ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
มวลพฤกษา.... http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=25676 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 8 |
เจ้าของ: | ป่าอ้อ [ 08 ต.ค. 2009, 18:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
โมกดอกซ้อน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ขนาดเล็ก สูงราว ๒-๖ เมตร ไม่ผลัดใบ ลักษณะเป็นพุ่ม เรือนยอดแผ่กว้าง เปลือกลำต้นสีน้ำตาล แตกกิ่งต่ำชิดผิวดิน ทำให้มีลำต้นจำนวนมาก (ของผมเลี้ยงเป็นลำต้นเดี่ยว แตกพุ่มยอดด้านบน) สามารถขึ้นในที่กึ่งร่มได้ดี หากถูกแดดจัดใบจะมีเขียวอมเหลือง แผ่นใบหนาทึบ ลักษณะใบเป็นแบบใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี หรือรูปใบหอก ปลายแหลม โคนใบแหลมหรือมน ดอก ออกดอกเป็นช่อห้อย บริเวณซอกใบที่ปลายกิ่ง ๒-๘ ดอก กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน กลีบดอกสีขาว มีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียว (โมกลา) และกลีบดอกซ้อน (โมกซ้อน) ให้ดอกทั้งปี การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง หรือตอนกิ่ง ยังมีโมกใบด่าง ขาวหรือเหลือง (Wrightia religiosa ‘Variegata’) นิยมมาเสียบยอดกับโมกมัน (Wrightia tomentosa Roem.& Schult.) สวยงามอีกแบบหนึ่ง |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 08 ต.ค. 2009, 21:45 ] | |||
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... | |||
สาธุครับ ดอกเข็มก็สวยดีครับ ทนฝน ทนแดดดีจริง ๆ
|
เจ้าของ: | ผักบุ้ง [ 08 ต.ค. 2009, 22:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ชื่อพื้นเมืองอื่น: ปัดน้ำ, หยาดน้ำค้าง ชื่อวิทยาศาสตร์: Drosera peltata J.E.Smith ex Willd. ชื่อวงศ์: DROSERACEAR ลักษณะ: มีหัวใต้ดิน ลำต้นสูง ๑๐-๓๕ ซม. ใบเดี่ยวรูปสามเหลี่ยมออกเรียงสลับ กว้าง ๓-๖ มม. ยาว ๕-๑๐ มม. ดอกสีขาว กว้าง ๕-๖ มม. ออกเป็นช่อบริเวณปลายยอด มีดอกย่อยขนาดเล็ก ๒-๓ ดอก ก้านดอกยาว ๑-๒ ซม. กลีบดอกรูปไข่กลับ เกสรตัวผู้ ๕ อัน แหล่งที่พบ: บริเวณดินทรายชุ่มน้ำในป่าสนและป่าผลัดใบ ตั้งแต่ระดับความสูง ๗๐๐-๒,๐๐๐ เมตร ภาพจาก : ดอยลังกาหลวง จังหวัดเชียงราย ป่าออ้...บุ้งหาดอกหญ้า...มาแจมก็แล้วกันนะ...ขี้เกรียจตั้งกระทู้ใหม่ (แล้วอย่าลืมทำรายงานนะ.. ) |
เจ้าของ: | ผักบุ้ง [ 08 ต.ค. 2009, 22:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ชื่อพื้นเมืองอื่น: เปราะภู ชื่อวิทยาศาสตร์: Caulokaempferia alba K.Larsen & R.M.Smith ชื่อวงศ์: ZINGIBERACEAE ฤดูดอก: เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ลักษณะ: ลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าใต้ดิน ใบเดี่ยวรูปแถบเรียวแหลม โคนใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกันขึ้นมาเหมือนลำต้นเทียม สูง ๓๐-๕๐ ซม. ดอกสีขาวและมีแต้มสีเหลืองตรงกลางดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ๒-๔ ดอก โดยดอกด้านล่างเริ่มบานก่อน แหล่งที่พบ: โดยส่วนใหญ่สามารถพบตามทุ่งหญ้าป่าสนบนภูเขาทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาพจาก: ภูกระดึง จังหวัดเลย ส่วนภาพนี้เป็นเปราะภูสีเหลือง ตอนไปเดินที่ดอยลังกาหลวงมีเยอะแยะมากมายเป็นทุ่งเลยค่ะ ... เจ้าหน้าที่บอกว่าเปราะภูสีเหลืองมีเฉพาะที่ดอยลังกาหลวงเท่านั้น |
เจ้าของ: | ผักบุ้ง [ 08 ต.ค. 2009, 22:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ชื่อพื้นเมือง: เปราะหิน ชื่อวิทยาศาสตร์: Caulokaempferia saxicola K.Larsen ชื่อวงศ์: ZINGIBERACEAE ฤดูดอก: เดือนกรกฎาคม - กันยายน ลักษณะ: ลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าใต้ดิน ใบเดี่ยวรูปหอก โคนใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกันขึ้นมาเหมือนลำต้นเทียม สูง ๓๐-๕๐ ซม. ดอกสีเหลืองสด ออกเป็นดอกเดี่ยวตามปลายยอด กลีบดอก 3 กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบยาว กลีบปากแผ่แบนรูปไข่ กลีบดอกคู่ข้างขนาดเล็กรูปขอบขนาน แผ่ออกด้านข้าง แหล่งที่พบ: ตามซอกหินใกล้ลำธารและน้ำตกในป่าดงดิบทางภาคตะวันออกและภาคใต้ ภาพจาก : น้ำตกแม่ปล้อง เขาใหญ่ |
เจ้าของ: | ผักบุ้ง [ 08 ต.ค. 2009, 22:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ชื่อพื้นเมือง: คำหยาด ชื่อวิทยาศาสตร์: Chirita micromusa Burtt ชื่อวงศ์: GESNERIACEAE หรือวงศ์ชาฤาษี ฤดูดอก: เดือนกันยายน - ธันวาคม ลักษณะ: สูง ๓๐-๕๐ ซม. ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่กว้างแกมขอบขนาน กว้า ๕-๑๒ ซม. ยาว ๑๐-๑๘ ซม. โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ปลายใบแหลม ดอกสีส้มแกมเหลือง ออกเป็นช่อสั้นๆ บริเวณปลายยอด ๑-๓ ดอก กลีบดอก ๕ กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูประฆัง ปลายแยกออกเป็น ๕ แฉก ปลายแฉกกลมมน ตอนกลางหลอดกลีบด้านล่างมีแต้มสีส้มแดง แหล่งที่พบ: ที่ชุ่มชื้นในป่าดงดิบทั่วประเทศ ภาพจาก : ภูวัว หนองคาย |
เจ้าของ: | ผักบุ้ง [ 08 ต.ค. 2009, 22:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ชื่อพื้นเมืองอื่น: หญ้าข้าวก่ำ (เหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์: Buchnera cruciata Buch. –Ham ex D.Don ฤดูดอก: เดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์ ลักษณะ: สูง ๒๐-๘๐ ซม. ใบเดี่ยวออกตรงข้ามหรือเรียงสลับตอนบน รูปไข่กลับ รูปรี หรือขอบขนาน กว้าง ๐.๗-๑.๓ ซม. ยาว ๑-๕ ซม. โคนใบสอบเรียว ปลายใบมน ดอกสีม่วง กว้าง ๐.๗-๑.๓ ซม. ออกเป็นช่อแน่น แยกแขนง ใบประดับรูปไข่ปลายแหลม กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายกลีบแยกออกเป็น ๔-๕ แฉก ปลายแฉกกลมมน แหล่งที่พบ: ทุ่งหญ้าและพื้นที่โล่งในป่าผลัดใบและป่าดิบเขาทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จากที่ราบไปจนถึงระดับความสูง ๑,๖๐๐ เมตร ภาพจาก : ดอยหลวงพะเยา จังหวัดพะเยา ชื่อพื้นเมืองอื่น: หญ้าข้าวก่ำ (อีสาน) ชื่อวิทยาศาสตร์: Burmannia disticha L. ชื่อวงศ์: BURMANNIACEAE ฤดูดอก: เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ลักษณะ: ลำต้นเดี่ยวตั้งตรงสูง ๒๐-๕๐ ซม. ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปแถบคล้ายใบหญ้า ดอกสีม่วงเข้ม ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อเล็กๆ ๔-๘ ดอก ช่อดอกยาว ๑๐-๒๐ ซม. กลีบดอก ๓ กลีบ รูปขอบขนานเชื่อมติดกันเป็น ๓ พู ปลายกลีบแหลม ตอนปลายดอกมีอับเรณูสีเขียวอ่อนโผล่พ้นหลอดกลีบออกมา ลักษณะคล้ายโดม (ดอกย่อยคล้ายกับดอกสรัสจันทร – Burmannia coelestris) แหล่งที่พบ: ลานหินทรายที่ชื้นแฉะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาพจาก : อุทยานแห่งชาติภูวัว จังหวัดหนองคาย |
เจ้าของ: | ป่าอ้อ [ 09 ต.ค. 2009, 21:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
พลับพลึง “ทังหลายว่าแม้เถ้า มานยาว พระว่านางยังสาว ไป่เถ้า ทัดดอก พลับพลึงขาว แซมเกศุ สระกว่าสาวสิบเข้า แข่งหน้าบูรณจันทร์” (โคลงสมัยอยุธยา เข้าใจว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์) พลับพลึงขาว(ไทยแท้) ใบใหญ่ เป็นไม้ประเภทใบเลี้ยงเดี่ยว ใบหนายาว นำมาย่างไฟรักษากล้ามเนื้อ ฯลฯ ลำต้นอวบใหญ่ยาวประมาณ 1 เมตร ปอกเปลือกออกไปใช้ทำงานประดิษฐ์ในราชสำนักเป็นดอกไม้ต่าง ๆ ออกดอกเป็นช่อ กลีบดอกยาว เกสรก็ยาว มีทั้งดอกสีแดงและสีขาว ดอกบานกลีบดอกจะงอโน้มลง พร้อมทั้งก้านช่อ มีกลิ่นหอมเล็กน้อย การขยายพันธุ์ใช้หน่อ ชอบขึ้นในที่ลุ่ม (ข้อมูลของหลวงบุเรศวรบำรุงการ) ราชินีของพลับพลึงคือ Spider Lily สุดสวยนี้มีถิ่นเดิมที่หมู่เกาะอินดีส เป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของพระราชินีเอมม่าแห่งประเทศกรีก จึงได้ชื่อภาษากรีกว่า “Krion” ชาวสเปนเรียก “Liriod cinata” ราชินีของพลับพลึงต้องดอกนี้ เรียกว่า พลับพลึงแมงมุม ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Hymenocallis Caribaea ชื่อสามัญ คือ Spider Lily ก้านดอกจะมีประมาณ 4-8 ดอก จะทยอยกันบานทีละ 2-3 ดอก แต่ละดอกจะมี 6 กลีบสีขาวนมสด กลีบดอกจะเรียวยาวประมาณ 13 ซม. เมื่อดอกบานเต็มที่ปลายกลีบจะงอโค้งเข้าหาก้านดอก เกสรมี 6 เส้นตอนปลายจะเป็นสีเหลือง หรือสีน้ำตาล มองดูคล้ายแมงมุม ออกดอกเป็นระยะตลอดปี พลับพลึงเตือน หรือพลับพลึงเตือนตา ชื่อวิทยาศาสตร์เขาคือ Crinum rubra หรือชื่อสามัญแสนไพเราะว่า Cinderella Lily ลักษณะ ที่แตกต่างจากพลับพลึงแดงคือ ต้นเล็กกว่า กอเล็กกว่า ก้านดอกมีดอกเดียว ดอกมีสีขาวเป็นรูปดาว ที่มีหลายแฉก มีกลีบยาวยื่นออกมาจากตัวดอกอีก 6 กลีบ บานเต็มที่กลีบยาวนี้จะม้วนงอโค้งเข้าหาก้านดอก กลางดอกมีเกสร 6 เส้น มีกลิ่นหอมอ่อน ออกดอกกลางฤดูฝน เป็นของอเมริกาใต้ พลับพลึงตีนเป็ด ชื่อสามัญ : Spider lily ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hymenocallis littoralis Salisb. ชื่อวงศ์ : AMARYLLIDACEAE ลักษณะทั่วไป : มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ชูใบขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบยาวรูปหอกแผ่นใบหนา อ่อนนุ่ม ออกดอกเป็นช่อมีก้านชูดอกใหญ่แข็งแรง ดอกสีขาวมีกลีบดอกเรียวยาว 6 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดต่อกันเป็นหลอดยาว เกสรตัวผู้มี 6 อัน ดอกมีกลิ่นหอมออกดอกตลอดปี ประโยชน์ : ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ พลับพลึงสีแดงม่วงนี้เรียกว่า พลับพลึงแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Crinum augustum ชื่อสามัญ คือ Crinum Lily มีขนาดใหญ่ ลักษณะต้นเป็นกอกลุ่มใหญ่ ใบเป็นรูปหอกปลายแหลม ขอบใบเรียบสีเขียว ผิวเนื้อใบอ่อนนุ่ม หนาเหนียว ดอกออกปีละครั้งประมาณเดือน กันยายน-ตุลาคม ดอกเป็นช่อใหญ่ ก้านดอกชูมาจากกลางกอ ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 15-25 ดอก กลีบดอกแคบเรียบยาว มี 6 กลีบต่อหนึ่งดอก เมื่อบานเป็นที่กลีบดอกจะงองุ้มเข้าหาก้านดอก เกสรยาวยื่นออกมากลางดอก ด้านบนเป็นสีม่วงอ่อน หรือชมพู กลีบด้านล่างสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอม เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา สีแดงสดนี้คือ พลับพลึงใหญ่ หรือพลับพลึงดอกแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Crinum amabille ชื่อสามัญ Milk-And-Wine Lily หรือ Higanbana Lily มีถิ่นกำเนิดที่ลุ่มทั่วไป หรือตามชายฝั่งน้ำจืดของทวีปเอเชีย ส่วนตัวผมไม่เคยเห็นพลับพลึงสีนี้ครับ สำหรับท่านที่ชอบสีแดงนั้น พลับพลึงดอกนี้คงอยู่ในใจท่านแน่ๆ สวยจริงๆ ปลูกในร่มรำไร และกลางแจ้งแสงแดดจัด ชอบดินปนทรายมีความชุ่มชื้นตลอดเวลา คุณสมบัติทางสมุนไพรของพลับพลึง พบว่า มีการนำมาต้มดื่มทำให้อาเจียน(ไม่ใช่แก้อาเจียน) แก้เคล็ดขัดยอก แก้น้ำดีพิการ ใบเอามาย่างไฟพันแก้ฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก ใช้อยู่ไฟหลังคลอด หัวมีรสขมในอินเดียใช้เป็นยาระบาย ขับเสมหะ ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี ดูแลรักษาหน้าใสด้วยพลับพลึง สูตรน้ำผึ้งผสมไข่ไก่และพลับพลึง สูตรผสม » ดอกพลับพลึง 2 ดอก น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 2 ช้อนโต๊ะ วิธีผสม » นำดอกพลับพลึงมาล้างน้ำให้สะอาดปั่นรวมกับน้ำผึ้งแท้และไข่ไก่ จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว ใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้า ที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด และมีกลิ่นหอมธรรมชาติจากดอกไม้ จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือน จะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทราบว่าธุรกิจสปานำดอกพลับพลึงสกัดเอากลิ่นมาใช้ และเป็นที่นิยมกันมากด้วย…. ผักบุ้ง เขียน: ป่าออ้...บุ้งหาดอกหญ้า...มาแจมก็แล้วกันนะ...ขี้เกรียจตั้งกระทู้ใหม่ (แล้วอย่าลืมทำรายงานนะ.. ) บุ้งเริ่มทำแล้วเหรอ...อ้อยังไม่ได้เริ่มเลย..พรุ่งนี้มาหลายวันแล้ว.... |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 10 ต.ค. 2009, 16:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ขอบคุณ ป่าอ้อและคุณผักบุ้งครับ |
เจ้าของ: | jintana63 [ 10 ต.ค. 2009, 16:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ขอขอบคุณค่ะ คุณป่าอ้อ คุณผักบุ้ง คุณวรานนท์ สำหรับข้อมูลดอกไม้ และรูปดอกไม้สวยๆ ชอบมากค่ะ |
เจ้าของ: | ป่าอ้อ [ 10 ต.ค. 2009, 19:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
จันทร์กะพ้อ(Vatica diospyroides Syming.) จันทน์ กะพ้อเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ Dipterocarpaceae พวกเดียวกับยางนาและพะยอม ทางภาคใต้เรียก จันทน์พ้อ และที่จังหวัดพังงาเรียก เขี้ยวงูเขา จันทน์กะพ้อเป็นไม้ต้นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง โตช้า ชอบขึ้นในที่ดินร่วนชื้น และร่มปะปนกันไม้ต้นชนิดอื่นในป่าดิบชื้น จันทร์ กะพ้อ เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 6 - 15 เมตรไม่ผลัดใบ เรือนยอดกลม ต้นแตกกิ่งจำนวนมากที่ยอด กิ่งเปราะ มีน้ำยางใสซึมออกมาตามรอยแตกต้นค่อนข้างตรง เปลือกเกลี้ยง เรือนยอดเป็นพุ่มรีหรือกว้างใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีค่อนข้างยาว ขนาดยาว ๗-๙ซม. กว้าง ๒-๓ ซม. สีเขียวเข้ม เรียงตัวแบบเวียนไปตามกิ่งห่างๆ กันโตเร็ว ใบเดี่ยว ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน รูปรีแกม ขอบขนานหรือรูปใบหอก โคนใบเบี้ยว และจะหลุดร่วงไปตามอายุ ใช้เวลาประมาณ 5 - 7 ปีจึงจะออกดอก เป็นไม้โบราณของไทยที่หาดูค่อนข้างยากในยุคปัจจุบัน ออกดอกเป็นช่อสั้นๆ ที่ซอกใบและปลายกิ่ง มี 5 กลีบ สีขาวหรือเหลืองอ่อน ทีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลีบดอกมีขนนุ่มสีน้ำตาล ดอกทยอยบานในเวลาใกล้เคียงกัน ประมาณเดือน พฤศจิกายน - มีนาคม ใช้เวลาประมาณ 5 - 7 ปีจึงจะออกดอก เป็นไม้โบราณของไทยที่หาดูค่อนข้างยากในยุคปัจจุบัน ดอกออกตามกิ่งเป็นช่อเล็กๆ ทยอยบานครั้งละ ๑-๒ ดอก แต่มักจะมีช่อหลายช่อเป็นกระจุก และเรียงเป็นระยะๆ ตามกิ่งดอกขนาด ๑.๒-๑.๕ ซม. กลีบเลี้ยงมีขนสีน้ำตาลกลีบดอกเรียงเวียนซ้อนเกยกันเล็กน้อย ด้านในสีขาวนวลหรืออมชมพู ด้านนอกมีแถบแคบๆ มีขนละเอียดสีน้ำตาลอมแดงกลิ่น หอมแรง ออกดอกในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปัจจุบันพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดปลูกเลี้ยงค่อนข้างยาก ถ้าแดดจัดหรือลมแรงใบจะไหม้ ปัจจุบันพบน้อยลงมาก |
เจ้าของ: | ป่าอ้อ [ 10 ต.ค. 2009, 19:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ดอกฟรีเซีย (Freesia) ดอกฟรีเซียหมายถึง การให้อภัย ลบความบาดหมาง อาจจะทำให้ใครบางคนยิ้มออกขึ้นมาบ้างนะคะ ความงามอย่างอ่อนช้อย คือคุณสมบัติเด่นของ ฟรีเซีย บวกกับความหอมหวนยิ่งทำให้ดอกไม้ชนิดนี้ เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับเป็นช่อดอกไม้ วันเกิดช่วงวาเลนไทน์ ลักษณะดอกฟรีเซีย เป็นดอกรูปแตรเรียงโค้งอยู่บนปลายกิ่ง ทำให้มันกลาย เป็นไม้ตัดดอกที่สวยที่สุด การเลือกฟรีเซียคือ ต้องเลือกกิ่งที่มีดอกบานเพียงดอกเดียว เพราะดอกที่เหลือจะบานที่หลังในเวลาอันรวดเร็ว แล้วจึงจัดช่อโดยใช้ใบเฟิร์นแซมก่อนจะผูกด้วย ริบบิ้น เส้นเล็กๆสีเข้ากับดอก แต่ควรเลือกของขวัญเป็นฟรีเซียกระถางมากกว่า เพราะฟรีเซียก็เหมือนดอกไม้ ส่วนใหญ่ที่จะหยุดส่งกลิ่นหอมทันทีที่ถูกตัดออกจากต้น ฟรีเซียยังถูกใช้เป็นดอกไม้ประดับผมอีกด้วย (ได้ประดับกับเทียร่า หรือประดับผมเจ้าสาวด้วยนะ) |
เจ้าของ: | COMA! [ 11 ต.ค. 2009, 14:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ฝิ่น . ชื่อสามัญ: Opium poppy ชื่อวิทยาศาสตร์: Papaver somniferum L. ชื่อวงศ์: PAPAVERACEAE ลักษณะ: ฝิ่น เป็นพืชไม้ล้มลุก มีการลักลอบปลูกบนพื้นที่สูง มีลำต้นสูงประมาณ ๒-๔ ฟุต ดอกฝิ่นจะมีสีขาว สีแดง สีม่วง และสีม่วงแดง ดอกมี ๔ กลีบ แหล่งที่พบ: เหนือกว่าระดับน้ำทะเล ๘๐๐ ฟุต และมีอากาศหนาวเย็น สถานที่ถ่ายทำ: สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง (ดอยช้างมูบ) จังหวัดเชียงราย ฝิ่น ที่นำมาเสพได้จากน้ำยางของผลฝิ่น ที่กรีดออกมาจากเปลือกผลฝิ่นดิบ น้ำยางที่ถูกกรีดมานั้นจะมีสีขาว เมื่อถูกอากาศจะมีสีคล้ำลงกลายเป็นยางเหนียวสีน้ำตาลไหม้หรือดำ มีกลิ่นเหม็นเขียวและรสขมเรียกว่า “ฝิ่นดิบ” เมื่อนำฝิ่นดิบมาต้มเคี่ยวกับน้ำเรียกว่า “ฝิ่นสุก” นิยมเสพโดยการสูบด้วยกล้องยาสูบ ฝิ่นเป็นสารประกอบชนิดหนึ่ง ซึ่งได้จากยางของผลฝิ่น ในเนื้อฝิ่นมีสารเคมีผสมอยู่มากมาย ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน เกลือแร่ ยางและกรดอินทรีย์เป็นแอลคะลอยด์ (Alkaloid) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติดให้โทษที่ร้ายแรง แอลคะลอยด์ในฝิ่นแบ่งแยกได้เป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนเมา และเป็นยาเสพติดให้โทษโดยตรง แอลคะลอยด์ประเภทนี้ทางเภสัชวิทยาถือว่า เป็นยาทำให้นอนหลับ (Hypnotic) แอลคะลอยด์ที่เป็นสารเสพติดซึ่งออกฤทธิ์ตัวสำคัญที่สุดในฝิ่น คือ มอร์ฟีน (Morphine) ประเภทที่ ๒ ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบหย่อนคลายตัว ซึ่งในทางเภสัชวิทยาถือว่า แอลคะลอยด์ในฝิ่นประเภทนี้ไม่เป็นสารเสพติด แต่มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อของร่างกายหย่อนคลายตัว ซึ่งมีปาปาเวอร์รีน (Papaverine) เป็นตัวสำคัญ ฝิ่น เป็นพืชล้มลุกขึ้นในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๘๐๐ ฟุตขึ้นไป ต้นตอของยาเสพติดร้ายแรง เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคอีน มีการลักลอบปลูกฝิ่นมากทางภาคเหนือของไทยบริเวณแนวพรมแดน ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคำ เนื้อฝิ่นได้มาจากยางของผลฝิ่นที่ ถูกกรีดจะมีสีขาว เมื่อถูกอากาศจะมีสีคล้ำลง กลายเป็นยางเหนียวสีน้ำตาลไหม้ หรือดำ มีกลิ่นเหม็นเขียวและรสขม เรียกว่า ฝิ่นดิบ ส่วนฝิ่นที่มีการนำมาใช้เสพ เรียกว่า ฝิ่นสุก ได้มาจากการนำฝิ่นดิบไปต้มหรือเคี่ยวจนสุก ฤทธิ์ในทางเสพ : ฝิ่นออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีอาการขาดยาทางร่างกาย อาการผู้เสพ : จิตใจเลื่อนลอย ง่วง ซึม แก้วตาหรี่ พูดจาวกวน ความคิดเชื่องช้า ไม่รู้สึกหิว ชีพจรเต้นช้า โทษทางกฎหมาย : จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๒ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ... อย่างงี้เค้าเรียกว่า "สวยอนันต์ แต่โทษมหันต์" ค่ะ ... |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 11 ต.ค. 2009, 18:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
ดอกฝิ่นสวยมากครับ แต่ในความสวยมีโทษแฝงไว้มากมาย |
เจ้าของ: | ลุงมะตูม [ 15 ต.ค. 2009, 22:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มวลพฤกษา.... |
"ดอกไม้สีขาวเป็นดอกไม้ที่มีคุณสมบัติความงามของดอกไม้อย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ไม่มีสีปรุงแต่ง แต่มีเสน่ห์ที่ความความสวยบริสุทธิ์น่าทะนุถนอม เป็นความสวยที่เรียบง่าย และดูสบายตา ที่สำคัญสังเกตว่าดอกไม้สีขาวส่วนใหญ่มีกลิ่นหอม เหมือนกับจะเป็นสิ่งที่ชดเชยแทนสีสันที่ขาดหาย ทำให้นึกไปถึงความสมดุลในธรรมชาติที่ว่าหากขาดสิ่งหนึ่ง มักมีอีกสิ่งหนึ่งชดเชยอยู่เสมอ " เข็มอินเดีย สีขาว Egyptian Star - Cluster ดอกไม้ยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง ออกดอกตลอดปี ดอกแย้มของ.....เศรษฐีเรือนใน ลัดดาวัลย์.........ดอกจิ๋วๆ หอมๆ ไม้เถาเล็ก ยามลมพัด กิ่งก้านอ่อนไหว ดูอ่อนโยน บุหงาสาหรี..ดอกจะสีขาวขนาดเล็กมาก ...มักจะออกมาเป็นพวงย้อย ... ออกดอกเมื่อไร ก็หอมอบอวลไปทั้งบ้านเชียวล่ะ... เข็มพม่า..(เข็มขาว)...มีกลิ่นหอมเย็น...ตลอดวัน หวัดดีป่าอ้อ...ผักบุ้ง....ท่านวรานนท์ |
หน้า 3 จากทั้งหมด 8 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |