ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

อาหารของใจ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66361
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 29 ธ.ค. 2025, 08:46 ]
หัวข้อกระทู้:  อาหารของใจ

"..อนัตตา ถ้าหากตายไปในวันนี้ พรุ่งนี้ สิ่งต่างๆที่เคยมีและผ่านเข้ามาตะเกียกตะกายดิ้นรนไข่วคว้า ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเรา.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







..หาวิธีแก้ไขตนเองให้มีความสุขอยู่ทุกวันให้เกิดขึ้นบ่อยๆ จึงจะเรียกว่าคนมีความสุขใจ คนมีความสุขใจนี้หน้าตาก็จะแช่มชื่นเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส มีอารมณ์อยู่ในใจ เป็นอาหารของใจ อาหารใจก็คือคุณงามความดีบุญกุศลทั้งหลายที่ตนเองได้ทำไปแล้วนั่นเอง อันเป็นอารมณ์เป็นอาหารของใจ ให้ได้รับอาหารดี ใจก็แช่มชื่นเบิกบาน เมื่อใจแช่มชื่นเบิกบานแล้ว เวลาพูดก็พูดด้วยความเมตตาต่อซึ่งกันและกันได้ เวลาจะแสดงออกทางร่างกายก็ดี หน้าตาก็จะยิ้มแย้มแจ่มใสต่อซึ่งกันและกัน เพราะอะไร ก็เพราะใจดี นี้เป็นสิ่งที่ควรคิดอยู่บ่อยๆ คิดบ่อยๆแล้วจะทำให้ใจแช่มชื่นเบิกบานอยู่บ่อยๆ ก็เลยได้คุณงามความดีอย่างนี้ เราก็สามารถจะแผ่เมตตาให้บุคคลทั้งหลายในโลกนี้โดยไม่มีประมาณก็ได้ แผ่เมตตาให้พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ญาติมิตรสหายทั้งหลายก็ได้ เพราะเรามีคุณงามความดีมันไม่หมดไปหรอก เราแผ่เมตตาเท่าไรใจยิ่งมีความสุข ยิ่งแช่มชื่นเบิกบานยิ่งมีมากขึ้น..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..





"..ศีล คือรั้วกั้นความเบียดเบียนและทำลายสมบัติร่างกายและจิตใจของกันและกัน ศีลคือพืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยมที่ควรมีประจำชาติมนุษย์ ไม่ปล่อยให้สูญหายไปเสีย เพราะมนุษย์ที่ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้นและเป็นเครื่องประดับตัวเสียเลย ก็คือกองเพลิงแห่งมนุษย์เราดี ๆ นี่เอง การเบียดเบียนและทำลายกันย่อมมีไปทุกหย่อมหญ้าและทั่วโลกดินแดน ไม่มีเกาะมีดอนพอจะเอาศีรษะซุกนอนให้หลับสนิทได้โดยปลอดภัย แม้โลกจะเจริญด้วยวัตถุจนกองสูงกว่าพระอาทิตย์บนท้องฟ้า แต่ความรุ่มร้อนแผดเผาจะทวีคูณยิ่งกว่าพระอาทิตย์เป็นไหน ๆ โลกจะไม่มีที่ปลงใจได้เลยถ้ายังมัวคิดว่าวัตถุมีคุณค่ายิ่งกว่าศีลธรรมอยู่ เพราะศีลธรรมเป็นสมบัติของจอมมนุษย์ คือพระพุทธเจ้า ผู้ค้นพบและนำมาประดับโลกที่กำลังมืดมัวกลัวทุกข์พอให้สว่างไสวร่มเย็น ควรอาศัยได้บ้างด้วยอำนาจศีลธรรมเป็นเครื่องปัดเป่ากำจัด ลำพังความคิดของมนุษย์ที่มีกิเลสคิดผลิตอะไรออกมา ทำให้โลกร้อนจะบรรลัยอยู่แล้ว ยิ่งจะปล่อยให้คิดตามอำนาจโดยไม่มีกลิ่นแห่งศีลธรรมช่วยเป็นยาแก้และชะโลมไว้บ้าง ก็น่ากลัวความคิดนั้น ๆ จะผลิตยักษ์ใหญ่ตัวโหดร้ายที่ทรงพิษขึ้นมากี่แสนกี่ล้านตัว ออกเที่ยวหากว้านกินมนุษย์ให้ฉิบหายกันทั้งโลก ไม่มีอะไรเหลืออยู่บ้างเลย.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






คนภาวนาเป็นแล้ว #อยากจะอยู่คนเดียว

คนที่ภาวนาจริง ๆ แล้วจะไม่อยากสุงสิงกับใคร อยากจะอยู่คนเดียว เพราะเวลาอยู่คนเดียว แล้วก็มีสถานที่แบบนี้....
#จะไม่มีอะไรไปทำให้จิตใจกระเพื่อม
เพราะจิตใจเปรียบเหมือนสระน้ำ ถ้ามีคนลงไปอาบ ไปตัก ไปเล่น น้ำก็ขุ่น น้ำก็ไม่นิ่ง

จิตของเราถ้าต้องสัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะต่าง ๆก็จะต้องกระเพื่อมตลอดเวลา เวลากระเพื่อมก็จะไม่สงบ ไม่นิ่ง จะไม่เห็นความสุขความประเสริฐของความสงบ ความอิ่มเอิบใจ
ความพอใจ ที่เกิดจากการบำเพ็ญจิตตภาวนา

>>>คนที่ภาวนาเป็นแล้ว จะต้องรู้ว่าสถานที่แบบไหน เขาจะไม่ต้องการพวกแสงสีเสียง ไม่ต้องการเพื่อน ไม่ต้องการคนนั้นคนนี้มาแก้เหงาด้วยการคุย....
#เพราะจิตได้เข้าสู่ความสงบแล้ว จะไม่ค่อยคิดถึงอะไร เพราะไม่ค่อยได้ปรุงแต่งกับเรื่องอะไร แต่จิตที่ยังไม่สงบก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้แล้วก็เกิดอารมณ์ต่าง ๆขึ้นมา

#คิดในเรื่องที่เคยทำให้มีความสุข ในขณะที่ไม่มีความสุขนั้นแล้ว ก็จะทำให้เศร้าสร้อยหงอยเหงา อยากจะหวนกลับไปหาความสุขแบบนั้นอีก....
ถ้าเคยมีความสุขกับเพื่อนกับฝูง กับการทำกิจกรรมต่าง ๆ พอต้องมาฝึกจิตอยู่คนเดียวในป่า ก็จะอดคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยสัมผัสมาไม่ได้

อดที่จะคิดถึงเพื่อนคนนั้นเพื่อนคนนี้ กิจกรรมนั้นกิจกรรมนี้ไม่ได้ ก็เลยเกิดอารมณ์ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวขึ้นมา....
#จึงทนอยู่ไม่ได้ #ต้องกลับไปหาเพื่อนฝูง #หากิจกรรมต่างๆ
แต่ถ้าได้เคยฝึกจิตมาก่อนแล้ว สามารถทำจิตให้สงบได้ เวลามาอยู่สถานที่แบบนี้จะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น
เพราะมีงานทำ รู้หน้าที่ของตน รู้ว่าต้องทำอะไร คือคอยควบคุมสังขารความคิดปรุงนี้เอง.

__________________
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา
เขตปฎิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี









ปีนี้อยากจะขอให้ทุกคน ให้โอกาสพุทธ
ศาสนามากขึ้น ให้เกียรติพุทธศาสนามากขึ้น
โดยเฉพาะในภาคปฏิบัติ ศรัทธาของชาวพุทธ
พิสูจน์ได้อย่างไร ไม่ใช่พิสูจน์ว่าเชื่อจริงๆ
เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ มันอยู่ที่วิถีชีวิต อยู่ที่การ
ดำเนินชีวิต พอเราเชื่อแล้วเราก็ต้องพยายาม
พิสูจน์ว่าสิ่งที่เราเชื่อจริงหรือไม่จริง เราจะเชื่อ
อย่างไร ก็เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า
เหมือนเป็นเครื่องมือ หรือเป็นยารักษาโรค
เอาไปใช้ เอาไปทาน แล้วได้ผลอย่างที่
พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลาย
ได้สั่งสอนหรือไม่ ยังไม่ต้องเชื่อมาก
เชื่อพอที่จะเอาเป็นสมมติฐานเอาไปพิสูจน์

คนเรานี้ดีกว่านี้ได้ คือ การกระทำของเรา
ดีกว่านี้ได้ การพูดของเราดีกว่านี้ได้
ความคิดของเราดีกว่านี้ได้ แต่จะดีได้ก็ไม่ใช่
ด้วยความหวัง หรือด้วยพิธีกรรม หรือด้วยการ
อ้อนวอนใคร แต่อยู่ที่เรารับผิดชอบชีวิต
ของตัวเอง รับผิดชอบชีวิตของตัวเองคือ
รับผิดชอบการกระทำ การพูด การคิด
คำสอนของพระพุทธเจ้ามีสิ่งล้ำค่าเลย
ฉะนั้น อย่าไปสนใจแต่เรื่องที่ให้ความสุข
เล็กๆ น้อยๆ ชั่วคราว นำคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าเอาไปใช้เพื่อเข้าถึงความสุข
ที่แท้จริง ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์นะ
มนุษย์เรามีศักยภาพมากกว่ายิ่งกว่าที่คิด
เราลองมาดู เพราะว่าถ้าเราใช้ชีวิตด้วยการ
ให้ทาน ด้วยการทำความดี ด้วยการเสียสละ
ด้วยการสร้างครอบครัว สร้างชุมชนให้อบอุ่น
มีความซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ความเคารพ
ต่อกันและกัน ความให้อภัยซึ่งกันและกัน
ความเมตตากัน จะนำไปสู่ความสุขใช่หรือไม่
ทีนี้ถ้าเราต้องการความสุข ไม่ใช่ว่าจะจัดสรร
สิ่งแวดล้อมพอ ... ต้องฝึกจิตใจไปด้วย
เพราะสิ่งที่ทำให้จิตใจเรามีทุกข์ หดหู่ ซึมเศร้า
วิตกกังวลต่างๆ ก็อยู่ที่ใจมากกว่าอย่างอื่น
ฉะนั้น เราต้องจัดสรรทั้งภายนอกภายใน
พร้อมๆ กัน อันนี้เรียกว่าเป็นการให้เกียรติ
พุทธศาสนา สำนึกในบุญคุณของพุทธศาสนา
ด้วยการเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามา
พัฒนาชีวิต ให้พัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน
พัฒนาสังคม ก็ขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจ
ใช้พุทธศาสนา ใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ชีวิตครอบครัวเราดีขึ้น
ชีวิตของทุกคนในสังคมดีขึ้น ขอให้มีแต่
ความสุขความเจริญ … ตลอดกาลนานเทอญ
...
พระพรหมพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)







"...หลวงปู่ขาว​ อนาลโย​ ท่านเล่าว่านั่งสมาธิภาวนาเดินจงกรมอยู่ถ้ำกลองเพลมันไม่ง่วง พิจารณาธรรมะอัตโนมัติไหลไปเอง

คืนหนึ่งเราเดินจงกรมอยู่กุฎิหลังที่เราอยู่นั่นแหละ ได้ถูกกลิ่นธูปหอมหวนฟุ้งตลบ กลิ่นธูปนั้นไม่มีกลิ่นอย่างธูปเมืองเรา อัศจรรย์จริง​ ๆ​ และท่านก็มองหากลิ่นธูปนั้น ก็ปรากฏเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนถือธูปอัญชลีไหว้อยู่

ท่านหลวงปู่ขาว เล่าให้ฟังว่ามันแปลก ผู้หญิงอะไรมันจะแหวกก้อนหินเข้ามาได้ ระหว่างทางจงกรมนั้นมีก้อนหินยาวเหยียดทั้งสองข้าง แล้วก็เป็นเวลาค่ำคืนดึกดื่น

ต่อแต่นั้นหลวงปู่ก็อุทิศส่วนบุญให้หญิงนั้นก็อันตรธานหายไป

ท่านทั้งหลาย ลองวิจารณ์ดูซิว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงมาจุดธูปบูชาหลวงปู่อยู่อย่างนั้น แล้วพวกเราเกิดมาอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปี ได้เคยเดินภาวนาจงกรมหรือเปล่า หรือว่ามีแต่เดินไปฆ่าคน ฆ่าเขา ลักขโมยเขา โกหกเขา เดินเข้าโรงยา โรงเหล้า ถ้าอย่างนั้นเทวดาจะมาบูชาเราหรือเปล่าคิดเอาเอง เดินอย่างนั้นคงจะเดินลงหลุมนรกมากกว่า

หลวงปู่ขาว ท่านเคยเทศน์เสมอ ๆ และท่าน
ก็เดินจงกรมจนอายุ ๙๐ กว่าปี แม้เดินไม่ได้ด้วยตนเองก็ให้ลูกศิษย์จูงแขนจนเหนื่อยจึงค่อยหยุด

การเดินจงกรม นั้นเป็นกีฬาของพระธุดงคกรรมฐาน ท่านว่าเลือดลมเดินสะดวก พวกนิวรณ์ไม่ครอบงำ ความจำดีสมองปลอดโปร่ง มีทุกข์น้อยโรคภัยไข้เจ็บน้อย อายุยืนนาน ทานอาหารมีรสมีชาติ ใจสะอาดปราศจากนิวรณ์ จิตสงบแล้วไม่ยอมถอน ผ่อนคลายอารมณ์ความตึงเครียดและอุปาทาน จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ..."
----------------------------------
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๕๒๖)
คัดมาจากหนังสือ::มุทิตาสักการะ
ในงานทำบุญ อายุวัฒนะครบ ๘๖ ปี​
พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต
(หลวงปู่บุญเพ็ง​ เขมาภิรโต) หน้า ๒๖

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/