ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
อาจารย์เสถียร โพธินันทะ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44485 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 02 ก.พ. 2013, 13:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | อาจารย์เสถียร โพธินันทะ |
ประวัติและผลงาน อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ผู้ได้รับฉายานาม “ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่” ในบรรดาบุคคลผู้เป็นฆราวาส ที่ได้รับยกย่องว่า เป็นนักปราชญ์แห่งวงการศาสนา นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ หากนับที่คุณสมบัติก็คงไม่มีผู้ใดเป็นเลิศเกินกว่า “อาจารย์เสถียร โพธินันทะ” ด้วยท่านผู้นี้เป็นอุดมบุรุษที่น่าอัศจรรย์ในหลายๆ ด้าน สมบูรณ์พร้อมทั้งความสามารถและสติปัญญา จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็น “ปราชญ์ในวงการศาสนา” และ “ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่” เมื่อมีอายุเพียง ๑๙ ปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีความรู้แตกฉานในสรรพวิทยาการหลายหลาก สามารถอ่านและพูดได้ถึง ๗ ภาษา เป็นคนหนุ่มที่มีปัญญาลึกล้ำดั่งมหาสมุทรจนเป็นที่ยกย่องของบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ยังเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอย่างผู้ที่บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น แม้ว่าท่านจะได้ถึงแก่กรรมไปนานกว่าสี่สิบปีเศษแล้ว แต่เกียรติคุณและผลงานยังคงอยู่เป็นมรดกให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงอยู่เสมอ ประวัติทั่วไป เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ที่บ้านในตรอกอิศรานุภาพ บริเวณตลาดเก่าเยาวราช ใกล้ ๆ กับวัดกันมาตุยาราม บิดาเป็นชาวจีนชื่อ นายตั้งเป็งท้ง มารดาชื่อนางมาลัย กมลมาลย์ มีพี่สาวสองคน ตามประวัติกล่าวว่าเมื่อมารดาตั้งครรภ์อาจารย์เสถียร บิดาก็มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางกลับไปประเทศจีนและได้ถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา ในวัยเด็ก เด็กชายเสถียรใช้นามสกุลว่า “กมลมาลย์” ตามมารดา จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๑ เมื่อมีอายุได้ ๒๐ ปี จึงได้เปลี่ยนนามสกุลตนเองเป็น “โพธินันทะ” อันหมายถึง ผู้ยินดีในความรู้แจ้ง ด้วยประสงค์จะให้ใกล้ชิดกับพระศาสนา และได้ใช้นามสกุลนี้ตลอดมาจนถึงแก่กรรม ด้านการศึกษา ใฝ่ใจทางพระพุทธศาสนาและมีปฏิภาณเป็นเลิศ เมื่อมีอายุพอจะรับการศึกษาได้ มารดาจึงได้นำไปฝากให้เรียน ในโรงเรียนราษฎรเจริญของครูชม เปาโรหิตย์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดจักรวรรดิราชาวาส หลังจากนั้นได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมวัดบพิตรพิมุข จนจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ ๕ จึงได้ลาออก ภายหลังจบชั้นมัธยมปีที่ห้าแล้ว จึงได้เข้าศึกษาภาษาจีนที่โรงเรียนเผยอิง ชั่วเวลาเพียงสองปีก็มีความรู้ภาษาจีนแตกฉาน สามารถใช้ศัพท์สูงๆ ยากๆ ในภาษาจีนกลางได้ดี สามารถอ่านพระไตรปิฎกจีนซึ่งอุดมไปด้วยสำนวนโวหารโบราณที่ลึกซึ้งได้อย่างเข้าใจ ทักษะทางด้านภาษาจีนนี้ถือเป็นอัจฉริยภาพอีกประการหนึ่ง ของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ซึ่ง นายแพทย์ตันม่อเซี้ยง ได้เล่าว่า “เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปแสดงปาฐกถาที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คุณเสถียรได้ทำหน้าที่ล่ามให้ถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรกคุณเสถียรมีอายุเพียง ๑๗ ปีเท่านั้น แต่ก็สามารถถ่ายทอดคำปาฐกถาจากภาษาจีนสู่พากย์ไทยได้อย่างดียิ่ง สามารถแปลได้ถูกต้องและครบถ้วนตามเจตจำนงของข้าพเจ้าทุกกระบวนความ คุณเสถียรได้แสดงความเป็นปราชญ์ให้เป็นที่ปรากฏแก่คนทั้งหลายแต่เยาว์วัยทีเดียว และได้แสดงปาฐกถาด้วยตนเองครั้งแรกที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยเมื่ออายุ ๑๘ ปี” การลาออกทั้งที่มีโอกาสและทุนทรัพย์พอที่จะศึกษาต่อในระดับสูงต่อไปได้นั้น เป็นความประสงค์ของอาจารย์เสถียรเองที่ต้องการความเป็นอิสระ และปรารถนาจะมีเวลาทำการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ที่ต้องการด้วยตนเอง โดยเฉพาะความรู้ทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ประวัติชีวิตในช่วงนี้ นายแพทย์ตันม่อเซี้ยงได้เล่าว่า “คุณเสถียรเริ่มรู้จักกับข้าพเจ้าเมื่ออายุ ๑๕ ปี ครั้งนั้นคุณเสถียรกำลังศึกษาอยู่ ในโรงเรียนวัดบพิตรพิมุข เป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม มีปฏิภาณดีมาก และมีความจำยอดเยี่ยมด้วย ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่คุณเสถียรได้รู้จักคุ้นเคย กับอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ แต่ครั้งยังอุปสมบทอยู่ที่วัดกันมาตุยาราม ซึ่งคุณเสถียรได้ศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทจากอาจารย์ท่านนี้ เพียงระยะเวลาไม่นานก็มีความรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ทั้งนี้ได้จากอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถเป็นเยี่ยมท่านหนึ่ง ประกอบกับสติปัญญาอันเฉียบแหลมของคุณเสถียรเองด้วย” จากคำบอกเล่าของนายแพทย์ตันม่อเซี้ยง ทำให้เราได้ทราบว่าอาจารย์เสถียร โพธินันทะ มีความใฝ่ใจในทางพระศาสนามาแต่เยาว์วัย นอกจากนี้ ยังมีเกร็ดประวัติโดยคุณบุญยง ว่องวานิช อีกว่า “ข้าพเจ้าเคยถามคุณแม่ (คุณมาลัย) ของคุณเสถียรว่า เพราะเหตุไรคุณเสถียรจึงสนใจในพระพุทธศาสนาและเริ่มตั้งแต่อายุเท่าไร ? คุณแม่ตอบว่า สาเหตุนั้นไม่ทราบ แต่สนใจมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่ออายุประมาณ ๓ ขวบ ก็เริ่มนำดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระแล้ว และสนใจศึกษาเรื่อยมา” ในสมัยเด็ก เมื่ออยู่ในที่แวดล้อมเป็นคนจีนเด็กชายเสถียรก็ชอบเล่นแต่งกายเป็นพระจีน การวาดเขียนที่ชอบมากคือเขียนรูปพระพุทธเจ้าและรูปบุคคลประกอบเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา เมื่ออายุได้ ๑๓-๑๔ ปี ก็ชอบท่องเที่ยวไปตามวัดต่างๆ ทั้งวัดจีน วัดญวน และวัดไทย วัดไทยที่ชอบไปคือวัดจักรวรรดิราชาวาส เพื่อไปสนทนา ไต่ถามเรื่องราวต่างๆ ทางศาสนากับพระสงฆ์ โดยเฉพาะวัดจีนและวัดญวนนั้น ชอบไปดูพิธีทิ้งกระจาด การทำกงเต๊ก และการสวดมนต์ ส่วนในด้านความรู้นั้นก็ได้ศึกษาความรู้เรื่องพระพุทธศาสนามหายานจากหนังสือลัทธิของเพื่อน ของเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป แต่ก็รู้จักใช้ถ้อยคำสำนวนได้ถูกต้องตามหลักวิชา ประกอบกับมีความจำเป็นเลิศจึงจดจำเรื่องราวที่อ่านไว้ได้มาก สามารถอธิบายรูปปฏิมาต่างๆ ในวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ได้ถูกต้องและถี่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นการซักถามพระจีนพระญวนที่มีความรู้โดยละเอียดก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้มีความรู้ในเรื่องของจีนและญวนแตกฉานขึ้น ด้านการทำงาน บุคลิกและลักษณะการสอนที่น่าอัศจรรย์ เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ได้ริเริ่มก่อตั้ง คณะยุวพุทธิกะ โดยการรวมตัวของเยาวชนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งจากสถานที่ต่างๆ กัน ทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัย พ่อค้า ข้าราชการ ที่มีความเห็นตรงกันคือสนใจในพระพุทธศาสนา และต่อมาจึงได้จัดตั้งเป็นยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทสำคัญมาจนทุกวันนี้ เกียรติคุณด้านความรอบรู้ในทางวิชาการพระพุทธศาสนาของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ได้แผ่ขยายออกไปสู่สังคม เมื่ออายุได้ ๒๓ ปีจึงได้รับเชิญจากสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ให้ไปเป็นอาจารย์ผู้บรรยายวิชาประวัติศาสตร์พุทธศาสนา และวิชาพุทธศาสนามหายาน เป็นอาจารย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาการศึกษาฯ แต่ก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดียิ่ง ในระหว่างที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์นี้ อาจารย์เสถียรได้เขียนบทความและหนังสือไว้เป็นอันมาก ซึ่งผลงานเหล่านี้มีความสำคัญยิ่งต่อวงการศึกษาพุทธศาสนา ที่ใช้เป็นตำราประกอบการศึกษาค้นคว้าและอ้างอิงมาจนทุกวันนี้ หนังสือเล่มสำคัญๆ ได้แก่ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, พระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย, ปรัชญามหายาน, พุทธศาสนาในอาเซียกลาง และบทความทั้งสั้นและยาวรวมเล่มอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ หนังสือเมธีตะวันออกของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ก็ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นจาก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และมีการพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และผลงานสำคัญที่สุดที่ถือได้ว่าเป็นผลงานอมตะ คืองานแปลพระสูตรฝ่ายมหายานจากภาษาจีน คือ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร และวิมลเกียรตินิทเทศสูตร ซึ่งพระสูตรนี้เป็นพระสูตรสำคัญของมหายานที่ถูกกล่าวว่า “คุณเสถียรได้แปลขึ้นด้วยความวิริยะอุตสาหะ... แต่ก็สามารถถ่ายทอดออกสู่พากย์ไทยเป็นประหนึ่ง แปลจากต้นฉบับภาษาสันสกฤตฉะนั้น นับว่าเป็นความสามารถอย่างยอดเยี่ยมในตัวคุณเสถียร ซึ่งจะหาผู้เสมอเหมือนได้ยาก...” ใครก็ตามที่ได้อ่านย่อมเห็นพ้องต้องกันว่ามีสำนวนโวหารที่ไพเราะ ยังความซาบซึ้งในอรรถรสแห่งภาษาแก่ผู้อ่านได้อย่างดียิ่ง นอกจากหน้าที่ในการเป็นอาจารย์แล้ว อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ยังเป็นนักปาฐกถาอีกด้วย งานสำคัญที่ปฏิบัติตลอดมาคือการแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา และประวัติศาสตร์ และก็เป็นนักปาฐกถาชั้นเยี่ยมที่มีคนนิยมมาก เพราะเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง มีความจำดี ชอบค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งยังชอบขบคิดหรือค้นคว้าเรื่องยากๆ เรื่องอะไรที่เห็นว่าสำคัญพอจะท่องจำไว้ได้ก็ท่องจำไว้ทีเดียว และด้วยมีความรู้หลายภาษาจึงสามารถศึกษาได้กว้างขวางลุ่มลึกกว่าผู้อื่น เป็นที่ถูกอกถูกใจแก่บรรดาปัญญาชนผู้ใฝ่หาความรู้ เมื่อมีประกาศทางหนังสือพิมพ์ว่าอาจารย์เสถียรจะไปพูด ณ ที่ใด ก็จะมีคนติดตามไปฟังแน่นขนัดเสมอจนถึงกับต้องเสริมเก้าอี้หรือไม่ก็ยืนตามระเบียงห้องประชุม งานแสดงปาฐกถานี้เป็นงานที่กระทำต่อเนื่องกว่าสิบปี ทั้งที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และที่พุทธสมาคมอื่นๆ หลายแห่ง รวมถึงตามมหาวิทยาลัย คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้รับเชิญเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ท่านยังได้เป็นผู้บรรยายตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าเด็กและเยาวชนให้ความสนใจกันมาก เนื่องจากท่านรู้จักใช้วิธีการพูดให้เหมาะสมกับวัยวุฒิและคุณวุฒิของผู้ฟัง จึงปรากฏว่าสามารถสื่อสารเข้าถึงกลุ่มคนทุกระดับได้ด้วยดี ความสามารถทางด้านการพูดนี้ต้องถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน แม้เรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องที่ยากและลึกซึ้งอย่างที่สุด แต่ท่านก็สามารถอธิบายขยายความออกมาให้คนทั่วไปได้เข้าใจได้โดยง่าย ในข้อนี้พระนิสิตในชั้นเรียนดูเหมือนจะใกล้ชิดและซาบซึ้งมากที่สุด ดังปรากฏในข้อเขียนไว้อาลัยของพระนิสิตว่า “ทุกๆ วันเสาร์ของสัปดาห์ เราได้สดับวาทะที่น่าฟังของท่านที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผล อลังการไปด้วยปรัชญาเล็กๆ น้อยๆ ในวันเสาร์หนึ่งเราถามท่านว่า “ทำไมอาจารย์จึงเปรื่องปราดนัก อ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษ จีน บาลี ญี่ปุ่น และสันสกฤต” ต่อข้อถามของเรา ทำให้อาจารย์ “พระไตรปิฎกเคลื่อนที่” ยิ้มละไม พร้อมกับพูดออกมาโดยไม่ต้องคิดว่า “ฉันทะตัวเดียวแหละครับ” ถูกล่ะฉันทะตัวเดียว แต่ว่าเมื่อคิดดูแล้ว มันเป็นอิทธิบาทที่ทำให้ท่านผู้นี้กลายเป็นปรัชญาเมธีไปเสียแล้ว พวกเราอยากเรียกท่านว่า “เอนไซโคลปิเดียเคลื่อนที่” มากกว่า เพราะท่านผู้นี้ไม่ใช่รู้เฉพาะเรื่องราวทางศาสนา หากแต่รู้ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ปรัชญา ฯลฯ ด้วย ใครจะโต้มาในเหลี่ยมไหน มุมไหน เป็นต้องจำนนต่อเหตุผลและได้ความกระจ่างกลับไป เข้าในหลักที่ว่า “เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดนั่นเอง” อีกเรื่องหนึ่งที่เล่าขานกันในหมู่พระนิสิต คือในการสอนแต่ละครั้งของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ไม่ปรากฏว่าจะมีเลยสักครั้งเดียวที่ท่านจะนำตำราหรือเอกสารประกอบการสอนเข้าห้องบรรยาย “เมื่อท่านเข้าห้องบรรยาย เรามักจะได้ยินท่านบอกว่า “กลางกระดาษครับ” หรือ “จดต่อ” ทั้งๆ ที่สอนหลายชั้นแต่ก็ไม่เคยฟั่นเฝือ แม้ว่าบางครั้งระยะห่างของการบรรยาย จะห่างกันเป็นสัปดาห์ หรือสองสัปดาห์ แต่ก็สอนต่อได้ทันที ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่ท่านจะพกตำราเข้าไปในห้องบรรยาย หากแต่ออกมาจาก “ตู้คือหทัย” ทั้งสิ้น ลักษณะโดดเด่นโดยสรุป ของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ อาจารย์เสถียร โพธินันทะ เป็นคนดีที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม จากชีวประวัติของท่านมีสิ่งที่น่าศึกษาและควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิตหลายประการ พอจะสรุปได้ดังนี้ ๑) เป็นคนใฝ่ใจในการศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ตั้งแต่วัยเยาว์ท่านเป็นคนรักการอ่าน สนใจสิ่งที่เป็นความรู้ ได้ศึกษาจนมีความแตกฉานหลายภาษา รู้จักคิดและเขียน โดยมีบทความตีพิมพ์ลงนิตยสารธรรมจักษุในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งในขณะนั้นท่านมีอายุเพียง ๑๗ ปี ด้วยความที่เป็นคนรักการอ่าน และชอบซักถามในเรื่องราวที่เป็นสาระความรู้ ทำให้ท่านมีความรู้กว้างขวางและลุ่มลึก จนมีผู้ยกย่องให้เป็นปราชญ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ๒) เป็นคนมีความกตัญญู แม้ว่าอาจารย์เสถียร โพธินันทะ จะมิได้ช่วยมารดาในกิจการร้านค้าเลย คงสนใจแต่เรื่องของศาสนา แต่เมื่อมีรายได้พอสมควรแก่อัตภาพ ก็ได้นำไปมอบให้มารดาเป็นประจำ มารดาของท่านเล่าว่า เมื่อมารดาไม่พอใจหรือว่ากล่าวก็จะไม่โต้เถียงเลย และจะถือโอกาสขอโทษมารดาที่ทำให้ไม่พอใจ ทั้งนี้เป็นผลจากการปฏิบัติตนตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งทำให้มารดามีความอาลัยรักมากเมื่อถึงแก่กรรม ๓) มีจิตใจเมตตากรุณา โดยปกติแล้ว อาจารย์เสถียรจะบริจาคทรัพย์ปล่อยปลาเป็นประจำทุกเดือน ตั้งแต่เล็กมาก็เป็นคนไม่ชอบทำร้ายหรือทารุณสัตว์ ถ้ามีโอกาสก็จะถือศีลกินมังสวิรัตสม่ำเสมอ ในคำสั่งเสียเรื่องงานศพของท่านยังได้สั่งให้ปล่อยนกปล่อยปลาทุกวันจนกว่าจะถึงวันเผา และภัตตาหารที่จะถวายพระให้เป็นภัตตาหารเจ อย่าให้มีของสดคาว ทั้งนี้ก็ด้วยประสงค์จะไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นให้ตกล่วงไปเพราะมรณะกรรมของตน ๔) อารมณ์แจ่มใสเบิกบานอยู่เสมอ พระนิสิตที่ได้เรียนกับท่านกล่าวว่า “ใบหน้าของท่านผู้นี้อิ่มเอิบผ่องใส เราไม่เคยเห็นรอยบึ้งสักครั้งเดียว คราวใดที่ถูกต้อนด้วยคำถามหนักๆ ท่านกลับหัวเราะและตอบออกมาได้อย่างสบายใจ แสดงออกถึงการปล่อยวาง ไม่แปรปรวนไปตามกระแสโลก อันวนเวียนอยู่กับความสุขและความทุกข์ ใครเห็นก็อยากจะมาผูกมิตรด้วยเพราะทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจ ๕) มีปัญญาอันยอดเยี่ยม สามารถอ่านหนังสือเพียงครั้งเดียวแล้วจดจำสาระสำคัญไว้ได้ทั้งหมด จนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่คนทั่วไป มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งคุณบุญยง ว่องวานิช ได้รับการร้องขอจากหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ให้เขียนบทความเกี่ยวกับปราสาทหินพิมาย คุณบุญยงเขียนไปได้ไม่เท่าไรก็ติดขัด เนื่องจากไม่ทราบประวัติดีนัก ครั้นไปค้นตามห้องสมุดก็ไม่พบ เมื่อจนปัญญาจึงได้โทรศัพท์ไปหาอาจารย์เสถียร ท่านก็บอกว่าให้รีบหากระดาษมาจด แล้วก็เล่าประวัติทั้งปี พ.ศ. ตลอดจนชื่อกษัตริย์ผู้สร้างได้ถูกต้องทั้งหมด เหตุการณ์เช่นนี้คนใกล้ชิดท่านมักจะได้ประสบอยู่เสมอๆ ซึ่งคุณบุญยงกล่าวว่า “ความสามารถอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบที่ไหนอีกเลย” ในข้อนี้ท่านศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ก็ได้กล่าวรับรองไว้เช่นเดียวกันว่า “คุณเสถียร โพธินันทะ เป็นบุคคลผู้มีคุณลักษณะพิเศษอย่างยิ่งคนหนึ่งที่ผมได้พบเห็นและรู้จัก คำบรรยายเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาที่ท่านได้กล่าวออกมาแก่เรา มีลักษณะเหมือนภาพถ่ายพระธรรมคัมภีร์ที่ท่านได้อ่านทราบมา ความรู้ที่ท่านได้รับจากพระธรรมคัมภีร์เหล่านั้น ดูเหมือนท่านจะได้ถ่ายภาพประกับเข้ากับจิตใจของท่าน แล้วท่านก็ส่องภาพนั้นๆ ออกมาให้เราเห็นชัดเจนแจ่มใส ลักษณะอย่างนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า PHOTOGRAPHIC MIND อันเป็นคุณลักษณะที่หาได้ยากมาก...” ๖) ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายสมถะ ท่านดำรงตนดังเช่น “ฆราวาสมุนี” คือเป็นฆราวาสผู้บำเพ็ญธรรม มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราฟุ้งเฟ้อ ไม่เคยเห็นผูกนาฬิกาข้อมือ แต่งกายเรียบๆ ปอนๆ แต่สะอาดสะอ้าน เคยมีผู้ถามท่านว่าทำไมไม่แต่งกายให้หรูหราหรือภูมิฐานกว่านี้ ท่านก็ยิ้มน้อยๆ และตอบว่า “ไม่ไหวละครับ ผมไม่ต้องการประชันสังคม เขามีอะไรก็มีไปเถอะ สิ่งใดไม่จำเป็นจริงๆ ผมจะสลัดออกให้หมด แม้ว่าผมจะไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ผมก็ไปชุดนี้ ...ผมเป็นคนประพฤติธรรม เป็นฆราวาสมุนี ขอใช้ชีวิตโดดเดี่ยว และให้วิทยาเป็นทานเรื่อยไป” ๗) เป็นคนเห็นความสำคัญของเวลาในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการปาฐกถาหรือบรรยายในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ท่านจะเป็นคนรักษาเวลาดีมาก จะเข้าบรรยายตรงเวลา และออกเมื่อหมดเวลา ไม่เคยมาสายให้ใครๆ ต้องรอ ถ้ามีเวลาว่างก็ไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะใช้ศึกษาหาความรู้ หรือไม่ก็เรียบเรียงตำรับตำราที่มีคุณค่าได้เป็นจำนวนมาก เวลาแต่ละวันของท่านอุทิศเพื่อทำประโยชน์แก่สังคมและพระศาสนา จะหาเวลาเพื่อความสุขสำราญส่วนตนนั้นน้อยนัก ท่านไม่มีครอบครัว ไม่เที่ยวเตร่ดื่มกินดังเช่นที่คนวัยหนุ่มนิยมกัน จึงมีเวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้มาก ๘) เป็นผู้ปฏิรูปการสอนพระพุทธศาสนา นับว่าอาจารย์เสถียร โพธินันทะ เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของชาติไทย ที่ริเริ่มการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบใหม่ ทำให้เยาวชนหันมาสนใจพระศาสนาอย่างได้ผล สามารถสถาปนาองค์กรฆราวาสที่เข้มแข็งขึ้นมา เพื่อช่วยทำนุบำรุงพระศาสนาได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งท่านมีบทบาทสำคัญยิ่งที่จะผลักดันให้ความสำเร็จบังเกิดขึ้นได้ คุณปรก อัมระนันท์ อดีตนายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยได้เล่าว่า คุณเสถียรเกิดมาในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติ ในระยะที่วิวัฒนาการทางวัตถุเจริญรวดเร็วขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในระยะอันความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิวัติทางการสอนพุทธศาสนารุนแรงขึ้น อย่างไม่เคยมีมาก่อน ในระยะที่ความเลื่อมใสทางศาสนาในหมู่เยาวชนกำลังเสื่อมลง แต่คุณเสถียรสามารถเปลี่ยนทัศนะของคนสมัยใหม่ ที่ได้รับการศึกษาตั้งแต่ชั้นต่ำสุดถึงสูงสุด ให้เข้ามาเป็นพุทธบุตรได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ผลสะท้อนนี้สะเทือนไปทั่วประเทศและแสดงออกในลักษณะต่างๆ กัน เช่น เกิดยุวพุทธิกสมาคมฯ ขึ้นทั่วราชอาณาจักร เกิดการปฏิรูปทางการสอนศาสนา เช่นแบบโรงเรียนวันอาทิตย์ขึ้น เกิดกลุ่มศึกษาพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาต่างๆ ขึ้น เป็นต้น แน่นอนคุณเสถียรมิใช่ผู้เดียวที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้น แต่ก็ยากที่เราจะปฏิเสธได้ว่า ถ้าไม่มีคุณเสถียร สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นมาได้เท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน มรณกรรม วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ได้กลับมาบ้านในเวลา ๒๑.๐๐ น. แล้วอาบน้ำชำระร่างกาย จากนั้นเมื่อเลยเที่ยงคืนไปแล้วจึงได้เข้านอน ถึงวันรุ่งขึ้นในเวลาเช้า เด็กรับใช้ขึ้นไปเรียกเห็นเงียบ ก็ลงมาบอก มารดาเข้าใจว่ายังหลับอยู่จึงออกไปซื้อของนอกบ้าน จนสายราว ๐๘.๐๐ น. กลับมาเห็นยังไม่ตื่นจึงได้ขึ้นไปดูเห็นอาการนอนนิ่ง เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ตกใจ จึงให้หลานชายไปตามแพทย์มาตรวจ แพทย์สันนิษฐานว่าสิ้นลมมาราว ๖-๗ ชั่วโมงแล้ว ลักษณะการถึงแก่กรรมของท่านเหมือนคนนอนหลับธรรมดา หน้าตาเปล่งปลั่งมีรอยยิ้มน้อยๆ ไม่มีร่องรอยว่ามีทุกขเวทนาใดๆ แม้เมื่อนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดจักรวรรดิราชาวาสแล้ว และยังมิได้ปิดฝาในหัวค่ำวันที่ ๑๐ ธันวาคมนั้น ใครๆ ไปเยี่ยมศพก็จะเห็นว่าร่างท่านสมบูรณ์ ยังมีหน้าตาเปล่งปลั่งมีเลือดฝาดเหมือนกับคนนอนหลับ นับได้ว่าจากไปด้วยอาการอันสงบ ต่อมาได้มีการจัดงานพระราชทานเพลิงศพขึ้น ณ วัดเทพศิรินทราวาส รวมสิริอายุได้ ๓๘ ปี ตลอดมาได้ดำรงตนเป็นฆราวาสมุนี ถือพรหมจรรย์ และประพฤติธรรมตราบจนสิ้นอายุขัย. ที่มาของข้อมูลและเอกสารอ้างอิง ๑) ปองพล อิทธิปรัชาบุ. ๒๕๔๖. อาจารย์เสถียร โพธินันทะ บุคคลของพระพุทธศาสนา. http://www.dharma-gateway.com/ubasok/ub ... sok-07.htm ๒) http://th.wikipedia.org/wiki/เสถียร_โพธินันทะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |