ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ความสงบสุขทางใจ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66201
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 26 ต.ค. 2025, 12:21 ]
หัวข้อกระทู้:  ความสงบสุขทางใจ

"ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ จะรีบเร่งขวนขวายสิ่งใด
ก็รีบเร่งเสีย สมบัติภายในก็ให้มี สมบัติภายนอกก็ให้มี
อยู่ก็เป็นสุขไปก็เป็นสุข ไม่ขาดทุนสูญดอกทั้งอยู่ทั้งไป
สำหรับคนมีธรรมมีบุญกุศล อยู่ที่ใดไปที่ใด ไม่อดไม่จน
ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






เรากราบไปที่ไหนก็คือคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งเบิ๊ดนั่นแหละ เฮากราบพุทโธ กราบแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า ธัมโมระลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สังโฆระลึกถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดั่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น เป็นสาวกะสังโฆหมด

แต่หลวงปู่หล้าเพิ่นว่า พอกราบพุทโธ ธัมโม สังโฆแล้วเพิ่นหว่าให้แถมท้ายด้วย นิพฺพานัง ว่างั้นนะ กราบพุทโธ กราบธัมโม กราบสังโฆ แล้วกะ นิพฺพานัง ข้าพเจ้ากราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บ่แม่นกราบโงก ๆ งัน ๆ ซื่อ ๆ ได๋กราบเพื่อหวังพระนิพพาน เพื่อพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร นิพฺพานัง หลวงปู่หล้าเพิ่นเว้าแนวนั้นเด๊ะ กราบพุทโธ ธัมโม สังโฆแล้วก็ นิพฺพานัง แล้วก็ อะระหัง สัมฺมา สัมฺพุทฺโธ ภะคะวา กราบ สฺวากฺขาโต สุปฏิปันฺโน นะโม ตัสฺสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมฺมา สัมฺพุทฺธัสฺสะ ถ้าได้เท่านี้ก็เพียงพอหรือมากกว่านั้นก็ได้ พุทฺธัง ธัมฺมัง สังฺฆัง ทุติ. ตะติ. แล้วก็ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมฺมา สัมฺพุทฺโธ กาเยนะวาจา. เสร็จแล้วได้ขนาดนั้นก็เพียงพอ หรือมากกว่านั้นก็ได้

พอไหว้พระจบแล้วกะมันแผ่เมตตาเด้อ หลวงปู่หล้าสอนใด๋สมัยสามเณรอินทร์ หลวงพ่อนี่จำบ่ลืม แผ่เมตตา เพราะเฮามาอยู่ในภูผาป่าไม้ ภูมิรุกขเทวดา เพิ่นมอง ๆ ๆ เห็นอยู่อยู่ในภูผาป่าไม้มี เฮาต้องแผ่เมตตาประณมมือทำใจให้นิ่ง ๆ แล้วก็แผ่เมตตา ข้าพเจ้าจงเป็นสุข ขอให้ทุกท่านทุกดวงใจจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างไร ท่านทั้งหลายทุกดวงใจทุกดวงวิญญาณก็ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้าปรารถนาทุกดวงใจทุกดวงวิญญาณด้วยเทอญ

อันนี้คือแผ่เมตตา เฮาจะบ่เบียดเบียนผู้ใด๋ เฮาจะบ่จองล้างจองผลาญผู้ใด๋ เฮาบ่จองเวรกับผู้ได๋ เฮาแผ่เมตตา จะว่า อะหัง สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข โหมิ ก็ได้อยู่ แต่เฮาแปลบ่ออก เพิ่นว่า เอาภาษาใจของเฮานี่แหละ นึกในใจนิ่ง ๆ แล้วกะ ข้าพเจ้าจงเป็นสุข ผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างใด ผู้อื่นสัตว์อื่นวิญญาณอื่น ทุกดวงใจก็ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการปรารถนา (สาธุ) กราบ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “เชือกผูกคอหมา”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘






หายใจเข้าหายใจออกมันไม่มีเจ้าของ
ไม่มีผู้หายใจเข้า ไม่มีผู้หายใจออก
การหายใจเป็นธรรมชาติของสังขารร่างกาย
เราก็เป็นแค่ผู้รับรู้รับทราบอย่างเดียว
ฝึกเป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่ใช่ผู้เสพ ไม่ใช่
ผู้หมกมุ่น ไม่ใช่ผู้ง่วนกับสิ่งต่างๆ รับรู้รับทราบ
เป็นผู้สังเกตการณ์แค่นี้ มีสติ ไม่ยินดี
ไม่ยินร้าย ไม่หลงใหล ไม่หมกมุ่น สุขภาพจิต
คุณภาพจิต สมรรถภาพจิต ก็สูงขึ้นทันที
อย่างเห็นได้ชัด

ทําไปด้วย สังเกตไปด้วย คอยปรับความเพียร
ให้เหมาะสมไปเรื่อยๆ ลมหายใจย่อมเปลี่ยน
ระหว่างการภาวนา ลมหายใจตอนต้น
ตอนท้าย ไม่เหมือนกัน เราจึงต้องปรับสติ
ของเราให้เหมาะ ให้ถูกให้ตรงกับธรรมชาติ
ของลมหายใจที่กําลังแปรปรวนอยู่ นี่คือ
ศิลปะของการภาวนา ถ้าเราไม่รู้จักปรับ
ลมหายใจจะหาย แล้วจิตจะง่วง สติไม่ละเอียด
พอ การภาวนาแต่ละครั้งเป็นการค้นคว้า
เป็นการเรียนรู้ เป็นการได้วิชาชีวิต ฝึกวิชา
ของความเป็นมนุษย์ที่ดี ...

พระอาจารย์ชยสาโร
นำสมาธิภาวนา ในวาระปฏิบัติธรรม
บ้านบุญวันอาทิตย์ วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๘
ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา







โอวาทธรรม
หลวงปู่ทา จารุธัมโม
วัดถ้ำซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

“..สังขารไม่เที่ยง หลีกเลี่ยงเสียให้พ้น อนัตตาไม่ใช่ตัวตน อย่ากังวลว่าร่างกาย..”

“..ให้หมั่น ขยัน เพียร อย่าละ อย่าเลิก
ทำไป ให้มันเห็นของจริงให้จงได้..”

“..สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ให้รู้อยู่เสมอ สติกับใจมันอันเดียวกันนั่นแหละ อิริยาบถ ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน สติอันเดียว..”

“..ญาติธรรมสายโลหิตในทางธรรม สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องญาติพี่น้อง ใคร ๆ ก็มีกันทั้งโลก แต่ญาติที่สนิทกันได้อย่างลงใจ ไม่มีกิเลสภัยมาแพ้วพานให้รำคาญจิตนั้นคือ “ญาติธรรม” ส่วนญาติพี่น้องในทางโลก บางทีก็แย่งสมบัติ ฆ่ากันตายก็มี แต่ญาติธรรมนี้สนิทใจ เป็นที่สุด..”

“..จะถึงธรรมต้องอดทน…ให้พยายามเข้า มันเป็นของยากนั่นแหละ…ของดีมันก็ยาก พระพุทธเจ้าท่านก็วางไว้ให้พวกเราหมดแล้ว…ทำกับข้าวไว้ให้กับพวกเราหมดแล้ว…จะกินหรือไม่กิน…ถ้าไม่กินก็ท้องแห้ง ถ้ากินก็อิ่ม..”






#ออกธุดงค์ปฏิบัติเบื้องต้น..!!

"หลวงปู่มั่น" ออกธุดงค์ข้ามไปทางฝั่งแม่น้ำโขงตามป่าเขามีสัตว์เสือชุกชุมดุร้าย

เวลาท่าน (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ออกปฏิบัติเบื้องต้น ท่านว่าท่านไปทางจังหวัดนครพนมและข้ามไปเที่ยวทางฝั่งแม่น้ำโขง บำเพ็ญสมณธรรมอยู่แถบท่าแขก ตามป่าและภูเขา

ท่านได้รับความสงบสุขทางใจมากพอควรในป่าและภูเขาแถบนั้น ท่านเล่าว่า มีสัตว์เสือชุกชุมมาก เฉพาะเสือทางฝั่งโน้นรู้สึกดุร้ายกว่าเสือทางเมืองไทยเราอยู่มากเป็นพิเศษ

เนื่องจากเสือทางฝั่งโน้นเคยดักซุ่มกัดกินคนญวนอยู่เสมอมิได้ขาด มีข่าวอยู่บ่อย ๆ แต่คนญวนไม่ค่อยกลัวเสือมากเหมือนคนลาวและคนไทยเรานัก และไม่ค่อยเข็ดหลาบและกลัวเสืออยู่นานทั้ง ๆ ที่เคยเห็นเสือกัดและกินคนอยู่เสมอ และเห็นมันโดดมากัดเอาเพื่อนที่ไปป่าด้วยกันไปกินต่อหน้าต่อตาอย่างวันนี้ แต่พอวันหลังคนญวนยังกล้าพากันเข้าไปป่าที่มีเสือชุมเพื่อหาอยู่หากินได้อีกอย่างธรรมดา ไม่ตื่นเต้นตกใจกลัวและเล่าลือกันเหมือนคนลาวและคนไทยเรา ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความเคยชินของเขาก็เป็นได้

ท่านเล่าว่า คนญวนนี้แปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเห็นเสือโดดมากัดเพื่อนที่ไปด้วยกันหลายคนไปกินก็ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือกันด้วยวิธีต่าง ๆ บ้างเลย ต่างคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด ไม่สนใจในการช่วยเหลือ เวลาไปนอนค้างคืนในป่าหลายคนด้วยกัน ตกกลางคืนถูกเสือโดดมากัดและคาบเอาเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปกิน พวกที่นอนอยู่ด้วยกันได้ยินเสียงตกใจตื่นขึ้น เห็นเหตุการณ์แล้ว ต่างก็วิ่งหนีไปหาที่นอนใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณนั้นเอง ความรู้สึกเขาเหมือนเด็ก ๆ ในเรื่องเช่นนี้ ไม่มีความคิดอ่านใด ๆ ที่แยบคายไปกว่านี้เลย ทำเหมือนเสือโคร่งใหญ่ทั้งตัวที่เคยกินคนมาแล้วอย่างชำนาญไม่มีหูไม่มีตาและไม่มีหัวใจเอาเลย

เรื่องคนพรรค์นี้ ผู้เขียนเองก็พอรู้เรื่องที่เขาไม่ค่อยกลัวเสือมาบ้างพอควร คือเวลาเขามาพักอาศัยในบ้านเมืองเราที่เป็นป่ารกชัฏและมีสัตว์เสือชุกชุม เวลาเขาพากันไปนอนค้างคืนเลื่อยไม้อยู่ในป่าลึก ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากและมีเสือชุม เขาไม่เห็นแสดงอาการหวาดกลัวบ้างเลย แม้เขาจะนอนอยู่ด้วยกันหลายคนหรือคนเดียว เขาก็นอนได้อย่างสบายไม่กลัวอะไร ถ้าเขาต้องการจะเข้ามาในหมู่บ้านเวลาค่ำคืนเขาก็มาได้ ไม่ต้องหาเพื่อนฝูงมาด้วย อยากกลับไปที่พักเวลาใดก็กลับไปได้ เวลาถูกถามว่าไม่กลัวเสือบ้างหรือ? เขาก็ตอบว่า ไม่กลัว เพราะเสือเมืองไทยไม่กินคนและยิ่งกลัวคนด้วยซ้ำ ไม่เหมือนเสือเมืองเขาซึ่งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ และชอบกินคนแทบทั้งนั้น

เมืองเขาบางแห่งเวลาเข้าป่าต้องทำคอกนอนเหมือนคอกหมู ไม่เช่นนั้นเสือมาเอาไปกิน ไม่ได้กลับบ้าน แม้บางหมู่บ้านที่เสือดุมาก เวลากลางคืนผู้คนออกมานอกบ้านเรือนไม่ได้ เสือโดดมาเอาไปกินเลยไม่มีเหลือ เขายังกลับว่าให้เราอีกด้วยว่า คนไทยขี้กลัวมาก จะไปป่าก็แห่แหนกันไปไม่กล้าไปคนเดียว ที่ท่านพระอาจารย์มั่นว่าคนญวนไม่ค่อยกลัวเสือนั้นคงจะเป็นในทำนองนี้ก็ได้

เวลาท่านไปพักอยู่ที่นั้นก็ไม่ค่อยเห็นเสือมารบกวน เห็นแต่รอยมันเดินผ่านไปมาและส่งเสียงร้องครางไปตามภาษาของสัตว์ที่มีปาก และร้องครวญครางได้เท่านั้นในบางคืน แต่เขาร้อง มิได้คำรามให้เรากลัวหรือแสดงท่าทางจะกัดกินเป็นอาหาร

เฉพาะองค์ท่านเองรู้สึกจะไม่ค่อยสนใจกับความกลัวสัตว์เสืออะไร มากไปกว่าความกลัวจะไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์ ถึงบรมสุขคือพระนิพพานในชาตินี้ ทั้งนี้ทราบจากท่านเล่าถึงการข้ามไปฝั่งแม่น้ำโขงฟากโน้นและข้ามมาฝั่งฟากนี้ เพื่อการบำเพ็ญเพียรอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้เห็นว่าท่านถือเป็นธรรมดาในการไป-มา เพราะไม่เห็นท่านนำเรื่องความกลัวของท่านมาเล่าให้ฟัง

ถ้าเป็นผู้เขียนไปเจอเอาที่เช่นนั้นเข้าบ้าง น่ากลัวชาวบ้านแถบนั้นจะพากันกลายเป็นตำรวจรักษาพระธุดงค์ขี้ขลาดไม่เป็นท่ากันทั้งบ้านโดยไม่ต้องสงสัย เพียงได้ยินเสียงเสือกระหึ่มในบางครั้งยังชักใจไม่ดี เดินจงกรมก็ยังถอยหน้าถอยหลังก้าวขาไม่ค่อยออก และเดินไม่ถึงที่สุดทางจงกรมอยู่แล้ว เผื่อไปเจอเอาเรื่องดังที่ว่านั้น จึงน่ากลัวธรรมแตกมากกว่าสิ่งอื่น ๆ จะแตก เพราะนับแต่วันรู้ความมา พ่อแม่และชาวบ้านก็เคยพูดกันทั่วแผ่นดินว่าเสือเป็นสัตว์ดุร้าย ซึ่งเป็นเรื่องฝังใจจนถอนไม่ขึ้นตลอดมา จะไม่ให้กลัวนั้นสำหรับผู้เขียนจึงเป็นไปไม่ได้เอาเลย และยอมสารภาพตลอดไป ไม่มีทางต่อสู้"
---------------------------------------------
#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
"คัดลอกจาก"
ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี







#สติปัฏฐานเป็นชัยภูมิคือสนามฝึกฝนตน

"พระบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงตั้งชัยภูมิไว้
ในธรรมข้อไหน ? เมื่อพิจารณาปัญหานี้ได้ความขึ้นว่าพระองค์ทรงตั้งมหาสติปัฏฐาน
เป็นชัยภูมิ

อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัย
มุ่งหมายชัยชนะจำต้องหาชัยภูมิ ถ้าได้ชัยภูมิที่ดีแล้ว ย่อมสามารถป้องกันอาวุธของข้าศึกได้ดี ณ ที่นั้น...สามารถรวบรวมกำลังใหญ่เข้าฆ่าฟันข้าศึกให้ปราชัยพ่ายแพ้ไปได้ ที่เช่นนั้นท่านจึงเรียกว่าชัยภูมิ คือที่ที่ประกอบไปด้วยค่ายคูประตู และหอรบอันมั่นคง ฉันใด

อุปไมยในทางธรรม ก็ฉันนั้น
ที่เอามหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิก็โดยผู้ที่จะเข้าสู่สงครามรบข้าศึก คือกิเลส ต้องพิจารณา
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นต้นก่อน เพราะคนเราที่จะเกิดกามราคะ เป็นต้นขึ้น ก็เกิดที่กาย และใจ เพราะตาแลไปเห็นกาย ทำให้ใจกำเริบ เหตุนั้น...จึงได้ความว่ากายเป็นเครื่องก่อเหตุ จึงต้องพิจารณาที่กายนี้ก่อน
จะได้เป็นเครื่องดับนิวรณ์ทำใจให้สงบได้
ณ ที่นี้พึง ทำให้มาก เจริญให้มาก
คือพิจารณาไม่ต้องถอยเลยทีเดียว ในเมื่อ
อุคคหนิมิตปรากฏ จะปรากฏกายส่วนไหนก็ตาม ให้พึงถือเอากายส่วนที่ได้เห็นนั้นพิจารณาให้เป็นหลักไว้ไม่ต้องย้ายไปพิจารณาที่อื่น

จะคิดว่าที่นี่เราเห็นแล้ว ที่อื่นยังไม่เห็น
ก็ต้องไปพิจารณาที่อื่นซิ เช่นนี้หาควรไม่
ถึงแม้จะพิจารณาจนแยกกายออกมา เป็นส่วนๆ ทุกๆ อาการอันเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างละเอียด ที่เรียกว่า ปฏิภาคก็ตาม
ก็ให้พิจารณากายที่เราเห็นทีแรกด้วยอุคคหนิมิตนั้น จนชำนาญ ที่จะชำนาญได้ ก็ต้องพิจารณาซ้ำแล้ว...ซ้ำอีก ณ ที่เดียวนั้นเอง
เหมือนสวดมนต์ ฉะนั้น

อันการสวดมนต์ เมื่อเราท่องสูตรนี้ได้แล้ว
ทิ้งเสียไม่เล่าไม่สวดไว้อีก ก็จะลืมเสียไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ทำให้ชำนาญด้วยความประมาท ฉันใด
การพิจารณากาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อ
ได้อุคคหนิมิตในที่ใดแล้ว ไม่พิจารณาใน
ที่นั้นให้มากปล่อยทิ้งเสียด้วยความประมาท
ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร อย่างเดียวกัน

การพิจารณากายนี้ มีที่อ้างมาก
ดั่งในการบวชทุกวันนี้ เบื้องต้นต้องบอกกรรมฐาน ๕ ก็คือ กายนี้เอง ก่อนอื่นหมดเพราะเป็นของสำคัญ ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์พระธรรมบทขุทฺทกนิกายว่า อาจารย์ผู้ไม่ฉลาด ไม่บอกซึ่งการพิจารณากาย อาจทำลายอุปนิสัยแห่งพระอรหัตต์ของกุลบุตร
ได้ เพราะฉะนั้นในทุกวันนี้ จึงต้องบอกกรรมฐาน ๕ ก่อน

อีกแห่งหนึ่งท่านกล่าวว่า...
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสวเจ้า
ทั้งหลาย ชื่อว่าจะไม่กำหนดกาย ในส่วน
แห่ง โกฏฐาส (หมายถึง การพิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ) ใดโกฏฐาสหนึ่งมิได้มีเลย
จึงตรัสแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปผู้กล่าวถึงแผ่นดิน
ว่า บ้านโน้นมีดินดำดินแดงเป็นต้นนั้นว่า นั่น
ชื่อว่า พหิทฺธา แผ่นดินภายนอกให้พวกท่าน
ทั้งหลายมาพิจารณา

อัชฌัตติกา แผ่นดินภายในกล่าว
คืออัตตภาพร่างกายนี้ จงพิจารณาไตร่ตรองให้แยบคาย กระทำให้แจ้งแทงให้ตลอด เมื่อจบการวิสัชชนาปัญหานี้ ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปก็บรรลุพระอรหัตตผล

เหตุนั้นการพิจารณากายจึงเป็นของสำคัญ
ผู้ที่จะพ้นทุกข์ทั้งหมดล้วนแต่ต้องพิจารณากายนี้ทั้งสิ้น จะรวบรวมกำลังใหญ่ได้ ต้องรวบรวมด้วยการพิจารณากาย แม้พระพุทธองค์เจ้าจะได้ตรัสรู้ทีแรกก็ทรงพิจารณาลม ลมจะไม่ใช่กายอย่างไร ?
เพราะฉะนั้นมหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนา เป็นต้น จึงชื่อว่า “ชัยภูมิ” เมื่อเราได้ชัยภูมิดีแล้ว กล่าวคือปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานจนชำนาญแล้ว ก็จงพิจารณาความเป็นจริงตามสภาพแห่งธาตุทั้งหลาย ด้วยอุบายแห่งวิปัสสนา ซึ่งจะกล่าวข้างหน้า

คัดลอกบางส่วนมาจากหนังสือมุตโตทัย
พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ

บันทึกโดย พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร
ณ วัดป่าบ้านนามน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๘๖

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/