วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 19:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

คุณย่าแม่ชีนารี การุณ
อริยสาวิกาผู้มองเห็นธรรม
ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

๏ ชาติกำเนิด

คุณย่าแม่ชีนารี การุณ ถือกำเนิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 ปี พ.ศ. 2419 ณ บ้านคะหุ้ง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โดยเป็นลูกสาวคนกลางในจำนวนพี่น้องสามคน ของนายฮ้อยเซ้งไซ และแม่คำ การุณ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 1 ในพระเถระที่องค์หลวงปู่มั่นส่งมาให้บวชคุณย่า

๏ ศรัทธาออกบวช

คุณย่าชีนารี ได้สมรสกับนายวันดี ซึ่งมีลูกด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 4 คน ชาย 2 คน พอคุณย่าชีนารีอายุครบ 40 ปี ก็มีอารมณ์อย่างบวชโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นท่านได้พบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ

องค์หลวงปู่มั่นได้เดินธุดงค์ไปพักอยู่ใกล้บ้านๆ และได้สอบถามถึงครอบครัวแล้วท่านก็ไป

ท่านจึงขออนุญาตนายวันดีออกบวช นายวันดีให้ข้อแม้ว่าคุณย่าต้องหาภรรยาให้ซัก 3 คน

เมื่อถึงวันบวชนายวันดีมีศรัทธาให้ออกบวชและไม่ยอมเอาเมียที่หาให้ หลวงปู่มั่นท่านทราบด้วยญาณจึงส่งพระมา 3 รูป

คือ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก พร้อมด้วยบริขารมาทำการบวชให้

คุณย่าหลังจากบวชชีแล้วได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านให้อุบาย ให้คุณย่าภาวนา นะโมและพุทโธ

ท่านภาวนาท่านเห็นอดีตชาติขององค์ท่านเองว่าเคยเกิดเป็นชาวรัฐเซีย ไต้หวัน กษัตริย์ ทหาร แต่ไม่เคยเกิดเป็น 3 อย่างคือ เสือ ไส้เดือน กิ้งกือ

๏ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มรณภาพ

หลังจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ นิพพาน ได้มีการจัดงานประุชุมพลิงที่วัดป่าสุทราวาส

คุณย่าเล่าให้ฟังว่าในงานประชุมเพลิง มีเทพธิดามาร่วมถวายเพลิง 30,000 องค์ ท้าวมหาพรหม 6 องค์

เทพบุตรมา 2 องค์ เกือบทุกชั้นมีเทพประธานมากำกับด้วย ท่านเห็นแล้วชื่นใจ

หลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ศิษยานุศิษย์องค์หลวงปู่ได้เข้าไปแย่งขี้เถ้า อัฐิ ตัวคุณย่าเองก็เข้าไปล้วงกับเค้า

ได้อัฐิส่วนซี่โครง เศษอัฐิ และอังคาร มา เมื่อคุณย่าเก็บรักษาต่อมาได้แปรสภาพเป็นพระธาตุแก้วใสหมด

หลังจากนั้นท่านก็อยู่วัดป่าสุทธาวาสเรื่อยมา เมื่อปี พ.ศ. 2520 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนีนาถ ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างกุฏิถวายใหม่

สมเด็จพระเทพฯ มาครั้งใดจับแขน จับขาคุณย่า เห็นคุณย่านุ่งห่มผ้าขาวแทบจะเป็นดำ ก็เข้าไปจัดแจงจะให้คุณย่าเปลี่ยนชุดใหม่

ถึงกับทรงจะผลัดให้เอง คุณย่าต้องห้ามไว้ ท่านเล่าด้วยความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ

หลังจากท่านอยู่วัดป่าสุทราวาสมานาน ท่านก็ย้ายไปจำพรรษาหลายที่ เช่น วัดป่าวังน้ำทิพย์

จนองค์ท่านได้มาหยุดที่สำนักชีบ้านหนองยาง จ.สกลนคร โดยมีคุณยายสมรและคุณตาเพลินเป็นผู้ดูแล

หลวงปู่คำคะนิงในอดีตชาติเป็นพี่ชาติขององค์ท่าน ในชาติปัจจุบันนึ้ท่านก็มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ

และได้นำประคำที่อยู่กับองค์ท่านมาตั้่งแต่สมัยออกปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ให้แด่คุณย่า หลวงปู่หลุย จันทาสาโร นับถือคุณย่าเป็นแม่

เพราะในอดีตชาติคุณย่าเป็นแม่ขององค์หลวงปู่ หลวงปู่จะกล่าวชมให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเป็นแม่ขาวแม่ออกที่ปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรม

หลวงปู่หลุยท่านรักและเคารพคุณย่ามากถึงขนาดทำที่ครอบฟันปลอมให้และส่งปัจจัยจำนวน 10,000 บาท

ให้คุณย่าทุกเดือน หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เคารพในคุณธรรมคุณย่าและมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ

ตอนที่คุณย่าจะนิพพาน หลวงปู่ถวายปัจจัยให้คุณย่า 20,000 บาท หลวงปู่หลุยและหลวงปู่หลอดกล่าวว่าที่ท่านมีทุกวันนึ้ได้ก็เพราะขึ้มือคุณแม่นั้นแหละ

ก่อนวันที่ท่านจะนิพพาน ท่านมีสติสัมชญะสมบูรณ์ สติแจ่มใสมาก ท่านบอกให้คุณยายสมรเตรียมน้ำมารับพระเถระบนกุฏิ

คุณยายสมรเตรียมน้ำมาแล้วไม่เห็นใคร ท่านก็บอกให้เอาขึ้นมา พระเถระมาเต็มกุฏิแล้ว หลังจากนั้นวันต่อมา

คุณย่าได้จับมือคุณยายสมร และคุณตาเพลินได้สั่งเสียไว้ว่า ถ้าท่านนิพพานแล้วอย่าทึ้งคุณย่าเขียนน่ะ (ผู้ดูแลคุณย่าตั้่งแต่สมัยวัดป่าสุทราวาส)

คุณยายสมรและคุณตาเพลินรับคำ ท่านทรงสติมาก แล้วท่านก็ยึ้มงามมาก ยึ้มอย่างไม่อาไรอาวรณ์ไม่สนแก่การตาย

พอท่านยึ้ม ลมหายใจและหัวใจก็หยุดเต้น ท่านเข้าสู่อนุปปเสสนิพพานเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 20.25 น.

สิริอายุขัย 123 ปี อยู่ในเพศแม่ชี 83 ปีพอดี

ในวันประชุมเพลิงมี หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป เป็นประธานในฝ่ายบรรพชิต ถวายเพลิง

เมื่อไฟไกล้จะมอดเห็นดวงไฟสีเขียว พุ่งออกมา เมื่อเก็บอัฐิพบว่า อัฐิคุณย่าแปรสภาพเป็นพระธาตุทันทีหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ

ผู้มีอัฐิเป็นแก้วมณีใส ย่อมถึงที่สุดเห็นธรรมแล้ว

๏ ธรรมโอวาท

"ศีลนั้นแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจอันสูงเพราะหากทำลายศีลเสียก็เท่ากับว่าทำลายความเป็นมนุษย์ ที่ปราศจากความดีทั้งหลาย"

"เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตหยุดนิ่ง อารมณ์มันน้อย ปัญญาจึงมีโอกาศเกิดขึ้นได้"

"ให้มีสติรู้เท่าทัน (อุปาทาน) หยุดมันเสียมันก็จะนิ่งสนิทอย่างเดิม เป็นอารมณ์เดียว"

:b8: :b8: :b8:


แม่ชีรู้วาระจิต ระลึกชาติ

อันนี้ทุกคนก็พยายามประพฤติปฏิบัติ ให้มันรู้ให้มันเห็นดูซิ ไม่ว่าแต่พระเจ้าพระสงฆ์พวกฆราวาส ญาติโยมประพฤติปฏิบัติก็สามารถรู้ได้เช่นกัน อย่างเฒ่าแม่ชีนารี (แม่ชีนารี การุณ) เขาไล่ออกจากวัดป่าสุทธาวาส นี่อายุร้อยกว่าปี นี่แกก็ไม่ได้จากอะไร ก็ได้จากคำว่า พุทโธๆ ตัวเดียวเท่านั้น ท่านอาจารย์สมออยู่อุดรฯ นี่แหละไปสอนให้ อยู่บ้านนอก แกก็เชื่อมั่นลงไปว่าให้เอาพุทโธ ทำงานอะไรก็เอาแต่พุทโธตัวเดียว จะกินข้าวกินน้ำทำการทำงานก็ทำอยู่อย่างนั่นแหละ เอาแต่พุทโธอยู่ไม่ได้หยุด ถึงระยะที่มันได้สัดได้ส่วนก็ลงปุ๊บทันที ลงวึ้บเลย ร่างกายพังออกหมดเหลือตั้งแต่ใจกับร่างกระดูก นั่นดูแต่ใจตัวเดียว ใจจะสว่างหรือไม่สว่างก็อยู่อย่างนั้นแหละ กินข้าวก็ไม่ได้ เอาคำข้าวเข้าปากมองเห็นก็เลยเกิดสะอิดสะเอียน จะอาเจียนออกอยู่จนกินข้าวไม่ได้ เลยมาหาท่านหลวงปู่มั่น ท่านเลยแนะนำใหม่ จึงค่อยพอกินข้าวได้ แต่ว่าปัญญายังไม่ค่อยเดิน แต่ผลสุดท้ายก็รู้หมด

ขนาดพระเจ้าพระสงฆ์ก็ยังได้ไปถาม คุณยายพิจารณาดูให้หน่อย จะภาวนาพอจะได้นั่นได้นี่บ้างไหม แกพิจารณาให้รู้จักหมดแหละ ใครได้ขั้นไหน อยู่ขั้นไหนรู้จักหมด ระลึกชาติในอดีตได้ว่า ตนเองเกิดเป็นผู้ชาย บวชเป็นพระเป็นอาจารย์ ตอนหลังเลยกลับมาเกิดเป็นผู้หญิง สาเหตุเป็นผู้หญิงแกเล่าให้ฟังหมด โน่นนะ ท่านรู้ถึงขนาดนั้นนะ ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ อาศัยพุทโธตัวเดียวเท่านั้นหละ ทำอยู่ไมหยุด เอาใจใส่อยู่เสมอ เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องทำได้จริงจังนะ ไม่ใช่สักแต่ว่าไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล สมัยนี้ก็ทำได้เหมือนกัน

ศาสนาท่านมอบไว้ในร่างกายและจิตใจของคน เมื่อเวลามีการประพฤติปฏิบัติ มันก็เกิดอยู่กับใจนั่นแหละ ตั้งแต่เราเกิดก็ยังเกิดได้ บรรดากิเลสทั้งหลายแหล่ เราไม่อยากให้มันเกิดมันก็ยังมาแทรกอยู่ มาจากไหน ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความทะเยอทะยานเห่อเหิมร้อยอันพันอย่างมันก็เกิดขึ้นเลย ไม่ได้ไปเรียนมาจากไหน

เราต้องดำเนินการให้มันถูกตามแบบของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนไว้ ถึงระยะได้สัดได้ส่วนมันก็เกิดขึ้นเอง มันเป็นของธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราผู้ไม่มีสติเต็ม พิจารณาใคร่ครวญมันก็ลงไปสู่อำนาจฝ่ายต่ำ ก็เลยถือว่าหมดมรรคหมดผลหมดระยะไปแล้ว ทุกวันนี้เข้าป่าเข้าดงภาวนาก็ไม่ได้อะไรหรอก หมดสมัยมรรคผลแล้ว หมดไปแต่นานแล้ว เรื่องที่ว่าหมดเวล่ำเวลาหมดครั้งหมดคราว อันนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสมันล้อเลียนไปหรอก เขาล่อลวงอยู่ตลอดเราไม่รู้จักเรื่อง

บรรดาผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติตั้งจิตตั้งใจมีศรัทธาเต็มที่ ได้มาบวชเป็นพระเป็นเณรมาประพฤติปฏิบัติเข้า พอจะเอาจริงจัง มันก็หากะเท่เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อไปทางอื่นอีก ก็หลงไปตามเรื่องของเขาแหละ มันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นการฝึกหัดสติท่านจึงจัดว่าเป็นของสำคัญจนกว่าจะให้มันเกิดปัญญารู้เท่าทันในเรื่องอารมณ์ต่างๆ ทั้งหลายแหละว่า อะไรเป็นอะไรต้องพิจารณาให้มันละเอียด พิจารณาให้มันชัดๆ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะหลงไปตามเล่ห์เหลี่ยมของเขาหมด สัตว์ทั้งหลายมันจึงมีมากในโลกอันนี้จนไม่อยากให้เกิด มันมากต่อมากเลี้ยงกันไม่ไหว ต้นไม้ทรัพยากรต่างๆ ก็ฉิบหายไปหมด ในน้ำเหนือดินค้นเอามาใช้จนจะหมดแล้ว คนมันมากต่อมาก แต่ถ้ามากมีศีลมีธรรมมันก็สบายแหละ



:b8: :b8: :b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=50005


เดี๋ยวมาต่อค่ะ

https://docs.google.com/file/d/0B8xPXXe ... edit?pli=1

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร