| ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
| หล่อเลี้ยงในจิตใจ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66353 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
| เจ้าของ: | รสมน [ 25 ธ.ค. 2025, 10:26 ] |
| หัวข้อกระทู้: | หล่อเลี้ยงในจิตใจ |
“ เขากำลังหลง “ “ เพื่อนจะบ่นกับลูกว่าเขามีปัญหา อยากจะสมหวังในชีวิต ลูกก็ชวนเขามาลองปฏิบัติธรรม เขาก็คิดว่าเขายังไม่เห็นความจำเป็นตรงนี้ เนื่องจากว่าทุกวันนี้เขาก็เป็นคนดีพอประมาณ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วก็ดูแลครอบครัว แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่าการนั่งเฉยๆจะเป็นบุญได้อย่างไร ” พระอาจารย์ : บอกเขาว่าตอนนี้เขากำลังหลง เขาคิดว่าเขาไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่เขากำลังทำตัวเขาเองให้เดือดร้อน ด้วยการอยากมีความหวังสมหวัง ถ้าเขามาฟังธรรมะแล้วเขาจะรู้ว่า ความสมหวังนี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บางครั้งก็สมหวัง บางครั้งก็ไม่สมหวัง ถ้าเขาฟังธรรมะแล้วหูตาก็จะสว่างขึ้น แทนที่อยากจะให้สมหวัง เขาก็จะยอมรับกับความจริงว่า บางครั้งก็สมหวัง บางครั้งก็ไม่สมหวัง การมาวัดไม่ได้ให้มานั่งหลับตา ปิดหูปิดตา ทำจิตให้สงบอย่างเดียว แต่ให้มารับรู้สัจจธรรมความจริงของชีวิต ที่เรามักจะมองไม่เห็นกัน ต้องมาหาคนที่มีประสบการณ์ ที่ได้ศึกษาสัจจธรรมของชีวิตมาแล้ว เพื่อนำเอาไปพินิจพิจารณาดู เช่นสอนเขาว่า ปัญหาของเขาไม่ได้อยู่ที่ไปเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ แต่อยู่ตรงที่เขากำลังเบียดเบียนตัวเขาเองโดยไม่รู้สึกตัว จากความที่อยากจะให้สมหวังนี้เอง อยากไม่ได้ พออยากปั๊บจะทุกข์ขึ้นมาทันที ถ้าไม่อยากทุกข์ ไม่อยากกลุ้มอกกลุ้มใจ ก็อย่าไปอยากให้สมหวัง หวังได้แต่อย่าไปยึดติดอยู่กับความหวัง ทุกคนมีความหวังทั้งนั้น แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลของความจริง บางอย่างเราหวังแล้วเราก็ได้ เช่นอยากจะเรียนให้จบมหาวิทยาลัย เราก็รู้ว่าความหวังนี้เป็นไปได้ แต่เราต้องขยันเรียน แต่หวังบางอย่างหวังไม่ได้ เช่นหวังให้สามีซื่อสัตย์กับเรา หวังให้เขารักเรา ถ้าเขาไม่ชอบเราแล้ว จะให้เขารักเราได้อย่างไร เราไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง บอกเขาให้คิดอย่างนี้ แล้วเขาจะไม่มีความทุกข์กับเรื่องอะไรเลย คนส่วนใหญ่คิดว่าเข้าวัดเพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ ขอศีลถวายสังฆทาน กรวดน้ำให้พร เสร็จแล้วก็กราบลาพระ ให้หลวงพ่อได้พักผ่อน ถ้าไปเจอพระเทศน์ ก็คิดว่าเทศน์เรื่องล้าสมัยงมงาย เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ เรื่องเปรตเรื่องผี เรื่องเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามองไม่เห็น เขาพิสูจน์ไม่ได้ เขาก็เลยตัดบทไปง่ายๆว่าเป็นเรื่องงมงายไป จึงไม่สนใจ กลัวจะถูกล้างสมอง ไม่เคยไปวัดป่า ไม่เคยศึกษาธรรมะจากต้นฉบับ ถ้าศึกษาจากต้นฉบับจะรู้ว่าธรรมะเป็นวิชาความรู้ เป็นทั้งจิตศาสตร์และกายศาสตร์ เกี่ยวข้องทั้ง ๒ ส่วนของชีวิต คือจิตกับกาย ถ้าศึกษาแล้วจะเข้าใจธรรมชาติของจิตธรรมชาติของกาย เข้าใจความทุกข์ที่เกิดในจิต เข้าใจวิธีรักษาจิตไม่ให้ทุกข์กับเรื่องต่างๆ เป็นความรู้แท้ๆ เป็นวิชาความรู้ เป็นปริญญา เรียนแล้วเกิดปัญญา เพียงแต่ว่ามันขัดกับกิเลส ขัดกับทางโลก จึงไม่นำเอาไปบรรจุเป็นปริญญา ไม่สอนกันในมหาวิทยาลัย สอนแต่ที่วิทยาลัยสงฆ์ ในเมืองไทยก็มีอยู่ ๒ แห่งคือ มหามกุฎฯและมหาจุฬาลงกรณ์ฯ ที่สอนพุทธศาสตร์ แต่สอนเพียงครึ่งเดียว สอนทางด้านทฤษฎี ไม่สอนทางด้านปฏิบัติ ไม่พาเข้าป่าถือธุดงควัตร เช่นถือผ้า ๓ ผืน นอนโคนไม้ ฉันมื้อเดียว อยู่แต่ในเมือง มีแต่เครื่องบันเทิงต่างๆ มีเครื่องอำนวยความสุขครบถ้วน เป็นเหมือนฆราวาส เรียนแต่ทฤษฎี ไม่ได้นำเอามาใช้ขัดเกลาจิตใจ เพราะมีเจ้าของเก่าเขาคอยต่อต้านอยู่ ใจของปุถุชนของพวกเรานี้ ถูกกิเลสครอบงำเป็นเจ้าของอยู่ กิเลสจะไม่เปิดโอกาสให้ธรรมะเข้ามาในใจได้ง่ายๆ ถ้าไม่ผลักไม่ไล่ มันจะไม่ออกไป เราต้องพยายามไล่มันออกไป พยายามผลักดันธรรมะเข้าไปในใจ พยายามออกจากบ้านมาวัดเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมกัน เป็นการต่อสู้แก่งแย่งอำนาจกัน ผู้ที่มีอำนาจอยู่ก็หวงอำนาจ ผู้ที่ไม่มีอำนาจก็อยากจะโค่นล้มผู้ที่มีอำนาจ ด้วยวิธีการต่างๆ ในใจก็มีอำนาจอยู่ ๒ ส่วน ที่เรียกว่าธรรมะกับอธรรม ตอนนี้ใจของพวกเราถูกอธรรมควบคุมอยู่ ถ้าอยากจะได้ธรรมะ ก็ต้องเอาธรรมะเข้ามาต่อสู้กับอธรรม ขับไล่อธรรมออกไปจากใจ ถ้ายังชอบอธรรมอยู่ก็จะไม่สนใจหาธรรมะ พอใจอยู่กับกิเลส ก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะไม่มีใครบังคับใครได้ เป็นเรื่องของแต่ละคน ที่จะมีปัญญามองเห็น ว่าตนกำลังเป็นทาสหรือเป็นไท ถ้ายังมีความโลภความอยากต่างๆอยู่ ก็แสดงว่ายังเป็นทาสอยู่ เวลากิเลสสั่งให้โลภให้อยาก ไปเที่ยวที่นั่นไปเที่ยวที่นี่ ก็ต้องไปตามคำสั่ง ถ้าเป็นไทแล้วก็ไม่ต้องไป อยู่เฉยๆนี้สบายที่สุด ไม่ต้องมีอะไร แต่เราไม่รู้กันว่ายังเป็นทาสกันอยู่ จึงต้องอาศัยกระจกมาส่องใจ คือธรรมะนี่แหละ ธรรมะจะแสดงให้เห็นความแตกต่าง ระหว่างการเป็นทาสและการเป็นไท เวลาเป็นทาสนี้มีแต่ความทุกข์ เวลาเป็นไทนี้ไม่มีความทุกข์เลย หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ถ้าฟังแล้วเกิดศรัทธาขึ้นมาก็ถือว่าเป็นบุญ มีโอกาสที่จะเป็นไทได้ ถ้าฟังแล้วไม่ศรัทธาก็ต้องเป็นทาสต่อไป. รายการกระแสธรรม วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๘ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี อำนาจแห่งบุญที่เคยสร้างไว้ คุณงามความดีที่เราสร้างไว้แล้ว ถ้าเกิดในภพใดชาติใดรำลึกถึงบุญ บุญจะมาปรากฏทันที ช่วยเหลือเรา ให้หลุดพ้นภัยไปโดยลำดับลำดา นี่คือ "บุญ" #โอวาทธรรมคำสอน พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี ”ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ“ ถาม : เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้ไม่ประมาทค่ะ ตระหนักได้ว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอนค่ะ พระอาจารย์ : พยายามเตรียมตัวเตรียมใจไว้นะ เกิดขึ้นได้ทุกเวลานาทีนะ อย่าประมาทแล้วเราจะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่ได้เป็นร่างกาย ไม่ต้องไปเสียดายไม่ต้องไปกลัวนะ เราคือใจต้องรักษาให้มันสงบ เท่านั้นก็พอ ถาม : เราจะเตรียมตัวทุกวันอย่างไรเมื่อมีภัยมาถึง ให้มีสติตลอดค่ะ พระอาจารย์ : ก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน อะไรก็จะเกิดขึ้นได้เสมอ หรืออาจจะคิดว่าชีวิตเรานี้ก็อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกนี่แหละ หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่ึหายใจเข้าก็ตาย ให้รู้อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วเราก็จะได้ไม่ประมาท เอาไว้เตรียมตัวตายกันเพราะต้องตายแน่ๆ. รายการกระแสธรรม วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๘ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี เศรษฐีมีลูกชายคนเดียว รักลูกคนนี้สุดหัวใจ ต่อมาลูกชายป่วยและตาย จึงให้คนใช้ทำอาหารไปให้ที่หลุมศพทุกวัน วันหนึ่งฝนตกหนักมากจึงเอาอาหารไปไม่ได้ เจอพระมาบิณฑบาตจึงถวายข้าวและอาหาร อุทิศไปให้ลูกชายของเศรษฐี คืนนั้นลูกชายได้มาบอกบิดาว่า "พึ่งจะได้กินข้าววันนี้" เศรษฐีโกรธมากเรียกคนใช้มาถาม ว่าทำไมไม่ได้เอาข้าวไปให้ลูกชายทุกวันตามที่สั่งไว้ คนใช้จึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เศรษฐีฟัง ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม พุทธาภิเษกตนเอง การพุทธาภิเษกตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้มาก ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้มาก เพียงแต่นั่งหลับตา และกำหนดจิตของตัวเองเสกพุทโธ คือ บริกรรมพุทโธเท่านั้น การพุทธาภิเษกตัวเองนี้เป็นการเสกสรรอันประเสริฐ เป็นการที่เสกสรรยังความดีให้บังเกิดขึ้นกับตัวเอง จึงจัดว่าเป็นพุทธาภิเษกชั้นยอด ความศักดิ์สิทธิ์ของการที่เราพุทธาภิเษกตัวเองนั้น ที่เราจะได้รับคือ ความสงบ เป็นเบื้องต้น เมื่อมีความสงบเราก็มีความสุข มีความสบายในจิต จิตเรามีความสงบสุขสบายเป็นพื้นฐาน มีสมาธิเป็นที่ตั้ง นี้แหละผลของการพุทธาภิเษกตัวเอง เมื่อจิตของเรามีความสงบสุขสบายและตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก็แสดงว่าเราตกเข้าไปในรัศมีของพระพุทธเจ้าแล้ว ระยะนี้การพุทธาภิเษกตัวเองของเรานั้นกำลังจะแสดงผลปรากฏแก่เรา เราจะรู้คุณค่าของการพุทธาภิเษกในตัวเอง เราจะเห็นความดีในตัวเองที่เกิดขึ้น ผลอันที่เราจะต้องพึงได้ ได้แก่ ความสุข ปีติ และความอิ่มใจ เมื่อเราได้รับผลคือ ความสุขปีติ และความเอิบอิ่มใน ตัวเองแล้ว ศรัทธาคือ ความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะมากขึ้น เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะเห็นคุณค่าธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในเมื่อเราได้ตกเข้าสู่กระแสธรรมของพระพุทธเจ้า ได้แก่ความสงบ พระธรรมเทศนาโดย พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อบุญเพ็ง กัปปโก) วัดป่าวิเวกธรรม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เทศนา ณ วัดอโศการาม จังหวัด สมุทรปราการ "... บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์ มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใดๆ แล้ว แต่ก็ดีไปอย่างเหมือนพระเทวทัต ทำกรรมจนถูกแผ่นดินสูบ เมื่อลงไปถึงคางจึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกถึงได้ จึงมีผลดีในภายภาคหน้า แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้วจึงมาขอส่วนบุญ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอันตรายแม้พระพุทธรูป แผ่เมตตาให้ไปได้รับหรือไม่ก็ไม่รู้ สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำของเรา ได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปิติ อิ่มเอิบใจเท่านั้น ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ กายก็เป็นเหตุอันหนึ่ง วาจาก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ใจก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ทางของบุญหรือบาปเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเราเอง ไม่ได้อยู่ที่ไหน เราทำเอง สร้างเอง อย่ามัวมั่วอดีต เป็นอนาคต มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็น "ธรรมดา" สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว เราไม่สามารถไปตัด ไปปลงมันได้อีกแล้ว สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดีมัน ก็ดีไปแล้ว ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่วมันก็ชั่วไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เช่นกัน อนาคตยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง เราก็ยังไม่รู้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็เป็นแต่เพียงการคาดคะเนเอาเอง ว่าควรเป็นยังงั้น เป็นยังงี้ ซึ่งมันอาจจะเป็น ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคะเนก็ได้ ปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริง ได้สัมผัสจริง เพราะฉะนั้นความดีต้องทำในปัจจุบัน ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบันที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องการความดี ก็ต้องทำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นไปในปัจจุบันนี้ ..." -------------------------------------- #หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๓๐-๒๕๒๘) "วิริเยน ทุกขมัจเจติ" บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะอาศัยความเพียร ที่เรานั่งทำวัตรสวดมนต์มาเรื่อยๆ จนมาฟังเทศน์ฟังธรรม อยู่กับความสงบทั้งกายและจิตใจ นี่ก็คือ "วิริเยน ทุกขมัจเจติ" ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะอาศัยความเพียร ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ ภิกษุณี แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศรัทธาญาติโยมทั้งหลายทุกท่านทุกคน ก็ต้องมีความพากความเพียรที่จะประพฤติปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ เพราะทุกคนเห็นทุกข์แล้วกลัว แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การกลัวทุกข์แล้วปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ความกลัวทุกข์นั้นก็จะหายไป โอวาทธรรม หลวงพ่อสุชิน ปริปุณโณ วัดธรรมสถิต ให้เอาจิตพิจารณากายนี้ให้รู้จัก เมื่อรู้จักแล้วมันก็เป็นสิ่งไม่แน่นอน เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ จิตใจของเราก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในใจในกายนี้ว่าไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวา ก็อยากจะหาทางออก หาทางพ้นทุกข์ เปรียบประหนึ่งนกที่อยู่ในกรง เห็นโทษว่าจะบินไปมาที่ไหนไม่ได้ ใจพะวักพะวนดิ้นรนจะออกจากกรงอันนั้น เบื่อกรงเบื่อที่อยู่ ถึงแม้ว่าจะให้อาหาร ให้มันกินอยู่ ใจมันก็ยังไม่สบาย เพราะมันเบื่อกรงที่ขังมันไว้ จิตใจเราก็เหมือนกัน เมื่อเห็นโทษ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในรูปในนามนี้แล้ว มันก็จะพยายามพิจารณาให้ออกจากวัฏสงสารอันนั้น : ความผิด ในความถูก : พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท) "..อย่ารอให้ทุกข์มาถึงตัว.." "..บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัวมักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละจึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว ความดีนั้น เราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บจิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะระลึกได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใด ๆ แล้ว แต่ก็ดีไปอย่าง เหมือนพระเทวทัต ทำกรรมจนถูกแผ่นดินสูบ เมื่อลงไปถึงคางจึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกถึงได้ จึงมีผลดีในภายภาคหน้า แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน (หลวงปู่หมายถึงเปรตในถ้ำเชียงดาว) ตายไปแล้วจึงมาขอส่วนบุญ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอันตรายแม้พระพุทธรูป แผ่เมตตาให้ไปได้รับหรือไม่ก็ไม่รู้ สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำของเรา ได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติอิ่มเอิบใจเท่านั้น.." สุจิณฺโณวาท หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๓๐–๒๕๒๘) #การเลือกคู่ครอง เพื่อหวังพึ่งเป็นพึ่งตายจริง ๆ ควรถือเป็นกรณีพิเศษกว่าสิ่งอื่นใด เพราะคู่ครองนั้นเป็นเหมือนกับใช้ลมหายใจและความเป็นอยู่ทุกด้านร่วมอันเดียวกัน ความสุข ทุกข์ น้อยมากย่อมเป็นสิ่งกระเทือนถึงกันทุกระยะ ผู้ได้คู่ครองที่ดี แม้ตัวจะต่ำบ้างทางฐานะความรู้ความฉลาด การประพฤติ จริตนิสัย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คอยฉุดคอยลากคอยให้คติเตือนใจเสมอ และพาประพฤติดำเนินในกิจการต่าง ๆ ทั้งทางโลกอันเป็นเครื่องส่งเสริมครอบครัวให้มั่นคงและสงบสุข และทางธรรมซึ่งเป็นความดีงามแก่จิตใจ ตลอดการงานอย่างอื่นที่พลอยมีส่วนดีงามไปด้วย ไม่มืดมิดปิดตากำดำกำขาวไปถ่ายเดียว โดยหาความแน่นอนและรับรองผลไม่ได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างดีด้วยกันก็เท่ากับต่างช่วยกันสร้างวิมานหลังใหญ่ในครอบครัว ให้อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันไปตลอดอวสาน ไม่มีการทะเลาะวิวาทถกเถียงกัน ครัวเรือนย่อมเป็นสุข ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมารบกวน เพราะต่างฝ่ายต่างสร้างสรรค์ ต่างฝ่ายต่างสำรวมระวัง ต่างฝ่ายต่างตั้งอยู่ในเหตุผลหลักธรรม ไม่ทำตามใจชอบที่ผิดจากหลักศีลธรรม อันเป็นหลักรับรองความร่มเย็นผาสุกต่อกัน คู่ครองแต่ละฝ่ายจึงเป็นผู้ช่วยกันสร้างกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ บุญ บาป นรก สวรรค์เกี่ยวเนื่องกันแต่เริ่มต้นชีวิตร่วมกันเป็นต้นไปเหมือนลูกโซ่ ทั้งปัจจุบันชาตินี้ตลอดอนาคตของภพชาติต่อไป จากหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี (พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๕๕๔) อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็อย่าเก็บเอามาคิด เมื่อหาบทเรียนจากมันได้แล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไป ... ... พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล "...โลกทุกวันนี้ เสื่อมลงไปทุกวัน ๆ ใครไม่มีศีล ไม่มีธรรมหล่อเลี้ยงในจิตใจ เสร็จหมด ถูกดึงให้ต่ำลงไปเรื่อย ๆ ใครไม่เชื่อก็ลองดู เอาเลย เดี๋ยวเจอเอง เวรกรรมเจ้าของเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ใครอยากได้ดีให้ทำเอา มีศีลธรรม ภาวนา " พุทโธ " หมั่นซักฟอกจิตใจ ตัวเอง เป็นคุณหนุนจิต ให้สูงสะอาดขึ้นไปเรื่อย ๆ..." หลวงปู่ปรีดา ฉันทกโร (หลวงปู่ทุย) วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ |
|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|