วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 18:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๕๖
มนุษย์ธรรมะหรือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ได้


ธรรมที่หลวงปู่เน้นย้ำในการเทศน์สอนประชาชนทั่วไป ท่านเน้นเรื่องศีล ๕ หลวงปู่เรียกว่า มนุษยธรรมะ คือ ธรรมะที่ทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้

หลวงปู่ได้เล่าย้อนถึงการพิจารณาเรื่องศีล ในสมัยที่ท่านภาวนาอยู่กับ หลวงปู่คำดี ปภาโส ดังนี้ : -

“มนุษย์เรานี่ก็เหมือนกัน เขาเรียกว่า มนุษยธรรมะ คือธรรมที่จะทำให้เป็นมนุษย์ได้ ก็คือ ศีล ๕ นี่แหละ

ถ้าใครก็ตามมีศีล ๕ อยู่กับจิตใจแล้ว ทุกอย่างจะมีความสุขแต่ถ้าขาดศีล ๕ ก็จะไปเกิดในอบายภูมิ ดังนั้นท่านจึงให้เรามาพิจารณากาย ธาตุ ๔ นี่ เพราะการกระทำดีหรือชั่วมันแสดงออกทางรูปร่างสังขาร คือ ก้อนทีมาประชุมรวมตัวเป็นเรานี่แหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นให้มองเข้ามาดูตัวเอง เพราะตัวของเราเป็นที่ประชุมของธรรมทั้งหลาย จะเจริญสมถะก็ได้ คือให้พิจารณากายนี้เป็นอสุภะ เป็นของไม่งาม น่าเกลียด น่าเบื่อหน่าย คลายสวยงาม แล้วจิตก็จะรวมลงเป็นเอกัคคตาจิต หรือจะพิจารณาให้เป็นปัญญาวิปัสสนาก็ได้เรื่องนี้ หลวงปู่คำดี ปภาโส เคยสอนว่า องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงสอนให้พวกเราพิจารณากายนี้ให้สักแต่ว่าเป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง

ธาตุ ๔ มาประชุมกันในคราวหนึ่งๆ ก็เป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมาเราจึงพากันสมมติเรียกว่าคน เรียกว่าสัตว์

แต่ของเหล่านี้ เขาก็ได้รู้สึกอะไรเลยนะหากแต่ว่ามันเป็นไปตามสภาพของมัน มันมีหน้าที่เกิด ดับ มันก็ทำหน้าที่ของมันไปเมื่อมันดับสลายกลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ตามเดิมแล้ว ชื่อคน ชื่อสัตว์ มันก็สลายไปด้วยหมด

ดังนั้น คนเราเกิดมามีธาตุ ๔ มาประชุมกัน เกิดรูปร่างสังขารขึ้นมา มีอายตนะครบถ้วน ซึ่งเปรียบเหมือนบ้านที่ปลูกขึ้นมาใหม่ๆ แต่เดิมก็ไม่มีอะไรเกะกะให้รกตารกใจ อยู่ๆ เจ้าของก็เที่ยวหาสิ่งของมาประดับประดา มีเตียงไม่พอ เอาเก้าอี้ ตู้ ตั่ง จิปาถะ ยัดเยียดกันเข้าไป อายตนะของบ้านจำพวกประตู หน้าต่าง ก็นำอะไรต่อมิอะไรมาติดมาแปะเต็มบ้านเต็มช่อง

แต่ก่อนมันว่างดีอยู่หรอก แต่พอนานๆ ไป แทบไม่มีทางจะเดินจะนั่งฉันใด คนเราก็ฉันนั้น เกิดมาก็มาแย่ง เดี๋ยวเอามาจากคนนั้น เดี๋ยวแย่งมาจากคนนี้ กินก็แย่ง ถ่ายก็แย่ง นอนก็แย่ง เดินก็แย่งกัน จนเป็นเหตุให้คิดว่า กิเลสเหล่านี้ดี วิเศษ ไปชิงดีชิงเด่น ชิงความเป็นใหญ่นายคน แย่งลาภ ยศ กลัวจะไม่ได้มาเป็นของตน

แท้จริงแล้ว กิเลสพวกนี้พระพุทธเจ้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านโยนทิ้งมานานแล้ว แต่เรายังเห็นว่ามันดี มันวิเศษ มันเพราะอะไรเพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง เป็นคนจิตตกต่ำ”


๕๗
จิตวาง คือ ว่าง


หลวงปู่เพ็ง ท่านเทศน์เกี่ยวกับคำว่าจิตว่าง ดังนี้ : -

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรมในกายเรานี่เอง การเกิดรูปสังขารนี้มาจากไหน พระพุทธเจ้าค้นพบจากการปฏิบัติภาวนาว่า เพราะความไม่รู้ คือ อวิชชา

อวิชชา ตัวนี้ครอบงำเสมอ อวิชชามันหนุนเราจนไม่รู้ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ดูเถิด อย่างการเกิดนี่ พอถึงเวลาลูกจะเกิด จิตใจไม่สบายเสียใจกลัวแม่เด็กจะตาย กลัวลูกจะตายในขณะที่คลอดยาก พอคลอดแล้ว อายุมากแล้ว เสียใจเพราะกลัวแก่ พอเจ็บก็เสียใจอีก ไม่อยากเจ็บ ในที่สุดตายก็เสียใจอีกแล้ว ร้องไห้เสียใจไปต่างๆ นานา

นี่เพราะตัวอวิชชามันครอบงำ ไม่รู้จักความเป็นจริง ถ้ารู้เรื่องสภาพธรรมของจริงแล้ว ว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องของโลก มันเป็นของธรรมดา พิจารณาให้เห็นชัดในจิตในใจแล้วมันก็จะสบาย จิตใจปล่อยวาง ว่างเปล่า

หลวงปู่คำดี ปภาโส กล่าวไว้ว่า นี่มันมีตัณหานะมันจึงเกิด ตัณหานี้จะว่าไม่ดีทั้งหมดก็ไม่ได้ ต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีกจึงจะถูก เพราะตัวตัณหานี่มันเป็นที่มาของความพ้นทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่นเรามียศลาภสรรเสริญ อยู่ดีกินดีได้ก็เพราะตัณหา เราจะถือศีลกินเจ ทำบุญทำกุศลก็เพราะตัณหา เราจะบวชเรียนข้อวัตรปฏิบัติภาวนาธรรม หาทางหลุดพ้นได้ก็เพราะตัณหา

ท่านให้รู้เฉยๆ นะ แต่ไม่ให้หลงตัณหา ไปหลงไม่ได้ เพียงให้รู้ อาศัยตัณหาให้รู้หลักของที่เกิดตัณหาเท่านั้น ต้องรู้ว่าตัวนี้แหละที่พาเกิด พาแก่ พาเจ็บ พาตาย มันเป็นเหตุ เมื่อเรามีสติพร้อมควบคู่ไปกับจิต มันเกิดตัณหาขึ้นมา รู้ปั๊บ สติตอบ มันก็ดับ ต้องให้รู้นะ ถ้าไม่รู้มันก็ไม่ดับนะ เราปฏิบัติภาวนาต้องให้รู้ ต้องมีปัญญา อย่างนี้เพราะสติมั่นคง ปัญญาก็รู้แจ้ง

พวกเรานี้ก็เช่นกัน ขอให้อดทนบำเพ็ญบารมีไปเถิด ขอให้แก่กล้าจริงๆ เท่านั้น ทำให้เกิดฌาน เป็นญาณ ขึ้นมา มันก็จะได้รู้แจ้งแทงตลอดสักทีซิ เอาให้มันว่างดูสักหน

คำว่า ว่าง นี่ ต้องเข้าใจเสียก่อน ว่างตัวนี้มิใช่ว่ามันเวิ้งว้างไปหมดอย่างนั้นนะ หมายเอาว่า ว่างจากตัวตน เรา เขา ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน

ขอยกตัวอย่าง แต่ก่อนเราไม่รู้จักรักษาศีล ต่อมา เรามารักษาศีลจนบริบูรณ์เต็มเปี่ยม เราก็ว่างไปได้แล้ว ว่างจากคนทุศีล อย่างนี้เลยเกิดเป็นคนดีมีศีลธรรม เข้าวัดทำบุญไป เรียกว่า ว่างจากบาป นั่นแหละ

แต่ก่อนเราไม่เคยบำเพ็ญสมาธิ จิตใจมันก็ไม่ว่าง มีแต่ความทุกข์ความยาก มีแต่ความแปรปรวนตลอดเวลา ครั้นเราได้หันมาบำเพ็ญสมาธิ มันก็ว่างจากการแปรปรวน มันมีแต่ความสงบ เป็นเครื่องอาศัย สบายกาย สบายใจ

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ระยะแรกๆ พระพุทธองค์ได้สละความสุขและความทุกข์ที่สับสนวุ่นวาย ก็เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ความสุขก็มี ความทุกข์ก็มี เหมือนๆ พวกเรานี้แหละ แต่พระองค์เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐด้วยตบะบารมีมาก่อน มีสติปัญญา หาช่องทางเพื่อดับความสุขและความทุกข์ที่พระองค์มีอยู่ เข้าป่าหาโมกขธรรมด้วยพระองค์เอง

พระพุทธองค์ทรงทำอย่างไร ?...พระองค์ก็ได้ประพฤติดำเนินศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น ที่พึ่งของพระองค์ก็มีกำลังใจที่ตั้งมั่น เด็ดเดี่ยว ของพระองค์เอง และในระยะนั้นพระพุทธองไม่มีกิจการอะไรที่ต้องทำ ไม่มีการประกาศพระศาสนา ไม่มีการอบรมสั่งสอน ไม่มีการเทศนาให้ใครฟัง กิจการงานเดิมน้อยใหญ่ พระองค์สละออกหมด มุ่งหน้าบำเพ็ญเพียรอย่างเดียวในที่สุดก็ได้พบความว่าง ตามความเป็นจริงจากกายของพระองค์เอง นี่เรียกว่า เกิดปัญญาญาณ รู้แจ้งแทงตลอดในสามโลกจนสำเร็จพระโพธิญาณ

เมื่อพระพุทธองค์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว งานของพระองค์โถมเข้ามากที่สุดในโลกเลยทีเดียว พระองค์สั่งสอนตลอดวันตลอดคืน เทศนาไปในที่ต่างๆ งานประกาศพระศาสนาก็มากมาย ไหนจะอบรมสั่งสอนพระสาวกทั้งหลาย อีกทั้งเวไนยสัตว์ทั้งปวง อย่างนี้ทางโลกจะมองเห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ว่างเรื่องการงานเลย

ความเป็นจริงแล้ว พระองค์ทำงานไปตามหน้าที่เท่านั้น ทำงานก็สักแต่ว่าทำงาน ไม่ได้ยึดมั่น ไม่มีการปรุงแต่งในจิตใจ จิตใจของพระองค์ต่างหากที่ว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน เพราะพระองค์เลิศไปด้วยสติสัมปชัญญะ เลิศไปด้วยปัญญา รอบรู้ในกองสังขารทั้งปวง นี่เองแหละเรียกว่า ความว่าง

ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติอยู่นะ พระพุทธองค์รู้จักแยกแยะออกเป็นสิ่งๆ ไป ไม่ใช่ว่าได้ยินคำว่า ว่าง ก็คิดว่าว่างแบบเวิ้งว้างเป็นกลางทุ่งไปเลย มิใช่อย่างนั้น”


๕๘
มันหลงครับ หลวงปู่


รูปภาพ
ในพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลวงปู่เพ็ง กลับมาบวชครั้งที่สองแล้วไปกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี (ในขณะนั้น)

“พวกเรานักปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดธรรมะขึ้นภายในจิตใจ เวลาครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนก็ต้องนอบน้อมตั้งใจฟัง เมื่อฟังแล้วต้องทำความเข้าใจในธรรมนั้นด้วย ใช่ว่าสักแต่ฟัง อย่างนั้นไม่ถูกต้องเลย สติกับจิตอย่างให้คลาดเคลื่อน ถ้าคลาดเคลื่อนเมื่อไรจะหลงทางเมื่อนั้น

ฉะนั้น ทุกวันนี้ เมื่อไปฟังพระหรือครูบาอาจารย์เทศนา มาถึงบ้านแล้วไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติเหมือนกันแต่นานครั้ง อย่างนี้จะเกิดความเข้าใจผิดก็ได้ อุปมาเหมือนรับประทานอาหารไม่ต่อเนื่อง รับไปได้หน่อยข้าวหมด ต้องหุงใหม่ ความอร่อยในรสชาติก็หมดไป

พวกเราจะทำอะไรก็ตาม ต้องให้มันต่อเนื่อง อย่าทำเล่นไม่ได้ มันจะเกิดความหลงดังเช่นว่า

ศึกษาธรรมมากก็หลงเพราะไม่ปฏิบัติ รู้มากก็หลง เพราะไม่ปฏิบัติ อ่านมากก็หลงเพราะไม่ปฏิบัติ สุขมากก็หลงเพราะเสียทีกิเลส กินมากก็หลงเพราะเสียทีตัณหา เป็นพระบวชนานก็หลงเพราะเสียทีอุปาทาน ทำสมาธิ สติไม่มี ปัญญาไม่เกิดก็หลง บางทีก็เลอะไปก็มีนะ พวกเราต้องระวังอย่าขาดสติ

อย่างเช่นอาตมานี่ เดิมทีเดียวออกบวช คิดว่าจะไม่สึกออกมา จะปฏิบัติอย่างเดียว เมื่อมีโอกาสก็จะออกช่วยพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ว่างั้น แต่ความจริงแล้ว กิเลสของอาตมายังไม่หมดเลยเวลานั้น

เรามันเรือลำเล็ก แต่ไปพ่วงเรือใหญ่หลายลำ มันก็พาจมเท่านั้นเอง มันหลงตัวหลงตนเป็นอย่างนี้

หลวงปู่ขาว อนาลโย จึงได้ถามอาตมาว่า ท่านเพ็ง...เมื่อก่อนนั้นนะ ทำไมจึงต้องสึกออกจากพระล่ะ ?

อาตมาก็ตอบท่านไปว่า มันหลงครับ หลวงปู่

อาตมายอมรับ มันหลงจริงๆ มันหลงตัว หลงตน หลงดี หลงเด่น หลงที่ไม่มีมูลความจริง เพราะเปิดประตูให้กิเลสขี่คอ ฉะนั้นเราต้องระวังให้มากๆ เรื่องนี้


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 11:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่ขาว อนาลโย


๕๙
สนทนาโต้ตอบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย


หลวงปู่เพ็ง เล่าถึงคำสนทนากับ หลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง ความหลง ต่อจากหัวข้อที่แล้ว ดังนี้

อีกครั้งหนึ่งที่ท่าน (หลวงปู่ขาว อนาลโย) เคยพูดกับอาตมาเมื่อคราวที่ไปหาท่าน นำดอกไม้ธูปเทียนเข้ากราบ อาตมาก็ได้พูดกับท่านว่า

“ขอให้หลวงปู่อยู่นานๆ นะหลวงปู่”

ท่านตอบว่า “เฮ้อ !...ใครมาก็อยากให้อยู่นานๆ ความจริงมันจะตายอยู่แล้วนะ”

อาตมาก็ไปอยู่กับท่าน ทำความสะอาดต่างๆ ภายในกุฏิท่าน นำกระโถนท่านไปเท ล้างน้ำ ท่านมายืนมองอาตมา ท่านได้ถามขึ้นว่า

“ท่านนี่มาจากไหน ?”

“กระผมมาจากจังหวัดร้อยเอ็ดครับ”

“มาอยู่กับใคร ?”

“มาอยู่กับหลวงปู่บิดาผมครับ”

“บิดาของท่านคือใคร ?”

“หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ครับ”

“อ๋อ...นี่หรือลูกชายของท่านบัว นี่หรือที่เขาลือว่าเทศน์ได้เก่ง คนนี้หรือ ? นั่งภาวนาเป็นไหม ?”

“หลวงปู่ครับ ถ้าผมภาวนาเป็นก็คงไม่ได้สึกออกไปหรอก”

“อ๋อ...ไม่น่าเชื่อนะ เจ้าสึกออกไปมีลูกกี่คน ?”

“มี ๕ คนครับหลวงปู่”

“ช่างมันเถอะเนาะ ลูกกบลูกเขียดใครจะตัดหางให้มัน มันก็เป็นกบเป็นเขียดอย่างเดิม เราเองก็เหมือนกัน มีลูกตั้ง ๓ คน จึงเข้ามาบวช แต่เจ้าไม่เก่งเหมือนท่านบัวนะ ท่านบัวเป็นคนวิเศษ”

คุณดำรงค์ ภู่ระย้า ที่เคยนำเสนอบทสนทนานี้ในนิตยสารโลกทิพย์ ได้ให้ความเห็นดังต่อไปนี้

“พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ท่านมักจะรู้วาระจิตของผู้สนทนาดี ความจริงท่านรู้ แต่ท่านต้องการพิสูจน์จิตใจผู้ตอบมากกว่าปัญหาที่ถาม ว่าจะมีความจริงใจ มีสัจจะ มีศีลแค่ไหน ถ้าแม้ผู้ไม่รู้ถึงการณ์ บางทีอาจโกหก ปกปิดความจริงของชีวิตของตน เกรงจะเกิดความอายถ้าเรื่องต่างๆ แผ่ขยายออกไปตามหมู่ชน

พระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม เป็นพระที่กล้าพูด กล้าต่อความจริง จึงตอบท่านไปตามตรง

ดังนั้น พวกเรานักปฏิบัติ ควรสังวรเรื่องนี้ให้จงหนัก”


๖๐
การภาวนาเป็นของง่ายๆ


หลวงปู่เพ็ง ท่านมักจะเน้น จะสอนให้ภาวนาให้มาก ท่านพูดเรื่องการภาวนาอย่างนี้ : -

“การภาวนาเป็นของง่าย ง่ายอย่างไร ? เพราะมันไม่เลือกเวลาไม่ต้องเสียเงินเสียของอะไร ทำได้ทุกกรณี

การภาวนานี่ทำไปเถิด จะยืน เดิน นั่ง นอน ยิ่งวิ่งภาวนาได้ก็ยิ่งดี เรานึก พุท-โธ ก็ได้ ใช่ว่าคำบริกรรมมีอยู่เท่านี้นะ เราทำงานอยู่จะทำงานอยู่ จะบริกรรมก็ได้ หรือจะพิจารณาร่างกายก็ได้ ขณะเท้าย่างก้าว เรากำหนดดูเท้าเราเคลื่อนไหวก็ได้ มือเรายื่นออกไปจับอะไรก็พิจารณามือ ซึ่งมีกระดูก เอ็น น้ำเลือด น้ำเหงื่อ อะไรก็ได้ เราพิจารณาได้ตลอดเวลา

คนอื่นมาพูดกับเรา เราพิจารณาเสียงก็ได้ อ้าปากจะพูด เห็นฟัน ก็พิจารณาฟันก็ได้ พิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นมา เอาสติกำหนดรู้จิตของเราตลอดเวลา

เขียนหนังสือก็พิจารณาตัวหนังสือก็ได้ เวลามันร่าเริงก็พิจารณามันลงไป สาเหตุของการเกิดความร่าเริง ถ้ามันยุ่งยาก เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรขึ้นมา ก็พิจารณาทุกข์กับความยุ่งยากเหล่านั้นโดยปัจจุบันธรรมเลย อย่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำจิตให้นิ่งแน่วแน่เป็นหนึ่ง ท่านเรียกว่าสมาธิภาวนา

พระพุทธเจ้าของเรา ทรงสอนเรื่องภาวนาเป็นส่วนมาก ท่านให้พิจารณา เพราะตัวพิจารณานี้เป็นองค์วิปัสสนาโดยตรงทีเดียว

ภาวนาไปเถิด อะไรที่มันเกิดขึ้นกับเรา พิจารณามันเรื่อยไป ขออย่างเดียว ทำอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

อย่างนี้เขาเรียกว่า ภาวนาเป็น

ภาวนาไม่เป็นล่ะ เป็นอย่างไร ?

คนที่ไม่ทำจิตเป็นหนึ่ง นั่งแล้วจิตฟุ้งส่งส่ายไม่อยู่กับอารมณ์ เที่ยววิ่งเข้ารกเข้าป่า วิ่งไปเปิด-ปิดประตู หน้าต่าง วิ่งไปดูตู้เซฟ มองดูเงิน นับเงินในตู้ เดี๋ยววิ่งเข้าครัว เดี๋ยววิ่งไปยังที่ทำงาน เดี๋ยววิ่งไปดูเมีย วิ่งไปดูผัวในสำนักงาน

วุ่นวายอย่างนี้นะ เขาเรียกว่า ภาวนาไม่เป็น ดีไม่ดีจะเป็นเปรตเอาเสียด้วย

การภาวนาไม่ต้องเลือกกาลเลือกเวลา ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เมื่อสะดวกที่จะทำ ทำที่ไหนก็ได้ ทำได้ทุกอิริยาบถ ทำที่บ้านก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด หรือทำต่อหน้าหลวงพ่อเท่านั้น

เวลามากรุงเทพฯ อาตมาจะได้ยินบ่อยๆ ว่า “หลวงพ่อเจ้าขาดิฉันไม่มีเวลาเลย ต้องทำงานตลอด บางทีวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่ค่อยได้หยุด คิดจะไปภาวนากับหลวงพ่อ ก็ได้แต่คิดเท่านั้น หาเวลาไม่ได้เลย คิดว่าสักวันหนึ่งคงมีโอกาสเดินทางไปที่วัดเทิงเสาหินและได้ภาวนาบ้างละ”

“หืย !...เหม็นขี้ฟัน ให้รอยุคพระศรีอาริย์เถอะพวกนี้”


๖๑
ข้อแนะนำการรักษาศีล


คุณดำรงค์ ภู่ระย้า แห่งนิตยสารโลกทิพย์ เคยไปกราบเรียนถามหลวงปู่เพ็ง ถามเกี่ยวกับการรักษาศีลสำหรับฆราวาสทั่วไป ได้เขียนบรรยาย ดังนี้

เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๖ ผู้เขียนได้มีโอกาสพบกับพระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม เป็นครั้งที่ ๓ ซื้อได้นมัสการแล้ว ผู้เขียน (คุณดำรงค์) ได้ถามปัญหาธรรมจากท่าน ลงท้ายก็ได้ถามเรื่องการรักษาศีลว่า

ฆราวาสโดยทั่วไปต้องมีภาระต่างๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังเช่นว่าข้าราชการ พ่อค้า ตลอดถึงกรรมกร หาเช้ากินค่ำ จะมุ่งรักษาศีลกันจริงๆ แล้ว เห็นเป็นการยากเหลือเกิน

ผู้เขียนจึงยกตัวอย่าง เช่น แม่ค้ามีสินค้าหลายชนิด แต่ละชนิดมีความประสงค์ที่จะขายให้หมด และในจำนวนสินค้าเหล่านั้น มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันอยู่ เมื่อมีผู้จะซื้อไปถามว่า ดีไหมของชนิดนี้ ผู้ขายต้องบอกว่าดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าของที่ผู้ซื้อถืออยู่ไม่ได้ดีอะไรเลย ถ้าเป็นมะม่วงก็เปรี้ยว แต่ผู้ขายบอกว่าหวาน เป็นมะม่วงสวน รับรอง !

เหตุนี้เราจะทำอย่างไร ? เราจะรักษาอย่างไร ?

พระอาจารย์เพ็งท่านอธิบายว่า :-

“การรักษาศีลไม่ต้องเอามาก ให้รักษากันคนละข้อก่อน ใครจะเอาข้อไหน ใครจะรักษาข้อใดข้อหนึ่งก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาหมดทั้ง ๕ ข้อ ให้รักษาข้อเดียวก่อน ข้อใดที่ตนเองประพฤติผิด ล่วงละเมิดมากที่สุด เอาข้อนั้นรักษาให้ดี ตั้งสัจจะลงไปว่าจะไม่ทำ จะไม่ละเมิดอีก เอาให้จริง ไม่มีใครจะละเมิดทีเดียว ๕ ข้อพร้อมกันนะ ความจริงแล้ว ศีล ๕ มีอยู่ในตัวเองทุกคน แต่ว่าไม่รู้จักปฏิบัติ ไม่รู้จักศีลเท่านั้น”

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านพูดอยู่เรื่อยว่า “เอาพระเป็นพยาน แล้วก็มาโกหกพระอีก บอกว่าจะรักษาศีล พอกลับบ้านไปแล้วก็ละเมิดศีลที่ตนรับมา”

ศีล ๕ ข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ อะไรเป็นสัตว์ ไม่ฆ่าทั้งนั้น

ข้อ ๒ ไม่ลักทรัพย์ ขึ้นชื่อว่าของเขา เราไม่แตะต้อง

ข้อ ๓ ไม่ผิดลูกเมียใคร ตัวใคร อย่าไปข้องแวะ

ข้อ ๔ ไม่พูดปด ไม่โกหก มดเท็จ ตอแหล

ข้อ ๕ ไม่ดื่มสุราเมรัย เป็นเหตุให้ขาดสติ

ท่านให้เลือกเอา รับเอาก่อน ข้อใดก็ได้ เมื่อรักษาได้ข้อหนึ่งแล้ว บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว ก็ค่อยไปรับข้อที่ ๒ มารักษาอีก เมื่อดีแล้วให้รับรักษาข้อที่ ๓ ต่อๆ ไป ไม่ช้าเต็มบริบูรณ์ มันก็บริสุทธิ์เท่านั้น

ข้อสำคัญต้องให้มีสตินะ เราจะทำอะไรผิด มีสติที่คอยเตือนซิว่า เจ้าอย่าทำผิดนะ อย่าล่วงละเมิดศีลข้อนี้นะ อย่างนี้

ได้ข้อหนึ่ง ข้ออื่นๆ มันก็ได้เอง บางทีไม่ได้คิดไว้ก็มาเอง ให้มีความตั้งใจจริง ไม่หนีที่จะสำเร็จได้แน่นอน

พระพุทธเจ้าของเราสอนให้ปฏิบัติ เราก็ต้องพยายามปฏิบัติซิน่า เรื่องศีลนี่ ยิ่งเป็นศีล ๒๒๗ ด้วยแล้ว พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ละเอียดทีเดียว จุดประสงค์ที่จะให้พระสงฆ์มีสติแก่กล้าในศีล ถ้าใครละเมิดก็เป็นโทษ มีบาป

พระพุทธเจ้าของเราชี้ให้เห็นอยู่แล้วนี่ รักษาศีลเป็นของดีมีความสุข ไม่รักษาศีล ละเมิดศีล เป็นบาปเป็นทุกข์ แล้วเราจะเลือกเอาของดีหรือของไม่ดี

แม่ค้าขายมะม่วงเปรี้ยวคนนั้นก็เหมือนกัน เรารู้ว่าเขาโกหกผิดศีลข้อ ๔ เราก็สอนให้เขารักษาซิ

สอนอย่างไร ? ก็สอนด้วยวิธีไม่ซื้อ เมื่อไม่ซื้อเขา ของก็เหลือนานวันเขาก็เลิกหามะม่วงเปรี้ยวมาขาย เพราะเขารู้ว่าคนซื้อจับโกหกเขาได้ ต่อไปเขาก็หามะม่วงหวานมาให้เรา พอไปถามเขาใหม่ว่า มะม่วงหวานไหม ? หวานค่ะ รับรองเลยคะ เอาดิฉันปอกให้ชิมเดี๋ยวนี้เลย

นี่แหละคนเรา เมื่อมีศีลอยู่ในจิตในใจแล้ว ความกล้าหาญ ความจริงใจ คำพูดคำจามันมีน้ำหนักมั่นคง ไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคใดๆ

เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย มันจริงใจ เพราะต่างคนต่างมีศีล โลกเรานี้ก็สงบ

ปัจจุบันนี้ ทีวีมีข่าวลงหนังสือพิมพ์วุ่นวาย รบราฆ่าแกง ร้อยแปดพันประการ ก็เพราะไม่รู้จัก ศีล ไม่รักษาศีลนี่เอง พระผู้เป็นครูบาอาจารย์มากมาย เที่ยวสั่ง เที่ยวสอน ก็เพื่อให้มีศีลตัวนี้ มีศีลแล้ว สมาธิก็เกิดปัญญาก็บริบูรณ์ เอาเท่านี้


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 11:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม


๖๒
เดินธุดงค์ไปทำไม


เมื่อมีญาติโยมถามว่า ทำนพระป่าต้องเดินธุดงค์ เดินไปทำไม ได้อะไร ?

หลวงปู่เพ็ง ท่านตอบดังนี้

ประสบการณ์ชีวิตของอาตมา อาตมาอาจเล่าซ้ำนะ แต่ยิ่งซ้ำยิ่งแม่น พระพุทธเจ้าสอนสาวกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นไหมล่ะ ในสมัยก่อนนั้น มีแต่ความทุกข์ยากลำบากนะ ยิ่งดินแดนภาคอิสานด้วยแล้ว มันแห้งแล้งเหลือขนาด คนภาคอิสานนี่ก็มีความอดทนต่อสภาพเช่นนั้นได้

สมัยนั้น ทางรถทางเรืออย่าไปคิดให้วุ่นวายเลย จะไปไหนแต่ละทีนี่ต้องเดินเอง บางทีกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ๒ วัน ๓ วันก็มี ต้องลุกขึ้นตอนตี ๔ ออกเดินทาง ไปถึงจุดหมายก็มืดค่ำ ก็เป็นส่วนมาก ระยะทาง ๔๐-๕๐ กิโลเมตร เริ่มชีวิตแต่ตอนอาตมายังเป็นเด็กอยู่ ไปเรียนหนังสือแต่ละครั้งที่อำเภอธวัชบุรีนะ ไปกลับสัก ๑๐ กิโลเมตร เดินอยู่อย่างนั้น ๒ ปี

พอบวชเป็นพระแล้ว ออกธุดงค์จากบ้านเกิดไปตามสถานที่ต่างๆ ตามครูบาอาจารย์แนะนำ เดินทางจากบ้านไปปฏิบัติที่จังหวัดร้อยเอ็ด จากร้อยเอ็ดไปถึงจังหวัดมหาสารคาม ๑๒๐ กิโลเมตร เดินเอา สมัยนั้นป่าไม้นี่เป็นดงดิบ ทั้งหนาทึบ

บางแห่งมองไม่เห็นแสงตะวันเลยในยามเที่ยง เดินไปตามทางมืดสนิทเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องไปคำนึงถึงมัน อ่อนเพลียก็พักตรงนั้น บางที ๓ วัน ๔ วัน ไม่มีข้าวแม้แต่เม็ดเดียวตกถึงท้อง

แต่พระธุดงค์สมัยนั้นท่านก็อยู่ได้ เพียงภาวนาไปเรื่อยๆ ความกล้าหาญเป็นเยี่ยม สติสัมปชัญญะเป็นยอดเลย

เดินไปจนถึงบ้านหมี่ จังหวัดมหาสารคาม จึงได้ฉันอาหาร ๑ หน

บางทีพระธุดงค์ทั้งหลาย พอเดินมาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาบ่าย ๒ โมงบ้าง ๔ โมงบ้าง มันเลยกำหนดที่จะฉันแล้วนี่ ก็ไม่ต้องไปฉันมัน เดินต่อไป

ครูบาอาจารย์สอนมาว่า ไม่ให้รับอะไรในยามวิกาล บำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างเดียว

การเดินของเรา เรารู้ว่าเดินทำไม มันมีประโยชน์อะไรใช่ไหมล่ะ ?

ถ้ามันเดินแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยเจ้าทั้งหลายก็ดี คงไม่ยอมรับและไม่โปรดข้อวัตรนี้แน่

พวกเราเป็นคนมีกิเลสหนา เลยต้องหาเวลามาขุด มาขัด มาถูล้างออกจากจิตใจของเราเสียบ้าง

เมื่อไปถึงจังหวัดมหาสารคาม ก็ไปพบพระอาจารย์บุญนาค แล้วท่านก็นัดไปพบกันที่ถ้ำพระเวส (อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม) เป็นการทดสอบน้ำใจของพวกเรากันเองว่า จะมีความอดทนต่ออุปสรรคได้มากน้อย เพียงไร

ชีวิตของอาตมานี่มันมีแต่ความสุขความสบายมาก อาตมาตอนที่เป็นฆราวาสอยู่ มีสมบัติมาก มีโรงสี ๒-๓ โรง เมื่อมีความสบายจนเคยตัว ก็ลองมาลำบากเสียบ้าง สมบัติมอบให้ลูกๆ เขา เราเข้าป่าแสวงหาโมกขธรรม หาทางพ้นทุกข์ ไม่อาลัยสมบัติที่เป็นของนอกกาย แม้ชีวิตของเราก็ยังไม่อาลัยเลย

ในขณะนั้นนะ อาตมาป่วยเสียก็มาก จะตายเสียก็หลายหน ขนาดหลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านพูดว่า “พระองค์นี้คงอยู่ไม่ยาวถึงเที่ยงนี้”

แต่มันยังไม่หมดกรรมนะ ยังทนอยู่จนบัดนี้

หลังจากนัดกับพระอาจารย์บุญนาคแล้ว อาตมาก็ออกเดินทาง ใครจะทักอย่างไรอาตมาไม่ฟังเสียง ขนาดโยมแม่ร้องไห้เลย เพราะอาตมาผอมมากนะ ผอมจนหลังติดกระดูกเลย โรคภัยมันเยอะ ไข้ป่า โรคท้องเดิน เชื้ออะไรต่างๆ มากมาย โรคเหน็บชา แขนขานี่ลีบเล็ก อาตมาไม่พะวงเลย

จิตใจของอาตมาได้ถวายให้พระพุทธเจ้าแล้ว ร่างกาย สังขาร ใครจะเอาไปทำอะไรอาตมาไม่สนใจ จะตายก็ช่าง ไม่ตายก็ช่าง

เดินธุดงค์มาจนถึงบ้านยอดแก่น จังหวัดกาฬสินธุ์แล้วเข้าถ้ำพระเวส ไปภาวนาอยู่นาน ออกจากถ้ำพระเวสแล้วออกเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านหนองปุ้น บ้านห้วยโป่ง พักอยู่นานเหมือนกัน

การปฏิบัติรุดหน้าแก่กล้าขึ้น จิตใจของอาตมานี่มันเบาอย่างบอกไม่ถูก การปฏิบัติก็เป็นไปง่ายๆ ที่ไหนมีความสุขสบาย หมายถึง ที่นั่นเป็นที่เรามีความชุ่มชื่นในกระแสจิต อาตมาก็อยู่นาน

นั่งทำใจเฉย สติกำหนดรู้สิ่งใดเข้ามากระทบ ก็นำมาพิจารณาลมนอก ลมใน อาการ ๓๒ รูปร่างสังขาร มันรู้ได้แจ้งชัด เมื่อรู้แจ้งอย่างนี้คิดว่า : -

“โอ ไม่เอาอีกแล้วชีวิต น่าเบื่อหน่าย ไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ มองดูแล้วปรากฏเป็นความว่างของจิตมันไม่รู้ร้อน รู้หนาวอะไร”


๖๓
ธุดงค์หลงทาง


หลวงปู่เพ็ง เล่าเรื่องเดินธุดงค์ต่อ หลังจากออกจากถ้ำพระเวสแล้ว

“วันต่อมาก็เดินขึ้นเขา ภูลูกนั้นมันสูงมาก เมื่อไปถึงก็แยกกันตรงนั้น ต่างคนต่างไป ข้ามเขาไปเลย พอไปสุดก็ไม่มีที่จะไปอีกแล้ว

พอดีอาตมาไปพบพวกชาวบ้านป่า เขาเข้าป่าไปหาของป่ามากิน ก็มีพวกหน่อไม้ หัวเผือกหัวมัน ล่าสัตว์ไป อาตมาก็ไปถามทางจากเขาว่า

“ทางจะไปนี้ยังมีอีกไหม ควรไปทางไหนดี”

เขาบอกว่า “ขอให้ผมกินข้าวเสียก่อน แล้วจะไปส่ง”

ชาวบ้านป่าคนนั้นเขาพาขึ้นไปบนเขา แล้วชี้ให้ดูว่า

“ถ้าพระอาจารย์ไปทางนี้ จะไปถึงหมู่บ้านภายใน ๗ วัน ถ้าไปทางนี้ก็ ๓ วัน แต่ถ้าบุกไปทางนี้ก็ถึงวันนี้”

มันไม่มีทางนี่ ก็เลยให้เขาพาไป เดินไปตามคลองช้าง มันเป็นทางของช้าง ขี้ช้างนี่นะทั้งใหม่ทั้งเก่าเลย ท้องฟ้านี่มองไม่เห็นเลย มันทึบเป็นป่าดงดิบไปตลอด

แต่ก่อน บ้านห้วยบง นี่มันจะมีอะไร แต่ก่อนนะมีแต่ป่าไม้เต็มพืดไปหมด เดี๋ยวนี้นะ ลองไปดูเถิด เป็นทุ่งนา มีบ้านมีเรือน สุดหูสุดตาเลย จะหาไม้ไม่ มีเลยนะเดี๋ยวนี้


๖๔
หมูป่าบนภูค้อ


หลวงปู่เพ็ง เดินธุดงค์ไปองค์เดียวไปอยู่บนถ้ำภูค้อ ท่านเล่าดังนี้

“หลังจากนั้นไป อาตมาก็ไปอยู่บนถ้ำภูค้อ อาตมาเข้าไปกราบพระอาจารย์สอน ไปฟังเทศน์จากท่าน แล้วท่านไล่อาตมาให้ไปปฏิบัติอีกทีหนึ่ง

อาตมาไปเดินจงกรม นั่งภาวนา ๓ วัน ๓ คืน ได้ธรรมะมากนะ จิตลงนิ่งสงบร่วมเป็นสมาธิ และก็ไปนั่งเชิงเขา

ตอนเย็นวันหนึ่ง ขณะที่นั่งจิตสงบอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังตุบๆๆ อาตมาสงสัยว่ามันเสียงอะไรกันแน่ ดังเป็นจังหวะๆ อยู่นาน

ปรากฏว่า ที่อาตมานั่งอยู่นั่นเป็นก้อนหินกลมๆ พอชะเง้อมองดูเบื้องต่ำลงไปอีกนิด ก็เห็นหมูป่าฝูงหนึ่ง ประมาณ ๕๐-๖๐ ตัว มันแตกตื่นอะไรมากไม่รู้ มันวิ่งมาแล้วกระโดดก้อนหินข้ามไป วิ่งต่อกันเป็นแถว

อาตมาภาวนาอยู่ที่นี่ ๓ วัน ไม่ได้ฉันข้าวเหมือนกัน”


๖๕
เรื่องอดอาหารระหว่างธุดงค์


หลวงปู่เพ็ง เล่าถึงการอดอาหารในช่วงเดินธุดงค์ ท่านบอกว่าบ่อยมาก จนไม่รู้สึกแปลกอะไรเลย ดังนี้

“หลายต่อหลายครั้งนะ เรื่องไม่ฉันข้าวนี่ แต่มันก็อยู่ได้ บางพื้นที่ที่ไปอยู่ ชาวบ้านไม่ค่อยรู้จักประเพณีของพระ เวลาเขาได้อาหารมาจำพวกของขบฉันนี่ พอเขานำมา ก็ไม่ได้ถวาย ไม่ได้ประเคนเลย มาก็วางไว้ มาก็วางไว้ พอพระพวกอื่นที่เขาเคยอยู่มาก่อน พวกเห็น พอหิวก็ไปหยิบมาฉันกันเลย เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ

อาตมาเห็นแล้วไม่เอา ไม่ฉันด้วย ทำสมาธิภาวนาเฉย เดินจงกรมปลงสังขารตนเอง แล้วมานั่งต่อ พอหลายวันก็ค่อยออกบิณฑบาตสักครั้ง

วันหนึ่ง อาตมาเดินถือบาตรไปยังหมู่บ้านชายแดน เขาไม่รู้จักใส่บาตรกัน อาตมาเดินไปเรื่อยๆ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็กลับที่พัก ภาวนาต่ออาตมาบุกเดี่ยวเข้าป่าเป็นส่วนมากนะ จะมีบางโอกาสเท่านั้นที่ไปคู่กับเพื่อนพระและสามเณร”


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม


๖๖
กลัวสุดชีวิต แต่พิชิตสำเร็จ


หลวงปู่เพ็ง เคยรู้สึกกลัวเสืออย่างที่สุดในชีวิต แล้วท่านก็สามารถพิชิตความกลัวได้ตั้งแต่บัดนั้น

“ครั้งหนึ่ง อาตมากลัวเสือ เมื่อครั้งไปอยู่ถ้ำชะมด มีเขาลูกหนึ่งมันมีไหล่เขา อาตมาไปอยู่ที่นั่น พอปักกลดแล้ว ก็เดินจงกรม เสร็จจากการเดินจงกรม ก็มานั่งภาวนาในกลด พอตกกลางคืน อาตมาเกิดกลัวเสือ

กลัวชนิดออกจากกลดไม่ได้เลย มันเกิดความกลัวมากมายเหลือเกินในชีวิต

เพราะสัญญาเก่า ที่ปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ฟังแต่ตอนเป็นเด็กมันเกิดขึ้นมาว่า ถ้าได้ยินเสียงคล้ายเสียงลมก็เป็นเสือแหละ ท่านว่าอย่างนี้

อาตมาได้ยินเสียงฉับๆๆ ตรงไหล่เขา ก็คิดว่า เอ๊ะ ! เสือละกระมังนี่ อาตมาออกจากมุ้งไม่ได้ อยากจะไปดูก็อยากนะ อยากเห็นเสือมันทำอะไรของมัน แต่ไม่ถอนกลดหนี นั่งในกลดทั้งคืน ตอนเช้ามาดูก็ไม่เห็น คิดว่ามันไปแล้ว

เป็นอย่างนั้น คืนที่หนึ่ง...คืนที่สอง...พอคืนที่สาม มาคิดว่าเอาเถิด ! ตายเป็นตาย ข้าไม่กลัว ถ้าจะกินก็กินเลย

อาตมาตัดสินใจ แล้วก็ออกจากมุ้งกลด แล้วเก็บมุ้งมัดติดกับด้ามกลด แขวนไว้ ไม่กางมุ้งเลยทั้งคืน อาตมาเดินจงกรมทั้งคืน ก็ได้รู้ว่า เสียงที่เราได้ยินนั้นเป็นเสียงลม ที่มากระทบกับเขา พัดกรวดทรายมันก็ดังละซิ ลมมันแรงนี่ เสียงก็ดัง “อ๋อ ! นี่เรามันโง่ไปเอง กลัวแม้กระทั่งลม”

สัญญากิเลสนี้มันร้ายกาจ มันหลอกเราจนแทบไม่ได้ภาวนาหาธรรม ตั้งแต่นั้นมาอาตมาไม่กลัวอะไรเลย หมดความกลัว การเดินธุดงค์ก็เป็นไปอย่างปกติ ไม่หวาดหวั่นกับภัยอะไรเลยแต่บัดนี้”

รูปภาพ
พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล)


๖๗
พูดถึงวัดเทิงเสาหิน เชียงราย


หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ได้มาริเริ่มบูรณะวัดเทิงเสาหิน ขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ตอนแรกยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่ ได้รับอนุมัติให้เป็นวัดที่สมบูรณ์ตามกฎหมายในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ใช้เวลานานถึง ๑๒ ปี

หลวงปู่ เล่าถึงการมาที่วัดเทิงเสาหิน

“ครั้งแรกก่อนจะมาอยู่วัดนี้ ได้มาพบกับพระอาจารย์ทอง เป็นหัวหน้าวิปัสสนา จำพรรษาอยู่วัดเมิงมาง เมื่อท่านมาเห็นอาตมาเข้า ก็ชวนกันมาสร้างวัดอยู่ที่นี่ พออยู่มา พระอาจารย์ทองได้ถูกหมู่พวกโจมตี ท่านก็ออกจากวัด ตัดความวุ่นวายหายไป อาตมาไม่ได้พบท่านอีกเลย

วัดนี้ท่านเจ้าคณะภาค คือท่านเจ้าคุณพระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) เป็นผู้ตั้งชื่อให้เรียกสั้นๆ ว่า วัดเทิง ท่านว่ามันพูดง่าย จำง่ายดี”

(ท่านเจ้าคุณพระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) ท่านอยู่วัดเจดีย์หลวง ในเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ ท่านได้รับพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏที่ พระพุทธพจนวราภรณ์)

วัดเทิงเสาหิน อยู่ในตัวอำเภอเมืองเทิง มีเนื้อที่กว้างขวางถึง ๘๐ ไร่ สภาพเป็นป่า มีความร่มรื่น สงบสงัดเหมาะแก่การภาวนา

เนื้อที่วัดแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนใหญ่อยู่ด้านหน้า เป็นที่ตั้งของโบราณสถาน ศาลาอเนกประสงค์ วิหารพระเจ้าองค์ใหญ่ พระเจดีย์ และกุฏิพระสงฆ์ อีกส่วนอยู่ด้านหลัง เป็นเขตของแม่ชี

วัดเทิงเสาหิน ไม่ได้เน้นสิ่งปลูกสร้าง แต่เน้นการรักษาต้นไม้ อนุรักษ์โบราณสถาน และทำให้เป็นที่สงัดสำหรับการภาวนา สำหรับวิหารและศาลา เน้นการสร้างเพื่อใช้ประโยชน์มากกว่าความสวยงาม กุฏิพระแต่ละหลังก่อสร้างด้วยไม้อยู่ห่างๆ กัน กระจายทั่วบริเวณวัด

ผู้เขียนเคยนำหมู่คณะหาเจ้าภาพสร้างกำแพงรอบวัด ก่อด้วยศิลาแลงเพื่อดูให้กลมกลืนกับโบราณสถาน ทางวัดก่อสร้างไปสัก ๑๐๐ ช่องน่าจะได้ แต่...ไม่มีใครคาดฝันเลย เมืองเทิงถูกน้ำท่วม น้ำป่าไหลบ่ามาอย่างฉับพลัน กำแพงศิลาแลงถูกน้ำป่าพัดพังหายไปในพริบตา พวกเราได้แต่คิดในทางที่ดีว่า...เจ้าของเขาคงไม่อยากให้สร้าง ส่วนกำแพงที่พังก็พังไป เจ้าภาพไม่มีใครติดใจที่จะต่อว่า ผมก็เลยรอดตัวไป...สาธุ

ข้างหน้าวัด ติดกับถนน มีอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่ เป็นอาคารหอสมุดประชาชนอำเภอ ซึ่งทางหลวงปู่ ได้พาคณะศิษย์สร้างให้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าของประชาชน รูปแบบอาคารใช้แบบของหอสมุดเฉลิมราชกุมารี บัดนี้ได้มอบให้เป็นสมบัติของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงราย เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งทางวัดได้บริจาคที่ดินรอบๆ หอสมุดประมาณ ๓ ไร่ด้วย

สภาพโดยรวม วัดเทิงเสาหิน จัดว่าเป็นวัดที่มีความสมบูรณ์และมีความมั่นคงเท่าที่วัดทั่วไปจะพึงมี การวิ่งเต้นบอกบุญเพื่อการก่อสร้างนั้นไม่มี นอกจากคณะญาติโยมจะจัดทอดกฐิน ทอดผ้าป่าตามโอกาสอันควร การจัดงานบันเทิง สนุกสนาน หรือจัดกิจกรรมหาเงินรับรองไม่มีโดยเด็ดขาด

หลวงปู่เพ็ง ท่านพำนักอยู่ที่วัดเทิงเสาหินติดต่อกันนานถึง ๒๒ ปี ตั้งแต่ พ ศ.๒๕๑๘-๒๕๔๐

ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ลูกหลานหลวงปู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดได้นิมนต์ให้ท่านกลับจังหวัดร้อยเอ็ด บ้านเกิดของท่าน ท่านจึงรับนิมนต์ ได้สละตำแหน่งเจ้าอาวาสให้แก่ หลวงปู่พรหม สุพฺรหมฺญาโณ พระน้องชาย อายุ ๘๔ อ่อนกว่าหลวงปู่ ๓ ปี เป็นเจ้าอาวาส แม้หลวงปู่จะย้ายไปจำพรรษาที่จังหวัดร้อยเอ็ดแล้วก็ยังได้รับนิมนต์ไปที่วัดเทิงเสาหิน ตามโอกาสสำคัญๆ อยู่เสมอ

รูปภาพ
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม และลูกศิษย์


๖๘
กลับร้อยเอ็ด ไปจำพรรษาที่วัดป่าศรีไพรวัน


หลวงปู่เพ็ง ย้ายไปพำนักที่จังหวัดร้อยเอ็ด บ้านเกิด ราวๆ ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ที่ต้องใช้คำว่า “ราวๆ” เพราะผู้เขียนไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจน เนื่องจากในระยะหลังๆ นี้ หลวงปู่มีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น มีผู้นิมนต์ท่านไปพักที่บ้านหรือที่สำนักต่างๆ มากขึ้น การมาพักที่บ้านของผู้เขียนจึงห่างๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ท่านมาพักที่ร้อยเอ็ด นานๆ จึงจะมีโอกาสไปพักค้างคืนสักวันสองวัน ส่วนใหญ่เมื่อท่านเข้ากรุงเทพฯ เพียงแต่โทรศัพท์ส่งข่าวไปที่บ้านแล้วบอกว่า “มาเที่ยวนี้บ่ได้ไปบ้านเด้อ” ท่านก็บอกว่าคนนั้นคนนี้นิมนต์ไป

หลวงปู่มาร้อยเอ็ดครั้งแรก ได้จำพรรษาที่วัดป่าศรีไพรวัน ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมือง อยู่ใกล้ๆ สนามกีฬาของจังหวัด หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ทราบว่ามีพระอยู่จำพรรษาด้วยหลายองค์ ส่วนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ติดตามมาจากเชียงราย

ที่วัดป่าศรีไพรวันแห่งนี้ หลวงปู่เคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ บิดาของท่านก็เคยพำนักอยู่ที่วัดนี้ ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานองค์สำคัญๆ ที่เคยมาพำนัก ก็มี หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ศิษย์มือขวาของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มีหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่คำดี ปภาโส เป็นต้น แม้แต่ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย แห่งวัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี ก็เคยเป็นเณรพำนักอยู่กับหลวงปู่ที่วัดนี้

ดังนั้น วัดป่าศรีไพรวันจึงเป็นวัดธรรมยุติที่สำคัญวัดหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด

รูปภาพ
หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 11:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๖๙
ได้รับการต่อต้านที่รุนแรง


ผู้เขียนต้องขอสารภาพก่อน ว่าข้อมูลและเรื่องราวต่างๆ ในช่วงที่หลวงปู่มาอยู่จังหวัดร้อยเอ็ดนี้ ส่วนใหญ่ผู้เขียนไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง เพียงได้รับฟังต่อมาอีกทีหนึ่ง วัน เดือน ปี ที่เหตุการณ์เกิดก็ไม่ทราบชัดเจน เพียงแต่ประมาณเอา ดังนั้นข้อมูลอาจคลาดเคลื่อนไปบ้างในเรื่องรายละเอียด แต่สาระสำคัญไม่น่าจะผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากส่วนใดผิดพลาดคลาดเคลื่อนทำให้ผู้ใดเสียหายทั้งๆ ที่ไม่เป็นจริง ก็ขออภัยด้วย ถ้าท่านผู้ใดรู้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร โปรดช่วยชี้แนะผู้เขียนได้เสมอ ทั้งชื่อ-ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ก็มีชัดเจนอยู่แล้ว จะได้นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องในโอกาสต่อไป

ความจริงเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ นั้น ผู้เขียนไม่อยากนำเสนอให้เสียบรรยากาศเลย แต่เป็นบันทึกเรื่องราวชีวิตของหลวงปู่ จึงพยายามทำเรื่องราวต่างๆ ให้สมบูรณ์ที่สุด

ถ้าเรามองในแง่ของธรรมะ ก็ต้องบอกว่าเรื่องร้ายต่างๆ นั้นเกิดขึ้นเพราะวิบาก และถ้ามารหรือปัญหาไม่มี บารมีก็ไม่เกิด เรื่องราวต่างๆ จึงถือเป็นธรรมอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี

ผมได้ยินมาว่า เมื่อหลวงปู่มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน ท่านประกาศชัดเจนว่า สุรายาเมา การพนัน อบายมุข ตลอดจนการบันเทิงสนุกสนานและมหรสพต่างๆ ท่านไม่ให้มีในวัด จะให้มีแต่กิจกรรมด้านธรรมะด้านงานบุญ ให้สมกับที่เป็นวัดป่า วัดวิปัสสนากรรมฐานอย่างแท้จริง

ถ้าพิจารณาโดยความเป็นธรรม ก็น่าจะโมทนาสาธุ เพราะเป็นเจตนาที่ตรง ที่ถูกต้อง ของการจัดกิจกรรมในวัด เพราะจัดเป็นแหล่งบุญมิใช่แหล่งบันเทิง หรืออบายมุข

แม้สิ่งที่หลวงปู่ตั้งใจทำเป็นสิ่งที่ถูก แต่ก็มีการต่อต้านจากคนบางกลุ่ม เห็นว่า หลวงปู่ ทำผิดประเพณีที่ทางวัดเคยปฏิบัติกันมา เวลามีงานวัด จำเป็นต้องมีงานบันเทิงรื่นเริงด้วย ไม่งั้นคงไม่มีคำว่า “งานวัด” เป็นแน่

ความขัดแย้งทางความคิดจึงเกิดขึ้น แต่ยังไม่มีการแสดงออกที่ชัดเจน

ในส่วนที่ผู้เขียนเกี่ยวข้องโดยตรง เกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนพาคณะนำกฐินมาทอดเมื่อออกพรรษาในปีแรกที่หลวงปู่มาอยู่ พวกเราทอดกฐิน ๕ วัดในปีนั้น เรียงมาจากจังหวัดสุรินทร์ แล้วมาพักค้างคืนที่วัดป่าศรีไพรวัน พวกเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

พวกเราพักนอนในกลดบนศาลาใหญ่ ไม่มีมหรสพหรือการบันเทิงใดๆ มีการสวดมนต์ทำวัตร ฟังธรรม ปฏิบัติสมาธิภาวนาใครเหนื่อยก็นอน เหมือนๆ กันกับที่เราปฏิบัติในที่อื่นๆ ไม่ว่าไปทอดกฐินผ้าป่าที่ไหนเราก็ปฏิบัติอย่างนี้

ตอนเช้า มีการทอดกฐิน ขอกราบเรียนว่าเจตนาของการทอดกฐินครั้งนั้นเพื่อนำเงินไปสร้างห้องสมุดประชาชนที่วัดเทิงเสาหิน อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ที่คณะเราร่วมหาทุนก่อสร้างร่วมกับหลวงปู่ งานยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีหลวงปู่ก็ย้ายมาร้อยเอ็ด พวกเราไม่ชอบให้มีการก่อสร้างที่ค้างคาอยู่ จึงตามมาทอดกฐินกับหลวงปู่

ผมประกาศเจตนานี้ชัดเจนต่อหน้าประชาชนที่มาร่วมทอดกฐินในวันนั้น พวกเราจัดการแบ่งเงินส่วนหนึ่งถวายเป็นค่าใช้จ่ายที่ทางวัดต้องใช้เพื่องานนี้ ผมจำไม่ได้แน่ชัด คงประมาณ ๑ หมื่นบาท ราวๆ นั้น แต่เงินส่วนใหญ่เกินแสนบาท ผมแจ้งแต่ตัวเลข ส่วนเงินนั้นผมโอนไปเข้าบัญชีวัดเทิง มีการแจ้งตัวเลขชัดเจน ทุกคนรับรู้ร่วมกัน และได้ให้สัญญาว่าปีหน้าคณะเราจะมาทอดกฐินเพื่อทำนุบำรุงวัดป่าศรีไพรวันโดยตรง และอาจต่อเนื่องหลายปีถ้าหลวงปู่อยู่

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดเป็นประเด็นยกขึ้นโจมตีหลวงปู่ กล่าวหาว่าท่านยักยอกเงินกฐิน และเงินอื่นๆ ของวัด ทราบว่าที่วัดเองมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ยกพวกมาประท้วงใช้เครื่องกระจายเสียงขับไล่หลวงปู่ และได้ข่าวว่าหลวงปู่ท่านนั่งหลับตาฟังเขาด่าอยู่บนศาลา

ทางผู้เขียนได้รับหนังสือโจมตีหลวงปู่ ซึ่งพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ใบปลิวนั้นส่งไปตามวัดและชมรมปฏิบัติธรรมต่างๆ เห็นเขาว่าทั่วประเทศ รวมทั้งที่กรมการศาสนาด้วย

ต่อจากนั้น กระบวนการใบปลิวพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ก็มีการกล่าวหาหลวงปู่อย่างต่อเนื่อง คนที่เชื่อใบปลิวก็น่าจะมี ในส่วนของผู้เขียนเพียงแต่อ่านแล้วก็ทิ้งไป ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าหลวงปู่ผิดจริง ท่านก็แก้เอง แต่ถ้าท่านบริสุทธิ์พวกที่กล่าวหาก็ต้องได้รับผลที่ตนเองทำ

ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากรองอธิบดีกรมการศาสนาซึ่งไม่ได้ใส่ใจรู้ว่าท่านผู้นั้นชื่ออะไร ให้เลขาท่านโทรไปก่อน แล้วตัวท่านรองอธิบดีก็ซักถามผมโดยตรง เกี่ยวกับเรื่องเงินกฐิน ผู้เขียนก็กราบเรียนตามที่เขียนข้างต้น ยืนยันว่าเจตนาเพื่อนำเงินไปสร้างห้องสมุดประชาชนที่จังหวัดเชียงรายที่ยังคั่งค้างอยู่ และสัญญากับที่วัดว่าปีหน้าจะนำกฐินมาทอดอีก เพื่อบำรุงวัดป่าศรีไพรวันโดยตรง

ท่านรองอธิบดีฯ ท่านนั้นบอกว่า “ถ้าอาจารย์ยืนยันเช่นนั้นเรื่องข้อกล่าวหานี้ก็เป็นอันยุติได้ ผมคงไม่ต้องสอบอะไรอีก”


๗๐
หลวงปู่ถูกถอดจากตำแหน่งเจ้าอาวาส


ผู้เขียนยังได้รับใบปลิวพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ เข้าใจว่าที่อื่นๆ ก็คงได้รับเช่นกัน ประเด็นโจมตีมีต่างๆ นานา ข้อหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีบ่อยขึ้น ถ้อยคำก็ยิ่งหยาบคายมากขึ้น ใช้คำแทนหลวงปู่ ว่า “ไอ้...” หรือ “บัก...” หรือ “มัน”

ข้อกล่าวหามีต่างๆ นานา นับตั้งแต่ได้เสียกับแม่ชี เป็นชู้กับเมียคนอื่น ยักยอกทรัพย์ หลอกลวงโลก ฯลฯ ผู้เขียนไม่เคยใส่ใจ ขอบคุณที่เขาส่งไปให้ ทำให้เราได้รู้ข่าวความเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ อ่านแล้วก็ฉีกทิ้งทุกฉบับ

พวกเราไม่ได้ยื่นมือมาช่วยหลวงปู่ใดๆ ทั้งสิ้น หลวงปู่ก็ไม่เคยพูดให้ฟัง ผู้เขียนทราบเรื่องจากใบปลิวคอมพิวเตอร์ และจากปากคำของลูกศิษย์ลูกหาบางคนเท่านั้น

จริงอยู่ เรารักเคารพ และศรัทธาหลวงปู่ แต่เราไม่สามารถรับประกันความบริสุทธิ์ของหลวงปู่แทนท่านได้ ท่านมีปัญหา เจอวิบากท่านก็ต้องแก้เอง เรื่องบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นั้นเจ้าตัวย่อมรู้ดี ตามคำพระที่ว่า สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ ทั้งหลวงปู่และฝ่ายผู้กล่าวหาน่าจะรู้แก่ใจตัวเองดี

ผลปรากฏว่า หลวงปู่ถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน

หลวงปู่ ย้ายออกจากกุฏิเจ้าอาวาส ไปอยู่กุฏิพระลูกวัดทันทีไม่มีลังเล

เวลาพบหลวงปู่ ท่านว่า “เออดี ไม่ต้องยุ่งกับใคร ภาวนาได้เต็มที่ ค่าโทรศัพท์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ และค่าใช้จ่ายในวัดก็ไม่ต้องรับภาระ”

ได้ข่าวว่าทั้งโทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำ ถูกตัดหมด เนื่องจากวัดเป็นหนี้ และไม่มีใครรับผิดชอบ ท่านผู้รักษาการเจ้าอาวาสก็อยู่วัดอื่น

ผมไม่ทราบว่าทางวัดแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ได้ติดตามถาม

ลูกศิษย์บางคนขอนิมนต์หลวงปู่ไปอยู่ที่อื่น รวมทั้ง ทางเชียงรายก็ขอนิมนต์ท่านกลับคืน และวัดไทยที่ออสเตรเลียก็นิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่นั่นด้วย

ที่ออสเตรเลียทราบว่าหลวงปู่ ไม่ผ่านการตรวจโรค เนื่องจากน้ำหนักน้อย อาจทนความหนาวไม่ไหว วีซ่าจึงไม่ผ่าน ลูกศิษย์จะหาทางให้แต่ท่านไม่ยอม

หลวงปู่ปฏิเสธไม่ยอมย้ายไปไหน ถ้าปัญหาที่เกิดตรงนั้นยังแก้ไม่จบ

ท่านว่าอยู่ตรงนั้น เป็นพระลูกวัดสบายดี ไฟไม่มี น้ำไม่มี โทรศัพท์ไม่มี ไม่เดือดร้อน ออกธุดงค์ลำบากกว่านี่หลายร้อยเท่า

หมายเหตุ : คำสั่งถอดถอนหลวงปู่ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ก็ถูกส่งสำเนาแจกไปทั่วเหมือนกัน


๗๑
ถูกตำรวจออกหมายจับ


ช่วงนี้ผู้เขียนไม่ค่อยได้ติดต่อหลวงปู่เพราะท่านไม่มีโทรศัพท์และลูกศิษย์ลูกหารายอื่นรับท่านไปพักบ้านเวลาท่านเข้ากรุงเทพฯ นานๆ หลวงปู่จะโทษไปส่งข่าวพวกเราที่บอกเพียงว่า “หลวงปู่มากรุงเทพฯ บ่ได้ไปบ้านเด้อ สบายดีกันทุกคนเนาะ”

ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ทราบแต่ว่าหลวงปู่ย้ายไปอยู่วัดอรุณวิเวกธรรมาราม (วัดป่าบ้านแจ้ง) ตำบลและอำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด และหลวงปู่สุขภาพดี เป็นวัดเล็กๆ อยู่ริมลำน้ำ สถานที่ สงบ ภาวนาดี (เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๔๔ พวกเราเอากฐินไปทอดที่วัดนี้ รถบัสของเรา ๑ คัน ติดหล่มในวัดอยู่ตั้งหลายชั่วโมง)

ใบปลิวเที่ยวนี้มาแปลก เป็นหมายจับจากตำรวจข้อหาหลวงปู่เพ็งยักยอกรถของวัดป่าศรีไพรวัน และตำรวจไปยึดรถจากวัดป่าบ้านแจ้งไปไว้ที่โรงพัก

หมายจับเป็นของจริง รถถูกยึดไปไว้โรงพักจริง ตำรวจไปที่วัดจะจับหลวงปู่จริง

หลวงปู่ ยินยอมให้จับ บอกตำรวจว่า “พวกสูอยากจับก็จับไป อาตมาจะเอากลดไปปักที่หน้าโรงพักเอาให้ดังไปเลย” แต่ตำรวจก็ไม่จับ

ผู้เขียนได้ข่าวว่าภายหลังตำรวจต้องไปขอขมาหลวงปู่ ซึ่งท่านก็อโหสิกรรมให้ จบเรื่องกันไป

เกี่ยวกับเรื่องรถนั้น คุณยายท่านหนึ่งในร้อยเอ็ดได้ถวายรถเก่าให้หลวงปู่ไว้ใช้ตอนที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน ทางลูกศิษย์หลวงปู่ก็ไปทำสติกเกอร์ชื่อวัดติดที่ตัวรถ ตามแบบที่วัดทั้งหลายนิยมกัน พอหลวงปู่ท่านย้ายไปอยู่วัดป่าบ้านแจ้ง รถคันนี้ก็ตามไปอยู่กับท่านด้วย สติกเกอร์ชื่อวัดป่าศรีไพรวัน ก็ยังติดอยู่ที่ตัวรถ

มีผู้แจ้งความ แล้วตำรวจตามไปยึดรถตามที่มีผู้แจ้ง คงไม่เจอรถกับไม่พบหลวงปู่ จึงออกหมายจับหลวงปู่ด้วยข้อหายักยอกรถของวัดดังกล่าว

หมายจับก็ถูกถ่ายสำเนาส่งไปตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศเช่นเคย

ทุกอย่างเข้าล็อกหมด หลายๆ คนแคลงใจสอบถามไปทางผู้เขียน ผู้เขียนก็ตอบได้เพียงคำว่า “ไม่ทราบ” เท่านั้น เพราะไม่ได้อยู่และไม่ได้เห็นเหตุการณ์

ข่าวที่ได้ภายหลัง ทราบว่าเจ้าของผู้ที่ถวายรถยืนยันว่า “ถวายไว้ให้หลวงปู่ใช้ เพราะศรัทธาหลวงปู่ ท่านจะเอาไปใช้ที่ไหนก็ได้”

ทั้งหมดนี้เป็นข่าวที่ผู้เขียนได้รับรู้มา จริงเท็จอย่างไรไม่ยืนยัน

เมื่อวันที่ผู้เขียนมาส่งศพหลวงปู่ที่วัดป่าสามัคคีธรรม ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ก็มีโยมจากรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง ฝากเงินกับผู้เขียนมาหมื่นกว่าบาท บอกว่าให้ทางวัดเปลี่ยนยางล้อรถทั้ง ๔ ล้อ จะได้ไว้ใช้ในงานของหลวงปู่ ไม่ทราบว่าเป็นรถคันนั้นหรือเปล่า ?


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๗๒
เขาว่าหลวงปู่ให้หวยแม่น


เขียนเรื่องหนักๆ มา ๒-๓ ตอน ขอเปลี่ยนเป็นเรื่องเบาๆ บ้าง

เรื่องเกิดมาหลายปีแล้ว ตอนสมัยที่ท่านหลวงตาจันทร์ วัดป่าชัยรังสี จังหวัดสมุทรสาคร กำลังดังอยู่ หลวงปู่เพ็ง ท่านไปพักที่บ้านผม โปรดญาติโยมตามปกติ ที่ท่านเข้ากรุงเทพฯ การสวดมนต์ทำวัตรและนั่งสมาธิภาวนาในคืนนั้นเสร็จแล้ว หลวงปู่ กับพระติดตามขึ้นห้องพักแล้ว แขกที่มาแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว ผมนั่งทำงานของผมอยู่

เวลาคงราวๆ ๔ ทุ่ม เสียงโทรศัพท์ก็ดัง มีเสียงผู้ชายพูดสำเนียงออกจีน ถามว่า

“หลวงปู่เพ็ง พักที่บ้านอาจารย์ใช่ไหม ?..หลวงปู่เป็นอาจารย์ผม แต่ผมยังไม่เคยพบหน้าท่านเลย ท่านให้หวยแม่นมาก ผมตามหาท่านมา ๓ ปีแล้ว !”

ผม (ผู้เขียน) งงมาก ถามกลับไป

“คุณไม่เคยพบหลวงปู่เลย ทำไมจึงบอกว่าเป็นอาจารย์ของคุณ และทำไมจึงว่าท่านให้หวยแม่น ?”

คำตอบที่ได้คือ “ผมฝันเห็นท่านบ่อย ฝันเห็นทีไรถูกหวยทุกที ผมจึงนับถือท่านเป็นอาจารย์”

แล้วเขาก็แนะนำตัว ว่าเขาเป็นคนสิงคโปร์ มาได้เมียคนไทยเป็นเจ้าของบริษัทค้าวัตถุโบราณ เขาชอบแทงหวยใต้ดินมาก เขาเป็นนักเล่นหวยมืออาชีพด้วย

ผมขอคำอธิบาย เขาก็เล่าว่า เขาหย่ากับเมีย กลางคืนอยู่คนเดียว ก็มาคิดสูตรหาตัวเลขเด็ดทุกคืน เขาไม่มีปัญหาเรื่องการเงินลูก-เมียไม่มี จึงซื้อหวยได้เต็มที่ ถ้าได้เลขเด็ดๆ เลขละล้านบาทก็กล้าซื้อ ถูกผิดไม่สำคัญ ถ้าซื้อมากก็ได้ลุ้นสนุกในวันหวยออก !

แล้วเขาก็ขอมากราบหลวงปู่ที่บ้านผม เย็นวันรุ่งขึ้น เขามาตามนัด เขารู้ว่าหลวงปู่ท่านคุ้นเคยกับหลวงตาจันทร์ จึงขอให้ท่านพาไปกราบ ผมไปด้วย นั่งรถของเขาไป

ไปถึงวัดเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ท่านหลวงตาอยู่กุฏิชั้นใน เคี้ยวหมากปากแดงแจ๋ มีโยมทั้งชายหญิงดูท่าทางระดับ วี.ไอ.พี. ๗-๘ คน นั่งข้างหน้าหลวงตาเรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลม หลวงตาถือแบบแปลนก่อสร้างอยู่

หลวงตาท่านพูดถึงงานก่อสร้างของท่านสลับกับถามโยมที่มาว่าต้องการอะไร จะให้ท่านช่วยอะไร ใครที่ถูกชี้ก็บอกความต้องการของตนไป

ช่วงที่ผมตื่นเต้นและขัดเคืองใจที่สุดก็ตอนที่หลวงตาท่านทักไอ้เจ้านักเล่นหวยมืออาชีพที่ไปกับเราว่า

“เอ้าโยม มากับหลวงพ่อ กับดอกเตอร์หรือ มีอะไรจะให้ช่วยว่ามา”

เจ้าหมอนักเล่นหวยคุกเข่าประนมมือ พูดเสียงดังฟังชัดด้วยประโยคสั้นๆ ว่า

“ผมมาขอหวยครับ”

ทุกคนมองเจ้าหมอนั่นด้วยแววตาตำหนิว่าไม่รู้จักกาลเทศะ

หลวงปู่ หัวเราะหึๆ ในลำคอ ผมรู้สึกขัดเคืองใจ และอายแขกเหล่านั้นมาก

ท่านหลวงตายกมือแบไปข้างหน้าในเชิงปฏิเสธแล้วพูดเสียงดังกึ่งตกใจว่า

“เฮ้ยไม่มี ถ้ามีก็ซื้อเองแล้ว”

เจ้าหมอนั่นแสดงอาการตื่นเต้นดีใจ ก้มกราบหลวงตาอย่างซาบซึ้ง พูดว่า

“ขอบพระคุณมาก ผมกราบลาท่านแล้วครับ”

มันชวนพวกเรากลับ ผมต้องยอมกราบลาหลวงตากึ่งงง กึ่งไม่พอใจ เดินตามมันออกมา หมายจะต่อว่ามันให้สมแค้น หลวงปู่ท่านสีหน้าปกติหัวเราะในลำคอ หึๆ แค่นั้นเอง

พอออกถึงข้างนอก ไอ้หมอนั่นมันชิงพูดก่อน ดูท่าทางชื่นชมหลวงตาเหลือเกิน มันบอกว่า

“หลวงตานี่ใจนักเลงจริงๆ เมตตาสูง ผมขอเลขปั๊บ ท่านก็ให้ปุ๊บเลย ผมศรัทธาท่านจริงๆ”

ผมนอกจากแค้น และอายแล้ว แถมงงเข้าไปอีก ! จนพูดออกกู-มึง อย่างจงใจว่า

“ท่านให้ตัวเลขมึงเมื่อไหร่วะ กูเห็นแต่ท่านดุมึง !”

มันพูดอย่างอารมณ์ดี แถมดูถูกเราด้วยว่า

“อาจารย์ไม่สังเกต ท่านบอกว่าที่นี่มี คือ เลขศูนย์ ท่านกางฝ่ามือมาข้างหน้า เหยียดนิ้วออกคือ เลขห้า ตัวท่านเองเป็นพระที่ยังหนุ่มต้องเลขแปด ถ้าเป็นพระแก่ต้องเลขเก้า”

เอากับมันซิ ! สมกับเป็นนักเล่นหวยมืออาชีพจริงๆ แม่นหรือไม่แม่นผมมิได้สนใจติดตาม

เจ้าหมอนั่นขับรถมาส่งผมที่บ้าน นิมนต์หลวงปู่ไปค้างที่บ้านของมันแถวถนนสุรวงศ์ หลวงปู่คุยอะไรกับมัน หรือให้เลขหวยมันหรือไม่ผมไม่มีทางรู้ได้

หลังจากที่หลวงปู่ท่านกลับวัดไปแล้วได้สัก ๔-๕ วัน เจ้าหมอนักเล่นหวยก็โทรไปหาผม รายงานว่า

“หลวงปู่ ท่านสอนผมหลายอย่างที่มีคุณค่าที่สุดคือ ท่านบอกว่า ผมเป็นคนโชคดีและมีบุญที่เป็นคนร่ำรวยเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้ความรวยสร้างบุญให้มากขึ้น ท่านสอนให้ผมรู้จักทำบุญ และฝึกให้ผมนั่งสมาธิ ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลย ใจสงบและเป็นสุขดีมาก”

ถัดจากนั้นอีก ๒ เดือน มันโทรไปหาผมอีกครั้งเล่าเรื่องไปทำบุญ และบอกว่าเดี๋ยวนี้มันไปนั่งสมาธิที่วัดหลวงพ่อสด ที่อำเภอดำเนินสะดวก ราชบุรี - สาธุ

เรื่องหวยมันบอกว่าเลิกเล่นตั้งแต่วันที่หลวงปู่ไปค้างที่บ้านมัน จากนั้นมันและผมไม่เคยติดต่อกันอีกเลย

ถ้าเจอมัน ผมจะถามให้หายสงสัยว่า ไอ้เลข ๐๕๘ งวดนั้นมันได้กิน หรือถูกกิน ?

จนบัดนี้ผมก็ยังไม่หายงง !


๗๓
เล่าเรื่องหวยอีกที


ไหนๆ พูดเรื่องหวยแล้ว ขออนุญาตพูดถึงอีกสักตอนก็แล้วกันกับขออนุญาตหลวงปู่ด้วยครับ

เรื่องหวยทั้งเถื่อนและไม่เถื่อนดูจะเป็นเรื่องธรรมดาในวิถีชีวิตของคนไทย (ไม่ใช่ทุกคน) และมักจะไม่พ้นมีพระสงฆ์มามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ในฐานะเป็น “ที่ปรึกษา”

ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด นครราชสีมา มีข่าวว่าคนชอบไปขอหวยท่านเหมือนกัน ราวกับท่านรู้ล่วงหน้า เขียนใส่กระดาษไว้ให้เรียบร้อย เคาะหัวให้คนละโป็กตามธรรมเนียม กำชับว่า

“ให้พวกมึงไปเปิดดูเองที่บ้านเด้อ”

คำสั่งหลวงพ่อถือเป็นประกาศิต ไปเปิดดูที่บ้าน ท่านเขียนให้อย่างชัดเจนว่า

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

งวดนั้นคงจะมีคนถูกหวย รวยกันเละแน่นอน !

เรื่องของหลวงปู่เพ็งก็มีเหมือนกัน สามารถระบุอ้างอิงพยานบุคคลได้ด้วย แต่ข่าวไม่ดังเหมือนหลวงพ่อคูณ

สัก ๔-๕ ปีมาแล้ว หลวงปู่ ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง อยู่ย่านบางกะปิ เทศน์ให้ครูฟังและขอให้หลวงปู่ทำน้ำมนต์ ประพรมเพื่อเป็นศิริมงคลด้วย มีคนขอดูบาตรน้ำมนต์หลวงปู่ ข่าวว่าพวกเขาเห็นหยดเทียนไข เรียงตัวเป็นตัวเลขฝรั่งสองหลัก แล้วมีข่าวต่อไปว่า

“ครูถูกหวยงวดนั้นแทบทั้งโรงเรียน”

เท่านั้นยังไม่พอ ที่บ้านของผม ก็เคยขอให้หลวงปู่ประพรมน้ำมนต์ให้ ท่านก็ลงมือบริกรรม ทำน้ำมนต์ให้ในเวลานั้น ผมเองนึกสนุกขึ้นมา กระเซ้า คุณป้าเลียบ ว่าไม่ขอดูหยดน้ำตาเทียนในบาตรหรือ? คุณป้าเลียบก็กะย่องกะแย่งลุกขึ้นดู ผมเองก็พูดเล่นๆ ว่า

“เห็น ๓๕ ใช่ไหมป้า ?”

เหลือเชื่อครับ งวดนั้นออก ๓๕ บนหรือล่างก็ไม่ได้ใส่ใจจำ รู้แต่ว่าบางคนถูกหวย และไม่พลาดไปจากคุณป้าเลียบ แฟนประจำ

รูปภาพ
คนไหนคือป้าเลียบเชิญดูเอาเอง


ขออภัยที่ยกตัวอย่างคุณป้าเลียบมาเป็นพยานบุคคล ไหนๆ ยกขึ้นมาแล้วก็ “เผา” ให้เรียบร้อยเลยด้วยความรักคุณป้าเลียบ เป็นอย่างยิ่ง

คุณป้าเลียบท่านซื้อหวยบ้างนิดๆ หน่อยๆ ตามประสาคนใจบุญ ถือเป็นการช่วยเหลือรัฐบาล และส่งเสียเงินทองช่วยให้เจ้ามือหวยได้ประกอบกิจการได้

คุณป้าเลียบมีดวงสมพงษ์กับหลวงปู่ของเราพอสมควรในเรื่องหวย แกก็ถูกของแกเรื่อยทั้งปีโดยเฉพาะเวลาเจอหลวงปู่ ไม่ว่าจะในฝัน หรือเจอองค์จริง คุณป้าแกมักโชคดี พอได้ถือเงินแก้อาการมือคันไม้ได้บ้าง

เช่น คุณป้าเลียบ ถามว่า “หลวงปู่อายุเท่าไรเจ้าคะ ?”

หลวงปู่หัวเราะหึๆ ตามแบบของท่าน

“โอย...อายุเท่าไรไม่สำคัญหรอก ว่าจะอยู่สัก ๒๐๐ ปี”

เท่านั้นเองได้เรื่อง เย็นหลังวันหวยออก คุณป้าเลียบ ท่านกะย่องกะแย่งหิ้วถุงเป็ดพะโล้น่ากินมาให้พวกเรา พวกเรามัวแต่งงกับรสชาติอร่อยของเป็ดและลืมถามคุณป้าแกว่า

“เอาเป็ดมาให้เราในโอกาสอะไร ?”

ขอยกหลักฐานมา “เผา” คุณป้าเลียบ ต่อ

คุณป้าเลียบ ท่านไปทอดกฐิน-ทอดผ้าป่ากับพวกเราเป็นประจำ แล้วก็สนใจยอดเงินทำบุญอย่างมาก ขากลับพวกเราได้เป็ดพะโล้กินบ่อยๆ กลับจากทอดกฐินที่วัดหลวงปู่ที่เพียงราย เราก็ได้กินเป็ดพะโล้อีก

ทนไม่ได้ ต้องถาม ! คุณป้าเลียบ บอกว่า

“ก็ถูกหวยนิดหน่อย”

มีคนถามว่า “บน หรือล่าง ?”

คุณป้าตอบว่า “บนซิ..เพราะอาจารย์ประกาศยอดเงินทำบุญบนรถ !!!”

ยังอีกครับท่าน-หลวงปู่ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ อายุท่านย่างเข้าปีที่ ๘๘

หวยงวดวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ออก ๐๘๘ บนหรือล่าง ผมสารภาพว่าโง่มากในเรื่องนี้

สิ่งที่ค้างคาใจผมอยู่ คือ ในงวดนั้นคุณป้าเลียบยังติดค้างเปิดพะโล้ผมอยู่นะครับ

หมายเหตุ : กราบขออภัยคุณป้าเลียบด้วย ถ้าหากเรื่องนี้ทำให้ป้ากลายเป็นดาราโด่งดังไป ผมช่วยไม่ได้จริงๆ


๗๔
หลวงปู่พ้นวิบาก


ในช่วงหลังๆ นี้หลวงปู่ท่านเพลากิจนิมนต์ลงไปเยอะ พวกลูกศิษย์ลูกหาก็อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะหลวงปู่มีอายุถึง ๘๕ ปีแล้ว แม้ร่างกายท่านดูแกร่ง สุขภาพดี ผิวพรรณผ่องใส แต่พวกเราก็ไม่อยากให้ท่านเดินทางมาก รวมทั้งไม่อยากให้ท่านต้องรับภาระมาก

เรื่องการต่อต้านโจมตีหลวงปู่ก็ดูจะหายไป “ใบปลิวคอมพิวเตอร์” ก็หายไป ผมไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวโดยตรง เพียงได้รับข่าวว่า ทางท่านเจ้าคณะภาค ท่านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน บอกว่าหลวงปู่ท่านไม่มีความผิด และรอการแต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวันตามเดิม

ทางด้านคู่กรณีก็ได้รับการลงโทษตามสมควรแก่เหตุที่ตนมีส่วน เป็นใครบ้างผมไม่ทราบ และไม่ต้องการที่จะทราบ เพียงแค่ดีใจที่เรื่องร้อนๆ ร้ายๆ สงบลง

ผมยังเสียดายอยู่นิดหนึ่ง ที่มือคอมพิวเตอร์ท่านนั้นไม่ได้ทำหน้าที่ของท่านให้ตลอด ท่านส่งใบปลิวโจมตีหลวงปู่ทั่วประเทศ แต่พอเรื่องจบลงท่านไม่ยอมส่งใบปลิวไปชี้แจงแก้ข่าวให้ แต่พวกเราก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บอะไร ต่างอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไปก็แล้วกัน

ผมไม่รู้จักพวกท่านเหล่านั้น แต่พวกท่านเหล่านั้นต้องรู้จักผม ถ้าพบกันขอให้ทักทาย และร่วมมือทันสร้างบุญสร้างกุศล ทะนุบำรุงศาสนาให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ทางด้านหลวงปู่ท่านก็ไม่ได้สนใจที่จะชี้แจงแก้ข่าวแต่ประการใด ท่านย้ำเสมอว่า

“สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ เราจะบริสุทธิ์หรือไม่ รู้แก่ใจเราเอง ใครจะเข้าใจถูกหรือผู้ดีไม่ได้ช่วยรับประกันความบริสุทธิ์ของเราได้”

อีกอย่าง ผมขอยืนยันว่า หลวงปู่เพ็ง ท่านไม่สนใจว่าจะมีคนมากราบท่านหรือไม่ก็ตาม ท่านยังมั่นคงกับคำพูดของท่านว่า “ธรรมะไม่ต้องเชิญชวน ไม่ต้องง้อใคร ใครมีบุญ ใครสนใจ ก็เข้ามารักษาเอาเอง มาภาวนาเอาเอง แล้วจะได้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเอง”

หมายเหตุ : ในคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) ที่ ๕/๒๕๔๔ เรื่อง ให้พระสังฆาธิการกลับดำรงตำแหน่ง สั่งว่า :-

“จึงให้พระครูสิริหรรษาภิบาล (เพ็ง พุทฺธธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด กลับดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด มีอำนาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕”

ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๙ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ลงนามโดยเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต)



มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๗๕
สร้างวัดขึ้นใหม่อีกสองแห่ง


รูปภาพ
กุฏิหลวงที่วัดป่าสามัคคีธรรม


แม้หลวงปู่จะผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ไปแล้ว รอคำสั่งแต่งตั้งให้กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน และญาติโยมกลุ่มที่ศรัทธาหลวงปู่จะนิมนต์ให้ท่านกลับไปที่เดิมก็ตาม แต่ท่านก็มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

ขณะเดียวกันก็มีผู้บริจาคที่ดินขอให้ท่านสร้างวัดให้เป็นวัดสายปฏิบัติ หรือวัดป่า ได้ยินว่ามีถึง ๔ แห่ง แต่ท่านรับไว้เพียง ๒ แห่ง เพราะกำลังพระ-เณรมีไม่พอ

ในปี ๒๕๔๓ เป็นต้นมาหลวงปู่จึงดูแลอยู่ ๓ วัด คือ

๑. วัดอรุณวิเวกธรรมาราม (วัดป่าบ้านแจ้ง) ตำบลจังหาร อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นวัดเก่า มอบหมายให้ ครูบาวีระโชติ ติสฺสวงฺโส เป็นพระผู้ดูแล มีพระ ๔-๕ องค์

๒. วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ หมู่ ๑๐ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นสำนักสงฆ์เพิ่งเริ่มก่อตั้ง หลวงปู่ ท่านมาพักจำพรรษาที่นี่ พร้อมพระลูกวัด ๗-๘ องค์

๓. วัดป่าสิริปุณโณ (วัดป่าบ้านฝาง) ตำบลบ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นสำนักสงฆ์เพิ่งเริ่มก่อตั้ง มีพระจำพรรษา ๔-๕ องค์ หลวงปู่มอบหมายให้ ครูบาอมริทร์ กนฺตสีโล เป็นผู้ดูแล

การเริ่มต้นก่อตั้ง วัดป่าสามัคคีธรรม กับ วัดป่าสิริปุณโณดำเนินไปค่อนข้างเร็ว หลวงปู่ท่านบอกว่า เมื่อตอนอยู่เพชรบูรณ์ ภาวนาอยู่ปีหนึ่งได้แค่กระต๊อบหลังเดียว

รูปภาพ
กุฏิพระที่วัดป่าสามัคคีธรรม


ผู้นำและประชาชนในหมู่บ้านทั้งสองแห่ง มีความกระตือรือร้นและสนับสนุนการสร้างวัดดีมาก แสดงความเป็นหมู่บ้านคนใจบุญออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด

ที่วัดป่าสามัคคีธรรม มีผู้ถวายบ้านเก่าให้ หลวงปู่จึงได้รื้อถอนนำไม้มาปลูกเป็นกุฏิหลวงปู่ เป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ ๒ ชั้นปลูกสร้างศาลาปฏิบัติธรรมอเนกประสงค์ พอได้อาศัย ใช้เป็นที่สวดมนต์ทำวัตร ที่ฉันภัตตาหาร สอนสมาธิภาวนา จัดกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา ตลอดจนเป็นที่พักของญาติโยมที่มาวัด สร้างกุฏิเล็กๆ ๔-๕ หลังพอให้พระได้อาศัย นอกนั้นมีโรงครัว ที่เก็บข้าวของต่างๆ และ ห้องน้ำห้องสุขาสำหรับญาติโยม นับว่าวัดมีความพร้อมพอประมาณในการประกอบศาสนกิจและเป็นที่พักอาศัยสำหรับพระสงฆ์

ส่วนที่วัดป่าสิริปุณโณ เห็นว่ามีศาลาสร้างชั่วคราวอยู่หลังหนึ่ง กับกุฏิชั่วคราวสำหรับพระสงฆ์อยู่ ๒-๓ หลัง สร้างขึ้นในป่าอยู่ห่างๆ กัน ผู้นำและประชาชนที่นี่แสดงความกระตือรือร้นและสนับสนุนการสร้างวัดเป็นอย่างดี หวังว่าจะกลายเป็นวัดวิปัสสนากรรมฐานที่น่าสนใจวัดหนึ่งในอนาคต

แม้หลวงปู่เพ็ง ท่านจะย่างเข้าวัย ๘๕ ปีกว่าก็ตาม ท่านยังเดินทางไปดูแล อบรมพระเณร และฆราวาส ทั้ง ๓ วัด ลูกศิษย์บอกว่า หลวงปู่ท่านยังทำหน้าที่ของท่านอยู่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเช่นเดิม

หลวงปู่กำชับลูกศิษย์เสมอว่า “ให้ดูที่จิต ทำจิตให้นิ่ง”


๗๖
จดหมายจากหลวงปู่


ตั้งแต่หลังปีใหม่ปี พ.ศ.๒๕๔๓ หลวงปู่เพ็ง ไม่ได้มาพักที่บ้านผมเลย เพื่อนบ้านศิษย์หลวงปู่ ตลอดจนผู้ที่ใส่บาตรท่านเป็นประจำถามเรื่อยว่า เมื่อไหร่หลวงปู่จะมา ช่วงนี้หลวงปู่หายไปไหน

ระยะหลังนี้มีลูกศิษย์หลายคนนิมนต์หลวงปู่ไปพักที่บ้าน บางครั้งใครปวารณาไว้ เมื่อท่านจะเข้ากรุงเทพฯ ก็จะติดต่อให้ผู้นั้นไปรับท่านที่สนามบินดอนเมือง รับท่านไปทำธุระตามกิจนิมนต์ แล้วพาไปพักที่บ้าน กลางคืนหลวงปู่จะนำสวดมนต์ แสดงธรรม พานั่งสมาธิภาวนาและสนทนาธรรม ตอนเช้าหลวงปู่จะออกบิณฑบาตทุกวัน จะขาดไปบ้างก็มีกรณีจำเป็นเท่านั้น

พวกเราไม่ได้ติดต่อหลวงปู่ตั้งหลายเดือน เมื่อหลวงปู่ ไปพำนักที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์แล้ว พวกเราก็ได้รับจดหมายจากท่าน

หลวงปู่ เขียนตัวย่อ ดร. ที่นำหน้าผม เป็น ร.ด.เสมอ แม้หน้าซองจดหมายก็เป็น ร.ด.ปฐม

จดหมายเขียนจากวัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ใจความว่า

“ร.ด.ปฐม อาตมาพร้อมคณะได้มาถึงวัดที่ตั้งใหม่แล้ว มาถึงวันที่ ๓ ก.ค. ๔๓ มีพระมาอยู่ก่อน ๕ รูป อุปสมบทใหม่อีก ๕ รูป ส.ณ. ๑ รูป ทางชาวบ้านสร้างกุฏิได้แล้ว ๗ หลัง ห้องน้ำ ๑ หลัง หอฉันเล็กๆ ๑ หลัง พอให้พระเณรนั่งฉันได้

เนื้อที่วัด ๓ ไร่ ทางชาวบ้านมีกำนันเป็นหัวหน้า จะขยายให้อีก ๔ ไร่ๆ ละห้าหมื่น และทางอาจารย์เฉลิมชัย และคณะยุวพุทธ กำลังติดต่อขยายให้อีก เขาคงขายให้อีก ๑๒ ไร่ ต่อไปคงได้เป็นวัดที่สมบูรณ์ ทางชาวบ้านมีกำนันเป็นหัวหน้าก็ต้องการวัด บ้านนี้มี ๒๐ หลังคา ยังไม่มีวัดเลย

ฉะนั้นจึงเขียน จ.ม. บอกเล่าให้คณะศรัทธาทางกรุงเทพฯ ทราบ ส่วนหอสมุดที่อำเภอเทิงใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ยังแต่ตู้หนังสือ และกระเบื้อง ขออนุโมทนาคณะศรัทธาทางกรุงเทพฯ ด้วย ที่พร้อมใจกันไปช่วยให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

ปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม”


๗๗
จดหมายจากหลวงปู่ฉบับที่สอง


เนื่องจากคณะของเราเคยปวารณาไว้ ตั้งแต่คราวทอดกฐินที่วัดป่าศรีไพรวัน ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ว่าปีต่อไปจะนำกฐินมาทอดอีกหารายได้มาถวายวัดป่าศรีไพรวันโดยตรง เนื่องจากในปี ๒๕๔๐ ขอนำเงินไปสร้างห้องสมุดประชาชนที่อำเภอเทิง เพียงราย ให้เสร็จสมบูรณ์ไปก่อน

จากกฐินในครั้งนั้นเอง มีสวนจุดชนวนก่อเหตุให้เกิดการประท้วงขับไล่หลวงปู่ว่า “อมเงินกฐิน” แล้วขยายออกเป็นเหตุการณ์วุ่นวายออกไปหลายปี ตามที่กล่าวแล้ว จากครั้งนั้นเราจึงจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาโดยไม่ได้แจ้งให้คู่สัญญารู้ แต่รอให้หลวงปู่ท่านปักหลักอยู่ประจำที่ให้มั่นคงก่อน คณะเราจะกลับมาทอดกฐิน-ผ้าป่าใหม่

เมื่อหลวงปู่ ท่านมีวัดอยู่เป็นหลักฐานแน่นอนแล้ว ท่านจึงส่งข่าวให้รู้ เป็นการบอกกล่าว ว่าทางวัดพร้อมที่จะรับกฐิน-ผ้าป่า ตามที่เราเคยปวารณาไว้

ขออนุญาตคัดลอกจดหมายหลวงปู่ เขียนด้วยลายมือของท่านเอง มาเสนอดังนี้

“จากวัดป่าบ้านโนนสวรรค์ หมู่ ๑๐ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

วันที่ ๒๕ ส.ค. ๔๓

ร.ด.ปฐม ด้วยปีนี้หมายกำหนดการจะพาหมู่คณะศรัทธา ชาวกรุง ไปทอดกฐิน-ผ้าป่า ภาคใด จะไปเหนือ-หรืออิสาน-หรือใต้

ถ้าจะไปภาคอิสาน กรุณาเชิญชวนคณะศรัทธาไปเยี่ยมวัดใหม่บ้านโนนสวรรค์ด้วย ไม่ห่างจากร้อยเอ็ดเท่าไร ๑๒ กิโลเมตรเศษๆ พอถึงร้อยเอ็ดแล้วแยกไปทางวาปีปทุม ทิศใต้ของจังหวัด ตามทางวาปีปทุม เห็นป้ายบ้านโนนสวรรค์ ซ้ายมือ แต่เป็นวัดน้อยๆ เพียง ๓ ไร่เท่านั้น ยังเป็นวัดไม่ได้ เป็นที่พักสงฆ์เท่านั้น

แต่ที่มีอยู่แปลงหนึ่ง ติดกับที่พระอาศัยปลูกกุฏิอยู่ ๑๑ หลังเล็กๆ ศาลาฉันก็ ๓ ห้อง ที่ดินประมาณ ๔ งาน เขาต้องการขายอยู่ติดทางทิศตะวันลง

อีกแปลงหนึ่ง ติดกับกุฏิพระอาศัยอยู่ทางทิศใต้ เป็นป่าสมบูรณ์ประมาณ ๑๓ ไร่ ก็ต้องการขายเหมือนกัน ถ้าได้คงเหมาะสมเป็นที่ปฏิบัติเป็นอย่างดี ถ้า ร.ด.และคณะศรัทธาไปพบเข้าก็คงศรัทธา

ฉะนั้น จึงได้เขียนจดหมายมาให้ทราบ แต่ทางศรัทธาชาวบ้านและร้อยเอ็ดก็เตรียมทอดกฐิน แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน แต่อยากรู้ทางกรุงเทพฯ ก่อน ถ้าพร้อมกันได้เป็นการดีมากๆ

ฉะนั้น จึงได้เขียน จ.ม. มาถึงศรัทธาทางกรุงเทพฯ ก่อน ขอบอกกำหนดการไปให้ทราบด้วย

ด้วยความมั่นใจ
ปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม

และบอกกล่าวเด็กสามคนที่เอาพระพุทธรูปยืนไปถวาย บอกเขาด้วย เอาขึ้นบนซุ้มประตูเรียบร้อยแล้ว”

หมายเหตุท้ายจดหมายหลวงปู่

๑. คุณเด็กสามคนที่เอาพระพุทธรูปยืนไปถวายที่วัดเทิงเสาหิน โปรดรับทราบด้วย ผมจำไม่ได้ว่าเป็นใครแน่ แค่พอจะนึกออก ขออนุโมทนาสาธุด้วย

๒. ในปีนั้น ผมรับเป็นเจ้าภาพกฐินวัดพระบรมธาตุดอยตุง และวัดอื่นๆ ทางภาคเหนืออีกรวม ๗ วัด มีสมาชิกร่วมเดินทาง ๕ คันรถบัส ประมาณ ๒๐๐ คน จึงไม่ได้มาทอดกฐินที่ร้อยเอ็ด พวกเราขอปวารณาทอดในปีต่อไปครับ

กุฏิหลวงปู่ วัดป่าสามัคคีธรรม
กุฏิพระ วัดป่าสามัคคีธรรม



มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๗๘
ทอดกฐินซื้อที่ดิน


ในปี พ.ศ.๒๕๔๔ หลวงปู่เพ็งพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ หมู่ ๑๐ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

รูปภาพ
วัดป่าสิริปุณโณ


คณะของเราตั้งใจจะทอดกฐินที่วัดหลวงปู่เพ็งเพื่อช่วยท่านสร้างวัด ตั้งแต่เริ่มเข้าพรรษาผมยังไม่มีโอกาสกราบหลวงปู่เลย ทางวัดก็ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ แม้ลูกศิษย์จะถวายมือถือให้ท่านไว้ใช้ ก็ติดต่อไม่ค่อยได้ บางทีโทรไปก็ได้ยินแต่เสียงฝรั่งผู้หญิงบอกว่าติดต่อไม่ได้ก็เลยไม่สะดวก

กลางพรรษา ระหว่างเดือนสิงหาคม ๒๕๔๔ น้องเขยและน้องสาวที่อยู่สุรินทร์ได้เข้าไปพักที่บ้าน ขากลับจึงขอให้เขาขับรถไปส่งที่ร้อยเอ็ด เพื่อไปกราบหลวงปู่และกราบเรียนท่านเรื่องทอดกฐินตอนออกพรรษา ไปถึงร้อยเอ็ดใกล้ค่ำ สอบถามดูได้ความว่า หลวงปู่อยู่ที่วัดป่าสิริปุณโณ (วัดป่าบ้านฝาง) อำเภอเกษตรวิสัย จึงขอให้คุณวิไลจิต สุ่มมาตย์ ขับรถนำทางไป

พวกเราไปถึงวัดที่หลวงปู่พักอยู่ คือ วัดป่าสิริปุณโณ (วัดป่าบ้านฝาง) เวลากว่า ๒ ทุ่ม วัดอยู่ในป่าข้างท้ายหมู่บ้าน ไม่มีถนนเข้าไปต้องขับรถวกวนไปตามซอยทางเดิน คล้ายๆ รอยทางเกวียนในอดีต พอได้ยินเสียงรถเข้าไป ท่านจึงรีบหยุดเทศน์ พวกเราต้องกราบขอโทษที่มาทำให้การเทศน์ และการภาวนาของพระต้องจบลงกลางคัน

เมื่อทราบว่าหลวงปู่ท่านดูแล ๓ วัดในขณะนั้นได้แก่ วัดอรุณวิเวกธรรมาราม (วัดป่าบ้านแจ้ง) ที่อำเภอจังหาร ซึ่งเป็นวัดเก่า ท่านครูบาวีระโชติ ติสฺสวงฺโส รักษาการเจ้าอาวาส กับวัดก่อตั้งใหม่อีก ๒ วัด ได้แก่วัดที่หลวงปู่พักจำพรรษาอยู่ คือ วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ ตำบลนาโพธิ์ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด กับ วัดป่าสิริปุณโณ ที่บ้านฝาง อำเภอเกษตรวิสัย ที่เรากำลังอยู่ในขณะนั้น มีครูบาอัมรินทร์ กนฺตสีโล รักษาการเจ้าอาวาสอยู่

ทราบจากหลวงปู่ว่า ทั้ง ๓ วัดยังไม่มีใครจองกฐิน พวกเราก็ปวารณาขอเป็นเจ้าภาพกฐินทั้ง ๓ วัด และตกลงทอดวันเสาร์-อาทิตย์ที่ ๑๓-๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๔ หลังออกพรรษา หลวงปู่ท่านอนุโมทนาสาธุแล้วพวกเราก็กราบลา

เท่าที่ได้รู้จักใกล้ชิดหลวงปู่เพ็งมาสิบกว่าปี ยังไม่เคยพบหรือเคยได้ยินว่าท่านขอร้องใคร บอกใครให้ไปช่วยทอดกฐิน-ทอดผ้าป่าที่วัดของท่านเลย ได้ยินแต่ชวนให้ไปภาวนา จะมีกฐินหรือผ้าป่าหรือไม่ท่านบอกว่าไม่เคยสนใจเลย มีก็ดี ไม่มีก็ได้ (ท่านจะบอกเฉพาะคนที่เคยปวารณาไว้เท่านั้น)


๗๙
อยากให้พวกมันไปดูวัดก่อน


หลังกราบลาหลวงปู่เพ็ง ที่วัดป่าสิริปุณโณ (วัดป่าบ้านฝาง) แล้วพวกเราก็ขับรถฝ่าความมืด ไปข้างที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ บ้านของน้องเขย-น้องสาวซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า ๑๐๐ กิโลเมตร

ตื่นตอนเช้ามืด นึกถึงภาพที่หลวงปู่ กับพระครูบาอมรินทร์ เดินมาส่งเรา คำพูดของหลวงปู่ที่สั่งพระยังชัดเจนว่า

“บอกผู้ใหญ่บ้านให้เตรียมที่จอดรถด้วยเน้อ”

ภาพต้นไม้ ๔-๕ ต้น ขนาดลำต้นคืบกว่า อยู่ตรงที่หลวงปู่มายืนส่งเราก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน นึกกลัวไปว่าต้นใดต้นหนึ่ง หรือทุกต้นที่อยู่ตรงนั้นอาจจะต้องถูกตัดออกเพื่อให้รถจอดตอนงานกฐิน หลวงปู่และวัดไม่มีโทรศัพท์ที่จะติดต่อได้ จึงขอให้น้องเขยขับรถไปส่งอีกครั้ง เพื่อบอกไม่ให้เขาตัดต้นไม้ ทั้งน้องเขย และน้องสาวบอกว่า เขาก็อยากไปดูวัดที่จะทอดกฐินในตอนกลางวันเหมือนกัน อยากสำรวจเส้นทางด้วย

พวกเรารีบออกเดินทางแต่เช้า หวังให้ทันเวลาฉันภัตตาหาร ไม่เช่นนั้นอาจไม่พบหลวงปู่

พวกเราชินถนนชินทางมากขึ้น ไปถึงวัดป่าสิริปุณโณ ก่อนแปดโมงเช้า แต่หลวงปู่ไปฉันที่วัดป่าสามัคคีธรรม อยู่ห่างออกไปไม่น้อยกว่า ๕๐ กิโลเมตร

พระท่านออกมายืนตรงที่ส่งเราเมื่อคืนนี้ท่านบอกว่า

“หลวงปู่สั่งให้ตามไปที่วัดป่าสามัคคีธรรม ท่านว่าอยากให้พวกดอกเตอร์มันไปดูวัดก่อน”


๘๐
มาเห็นวัดป่าสามัคคีธรรมครั้งแรก


รูปภาพ
ศาลาอเนกประสงค์วัดป่าสามัคคีธรรม


พวกเรากราบพระ แล้วรีบติดตามหลวงปู่ไปวัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนสวรรค์ ทันที หลวงปู่นั่งพักที่กุฏิ ท่านทักพวกเราว่า “ไปเห็นวัดบ้านฝางแล้วเนาะ ไม่ต้องห่วงพระเขาไม่ตัดต้นไม้หรอก อาตมาบอกไว้แล้ว”

ผมไม่แปลกใจเลยที่ท่านรู้หมด ว่าเราทำอะไร คิดอย่างไร

แล้วหลวงปู่เดินนำ พาพวกเราไปดูศาลาโรงฉัน ซึ่งใช้เป็นศาลาอเนกประสงค์ ใช้เป็นที่สวดมนต์ ฟังธรรม อบรมสมาธิภาวนา ที่ฉันภัตตาหาร ที่จัดงานบุญต่างๆ ตลอดจนที่พักนอนของญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรม ตลอดจนต้อนรับคณะกฐิน-ผ้าป่าเหมือนคณะของเรา

ศาลาเป็นเหมือนเพิ่งขยายข้างออกไปทุกด้าน พื้นเทปูนอยู่ระดับพื้นดิน ดูดีหน่อยตรงพื้นปูพรมเต็มพื้นที่ ฝาผนังทุกด้านดูเหมือนจะก่อปูนสูงขึ้นไปประมาณระดับอก ส่วนบนโล่งหมด ดูเป็นหน้าต่างบ้านใหญ่บ้านเดียวยาวตลอดไปทุกด้านของศาลา มีด้านหลังพระพุทธรูปเท่านั้นที่มีปูนก่อขึ้นไปจรดหลังคา ดูอากาศถ่ายเทได้ดีอย่างยิ่ง

ผมหมายตาไว้ว่า ช่วงทอดกฐินจะพาคณะประมาณ ๑๒๐ คนมาพักที่นี่ ต้องหาทางให้มีที่นอนให้ได้

ด้านหลังศาลาเป็นป่าโปร่งที่มีเจ้าของแล้ว เนื้อที่ ๑๒ ไร่ครึ่ง เจ้าของบอกขายราคา ๑ ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าที่ดินละแวกนั้นตั้งเท่าตัว พวกเราอยากได้ที่ผืนนั้นถวายวัด คิดในใจว่าจะใช้เป็นเขตสังฆาวาส คือเป็นส่วนของพระ จะปลูกกุฏิเล็กๆ สำหรับพระสงฆ์แต่ละองค์และมีทางเดินจงกรมที่กุฏิแต่ละหลัง ตามแบบของวัดป่าที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านวางรูปแบบไว้

คณะของเรากราบลาหลวงปู่ แล้วไปกราบหลวงปู่ศรี มหาวีโร ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดป่าสามัคคีธรรมของหลวงปู่เพ็งแค่ ๕-๖ กิโลเมตรเท่านั้น

คณะเรากราบเรียนขอโอกาสมาทอดผ้าป่าที่วัดป่ากุง และวัดผาน้ำทิพย์ สาขาของวัดป่ากุงในช่วงที่เราพาคณะมาทอดกฐินด้วย แล้วกราบลาหลวงปู่ศรี เดินทางกลับ

ผมนั่งรถโดยสารประจำทางกลับกรุงเทพฯ กำหนดการทอดกฐิน-ผ้าป่าถูกร่างขึ้นในใจเรียบร้อยว่า ทอดกฐินวัดหลวงปู่เพ็ง ๓ วัด และทอดผ้าป่าอีก ๔ วัด รวม ๗ วัด พักค้างคืนที่วัดป่าสามัคคีธรรมของหลวงปู่เพ็ง ๑ คืน


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่ศรี มหาวีโร


๘๑
ทอดกฐินจัดซื้อที่ดิน


การทอดกฐินของคณะเราหลังออกพรรษาในปีนั้น กำหนดเอาวันเสาร์ที่ ๑๓ และวันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๔ มีการทอดกฐินสามัคคี ๓ วัด และทอดผ้าป่า ๔ วัด ในจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดนครพนม มีสมาชิกร่วมเดินทางจากกรุงเทพฯ ๑๒๐ คน เดินทางด้วยรถบัส ๓ คัน

คณะของเรา (ซึ่งไม่มีชื่อคณะ) มาเริ่มต้นที่วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐ น. เพื่อรอใส่บาตร หลวงปู่ศรี มหาวีโร (อายุ ๘๕ ปี) หลวงปู่เพ็งท่านให้ทางโรงครัวของวัดจัดอาหารใส่ถุงสำหรับใส่บาตรมาให้พวกเรา คณะของเราทุกคนจึงมีอาหารตักบาตรหลวงปู่ศรี มหาวีโร สมใจปรารถนา พวกเรารับประทานอาหารที่วัด ทอดผ้าป่า รับศีลรับพรและรับการประพรมน้ำมนต์จากหลวงปู่ศรี แล้วกราบลาออกเดินทาง

วัดที่สอง คือวัดอรุณวิเวกธรรมาราม (วัดป่าบ้านแจ้ง) อำเภอจังหาร มีครูบาวีระโชติ รักษาการเจ้าอาวาส หลวงปู่เพ็งไปรอต้อนรับพวกเราที่นั่น แต่ท่านต้องรีบไปเพราะติดกิจนิมนต์ เหมือนกับทางวัดจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ได้เตรียมเสื่อกก กับหมอนขิด แจกคณะเราคนละชุด กราบลาทางวัดเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ารถบัสของเราคันหนึ่งติดหล่มภายในวัด ทำให้อีก ๒ คันก็พลอยออกไม่ได้ด้วย ต้องใช้เวลาแก้ไขอยู่ร่วม ๔ ชั่วโมง จึงได้รถยกมายกรถของเราให้เคลื่อนที่ออกไปได้เมื่อบ่ายสามโมงกว่าๆ

สมาชิกในคณะเราต้องเหน็ดเหนื่อยไปตามๆ กัน โดยเฉพาะบรรดาสุภาพสตรีท่านใช้แรงปูเสื่อและวางหมอนที่ได้รับแจก นอนส่งกำลังใจช่วยให้พวกที่ขุดดินและเข็นรถ แถมยังต้องเหนื่อยกับการออกแรงกินส้มตำที่ทางแม่ครัวนำมาเลี้ยงด้วย น่าเห็นใจมาก

คณะของเราต้องพลาดการทอดกฐินวัดที่ ๓ คือ วัดป่าสิริปุณโณ (วัดป่าบ้านฝาง) อำเภอเกษตรวิสัย จึงขอนิมนต์พระให้ไปรับกฐินที่วัดป่าสามัคคีธรรมในตอนเช้าวันที่ ๑๔ ตุลาคม (ทางพี่น้องประชาชนที่บ้านฝาง ขอทอดกฐินกันเองในวันลอยกระทง คณะของเราจึงเปลี่ยนเป็นผ้าป่าแทน ทางวัดจึงได้ทั้งกฐิน ทั้งผ้าป่าในปีนั้น ทุกคนต่างโมทนาสาธุ)

เย็นวันที่ ๑๓ ตุลาคม จึงทำได้เพียงไปทอดผ้าป่าที่วัดสระกุดน้ำใส อำเภอพนมไพร ซึ่งไปถึงร่วม ๕ โมงเย็น แล้วกลับมานอนที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ ทางวัดจัดอาหารเย็นรอรับรวมทั้งคณะวัดป่าสิริปุณโณได้ขนอาหารที่เตรียมให้พวกเราตั้งแต่มื้อเที่ยงมาสมทบอีกทำให้อาหารเหลือเฟือ

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ คณะของเรา ๑๒๐ คน กางกลดอัดแน่นกันอยู่ภายในศาลาโรงฉัน อากาศกลางคืนค่อนข้างเย็นเกือบหนาว ทุกคนนอนในกลด แถมได้ผ้าห่มใหม่เอี่ยมที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมนายก วัดบวรนิเวศฯ รักษาการเลขาฯ สมเด็จพระสังฆราช ฝากมาถวายวัดหลวงปู่เพ็ง ประมาณ ๔๐๐ ผืนด้วย ทุกคนจึงค่อนข้างหลับสบาย

ที่ผมสงสารที่สุดก็บรรดาผีทั้งหลาย ต่างงุนงงไม่รู้จะหลอกใครเพราะกางกลดติดกันจนแน่น

รูปภาพ
พิธีทอดกฐินที่วัดเทิงเสาหิน จ.เชียงราย


รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๑๕ ตุลาคม หลังจากทอดกฐินแล้วก็เดินทางไปกราบพระมหาเจดีย์ ที่วัดผาน้ำทิพย์ อำเภอหนองพอก ทอดผ้าป่าเสร็จแล้วไปกราบเจดีย์หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ที่วัดภูจ้อก้อ อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร

งานบุญของคณะเราเที่ยวนี้ต้องล่าช้ากว่ากำหนดไปมากเพราะแต่ละแห่ง สมาชิกต่างอิ่มบุญกันจนเพียบแปร้

เนื่องจากสมาชิกแต่ละคน แบกบุญมาเยอะ เลยต้องใช้เวลานานกำหนดว่าเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เวลา ๖ ทุ่ม ก็กลายเป็น ๖ โมงเช้า สมกับแรงอธิษฐานของสมาชิกบางคนที่ไม่อยากให้ถึงดึก เพราะไม่กล้านั่งแท็กซี่ ขอเป็นถึงตอนเช้าก็แล้วกัน

ที่ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบบรรยากาศของการทอดกฐิน-ผ้าป่าของคณะของเราซึ่งมีจุดเริ่มครั้งแรกในปี ๒๕๓๕ จากการทอดกฐินที่วัดเทิงเสาหินของหลวงปู่เพ็ง แล้วคณะนี้ก็เกาะกลุ่มกันขยายวงกว้างออกไป จนมีกิจกรรมทอดกฐิน-ผ้าป่าปีละ ๔ ครั้งในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และออกพรรษา

กิจกรรมทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มมาจากหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม จึงได้นำมาบันทึกไว้

สำหรับการทอดกฐินซื้อที่ดินถวายวัดป่าสามัคคีธรรม ในปีนั้นได้ยอดเงินบริจาคประมาณ ๕ แสน ๕ หมื่นบาท มีผู้บริจาคตามมาภายหลังผ่านมาทางผมอีก ๒ แสนบาท รวมยอดรับเบ็ดเสร็จก็๗ แสนกว่าบาท

ราคาที่ดิน ๑๒ ไร่ ที่ต้องการซื้อนั้นครั้งแรกเจ้าของเรียกราคา ๑ ล้านบาท ต่อมาส่งข่าวมาว่าลดให้เหลือ ๗ แสนบาท สรุปว่ายอดเงินที่ได้ก็พร้อมที่จะซื้อที่ดินแล้ว

แต่ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด หลวงปู่เกิดอาพาธ และมรณภาพอย่างกะทันหัน การเจรจาซื้อที่ดินจึงต้องเลื่อนออกไปเป็นภายหลังจัดการเรื่องศพหลวงปู่เสร็จก่อน

รูปภาพ
คุณย่ารำเพย นิคมานนท์
โยมอุปัฏฐากของหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม



๘๒
หลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ เป็นครั้งสุดท้าย


หลังจากการทอดกฐินที่วัดของหลวงปู่ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๔ แล้ว พวกเราไม่ได้ติดต่อกับหลวงปู่จนสิ้นปี

ทราบแต่เพียงว่าหลวงปู่จะเข้ากรุงเทพฯ เพราะมีกิจนิมนต์ช่วงหลังปีใหม่ และไม่แน่ใจว่าท่านจะมาพักที่บ้านของเรา (บ้านนิคมานนท์) หรือไม่ เราจึงไม่ได้เตรียมบ้านไว้รับหลวงปู่

พวกเรา (รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์) มีแผนว่าจะไม่อยู่บ้านช่วงหลังปีใหม่ เนื่องจากน้องสาวของอาจารย์ภัทรา คือ สุมาลี ลาร์เซ่น จะมาจากอเมริกา มาพักอยู่เมืองไทย ๑ เดือน เราจะเป็นเจ้าภาพพาเที่ยวและตระเวนไปกราบพระตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

เนื่องจากเราทั้งสองคนได้เกษียณตัวเองจากราชการมาเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้ว เราจึงมีเวลาเป็นของตัวเอง เมื่อตอนเราไปอเมริกาเมื่อ ๔-๕ ปีก่อน สุมาลี และสามี (ริชาร์ด ลาร์เซ่น) ได้ขับรถพาเราตระเวนเที่ยวอเมริกา แคนาดา นานถึง ๒๒ วัน ลูกชายเราก็ไปอาศัยอยู่เรียนหนังสือกับเขาด้วย เขามาเมืองไทยเที่ยวนี้จึงสามารถให้เวลาเขาได้ ๑ เดือนเต็มๆ จะไปไหนก็ได้ ไม่ว่าในหรือนอกประเทศ

น้องสาวมาถึงเมืองไทยวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๔ พักอยู่กรุงเทพฯ แค่ ๑ วัน โครงการพาเที่ยวของเราจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม เป็นต้นไป เป็นการเที่ยวข้ามปีเลยทีเดียว เราขับรถตระเวนขึ้นเหนือ กราบพระตั้งแต่อยุธยา-อ่างทอง-สิงห์บุรี ขึ้นไปเรื่อย ถึงเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน-เชียงราย แล้ววกกลับกรุงเทพฯ ในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๕ มาพักเอาแรงช่วงหนึ่งก่อน

เรากลับถึงบ้านยังไม่ถึง ๒ ชั่วโมง หลวงปู่เพ็งก็มาถึงบ้านโดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลวงปู่ลงเครื่องบินที่ดอนเมืองพร้อมพระติดตาม ๑ องค์ มีนายตำรวจท่านหนึ่งถวายค่าแท็กซี่ และให้มาส่งที่บ้าน

รูปภาพ
หลวงปู่จันทา ถาวโร


หลวงปู่มีกิจนิมนต์ที่วัดบรมนิวาส วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๕ ต่อจากนั้นก็มีที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี แลที่วัดป่าเขาน้อย ของ หลวงปู่จันทา ถาวโร อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร

การเที่ยวของพวกเราจึงขอพักไว้ก่อน แต่เรามีกำหนดจะไปเที่ยวคุนหมิง ประเทศจีน วันที่ ๑๗-๒๐ มกราคม โดยไปขึ้นเครื่องบินที่เชียงใหม่ พร้อมกับญาติๆ รวม ๙ คน

หลวงปู่ พักที่บ้านของเราอยู่ ๗ วัน ดูท่านยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง อารมณ์ดี มีเมตตาสูง ตามปกติ ไม่มีอะไรบอกเหตุว่าท่านจะรีบจากพวกเราไปเลย ต่างกับทุกครั้งตรงที่ เที่ยวนี้ท่านเคี่ยวเข็ญพวกเราในการนั่งสมาธิภาวนาเป็นพิเศษ พานั่งทุกเช้าก่อนฉันภัตตาหาร และทุกเย็นหลังการสวดมนต์ทำวัตรแล้ว ธรรมะของท่านเด็ดขาด ชัดเจนมาก หลังการนั่งสมาธิ ท่านก็เล่าเรื่องการเดินธุดงค์ เรื่องครูบาอาจารย์ของท่านตลอดจนตอบปัญหาที่มีผู้ยกขึ้นมาถาม

พวกเรานั่งภาวนาเพลิน ฟังหลวงปู่เพลิน เลยไม่ได้บันทึกคำสอนเหล่านั้นไว้เลย ต่างก็บ่นเสียดายกันมาก

เช้าวันอังคารที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๕ หลังพานั่งสมาธิ หลวงปู่ฉันภัตตาหารเสร็จ พวกเราทานอาหารเสร็จ หลวงปู่ก็ประพรมน้ำมนต์ให้ศีลให้พรพวกเรา บางคนก็ขอให้ท่านเป่าหัวให้ตามธรรมเนียม แล้วคุณจอม ศิษย์ของท่านคนหนึ่งก็นำรถเข้ามารับหลวงปู่ เพื่อเดินทางไปตามกิจนิมนต์ที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จากนั้นเห็นว่าคุณจอม ได้นิมนต์ท่านไปพักโปรดญาติโยมที่บ้าน

ทางฝ่ายผม-ภรรยา และน้องสาว ก็ออกทัวร์รอบที่ ๒ ไปกราบพระที่พิจิตร-อุตรดิตถ์-แพร่ ไปกราบหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล ที่วัดอนาลโย ดอยบุษราคัม จังหวัดพะเยา หลวงพ่อให้เราไปกราบที่กุฏิ ให้ธรรมะและความรู้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งแก่พวกเรา

พวกเรากลับจากคุนหมิง มาถึงเชียงใหม่ วันจันทร์ที่ ๒๐ มกราคม นอนเชียงใหม่ ๑ คืน แล้วขับรถตระเวนไปกราบพระที่ลำพูน สำรวจเส้นทางที่จะพาคณะไปทำบุญในช่วงวันมาฆบูชาด้วย ลงมากราบพระที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง วัดพระธาตุสุโทน จังหวัดแพร่ แวะนอนที่อุตรดิตถ์ กลับถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ตอนเย็นวันอังคารที่ ๒๒ มกราคม

พอถึงบ้าน คุณย่า (คุณย่ารำเพย นิคมานนท์) รีบรายงานด้วยความตื่นเต้นว่า หลวงปู่เข้าโรงพยาบาล แต่คุณย่าก็บอกไม่ได้ว่าโรงพยาบาลไหน และใครโทรมาบอก ? เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือรอ

กลางคืน คุณสุรสิทธิ์ เวียงอินทร์ ลูกชายคนเล็กของหลวงปู่โทรมาส่งข่าวว่าหลวงปู่อยู่ที่ห้อง ๒๘๐๘ ชั้น ๘ โรงพยาบาลรามคำแหง ผมรีบติดต่อแจ้งข่าวให้คุณเทียมศักดิ์ ด่านพงษ์เจริญ ทราบ แล้วนัดกันไปเยี่ยมหลวงปู่ในตอนเช้า


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 11:42, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๘๓
หลวงปู่อาพาธ เข้าโรงพยาบาลด่วน


หลวงปู่ จัดเป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพดี แม้อายุสังขารของท่านย่างเข้าปีที่ ๘๘ แล้วก็ตาม ท่านยังดูแข็งแรง แข็งแกร่ง กระฉับกระเฉง ผิวพรรณผ่องใส ยืนตรง นั่งตรง อารมณ์ดี ออกเดินบิณฑบาตโปรดญาติโยมทุกเช้า พาลูกศิษย์นั่งภาวนาจนดึกดื่น นั่งภาวนาหรือเดินจงกรมทั้งคืนก็ยังสบายมาก

ท่านเคยบอกว่าจะอยู่ถึง ๙๔ ปี ทุกคนจึงวางใจ การที่หลวงปู่อยู่ดีๆ และเข้าโรงพยาบาลอย่างปัจจุบันทันด่วนจึงไม่มีใครคาดคิด

กิจนิมนต์ของหลวงปู่ในช่วงปีใหม่ มีดังนี้

๒๘ ธ ค. ๔๔ - ร่วมงานทำบุญปีใหม่ที่กระทรวงศึกษาธิการ

๓๐ ธ.ค. ๔๔ - เดินทางกลับร้อยเอ็ด

๘ ม ค. ๔๕ - เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักที่บ้านนิคมานนท์ เขตบึงกุ่ม แสดงธรรมโปรดญาติโยมทุกวัน

๑๓ ม.ค. ๔๕ - กิจนิมนต์ที่วัดบรมนิวาส เชิงสะพานยศเส เขตปทุมวัน

๑๕ ม ค. ๔๕ - ไปพักที่บ้านโยมวารุณี อยู่แถวเสาชิงช้า

๑๗ ม ค. ๔๕ - ร่วมสวดมนต์ฉลองโบสถ์ (สร้างเสร็จใน ๙๙ วัน) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

- ไปพักที่บ้านคุณจอม อยู่ถนนนวมินทร์ (สุขาภิบาล ๑) เขตบึงกุ่ม

๒๑ ม ค. ๔๕ - กิจนิมนต์ที่วัดป่าเขาน้อย อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ทำบุญวันเกิดหลวงปู่จันทา ถาวโร

ผมมาทราบภายหลังว่า หลวงปู่ท่านอาพาธเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๕ ขณะที่กำลังเทศน์โปรดญาติโยมที่มานั่งภาวนาหลวงปู่เทศน์ไม่นานก็หยุดแล้วขอไปพักผ่อน

หลวงปู่มีอาการเวียนศีรษะ อาเจียน และปวดศีรษะอย่างแรง ไม่มีแรงจะลุกเดินไหว คุณจอมและเพื่อนๆ จึงพาท่านส่งโรงพยาบาลรามคำแหง เพราะอยู่ใกล้ที่สุด

เมื่อผมทราบเรื่อง ก็นัดคุณเทียมศักดิ์ ด่านพงษ์เจริญ ไปเยี่ยม หลวงปู่ ในตอนเช้าวันพุธที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๕ หมอให้หลวงปู่นอนเฉยๆ ห้ามลุก ดูท่านมีสติดี ผิวพรรณผ่องใส พูดได้-สอนธรรมะพวกเราได้ แต่ที่ปากของท่านแสดงให้เห็นว่ามีอาการชา-ลิ้นแข็ง และท่านบอกว่าปวดศีรษะมาก และบอกว่า

“ภาวนาดูแล้ว จิตมันบอกว่า ไม่ต้องผ่า และอยู่ไปได้ถึงอายุ ๙๗”

ทำให้ทุกคนเบาใจ

หมอเอาฟิล์มเอ็กซเรย์ ภาพศีรษะของหลวงปู่มาให้ดู เห็นว่ากระดูกคอด้านหลังของท่านมีอาการคด เห็นได้อย่างชัดเจน ด้านข้างกระดูกคอเห็นจุดขาวๆ เล็กๆ ๒ จุด อยู่จุดละข้างของก้านสมอง หมออธิบายว่าเป็นรอยเลือดที่เกิดจากเส้นโลหิตฝอย ตรงบริเวณก้านสมองแตก ต้องรีบถวายการผ่าตัด และแนะนำให้เคลื่อนย้ายหลวงปู่ไปรักษาที่สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลประสาทพญาไท ซึ่งเชี่ยวชาญทางนี้โดยเฉพาะ

(หลวงปู่ท่านบอกว่าเป็นกรรมเก่าจากชาติก่อน ที่ท่านเคยมีฝูงวัว วัวตัวหนึ่งมันดื้อ ท่านเลยเอาไม้หวดไปที่หลังคอของมัน มันจึงตามมาทวงหนี้อย่างไม่ยอมลดละ ทราบจากคุณฐาปวีร์ ที่เพื่อนๆ เรียกว่า ตะวัน บอกว่าหลวงปู่เคยสั่งไว้ให้ช่วยจัดการซื้อวัวหนุ่ม สีขาว จากโรงฆ่า มาปล่อยให้ด้วย)

พวกน้องๆ ก็อยากให้ย้ายจากโรงพยาบาลเอกชนเพราะค่ารักษาแพงมาก เสียค่ารักษา ๓ วันเป็นเงินสามหมื่นสองพันกว่าบาท ทางคุณจอมกับเพื่อน และลูกชายของหลวงปู่ช่วยกันลงขันถวายเป็นค่ารักษา - ขออนุโมทนาด้วย

โชคดีที่ภรรยาของคุณเทียมศักดิ์ คือ คุณสมทรง ด่านพงษ์เจริญ เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร อยู่ที่โรงพยาบาลประสาทพญาไท จึงได้ช่วยอำนวยความสะดวก ให้ได้เคลื่อนย้ายหลวงปู่ ไปที่สถาบันประสาทวิทยา ก่อนเที่ยงวันพุธที่ ๒๒ มกราคม โดยที่โรงพยาบาลรามคำแหงจัดรถและพยาบาลไปส่ง


๘๔
หลวงปู่มรณภาพ


ใครเล่าจะคาดคิด ว่าหลวงปู่จะทิ้งพวกเราไปเร็วเช่นนี้ หลวงปู่ท่านดุและตักเตือนพวกเราว่า

“ให้เร่งภาวนาอย่าประมาท ความตายมันไม่มีสัญญาณเตือน หรือนิมิตหมายบอกเราให้รู้ล่วงหน้า คนแก่ก็ตาย คนหนุ่มก็ตายได้ทั้งนั้น การปฏิบัติธรรมจึงไม่ต้องอ้างเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ แล้วจะรู้จะเห็นเอง”

ทางโรงพยาบาลได้ให้การดูแลรักษาหลวงปู่ อย่างเอาใจใส่ คุณหมอบอกว่าจำเป็นต้องผ่าตัดโดยรีบด่วน แต่จะต้องตรวจให้ละเอียดด้วยเครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กก่อน จึงจะบอกได้ว่าจะผ่าตัดตรงไหน อาจผ่าตัดในคืนนั้นก็ได้ ขอให้พวกเราพูดให้หลวงปู่เข้าใจ จะได้ให้ความร่วมมือกับหมอในการรักษา

หลวงปู่บอกว่า “ภาวนาดูแน่ชัดแล้ว จิตมันบอกว่า ไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าหมอจะผ่าจริงๆ อาตมาก็ไม่ว่าอะไร เชิญตามสบาย”

แล้วท่านก็ยังบอกเป็นนัยๆ พอจับใจความได้ว่า “มันไม่ยอมถอย กำลังต่อรองกันอยู่ มันค่อยๆ อ่อน ทำท่าจะยอมแล้ว” (ท่านหมายถึงวัวที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร)

ผลการตรวจส่องด้วยเครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไม่พบจุดที่เส้นเลือดแตก จึงยังผ่าตัดไม่ได้ แต่ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะหลวงปู่อายุมากแล้ว เส้นเลือดเปราะ อาจจะแตกอีกเมื่อไรก็ได้

ทางคุณหมอจึงแนะนำให้หลวงปู่นอนนิ่งๆ รอดูอาการสัก ๒ สัปดาห์ แล้วจึงจะตรวจซ้ำครั้งที่ ๒ ได้ หลวงปู่อาการค่อยดีขึ้น ท่านมีสติดีอยู่ตลอดเวลา แต่มีสายยางฟอกอากาศสอดเข้าไปในหลอดลม หลวงปู่จึงพูดไม่ได้ ได้แต่ขยับมือทำท่าคล้ายบอกว่า

“ไม่ต้องห่วง อาตมาตัดหมดแล้ว ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา”

พวกเราพยายามไม่บอกให้ใครรู้ เพราะไม่อยากให้คนไปเยี่ยมมาก เนื่องจากหลวงปู่อยู่ในสภาพที่ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย เฉพาะเชื้อโรคในโรงพยาบาล ก็มีมากอยู่แล้ว แถมดื้อยาด้วย จึงไม่อยากให้ใครต่อใครนำเชื้อจากข้างนอกไปเพิ่มอีก เอาไว้หลวงปู่ปลอดภัยแล้วค่อยไปกราบเยี่ยม

ครูบาวีระโชติ กับ คุณนักรบ ศิษย์ของหลวงปู่รับหน้าที่อยู่โยงเฝ้าอาการหลวงปู่ทุกวัน คนอื่นๆ แวะเวียนกันมาเยี่ยม ผมกับคุณเทียมศักดิ์ ไปเยี่ยมทุกบ่ายในสัปดาห์แรก พอสัปดาห์ที่สองก็ไปบ้างหยุดบ้าง เพราะหลวงปู่แสดงอาการว่าค่อยยังชั่วขึ้น

ตอนหลังปรากฏว่าหลวงปู่ทรุดลง รู้สึกเหนื่อยอ่อน หายใจหอบ หมอพบว่าปอดของท่านมีอาการติดเชื้อ ได้ย้ายเข้าไปรักษาในห้อง ไอ.ซี.ยู ให้การดูแลเป็นพิเศษ

ถึงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ หลวงปู่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงช่วงเย็นวันที่ ๑๓ ดูหลวงปู่หายใจหอบมาก หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละ ๒ คน ผมกับเทียมศักดิ์ ยืนอยู่คนละข้างเตียง หลวงปู่ท่านหายใจหอบ แต่ผิวพรรณท่านสดใสมาก

หลวงปู่ยกมือขึ้นประนม ทำปากหมุบหมิบคล้ายบริกรรมคาถาหรือสวดมนต์ แล้วกราบ ๓ ครั้ง เอามือลงไว้บนหน้าอก เทียมศักดิ์กับผมได้แต่ยกมือประณมขึ้นตาม เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น

ตอนหลัง คุณฐาปวีร์ หรือตะวัน บอกว่า เธอโผล่เข้าประตูไปเห็นเราสองคนยืนประณมมืออยู่คนละข้างเตียง หลวงปู่ยกผ้าไตรคล้ายกับกำลังจะถวายใคร

รูปภาพ
หลวงปู่โง่น โสรโย


พอพวกเราออกมา คุณตะวัน ก็เข้าไป ถามหลวงปู่ว่ามีพระมาใช่ไหม ? หลวงปู่แสดงอาการตอบรับว่าใช่ และได้ความว่า ท่านหลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร มาเยี่ยม

พวกเราเข้าไปครั้งที่สอง เข้าไปล้อมเตียงหลวงปู่อยู่ ๔-๕ คน พยาบาลก็ไม่ห้าม (เพราะพวกเราดื้อ) หลวงปู่ทำท่าขอกระดาษ ปากกา เทียมศักดิ์ได้ฉีกกระดาษเปล่าที่อยู่แผ่นสุดท้ายในแฟ้มคนไข้ส่งให้ ใช้แฟ้มคนไข้เป็นที่รองเขียน หลวงปู่รับปากกาเขียนขยุกขยิกลงไป มีอยู่กลุ่มหนึ่งอ่านได้ชัดเจนว่า “เผาศพ” เทียมศักดิ์ ตกใจแต่ไม่กล้าบอกพวกน้องๆ ที่อยู่ที่นั่น กลัวพวกเราจะเสียกำลังใจ

พอ ๖ โมงเย็น หมดเวลาเยี่ยม พวกเราก็กราบลาหลวงปู่ ออกมานอกห้อง มีลูกศิษย์-ลูกหลานไปเฝ้าหลวงปู่เย็นนั้นสัก ๑๐ คนเห็นจะได้ แต่ละคนพอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง แต่ละคนนิ่งเงียบ ยังรอนอกห้องไม่ยอมกลับ ผมได้บอกกับคณะว่า ขอทุกคนอย่าได้เศร้าโศกหรือหมดกำลังใจ เราสวดมนต์ และหลวงปู่ก็พร่ำสอนว่า การเจ็บการตายเป็นของธรรมดา ไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด และท่านยังพูดเสมอว่า

“พวกขี้แย น้ำตาไหล ซะ ซะ พระพุทธองค์ไม่ขนไปพระนิพพานด้วยหรอก”

ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้กับพยาบาล แล้วพวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับ ผมย้ำกับหมู่พวกเราว่า

“ทำใจให้สบาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาหลวงปู่กำลังแสดงให้เราดูแล้ว ขอให้กลับไปพิจารณาให้เห็นชัด”


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๘๕
ถวายการสรงน้ำและนิมนต์หลวงปู่กลับร้อยเอ็ด


รูปภาพ
พิธีถวายน้ำสรงที่โรงพยาบาลประสาทพญาไท


หลวงปู่เพ็ง เป็นพระกรรมฐานที่มีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว พูดตรง ทำจริง ท่านเคยส่งว่า

“อย่าเอาศพอาตมาไว้เป็นเครื่องมือหากินเด้อ ให้เผาภายใน ๓ วัน ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องนิมนต์พระสวดให้อาตมา ถ้าสวดก็สวดให้พวกสูที่ยังอยู่ก็แล้วกัน”

วันพุธที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เวลาใกล้ๆ จะถึง ๔ ทุ่ม ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณสุรสิทธิ์ เวียงอินทร์ ลูกชายของหลวงปู่ บอกว่าทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่า หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว น่าจะเป็นเวลา ๒๑.๒๕ น. แล้วพวกเราก็ส่งข่าวถึงกัน และนัดแนะไปพบกันที่โรงพยาบาลในตอนเช้า ผมโทรศัพท์ไปหาคุณเทียมศักดิ์-คุณสมทรง ทั้งสองคนจะไปประสานงานที่โรงพยาบาลแต่เช้า ส่วนผมขอจัดการธุระบางอย่างก่อนจะไปถึงโรงพยาบาลประมาณ ๙.๐๐ น.

เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ คณะศิษย์ไปพร้อมกันที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาล มีพระสงฆ์ ๒ องค์ คือ ครูบาวีระโชติ กับ ครูบาสมัคร นอกนั้นเป็นฆราวาสจำนวน ๑๐ กว่าคน

มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคอยช่วยเหลือ ๓ คน คนที่ ๑ ขอให้ไปติดต่อขอใบมรณบัตรที่อำเภอ คนที่สอง ช่วยจัดการติดต่อรถและโลง คนที่สาม จัดการเรื่องการกราบขอขมาและถวายน้ำสรงหลวงปู่

พวกเราช่วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลฉีดยากันเน่า ห่มจีวรถวายหลวงปู่ จัดให้ท่านนอนบนเตียงเข็น จัดตั้งกระถางธูปเทียน ทำพิธีขอขมา แล้วจัดถวายน้ำสรงในบริเวณห้องเก็บศพนั้นเอง ถวายน้ำสรงเสร็จทุกคนแล้วก็อัญเชิญท่านลงในโลงที่ทางโรงพยาบาลสั่งมาให้

ประมาณ ๑๑.๐๐ น. เมื่อรถพร้อม พิธีสรงน้ำเสร็จ ได้รับใบมรณบัตรจากอำเภอเรียบร้อย ก็เคลื่อนรถนิมนต์หลวงปู่กลับจังหวัดร้อยเอ็ด มีครูบาวีระโชติ ครูบาสมัคร และคุณนักรบ ศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่ ติดตามไปกับรถ ส่วนเทียมศักดิ์กับผมขับรถตามไปทีหลัง เพราะต้องจัดการธุระบางอย่างก่อน

ในใบมรณบัตรระบุว่า หลวงปู่มรณภาพเนื่องจาก “ปอดไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศ”

เป็นอันว่าท่านพระครูสิริหรรษาภิบาล (หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม) ได้ละสังขารที่สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลประสาทพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๕ เวลา ๒๑.๒๕ น.

สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี ๖ เดือน ๗ วัน พรรษา ๓๖ (เฉพาะการบวชครั้งที่สอง)


๘๖
กำหนดการบำเพ็ญกุศล


รูปภาพ
พิธีถวายน้ำสรงที่วัดป่าสามัคคีธรรม


หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ท่านไม่ใช่พระดัง ท่านพูดให้ฟังว่า “พระก็เหมือนกบ ตัวไหนร้องเสียงดังคนยิ่งชอบ เพราะตัวมันโต เรียกให้คนไปเสาะหา แล้วก็ตายเพราะเสียงร้องของมัน”

หลวงปู่ถือคติดังกล่าวเป็นเครื่องเตือนใจท่านเสมอ และพูดด้วยความมั่นใจว่า “ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ต้องง้อ ไม่ต้องอ้อนวอน ใครมีบุญใครสนใจ ก็เข้ามาศึกษา มาปฏิบัติเอาเอง”

เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระง่ายๆ ไม่เน้นพิธีรีตอง การจัดงานศพของท่านจึงต้องให้เรียบง่าย และให้เร็วที่สุด ให้เผาภายใน ๓ วัน

ศพของหลวงปู่เดินทางไปถึงวัดป่าสามัคคีธรรมในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. อัญเชิญไปตั้งบำเพ็ญกุศลในศาลาอเนกประสงค์ของวัด

ผมกับคุณเทียมศักดิ์ ขับรถตามไป ถึงวัดประมาณ ๒๐.๐๐ น. ภายหลังศพหลวงปู่ราว ๑ ชั่วโมง เห็นญาติโยมรออยู่ ๒๐ กว่าคน มีท่านพระครูญาณรัตนากร เจ้าอาวาสวัดป่าทรงธรรม และเจ้าคณะอำเภอโพนทอง ท่านมานั่งเป็นประธานและเป็นแม่งานให้ ทำให้พวกเรามีหลักยึดเกาะในการจัดงานศพหลวงปู่ ทำให้ไม่รู้สึกเคว้งคว้าง

นอกจากนี้ยังมี อาจารย์มหาอดิศักดิ์ จันทกำจร จากยุวพุทธิกสมาคม จังหวัดร้อยเอ็ด มาช่วยอย่างแข็งขันอีกแรงหนึ่ง การดำเนินงานจัดการศพของหลวงปู่ ก็ดูมั่นใจขึ้น

พวกเราจัดการประชุมปรึกษากันถึงการดำเนินงานบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่ทันที โดยมีท่านพระครูญาณรัตนากร เป็นประธานในที่นั้น ผู้ร่วมประชุม ได้แก่ ครูบาวีระโชติ ครูบาสมัคร พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ ตัวแทนญาติโยมจากวัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ ตัวแทนญาติโยมจากวัดป่าสิริปุณโณ บ้านฝาง มีคุณสำราญ-คุณวิไลจิต สุ่มมาตย์ ตัวแทนลูกหลานหลวงปู่ มีผมกับเทียมศักดิ์เป็นตัวแทนศิษย์จากกรุงเทพฯ และอาจารย์มหาอดิศักดิ์ จากยุวพุทธิกสมาคมร้อยเอ็ด

พวกเรายึดคำสั่งของหลวงปู่ว่าให้เผา ไม่ให้เก็บร่างท่านไว้ แต่เผาใน ๓ วันนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะกะทันหันเกินไป น่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อให้ศิษย์ที่อยู่ไกลๆ มาร่วมได้

เมื่อดูตามปฏิทินแล้ววันเสาร์ที่ ๙-อาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๕ น่าจะเป็นช่วงที่เร็วที่สุดพอจะทำได้ จัดเร็วกว่านั้นพวกเราติดธุระ ท่านพระครูต้องเดินทางไปจังหวัดอื่น ส่วนผมเองติดภาระต้องพาพรรคพวกไปทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงปู่มั่น ที่วัดป่าพระอาจารย์มั่น บ้านแม่กอยอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

พวกเราตกลงกันจะขอพระราชทานเพลิงด้วย โดยท่านพระครูญาณรัตนากร เป็นผู้ดำเนินเรื่องไปจากจังหวัดร้อยเอ็ด แล้วให้ผมไปจัดการต่อที่กรมการศาสนา และแน่นอนเรื่องการจัดทำหนังสือที่ระลึกก็มอบให้ผมรับเอาไป

รูปภาพ

เราตกลงเรื่องกำหนดการ ดังนี้

๑๔ กุมภาพันธ์-๙ มีนาคม ๒๕๔๕ : ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม
เวลา ๑๙.๐๐ น. สวดพระอภิธรรมทุกคืน

พุธที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ : ทำบุญครบรอบ ๗ วัน

เสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๕ : พิธีพระราชทานเพลิงศพ

อาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๕ : พิธีเก็บและฉลองอัฐิ

เมื่อทราบกำหนดการที่ชัดเจน และแบ่งหน้าที่กันแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนหลับนอน


๘๗
หลวงปู่สั่งอะไรและเตรียมอะไรเกี่ยวกับงานศพของท่าน


แน่นอน หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ท่านจากพวกเราไป ย่อมเป็นที่ห่วงหาอาลัยแก่บรรดาศิษย์ และผู้ที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน ท่านเน้นย้ำให้พิจารณาทุกอย่างให้เป็นธรรมะให้เห็นว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องนำมาเศร้าโศกเสียใจ

หลวงปู่พูดเสมอว่า “คนขี้แย ร้องไห้น้ำตาไหล ซะ ซะ พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาไปนิพพานดอก”

เรื่องจัดการศพ ท่านพูดบ่อยว่าให้เผาให้เร็ว ใน ๓ วันทำง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องสวดให้ท่าน ถ้าจะสวดให้สวดเพื่อเตือนคนอยู่ ที่สำคัญไม่ให้เก็บร่างท่านไว้ เพื่อเป็นเครื่องมือหาเงิน หรือเพื่อดึงคนเข้าวัด

ท่านบอกว่า แม้สรีระของพระพุทธองค์ท่านยังให้เผาภายใน ๗ วัน ร่างกายที่ไม่เน่าไม่เปื่อยจะมีหรือ ? ธรรมชาติของร่างกายต้องผุพังสลายไป มีดวงจิตเท่านั้นเป็นตัวอมตะ คือไม่รู้จักตาย

หลวงปู่ เตรียมโลงศพของท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านสิ้นลงให้ไปถามเอาที่วัดเทิงเสาหิน ผมได้โทรศัพท์สอบถามไป ท่านหลวงปู่พรหม ได้ให้ญาติโยมนำมาให้ตั้งแต่เช้าวันศุกร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ทันการสวดพระอภิธรรมในวันแรก

หลวงปู่ ได้เตรียมที่ดินไว้หนึ่งแปลง เนื้อที่ประมาณ ๔ งาน ไว้ตรงมุมด้านขวามือทางเข้าวัด เกลี่ยที่ไว้เรียบร้อยสำหรับเป็นที่เผาศพของท่าน

ในบริเวณเดียวกัน ได้เริ่มก่อสร้างศาลาชั้นเดียว ๑ หลังเทพื้นและขึ้นโครงหลังคาไว้แล้ว เตรียมไว้ให้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์บริขารของท่าน และบอกฝากคุณฐาปวีร์ หรือคุณตะวัน ว่าให้ทาสีเขียว

หลวงปู่บอกไว้กับครูบาวีระโชติ ว่าท่านต้องการทำบุญด้วยผ้าไตรจีวรจำนวน ๑๐๐ ชุด พวกเราได้เตรียมจัดถวายในวันพระราชทานเพลิงศพของท่านไว้เรียบร้อยแล้ว

เรื่องที่ดินเนื้อที่ ๑๒ ไร่เศษ ที่อยู่ติดด้านหลังศาลาท่านต้องการให้ซื้อไว้ เพื่อทำเป็นเขตที่พักสำหรับพระสงฆ์ หลังจัดการพระราชทานเพลิงศพท่านแล้วคงจะได้เริ่มดำเนินการ

อีกเรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนโดยตรง คือ การทำหนังสือที่ระลึกของท่าน อยากให้มีประวัติของ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ บิดาของท่าน ไว้ด้านหน้าด้วย

คณะศิษย์คงจะได้ร่วมกันจัดทำทุกอย่างตามเจตจำนงของหลวงปู่ให้ลุล่วงด้วยดี

ที่หลวงปู่เน้นย้ำที่สุดคือให้ภาวนาอย่างจริงจัง อย่ามัวทำเล่นๆ เพราะ “ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล พวกสูก็ยังไม่เอาจริง พระพุทธเจ้าชวนไปพระนิพพานก็ยังไม่อยากไป มาชาตินี้ยังทำเล่นๆ อีกก็ตามใจ อาตมาไม่รอแล้ว”


มีต่อ >>>>>

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่แว่น ธนปาโล


๘๘
พลังจิตเปี่ยมด้วยเมตตา


ในตอนนี้เป็นตอนสุดท้าย ซึ่งจะปิดต้นฉบับมอบให้โรงพิมพ์ ไม่สามารถยืดเวลาไปได้อีกแม้แต่วันเดียว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันแจกในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ วันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๕

ด้วยความบังเอิญและความลงตัวอย่างพอดี เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ผู้เขียนทำหนังสือพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒

คราวนั้นหลวงปู่แว่น ธนปาโล มรณภาพเมื่ออายุ ๘๘ ปี หนังสือที่ระลึกของท่านก็จบตอนที่ ๘๘ พอดี และครั้งนี้เขียนด้วยผู้เขียนคนเดียวกัน ทำหนังสือที่ระลึกหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม วัดป่าสามัคคีธรรม อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านมรณภาพเมื่ออายุย่างเข้าปีที่ ๘๘ ประวัติของท่านก็จบในตอนที่ ๘๘ เช่นเดียวกัน

ก่อนปิดต้นฉบับ ผู้เขียนได้รับข้อเขียนจาก คุณวัฒนา ฉั่วชื่นสุข ลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ได้เขียนถึงหลวงปู่ ในชื่อเรื่องว่า “พลังจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา” จึงได้นำมาลงเป็นตอนที่ ๘๘ ตอนสุดท้ายเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ ดังนี้


พลังจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา
ของหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม อายุ ๘๘ ปี


ใครจะคาดเดาได้ว่า ชีวิตที่แสนจะประเสริฐด้วยเมตตาของหลวงปู่ ได้ดับมอดไปแล้วจริง ในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

การละสังขารของหลวงปู่ ผู้เปรียบเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้ใฝ่ธรรม ได้จากพวกเราไปอย่างถาวร เหลือไว้แต่คำสอน เพื่อนำไปปฏิบัติจนหลุดพ้นภพชาติให้ได้ สมกับที่หลวงปู่พูดไว้เสมอๆ ว่า “จะมัวชักช้าอยู่ทำไม เวลาไม่คอยท่า มุ่งปฏิบัติให้มันจริงจังก็เข้าสู่กระแสธรรมได้ทุกๆ คน”

ดิฉัน นางวัฒนา ฉั่วชื่นสุข ได้เข้าปฏิบัติกับหลวงปู่ด้วยความบังเอิญ เนื่องจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้าศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ให้ไปดำเนินการขออนุญาตใช้สถานที่ ที่เป็นอาคารที่ทำการของสภาตำบลเก่าหลังหนึ่ง ที่ว่างอยูเพื่อใช้ในการสอนวิชาชีพระยะสั้น และเป็นที่พบกลุ่มของนักศึกษาสายสามัญ ชั้น ม.ต้น และ ม.ปลาย

การเข้าไปครั้งแรกที่วัดเทิงเสาหิน ดิฉันรู้สึกกลัวสถานที่มาก เนื่องจากมีอาณาเขตกว้างถึง ๘๐ ไร่ ถึงแม้จะห่างจากตลาดอำภอเทิงไม่มากนัก ถ้าจะพูดว่าวัดเทิงเสาหินเป็นป่าที่เกิดอยู่เกือบกลางเมืองก็น่าจะได้

ในบริเวณวัด มีโบราณสถานเก่าแก่ อายุเป็นพันปีและวิหารที่ก่อสร้างใหม่ มีพระพุทธรูปปางสิงห์หนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (หน้าตักกว้าง ๙ เมตร สูง ๙ เมตร) หลวงปู่บอกว่าในการสร้างนั้น มีญาติโยมส่งเงินมาทำบุญจากคนทั่วโลกก็น่าจะพูดได้ ดิฉันมองดูด้วยความรู้สึกศรัทธาเป็นอย่างมาก

ในวันที่เข้าไปกราบขออนุญาต หลวงปู่ก็เมตตาอนุญาตให้ใช้สถานที่ได้ตามต้องการ และบอกให้จัดการปฏิบัติธรรมไปด้วย เพราะที่วัดนี้มีพระนักปฏิบัติอันเยอะ เพียงแต่ประชาชนในเขตนี้ไม่ค่อยสนใจและไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยราชการ

การดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนฯ จึงเกิดขึ้น และหลวงปู่ได้มอบหมายให้แม่ชีเพชรัตน์ เข้ามาช่วยเหลืออำนวยความสะดวก เมื่อเริ่มดำเนินการก็ได้ขยายพื้นที่ออกมาอีก ใช้ใต้ถุนศาลาที่ครอบพระประธานนั้น โดยปรับปรุงให้เป็นสถานที่สอนนักศึกษา กศน. ทำการเปิดสอนนักเรียนทั่วทุกตำบล หมู่บ้านในเขตอำเภอเทิง พร้อมกับการจัดปฏิบัติธรรม โดยมีหลวงปู่เป็นประธานเปิดเป็น “ศูนย์ปฏิบัติธรรมหลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม” ขึ้นในเดือนมิถุนายน ๒๕๓๙ นับจำนวนผู้เข้าอบรม เฉพาะอบรมธรรมได้ ๖๒๘ คน

รูปภาพ

พอย่างเข้าเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๙ ซึ่งดิฉันจำได้ว่าเป็นวันที่ ๗ ก.ค. ๓๙ ดิฉันมีอาการปวดศีรษะอย่างมากทางซีกซ้าย ปวดมากจนมือเล็บเขียวไปหมด

สาเหตุมาจากไปงานศพเพื่อนครูที่ตายด้วยโรคเอดส์ ดิฉันไปถึงบ้านศพก็ได้กลิ่นสาบของศพมาก แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่มีใครได้กลิ่น ดิฉันก็อดทน เพราะคิดว่าคงอยู่ไม่นาน

แต่อาการที่ทำให้ตกใจคือ ตาข้างขวาเริ่มพร่ามัวมองเห็นอะไรไม่ชัด จึงขอให้สามี คือ อ.วิเชียร ช่วยขับรถไปหาหลวงปู่ที่วัด แต่หลวงปู่มีกิจนิมนต์ที่ กทม. ก็เลยไปที่กุฏิแม่ชี ที่อยู่ด้านหลังวัด ขอยาแก้ปวดทานไป ๒ ครั้งๆ ละ ๒ เม็ด อาการทุเลา จึงไปพบแพทย์ประจำตัว แพทย์ลงความเห็นว่าดิฉันทำงานมาก คิดมาก เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดไปเลี้ยงไม่พอ จึงฉีดยานอนหลับให้ กลับมานอนพักที่บ้าน

๘ ก.ค. ๓๙ ดิฉันรู้สึกมึนงงมาก แต่ก็ลุกจะไปทำงาน จึงได้รับประทานอาหาร พอกลืนอาหารก็รู้สึกว่าไม่สามารถกลืนลงได้ ข้าวติดอยู่ที่คอต้องค่อยๆ ตั้งสติ ล้วงเอาอาหารออกมา และรู้สึกถึงความผิดปกติครั้งใหญ่ และมีอาการชาที่ปลายนิ้วมือด้านขวา ลามถึงแขน ใบหน้าหยิกไม่เจ็บ ดิฉันรู้ได้ทันทีว่าต้องรีบปฐมพยาบาล ด้วยการใช้ยาหม่องนวดถูไปตามจุดที่คิดว่าสามารถคลายเส้นนั้นได้

๙ ก.ค. ๓๙ ดิฉันปรึกษากับสามีว่า ระหว่างโรงพยาบาลกับวัดหลวงปู่ จะไปทางไหน ในที่สุดก็ไปวัด กราบเรียนหลวงปู่ถึงอากาป่วยของดิฉัน ซึ่งในเวลานั้นดิฉันไม่ได้ทานอาหาร ๓ วันแล้ว แม้แต่น้ำก็ต้องค่อยๆ จิบ เหมือนนกกระจิบกระจอก

หลวงปู่ ได้จัดที่พักบริเวณใต้ถุนวิหารให้อยู่พักกับแม่ชี ๑ รูป ดิฉันได้พักอยู่ที่วัด ๒๐ วันอาการทรุดลงไปมาก เนื่องจากไม่ได้กินอาหาร ต้องทุกข์ทรมานกับเวทนา คือ หิว และปวดหัว และคอยนวดร่างกายทางซีกขวาไว้ เพราะกลัวเป็นอัมพาต

จนในที่สุด สามี คือ อ.วิเชียร ต้องลาบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขอละเว้นชีวิต และดิฉันก็ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงราย ในวันที่สามีบวชพอดี ช่วงนั้นหลวงปู่ติดกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ นานหลายวัน ในขณะที่ความรู้สึกเริ่มเลือนลางแทบจำอะไรไม่ได้ เพราะร่างกายเพลียมาก แม่ชีได้กรุณาอนุเคราะห์โทรบอกหลวงปู่ ท่านรีบบินกลับมาเยี่ยมดิฉันที่โรงพยาบาลเชียงรายทันที ดิฉันจำได้ว่าเป็นเวลา ๑ ทุ่มตรง

ความเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อศิษย์อย่างดิฉันหาที่เปรียบไม่ได้ ท่านบอกให้ดิฉันดื่มน้ำ ๑ แก้วเต็มๆ ดิฉันไม่กล้าดื่ม เพราะกลัวติดคอ หลวงปู่ก็บอกว่าให้ดื่มเสีย จะได้บรรเทาอาการป่วย ดิฉันตัดสินใจดื่มพรวดเดียวเกลี้ยง เป็นที่แปลกใจแก่ทุกคนที่อยู่ที่นั้นว่าทำไมดิฉันจึงดื่มได้ ทั้งๆ ที่ดื่มและกินอะไรไม่ได้นานถึง ๒๐ วัน

ดิฉันนอนรักษาตัวอยู่ ๗ วัน หมอก็เพียงแต่ให้น้ำเกลือ และในวันที่ ๗ นั้น หมอ ๒ ท่าน ตัดสินใจจะสอดกล้องส่องเข้าไปดูในลำคอเพราะสงสัยว่าจะมีก้อนเนื้อร้าย ต้องวางยาสลบด้วย แต่แพทย์ก็ยังไม่กล้าทำ เพราะร่างกายดิฉันอ่อนเพลียมาก การวางยาสลบจะเป็นอันตราย

รูปภาพ

ดิฉันนอนฟังหมออธิบาย และคิดว่าในเมื่อเราจะตายขอไปตายที่วัดกับหลวงปู่ดีกว่า จึงตัดสินใจขอออกจากโรงพยาบาลในขณะที่ร่างกายแย่ที่สุด ได้เหมารถกลับไปอำเภอเทิง

เมื่อถึงวัด ตรงขึ้นไปกราบหลวงปู่ บอกว่าทนไม่ไหวแล้ว ขอมาตายที่วัดหลวงปู่ดีกว่า หลวงปู่ก็เมตตาจัดให้ไปพักที่เดิม ให้แม่ชีมาคอยดูแล

หลวงปู่สอนให้ทำสมาธิภาวนา ดูลมหายใจเข้าออก ตรวจดูกายของตนเป็นที่ตั้ง เพียงแต่ให้คิดว่า คนเราตราบใดที่มีลมหายใจเข้า-ออก ถือว่าชีวิตนั้นยังดำเนินอยู่ ถ้าไม่มีลมเข้า-ออกในกายนี้ก็คือตาย ท่านจึงให้ตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ

ดิฉันเล่ามาถึงตรงนี้ คนทั่วไปคิดว่าง่ายมากแค่หายใจเข้า-ออกทำไมจะทำไม่ได้ แต่ขณะนั้นดิฉันป่วยหนักจวนจะตายก็ว่าได้ มันทำไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ดิฉันได้สร้างกรรมมามาก เคยฆ่างูใหญ่ตาย เคยทำงานในสถานที่รับทำแท้ง (ถูกกฎหมาย) และทำมามาก วิบากกรรมจึงตามสนองอย่างรุนแรง รวมเวลาป่วยหนักถึง ๘ เดือน

แต่ด้วยอำนาจเมตตาจากหลวงปู่ ท่านเห็นคุณค่าแก่ทุกชีวิตที่มาขอพึ่งบารมี ท่านแผ่พลังแห่งความเมตตาช่วยรักษา ช่วยชุบชีวิตคืนให้แก่ติฉัน ทั้งๆ ที่ดิฉันนอนหมดลมหายใจไปแล้ว ให้ได้มีชีวิตกลับคืนมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ธรรมะเพียงสั้นๆ ที่ท่านให้นำไปพิจารณาในสมาธิทำให้เห็นตามความเป็นจริง และรอดพ้นจากความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์

หลังจากดิฉันหายจากการเจ็บป่วยแล้ว ดิฉันได้ติดตามหลวงปู่มาตลอด ตามมาอยู่ปฏิบัติภาวนาที่วัดของท่านที่ร้อยเอ็ด จนถึงทุกวันนี้

ธรรมะและเมตตาจากหลวงปู่ นำพาชีวิตของดิฉันและครอบครัวให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมมาได้ หลวงปู่สอนให้ “ละชอบ-ละชัง” ทำใจให้เป็นกลาง หมั่นฝึกสมาธิภาวนา ให้รู้จักพิจารณาอารมณ์ของตนเอง ว่าอารมณ์ใดเป็นอารมณ์เจ้าเรือน ก็ให้จี้พิจารณาละออกให้ได้ จนพบความสว่างของดวงจิต ก็จะสามารถก้าวไปสู่มรรค ผล นิพพานตามกำลังของตนเอง

ณ เวลานี้ ไม่มีร่างกายสังขารของหลวงปู่ที่จะคอยสอนคอยเตือน แต่ธรรมะที่หลวงปู่เคยสอนลูกหลานไว้ จะเป็นพลังชีวิตทางดำเนินชีวิตของศิษย์ไปตลอด ขอกราบแทบเท้าระลึกถึงหลวงปู่ตลอดไป

ด้วยความรักและศรัทธาสุดหัวใจ
จากศิษย์ - วัฒนา ฉั่วชื่นสุข

เป็นอันว่าประวัติและปฏิปทาของหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม จบลงในตอนที่ ๘๘ เท่าอายุของหลวงปู่พอดี หากมีข้อผิดพลาดพลั้งไปประการใด ผู้เขียนกราบเท้าขอขมาต่อหลวงปู่ กราบขอขมาผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน และขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยใจเคารพ

ปฐม นิคมานนท์
๖ มีนาคม ๒๕๔๕




.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
หนังสือที่ระลึกงานฉลองเจดีย์พิพิธภัณฑ์สองหลวงปู่
วัดป่าสามัคคีธรรม ตำบลนาโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์ เรียบเรียง

http://www.dharma-gateway.com/

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
...:b44: :b44: :b44:...

:b42: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
นะโม ข้าจะไหว้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโน ฯ

:b42: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
นะโม ข้าจะไหว้พระธรรมเจ้า ของพระพุทธองค์
เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโน ฯ

:b42: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
นะโม ข้าจะไหว้พระสังฆเจ้า ของพระพุทธองค์
เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโนติ ฯ

สาธุ สาธุ สาธุ
กราบ กราบ กราบ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร