นช่วยแก้ไขไว้ทันท่วงทีก็คงไม่พ้นไปเกิดในท้องหลานสาวแน่นอน พระอาจารย์มั่นว่า จิตนี้พิสดารเกินกว่าความรู้ความสามารถของคนธรรมดาจะตามรู้ตามรักษาโดยมิให้เป็นภัยแก่ตัวผู้เป็นเจ้าของดังที่คุณยายพูดไม่มีผิดถ้าแกไม่มีหลักใจทางสมาธิภาวนาอยู่บ้างแล้ว แกก็ไม่มีทางเดินของใจได้เลย ทั้งเวลาเป็นอยู่และเวลาตายไป

ฉะนั้นการทำภาวนาสมาธิจึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อใจได้ดีและถูกทาง ยิ่งเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้ว สติปัญญายิ่งมีความสำคัญมากในการตามรู้และรักษาจิตตลอดการต้านทานทุกขเวทนาไม่ให้มาทับจิต ในเวลาจวนตัวซึ่งเป็นเวลาเอาแพ้เอาชนะกันจริงๆ ถ้าพลาดท่าขณะนั้นก็เท่ากับพลาดไปอย่างน้อยภพหนึ่งชาติหนึ่ง เช่นไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดใดก็ต้องเสียเวลานานเท่าชีวิตของสัตว์ในภพภูมินั้นๆ ขณะที่เสียเวลายังต้องเสวยกรรมในกำเนิดนั้นไปด้วย ถ้าจิตดีสติพอประคองตัวได้ อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์มากกว่านั้นก็ไปเกิดในเทวสถานชมวิมานและเสวยทิพย์สมบัติอยู่นานปีถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ลามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่ลืมศีลธรรมที่ตนเคยบำเพ็ญรักษามาตั้งแต่บุพเพชาติ ทำให้เพิ่มอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารขึ้นโดยลำดับ จนจิตมีกำลังแก่กล้าสามารถรักษาตัวได้
การตายก็เป็นเพียงการเปลี่ยนร่างจากต่ำขึ้นไปสูง จากสั้นไปหายาว จากหยาบไปหาละเอียดจากวัฏฏจักรไปเป็นวิวัฏฏจักร ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนเครื่องเสวยมาเป็นลำดับ สุดท้ายก็หมดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอะไรต่อไปอีกเพราะจิตได้รับการอบรมไปทุกภพทุกชาติ จนฉลาดเหนือสิ่งใดๆ กลายเป็นนิพพานสมบัติขึ้นมาอย่างสมพระทัยและสมใจ ซึ่งล้วนไปจากการฝึกฝนอบรมจิตให้ดีไปโดยลำดับทั้งสิ้น. ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์ทั้งหลาย จึงไม่ท้อถอยในการสร้างกุศล อันเป็นสวัสดีมงคลแก่ตนทุกเพศทุกวัยจนสุดวิสัยที่จะทำได้ไม่เลือกกาล.."

ภูริทตฺธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส
ต.ตำบลธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร







"การตัดสัญญา ก็คือ การดับสังขาร ดับความคิด ความปรุงแต่ง การนั่งสมาธิทำให้กายสงบ ใจสงบ พอกายนิ่ง ใจก็อยู่กับความนิ่ง พอใจสงบ จิตก็อยู่กับความสงบ สมาธิเกิด จิตก็จะลอยเด่นสูงขึ้น

สังขารดับแต่ใจก็ยังมีอยู่ บุญกุศลก็ยังมีอยู่ นิพพานก็ยังไม่ดับ ไม่มีอะไรสูญหายไป นอกจากอวิชชาอย่างเดียว"

.... ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/