ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44395 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 22 ม.ค. 2013, 15:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง |
ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ประวัติทั่วไป หลวงพ่อกัสสปมุนี เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๒ ที่กรุงเทพมหานคร ท่านมีนามก่อนบวชว่า ประจงวาศ ต่อมาเปลี่ยนเป็น ประยุทธิ วรวุธิ นามสกุล อาภรณ์สิริ โยมบิดาชื่อ พระพาหิรรัชฏ์พิบูลย์ (ประวัติ อาภรณ์สิริ) โยมมารดาชื่อ นางพาหิรรัชฏพิบูลย์ (เผื่อน อาภรณ์สิริ) พี่น้องหลวงพ่อทั้งหมดรวมหลวงพ่อด้วยมี ๓ คน พี่ชายหลวงพ่อชื่อ ประไพวงศ์ คล้องจองกับชื่อประจงวาศ น้องชายคนกลางคือหลวงพ่อ และประสาทศิลป์ เป็นคนสุดท้าย ทั้งสิ้นเป็นชายล้วน (ทุกท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว น้องชายคนเล็กสิ้นชีวิตไปหลังจากหลวงพ่อถึงแก่มรณภาพเพียง ๑ ปี) สมัยเป็นฆราวาส ท่านได้สมรสกับนางประชุมศรี อาภรณ์สิริ มีบุตรชาย ๒ คน บุตรหญิง ๒ คน หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า คุณปู่ของท่าน คือพระยาภูษามาลา (ผู้พี่) และเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ดำรง (ผู้น้อง) มีถิ่นกำเนิดที่ จ.กำแพงเพชร ได้เข้ามารับใช้ฉลองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ในกองพระภูษามาลาและกองมูรธาภิเษก ในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นสกุล “อาภรณ์สิริ” และ “เพ็ญกุล” ตามลำดับ เนื่องจากสายสกุลของหลวงพ่อ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์อย่างมาก หลวงพ่อจึงมีความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ได้ประดิษฐานไม้แกะสลักเป็นรูปพระองค์ท่านที่หน้ากุฏิหลวงพ่อ เห็นได้จนปัจจุบัน หลวงพ่อท่านมีความสัมพันธ์ทางจิตใจ มีความภักดีในพระองค์ท่านอย่างลึกซึ้ง) องค์รัชทายาทและพระราชวงศ์ทุกพระองค์ หลวงพ่อก็ให้ความจงรักภักดี เทอดทูนเสมอมา ประวัติการศึกษาและการทำงาน การศึกษาของหลวงพ่อเริ่มต้นที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กรุงเทพฯ แต่เล่าเรียนอยู่ไม่นานนัก ก็ได้ย้ายไปที่โรงเรียนอัสสัมชัญ อำเภอบางรัก กรุงเทพฯ หลวงพ่อเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือก จนจบชั้นสูงสุดในสมัยก่อน คือ ชั้นมัธยมปีที่ ๖ หรือชั้นสแตนดาร์ด ๗ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ขณะมีอายุ ๑๙ ปีบริบูรณ์ เมื่อจบชั้นมัธยมบริบูรณ์แล้ว เนื่องจากภาษาอังกฤษของหลวงพ่อดีมาก (ตอนเป็นพระภิกษุ ได้แนะนำ สนทนา วิพากษ์วิจารณ์หลักธรรมทางพุทธศาสนา กับชาวต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่วและลึกซึ้ง) สามารถพูดและเขียนภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว จึงได้ไปสมัครทำงานที่บริษัทวินเซอร์ของชาวอังกฤษ ได้ทำงานอยู่ไม่นานเพียง ๑-๒ สัปดาห์ บิดาท่านทราบในภายหลัง จึงไม่ยินยอมและให้ออกจากงาน แล้วให้ไปสมัครทำงานที่กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง แทน (ผู้เขียนเรียนถามท่านว่าเหตุใดบิดาท่านจึงไม่ยอม ท่านตอบโดยยิ้มๆ ว่า บิดาท่านชาตินิยม อยากให้ช่วยประเทศชาติชาวไทยมากกว่า) หลวงพ่อจึงเข้ารับราชการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้น คือ พระยาไชยยศสมบัติ และเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ในภายหลังถัดมา - ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงพ่อรับราชการเริ่มต้นอัตราตำแหน่งเสมียนโท เงินเดือน ๓๐ บาท (สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๑ ชามใหญ่ ราคา ๑๐ สตางค์) เกี่ยวกับงานติดตามรายวันของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง - ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้ถูกโอนไปรับงานด้านเลขานุการ สำนักงาน ร.ม.ต.กระทรวงการคลัง - พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้เลื่อนตำแหน่งจากเสมียนโท เป็นเสมียน ๓, เสมียนจัตวา สุดท้ายเป็นข้าราชการพลเรือนชั้นตรี โอนไปอยู่กรมสรรพสามิต แผนกกองรายได้ฝิ่น อัตราเงินเดือน ๘๐ บาท - ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ตอนปลายปีจึงถูกโอนไปแผนกสถิติและโต้ตอบจดหมาย กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม - ตอนต้นปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นข้าราชการพลเรือนชั้นโท และเป็นหัวหน้าแผนกสถิติ กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อัตราเงินเดือน ๑๔๐ บาท สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) การอุปสมบท จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๔ ตอนอายุ ๕๒ ปี ท่านมีความเบื่อหน่ายต่อชีวิตฆราวาส และประสบกับความสงบ ความสุข เห็นแจ้งในสภาวสัจจธรรม อันเนื่องจากการปฏิบัติสมาธิ-วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งท่านได้ประพฤติปฏิบัติอย่างขั้นอุกฤษฏ์ ในช่วง ๕ ปีหลังในชีวิตรับราชการ แม้ทางการอนุมัติตำแหน่งรองอธิบดีกระทรวงอุตสาหกรรมให้แล้วก็ตาม ท่านขอลาออกจากราชการก่อนกำหนดการปลดเกษียณอายุถึง ๓ ปี (เกษียณอายุราชการสมัยนั้นใช้เกณฑ์อายุ ๕๕ ปี) อัตราเงินเดือนของท่านขั้นสุดท้าย ๒,๕๐๐ บาท มีอายุราชการ ๓๖ ปีเต็ม เพื่อไม่ให้มีความกังวล และให้การปฏิบัติธรรมต่อเป็นไปอย่างเด็ดขาดจริงจัง และต่อเนื่อง จึงขอรับบำเหน็จเป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งโอนที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ครอบครัวท่านต่อไป หลังจากได้รับอนุมัติการลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๔ แล้ว จึงขออุปสมบทที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ท่าเตียน กรุงเทพฯ โดยมี - สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัตน เจ้าอาวาสวัด เป็นพระอุปัชฌาย์ - พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่ออยู่ในสมณเพศตลอด โดยสมาทานธุดงควัตร ๔ ข้อ คือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ครองจีวรชุดเดียว (จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเก่าหรือชำรุด) เป็นวัตร รับบิณฑบาตเป็นวัตร และอยู่ป่าเป็นวัตร จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพด้วยโรคปอดอักเสบอย่างกระทันหัน (หลวงพ่ออายุมากใกล้จะ ๘๐ ปี เผอิญปีที่หลวงพ่อถึงมรณภาพ ก่อนเข้าพรรษาเพียง ๑ สัปดาห์ ฝนตกอย่างมากขณะรับบิณฑบาต จีวรเปียกโชก มีอาการหนาวสั่น เป็นสาเหตุ) เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ผลงานบางส่วนของหลวงพ่อ ขอย้อนกล่าวไปถึงในระยะเวลาที่หลวงพ่อรับราชการยาวนานถึง ๓๖ ปีเต็ม ใน ๒ กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประสบการณ์มากมาย เป็นที่รักไว้วางใจของผู้บังคับบัญชา และเป็นที่เคารพรักของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างมาก เพราะท่านให้ความเอ็นดู มีเมตตาธรรมและความยุติธรรมแก่เขาอย่างจริงใจ เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่ชอบอ่านหนังสืออย่างมาก โดยเฉพาะหนังสือพระไตรปิฎก (เน้นหนักไปที่พระวินัยและพระสูตร) หลวงพ่อบอกว่าได้อ่านทบทวนไปมาถึง ๓ เที่ยว เนื่องจากสมัยที่หลวงพ่อบวช หนังสือพระไตรปิฎกยังมีการพิมพ์ไม่แพร่หลายนัก พระสูตรที่สำคัญๆ หลวงพ่อต้องคัดออกมาด้วยลายมือเอง โดยความเป็นระเบียบและงดงาม นอกจากพระไตรปิฎกแล้ว หลวงพ่อสนใจอ่านหนังสือเกี่ยวกับพงศาวดารจีน อาทิ สามก๊ก เลียดก๊ก โฮ้วป่า ฯลฯ ส่วนตำราอื่นๆที่สนใจก็มี เช่น พรหมศาสตร์ ทำนายฝัน ลางสังหรณ์ต่างๆ ทำนายไฝ-ฝ้า ตำราโหงวเฮ้ง ฯลฯ นอกจากการอ่านหนังสือดังกล่าวแล้ว หลวงพ่อยังมีความชำนาญในการประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส สมัยที่ยังรับราชการในกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้รับตำแหน่งให้เป็นคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่หนังสือนิตยสาร “อุตสาหกร” ประจำกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย ข้อเขียนของหลวงพ่อมีทั้งเรื่องสั้น เรื่องยาว ลงพิมพ์ในหนังสือนิตยสารประจำกระทรวงและที่อื่นๆ โดยใช้นามปากกาต่างๆ กัน เช่น “เมรุมาส” เกี่ยวกับเรื่องการเมือง “ศรีธรรมาโศก” เกี่ยวกับเรื่องศาสนา และ “เวทางค์” เกี่ยวกับเรื่องความรักโรแมนติก เป็นต้น บทประพันธ์ร้อยกรองของหลวงพ่อ ประกอบด้วยร่าย (สั้นและยาว) โคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ กลอนหก กลอนแปด เป็นต้น โดยเฉพาะโคลงสี่ซึ่งจะแต่งให้ไพเราะได้ยากกว่าโคลงสี่สุภาพ หลวงพ่อมีความเชี่ยวชาญมาก หนังสือที่หลวงพ่อเขียนขณะเป็นบรรพชิตมีหลายเล่ม แต่ละเล่มได้บรรยายถึงความเป็นมา ความตั้งใจจริงจังในการปฏิบัติธรรม ในสถานที่และสถานการณ์ต่างๆ กัน ตลอดจนการได้รับผลจากการปฏิบัติอันแน่วแน่อย่างอุกฤษฏ์ หลายเล่มได้ใช้เป็นปัจจัยให้มีการก่อสร้างอาคารสถานที่ ในระยะเริ่มต้นก่อสร้างวัดปิปผลิวนาราม อาทิ ห้องสมุดเพื่อการศึกษาค้นคว้าขนาดใหญ่ อุโบสถชั่วคราวที่เชิงเขา และหอฉัน เป็นต้น หนังสือที่หลวงพ่อเขียนเรียงตามลำดับก่อนหลังมีดังนี้ - ๖ เดือนบนภูกระดึง - ปัญจมาสในชมพูทวีป - โป๊ยเซียน (ข้อมูลต่างๆ เตรียมไว้ตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว หากยังไม่มีโอกาสเขียน) - กฏและระเบียบของวัด และการปฏิบัติพระกรรมฐาน - สภาวะสังขารธรรม - สัปกปุริสธรรมและสมาธิภาวนาเบื้องต้น - เมื่อข้าพเจ้ามาพบที่ใหม่ “เมื่อข้าพเจ้ามาพบที่ใหม่” เป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ที่หลวงพ่อเขียนก่อนถึงมรณภาพเพียง ๔ ปี ขอแนะนำให้ศิษย์ของหลวงพ่อและผู้ที่สนใจในธรรมะของท่าน โปรดได้อ่านโดยทั่วกัน โดยเฉพาะเรื่องสภาวะสังขารธรรม หลวงพ่อต้องใช้พลังสมาธิและปัญญาอย่างมาก ในการเขียนเรียบเรียงจนสมบูรณ์เป็นรูปเล่ม อาจจะต้องใช้สมาธิในการอ่านถึง ๒-๓ เที่ยว จึงจะได้สัมผัสประสบกับความละเอียดลึกซึ้งในธรรมะแห่งพระพุทธองค์ และรู้สึกถึงความไพเราะนุ่มนวลในเชิงวรรณศิลป์ที่หลวงพ่อได้บรรจงเขียน และประกอบด้วยภาพเปรียบเทียบให้เห็นและเข้าใจได้ง่าย ที่มา http://www.vimokkhadhamma.com/kassapamunee.html |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |