ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=28740
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  totozukzon [ 18 ม.ค. 2010, 10:40 ]
หัวข้อกระทู้:  ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

คืออยากทราบว่าต้นไม้ที่มีรายชื่อต่อไปนี้เป็นต้นในพุทธประวัติหรือป่าวคับช่วยหน่อย

1 อบเชย
2 หว้าใบเล็ก
3 สารภี
4 พญาไม้
5 ใบเติม
6 ตาเสือทุ่ง
7 หาดหนุน
8 มะเลื่อม
9 ก่อแป้น ก่อตาหมู ก่อเดือย

เจ้าของ:  -dd- [ 18 ม.ค. 2010, 19:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

ไม่ใช่ผู้รู้คราฟ แต่อยากรู้ว่าเอาข้อมูลไปทำไรคราฟ? :b13:

แล้วท่านได้ชื่อต้นไม้มาจากไหนคราฟ? :b10: :b13: :b9:

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 19 ม.ค. 2010, 15:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

-dd- เขียน:
ไม่ใช่ผู้รู้คราฟ แต่อยากรู้ว่าเอาข้อมูลไปทำไรคราฟ? :b13:

แล้วท่านได้ชื่อต้นไม้มาจากไหนคราฟ? :b10: :b13: :b9:

อยากรู้เหมือนกันคราฟ :b12: :b8:

เจ้าของ:  -dd- [ 19 ม.ค. 2010, 16:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

อมิตาพุทธ แสดง:

อ้างคำพูด:
อยากรู้เหมือนกันคราฟ :b12: :b8:


ผู้น้อยตามมาดู นึกว่าจะได้ฟามรู้ ..แต่ฟาวล์คราฟ..โธ่ท่าน อมิตาพุทธ .. :b16: ..

...เอาละกัดฟันช่วยน้องแบบสุ่มนะคราฟ.. :b22: ..ตาม link แล้วใช้ความสามารถกรองเอานะคราฟ.. :b13: :b9: ..

http://www.dnp.go.th/nursery/pud/name-pud.htm
http://www.dhammajak.net/gallery/thumbnails.php?album=56
http://www.dhammajak.net/tree/2.html
http://www.rspg.thaigov.net/homklindokmai/budhabot/budbot.htm
http://www.udomsuksa.ac.th/Latphrao/Knowledge/Botanical/botanic08.asp..

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 21 ม.ค. 2010, 04:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

-dd- เขียน:
อมิตาพุทธ แสดง:

อ้างคำพูด:
อยากรู้เหมือนกันคราฟ :b12: :b8:


ผู้น้อยตามมาดู นึกว่าจะได้ฟามรู้ ..แต่ฟาวล์คราฟ..โธ่ท่าน อมิตาพุทธ .. :b16: ..

:b32: :b13: คือผู้น้อยไม่ค่อยรู้เรื่องต้นไม้น่ะคราฟ :b29:
ก็เลยคิดว่า ปล่อยเป็นหน้าที่ของท่าน -dd- ให้ช่วยน้องๆ ดีกว่า :b4:

เจ้าของ:  -dd- [ 22 ม.ค. 2010, 22:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

อมิตาพุทธ:

อ้างคำพูด:
:b32: :b13: คือผู้น้อยไม่ค่อยรู้เรื่องต้นไม้น่ะคราฟ :b29:
ก็เลยคิดว่า ปล่อยเป็นหน้าที่ของท่าน -dd- ให้ช่วยน้องๆ ดีกว่า :b4:

อะท่าน อมิตาพุทธ ข้าน้อยก็ไม่สันทัดกรณีตรีชวาเช่นกันขอรับ :b13: :b9: :b13: จะเอะอะขอ help จากท่านยายมัทนา
ผู้ทรงภูมิพฤกษศาสตร์ก็เกรงจาย ฮ่ะ ... :b27: :b32: เลยเล่นบทขี่ม้าเลียบเมือง"อากู๋" และรวบรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องมาลงกันเหงา.. :b11: .. สงสัยว่า น้องน้อยกลอยใจคงหนีไปแล้วละคราฟ เราก็คงหมดหน้าที่แถวนี้นะคราฟท่านอมิตาพุทธ ..

....ว่าแล้วเราไปครัวคุณน้ำหาของอร่อยหม่ำกันดีก่าน้าคราฟ..ชักหิว . :b22: :b22:
( เมื่อกี้ทะลึ่งออกไปล้างรถหลังบ้าน อุณภูมิที่-2C ง่ะ พอเอาน้ำฉีดไป แป๊บเดียว มานกลายเป็นน้ำแข็งมือแทบ"ไหม้"เพราะความหนาว เลยต้องขับรถเข้าจอดในที่จอดรถ ปล่อยให้มานล้างตัวเอง อิอิ !!..นี่เป็นประสบการณ์ล้างรถเองในฤดูหนาวครั้งแรก ต่อไปจะไม่ทำอีกคราฟ.. Onion_L ) :b34:

เจ้าของ:  มัทนา ณ หิมะวัน [ 23 ม.ค. 2010, 23:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

อ้างคำพูด:
อมิตาพุทธ:


อ้างอิงคำพูด:
คือผู้น้อยไม่ค่อยรู้เรื่องต้นไม้น่ะคราฟ
ก็เลยคิดว่า ปล่อยเป็นหน้าที่ของท่าน -dd- ให้ช่วยน้องๆ ดีกว่า


-dd- เขียน:
อะท่าน อมิตาพุทธ ข้าน้อยก็ไม่สันทัดกรณีตรีชวาเช่นกันขอรับ จะเอะอะขอ help จากท่านยายมัทนาฯ
ผู้ทรงภูมิพฤกษศาสตร์ก็เกรงจาย ฮ่ะ ... เลยเล่นบทขี่ม้าเลียบเมือง"อากู๋" และรวบรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องมาลงกันเหงา.. .. สงสัยว่า น้องน้อยกลอยใจคงหนีไปแล้วละคราฟ เราก็คงหมดหน้าที่แถวนี้นะคราฟท่านอมิตาพุทธ ..

....ว่าแล้วเราไปครัวคุณน้ำหาของอร่อยหม่ำกันดีก่าน้าคราฟ..ชักหิว .
( เมื่อกี้ทะลึ่งออกไปล้างรถหลังบ้าน อุณภูมิที่-2C ง่ะ พอเอาน้ำฉีดไป แป๊บเดียว มานกลายเป็นน้ำแข็งมือแทบ"ไหม้"เพราะความหนาว เลยต้องขับรถเข้าจอดในที่จอดรถ ปล่อยให้มานล้างตัวเอง อิอิ !!..นี่เป็นประสบการณ์ล้างรถเองในฤดูหนาวครั้งแรก ต่อไปจะไม่ทำอีกคราฟ.. )


:b43: :b43: :b43:

tongue ท่านอมิตาพุทธ / ตา-dd-

:b10: แว่วมา..เหมือนใครเอ่ยชื่อเรา เลยต้องเข้ามายลซักหน่อย
แม้ข้าพเจ้าจะหารูปสังกรณีตรีชวามาให้ได้ชมกัน
ก็มิๆได้หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ทรงภูมิทางพฤกษศาสตร์นะ ตา -dd-

(ปลูกต้นไม้ยังไม่ค่อยจะขึ้นเลยล่ะตา...มือไม่เย็นพอมั้ง!?!? :b9: :b32: )

เอาเป็นว่า หากมีโอกาสเดี๋ยวยายมัทจะช่วยถามผู้รู้ตัวจริงให้น้องเค้าด้วยอีกทางนึงนะจ๊ะ

แล้วคิดไงเนี่ยะ ล้างรถตอนอุณหภุมิติดลบน่ะ...
จะทำสถิติกินเนสรีคอร์ดรึจ๊ะตา!!!

:b9: :b32: :b13:

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 24 ม.ค. 2010, 03:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

-dd- เขียน:
อะท่าน อมิตาพุทธ ข้าน้อยก็ไม่สันทัดกรณีตรีชวาเช่นกันขอรับ :b13: :b9: :b13: จะเอะอะขอ help จากท่านยายมัทนา
ผู้ทรงภูมิพฤกษศาสตร์ก็เกรงจาย ฮ่ะ ... :b27: :b32: เลยเล่นบทขี่ม้าเลียบเมือง"อากู๋" และรวบรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องมาลงกันเหงา.. :b11: .. สงสัยว่า น้องน้อยกลอยใจคงหนีไปแล้วละคราฟ เราก็คงหมดหน้าที่แถวนี้นะคราฟท่านอมิตาพุทธ ..

พูดถึงไม่เท่าไหร่ ท่านมัทฯ ก็ปรากฏตัวมาแล้วนะครับท่าน -dd-
สงสัยท่านมัทฯ คงจะจามบ่อย เพราะมีคนพูดถึง เลยรีบมาอ่านกระทู้นี้ :b32:
:b6: อืม..ไม่รู้น้องเขาคงจะกลัวพวกเราหรือเปล่าครับ หายไปเลยอ่า :b12:
-dd- เขียน:
....ว่าแล้วเราไปครัวคุณน้ำหาของอร่อยหม่ำกันดีก่าน้าคราฟ..ชักหิว . :b22: :b22:
( เมื่อกี้ทะลึ่งออกไปล้างรถหลังบ้าน อุณภูมิที่-2C ง่ะ พอเอาน้ำฉีดไป แป๊บเดียว มานกลายเป็นน้ำแข็งมือแทบ"ไหม้"เพราะความหนาว เลยต้องขับรถเข้าจอดในที่จอดรถ ปล่อยให้มานล้างตัวเอง อิอิ !!..นี่เป็นประสบการณ์ล้างรถเองในฤดูหนาวครั้งแรก ต่อไปจะไม่ทำอีกคราฟ.. Onion_L ) :b34:

ดีกๆแบบนี้ชักหิวเหมือนกันครับ ลองไปค้นห้องครัวคุณน้ำดูด้วยกันก็ดีนะครับท่าน
คุณน้ำเธอมีเมนูอาหารเพียบ :b37: :b12:

ปล. กลัวรถไม่เงางามหรือครับท่าน -dd- ล้างรถตอนอุณหภูมิติดลบ :b12:

เจ้าของ:  totozukzon [ 27 ม.ค. 2010, 10:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

คือว่าหัวหน้าที่ทำงานเค้าต้องการจะไปประกอปการทำไรสักอย่างในโครงการพุทธอุทยานอนาคามีเลยอยากให้พี่ๆในบอร์ดช่วยหน่อยคับผมก็หามาเยอะเเต่ไม่เจอเลยอ่ะ

เจ้าของ:  -dd- [ 29 ม.ค. 2010, 15:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

อมิตาพุทธ:

อ้างคำพูด:
ปล. กลัวรถไม่เงางามหรือครับท่าน -dd- ล้างรถตอนอุณหภูมิติดลบ :b12:


:b2: กลัว"ศพ"ไม่งามอะขอรับอมิตาพุทธ:...เพราะแทบมองทะลุกระจกไม่ได้เเล้ว ..งืออ :b2: :b5: ..

เจ้าของ:  -dd- [ 29 ม.ค. 2010, 15:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

totozukzon
อ้างคำพูด:
คือว่าหัวหน้าที่ทำงานเค้าต้องการจะไปประกอปการทำไรสักอย่างในโครงการพุทธ อุทยานอนาคามีเลยอยากให้พี่ๆในบอร์ดช่วยหน่อยคับผมก็หามาเยอะเเต่ไม่เจอเลย อ่ะ


น้องtoto..ครับ พี่ก็ช่วยหาแล้วแต่ได้เท่าที่ลิ้งค์ไว้น่ะแหละ พี่ว่าคงต้องไปถามพระหรือผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฏกกระมัง อย่างไรก็คงไม่ได้คำตอบจากที่นี่ แค่เห็นชื่อต้นไม้ที่น้องให้มา ก็งงว่ามีด้วยหรอ เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ เช่นตาเสือทุ่ง, หาดหนุน, พญาไม้ ฯลฯ ... :b10: :b14: :b23: ..

แต่ที่รู้แน่ๆคือต้นโพธิ์นี่แหละเป็นหลัก..ก็ให้เจ้านายปลูกโพธิ์เป็นส่วนมากสิครับ.. :b13: :b9:

เจ้าของ:  enlighted [ 30 เม.ย. 2010, 08:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

อนุโมทนาสาธุคร๊าบบ

เจ้าของ:  พลบค่ำ [ 04 พ.ค. 2010, 16:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

คิดว่าน่าจะไม่เกี่ยวกัน แต่ลองนำมาให้อ่านดูก็แล้วกันน่ะค่ะ^^~

อบเชย


รูปภาพ

นิลกังขา:
ทางจีนว่า สมัยก่อนมีพระอาทิตย์ไม่ใช่ดวงเดียว แต่มีสิบดวง ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ ดวงละวันๆ
แต่วันหนึ่งพระอาทิตย์เหล่านี้คึก โผล่หน้าออกมาพร้อมกันหมดทั้งสิบดวง ชาวโลกก็ไอ๊หยา ร้อนตายกันไปจำนวนมาก
เดือดร้อนถึงนายขมังธนูผู้เก่งกาจที่สุดในแผ่นดินต้องออกมาดำเนินปฏิบัติการดับตะวัน นายขมังธนูคนนั้น ถ้าจำไม่ผิดชื่อ โฮ่วอี้ แกยิงพระอาทิตย์แตกไปทีละดวงๆ จนเหลือแต่เพียงดวงเดียว โลกก็รอดมหัตภัยมาได้ เทพดวงอาทิตย์ของจีนโบราณ รูปเป็นนกกายักษ์สามขาครับ พอถูกยิงแตกก็หล่นลงมาตายกลายเป็นนกกาสามขาเก้าตัว เหลือดวงปัจจุบันให้ลส่องโลกต่อไป

(นิทานครับนิทาน เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงจะหานายขมังธนูที่ไหนที่จะยิงธนูได้ไกลถึง 93 ล้านไมล์ยังงั้นก็เกินไป)

โฮ่วอี้ผู้ดับดวงอาทิตย์มีเรื่องไปเกี่ยวกับจันทรเทวี ฉางเอ๋อ ด้วย เพราะโฮ่วอี้เป็นสามีของนางฉางเอ๋อ วีรกรรมของเขาที่ช่วยโลกให้พ้นจากอันตรายนั้น ทำให้สวรรค์ประทานยาอมฤตให้โฮ่วอี้เป็นรางวัล กินแล้วจะไม่แก่ไม่ตายกลายเป็นอมตะ

ตรงนี้เรื่องมีเล่าเป็นสองทาง ทางหนึ่งว่า พระนางฉางเอ๋อชายาโฮ่วอี้แอบขโมยกินยาอายุวัฒนะหมดคนเดียว ไม่แบ่งให้โฮ่วอี้ด้วย แต่อีกทางหนึ่งแก้ว่า เพราะโฮ่วอี้พอเป็นมหาวีรบุรุษของมนุษยชาติแล้วก็ชักจะเหิมเกริม ทำท่าจะตั้งตัวเป็นทรราช พระนางฉางเอ๋อเห็นท่าไม่ดีว่าถ้าโฮ่วอี้เป็นทรราชที่เป็นอมตะด้วย มวลมหาประชาชนก็คงแย่ เลยตัดสินใจขโมยยากินเองหมดคนเดียว

แต่ผลก็เหมือนกัน คือยาที่เตรียมไว้สำหรับสองคนนั้น พอนางฉางเอ๋อกินเข้าไปคนเดียวก็โอเวอร์โดส เกินขนาด ทำให้ตัวนางฉางเอ๋อเบาโหวงไม่ติดพื้น ลอยลิ่วๆ ขึ้นไปบนฟ้าจนไปถึงพระจันทร์ แล้วก็เลยติดแหงกอยู่ที่นั่นตลอดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ กลายเป็นเทพธิดาดวงจันทร์ไป

บนดวงจันทร์ จีนเขาว่า มีตำหนักเย็นอันไพศาล หรือกว่างหานกง เป็นวังของเทวีฉางเอ๋อ มีต้นอบเชยยักษ์อยู่ต้นหนึ่งด้วย ต้นอบเชยนี้ เป็นอบเชยวิเศษ ทวยเทพสร้างไว้ลงโทษใครอีกคนหนึ่งซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ ตะแกคนนี้แกอยากเป็นเซียน แต่ไปทำผิดข้อห้ามอะไรเข้าอย่างหนึ่ง เลยต้องมาใช้หนี้กรรมด้วยการมาตัดต้นอบเชย แต่อบเชยที่ว่าเป็นอบเชยวิเศษ พอแกเงื้อขวานฟันลำต้นเข้าแผลหนึ่ง ระหว่างระยะที่เงื้อขวานจะจามลงอีกรอบ แผลบนลำต้นก็ประสานกันสนิทเหมือนเดิม เป็นอันว่าแกต้องตั้งหน้าตัดต้นอบเชยนั้นแหละไปจนชั่วกัลปาวสาน ได้เป็นอมตะสมใจแต่ต้องทำงานตลอดเวลา รอยดำๆ บนพระจันทร์ที่ไทยเราเห็นเป็นกระต่าย นั้น จีนเขาว่า คือต้นอบเชยยักษ์นี่แหละครับ ส่วนสมัยนี้ใครจะว่าเป็นรอยเท้านีล อาร์มสตรองก็แล้วแต่

(ใครที่รู้จักนิยายกรีก ฟังบทลงโทษเรื่องตัดต้นอบเชยยักษ์นี้แล้วอาจจะนึกเปรียบเทียบกับซิซีฟุส ซึ่งถูกสาปให้กลิ้งครก เอ๊ย กลิ้งหินขึ้นเขาไปตลอดชั่วกาลนานเหมือนกัน)


อ้างคำพูด:
นิลกังขา:
นึกออกแล้วครับ อีตาคนตัดไม้เจ้ากรรมที่ถูกสาปนั่น ชื่ออู๋กังครับ แปลว่าถ้าเชื่อตำนานจีน บนโลกพระจันทร์มีชาวโลกพระจันทร์อยู่ 2 คน คือเจ้าแม่ฉางเอ๋อเทวี กับอีตาอู๋กัง กับสิ่งมีชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือต้นอบเชยยักษ์ (ผมคิดว่าทางจีนไม่ได้กล่าวถึงกระต่ายในดวงจันทร์)

ถ้าเชื่อตำนานไทย บนโลกพระจันทร์ก็มีกระต่าย กับมียายกะตาคู่หนึ่งทำนาอยู่บนพระจันทร์

เรื่องเทพกินเหล้า หรือน้ำโสมะ แต่อสูรไม่กินที่คุณพระนายยกมานี้ เป็นคติทางพราหมณ์ ซึ่งยังคงอยู่ในชื่อ "อสูร" อ + สุร และทางพุทธก็รับเกร็ดเรื่องนี้มาด้วย มาปรากฏในนิทานเรื่องพระอินทร์ของทางพุทธ ที่ได้เค้าจากพระอินทร์ฮินดูแต่ปรับแปลงใหม่ คือเรื่องของมฆะมานพกับสหายทั้งสามสิบสามคน ที่ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล 5 จนได้ไปเกิดในสวรรค์ พอไปเกิดก็เจอเทพพวกเก่าเจ้าถิ่น ซึ่งเป็นเทวดาขี้เมา ชวนให้เสวยสุรา พวกเทพใหม่ (ชาวพุทธ) ถือศีล 5 จึงไม่กินเหล้า เฝ้ารอท่าจนเทพพวกเก่าเมามายไม่ได้สติและก็พร้อมใจกันจับเทวดาขี้เมาโยนลงมาจากสวรรค์ เข้ายึดครองสวรรค์เป็นของตน กลายเป็นพระอินทร์ (ของทางพุทธ) หรือท้าวมัฆวาน และบรรดาเทวดาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (แปลความหมายว่า สวรรค์สามสิบสาม เพราะเริ่มจากเทพสามสิบสามองค์) ส่วนเทพพวกเก่าพอหล่นลงไปแล้ว ด้วยบารมีของพวกนั้น ก็เกิดเป็นพิภพใหม่คือภพอสูรขึ้นรองรับ จึงเกิดเทวโลกและอสูรโลกแต่นั้นมา และอสูรยังแค้นเทวดาอยู่ก็เลยเกณฑ์ทัพขึ้นไปรบกับเทวดาอยู่เนืองๆ เรียกว่า เทวาสุรสงคราม ซึ่งทางพุทธก็เอาเค้าจากนิทานพราหมณ์มาเล่าต่อในตำราพุทธเหมือนกัน

เห็นร่องรอยนิทานเดิมได้ชัด แต่สลับกันเสีย ทางพุทธ เทพต่างหากเป็นฝ่ายไม่กินเหล้า แต่อสูรกิน (หรือเคยกิน) หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า เทพพวกใหม่ที่ถือศีล 5 ของพุทธ ไม่กินเหล้า แต่เทพพวกเก่าหรือเทวดาฮินดูนั้นเป็นเทพขี้เมายังกินเหล้ากันอยู่ จนถูกเทพพวกใหม่ปราบจับโยนลงมา

ที่จริง สุระ ก็แปลว่า กล้า เท่านั้นเอง สุรา คงพอแปลว่าน้ำที่กินแล้วกล้า (บ้าบิ่น) ได้ละมั้ง



ขอบคุณ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1129.10;wap2

เจ้าของ:  พลบค่ำ [ 04 พ.ค. 2010, 16:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

หว้า ( Syzygium cumini (L . ) Skeels)

รูปภาพ


ต้นหว้า หรือที่ชาวฮินดูเรียกว่า “ จามาน ” หรือ “ จามูน ” ในพระพุทธประวัติกล่าวไว้สองตอนด้วยกันคือ ตอนแรก เมื่อพระเจ้าสุทโทธนะ สมเด็จพระราชบิดา เสด็จไปทรงประกอบพิธีแรกนาขวัญได้นำพระสิทธัตถะกุมาร ( พระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา) ไปดูด้วยและให้ประทับอยู่ใต้ต้นหว้าใหญ่ บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมต่างก็ไป ดูพิธีแรกนาขวัญกันหมด พระกุมารจึงลุกนั่งสมาธิกรรมฐาน ก็เป็นเหตุที่น่าอัศจรรย์ว่าแม้ตะวันจะบ่ายก็เป็น เหตุที่น่าอัศจรรย์ว่าแม้ตะวันจะบ่ายคล้อยไปแล้ว ร่มเงาของไม้หว้านั้นก็ยังไม่ขยับเปลี่ยนทิศทางคงปิดบังให้ ความ ร่มเย็นแก่พระองค์ โดยปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยู่ประดุจเงาของตะวันตอนเที่ยงตรงและอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่าตอนที่พระพุทธเจ้าไปอาศัยกัสสปชฏิล พระฤษีได้ทูลนิมนต์ภัตตภิจ พระองค์ตรัสให้ไปก่อนแล้วเสด็จ เหาะไปนำผลหว้าใหญ่ประจำทวีปในป่าหิมพานต์ และไปสู่ที่โรงเพลิงก่อนที่กัสสปชฏิลจะไปถึง
หว้า เป็นพันธุ์ไม้พวก ชมพู่ คือสกุล ( Genus) ชมพู่ ( Syzygium) ในวงศ์ ( Family) ไม้หว้า ( Myrtaceae) เป็นไม้ต้นขนาด ใหญ่ ลำต้นค่อนข้างเปลา ตรง เปลือกค่อนข้างเรียบสีเทาอ่อนกิ่งก้านมาก แข็งแรง ปลายกิ่งห้อยย้อยลง ใบดกหนา ทำให้เกิดเป็นพุ่มทรงรูปไข่ แน่นทึบ ใบอ่อนจะแตกสีแดงเรื่อ ๆ ใบแก่หนา ออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน รูปใบมนหรือ แกมรูปหอก เกลี้ยง เป็นมัน เส้นแขนงใบละเอียดอ่อนและเรียงขนานกัน ดอกสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ตามกิ่ง ย่อม ๆ เหนือรอยแผลใบ ผล กลม รี ๆ มีเนื้อเยื่อหุ้ม ผลอ่อนสีเขียว พอเริ่มแก่ออกสีชมพู แต่พอแก่จัดออกสีดำ ใช้รับ ประทานได้ มีรสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แม่ค้าที่ขายลูกหว้าเขาจะพรมน้ำเกลือเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาดให้น่ารับประทาน ยิ่งขึ้น ผล ยาว 1 – 2.5 ซม. และโตประมาณ 1 ซม.
หว้า เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของแถบเอเชีย สามารถขึ้นได้ตั้งแต่ป่าดิบใกล้ทะเลขึ้นไปถึงเขาสูงไม่น้อยกว่า 800 เมตร ขึ้นได้ดีในที่ค่อนข้างชื้น ดินอุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ยธรรมชาติ การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่ใช้เมล็ดเพาะ และสัตว์พวกนก และค้างคาว สามารถช่วยในการแพร่พันธุ์ได้อย่างดี โดยนำเมล็ดที่กินเข้าไปถ่ายในที่อื่น ๆ นอกจากนี้ยังใช้ การตอนหรือทาบกิ่งก็ได้ ผลของหว้าจะมีขนาดเล็ก ใหญ่ ไม่แน่นอน แต่มีรายงานจากของอินเดียว่า หว้ามีผลยาว ถึง 3 ซม. พระที่วัดบวรฯ เคยบอกว่า มีหว้าต้นหนึ่งทางด้านคลองที่คั่นโบสถ์ มีผลใหญ่มาก และบอกว่ามีคนนำมา จากประเทศอินเดีย ถ้าเป็นจริงก็เข้าใจว่าคงเป็นหว้าที่มีชื่อเดิมทางพฤกษศาสตร์ว่า Eugenia jambolana Lam. แต่ในภายหลังชื่อนี้กลายเป็นชื่อพ้อง Syzygium cumini (L . ) Skeels ไปเสียแล้ว


ขอบคุณ http://webboard.tourthai.com/index.php?topic=4202.0

เจ้าของ:  พลบค่ำ [ 04 พ.ค. 2010, 16:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ช่วยตอบหน่อยคราฟผู้รู้

สารภีไม่เจอค่ะ^^~ขอโทษด้วยน่ะค่ะ เจอแค่ต้นสาละ น่ะค่ะ

ต้นสาละ (Shorea robusta Roxb.)

สาละ ชาวอินเดียเรียกว่า ซาล (Sal) เป็นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน โดยที่พุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา เมื่อใกล้กำหนดจะให้พระสูติการก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไป ยังกรุงเทวทหนคร อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมพราหมณ์ (ที่การคลอดบุตรฝ่ายหญิง จะต้องกลับไปคลอดที่บ้าน พ่อ-แม่ ของฝ่ายหญิง) ในระหว่างทางพระนางได้ทรงหยุดพักบริเวณป่าแห่งหนึ่ง ใต้ร่มต้นสาละ เขตตำบลลุมพินีสถาน คงจะเป็นด้วยทรงถูกกระทบกระเทือนจากการเดินทางไกล หรือจะ เป็นด้วยอำนาจบุญญาธิการของพระราชโอรส (คือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา) พระนางทรงเจ็บพระครรภ์ ผู้ตามเสด็จก็คงจัดเตรียมกั้นเป็นฉากห้อง เพื่อใช้เป็นสถานที่พระสูติการภายใต้ร่มของต้นสาละนั้น สำหรับในช่วงสุดท้ายที่ต้นสาละเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัตินั้น ก็โดยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จ ไปถึงยังเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน ภายใต้ร่มต้นสาละคู่หนึ่ง ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก จึงรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดที่บรรทมเอนพระวรกาย ลงโดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเอง


ที่กล่าวมาแล้วเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ แต่ ?สาละ? โดยตัวเองแล้วเป็นต้นไม้ขนาดกลางถึง ใหญ่ไม่ผลัดใบ อยู่ในสกุล (Genus) ไม้สยา (Shorea) วงศ์ (Family) ไม้ยาง (Dipterocarpaceae) ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทา แตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปเจดีย์หรือรูปไข่ เรือนพุ่มประมาณ 2/3 ของ ความสูงของต้น ปลายกิ่งห้อยลู่ลง ใบดกหนา กิ่งอ่อนเกลี้ยง ไม่มีขน ใบรูปไข่กว้าง โคนใบหยักเว้าเข้า ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้น ๆ ผิวใบเป็นมันเกลี้ยง พื้นใบมักเป็นคลื่น รูปทรงทั่ว ๆ ไป คล้ายใบรังของไทย ดอกสีเหลืองอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลแข็ง มีปีก 5 ปีก ในจำนวนนี้จะยาว 3 ปีก และสั้น 2 ปีก แต่ละปีกมีเส้นตามยาวปีก 10 ? 15 เส้น สาละเป็นไม้พื้นเดิมของอินเดีย มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น การขยายพันธุ์นิยมใช้เมล็ด เพาะหรือจะใช้การตอนกิ่งหรือทาบกิ่งก็ได้ แต่วิธีหลังเปอร์เซ็นต์การติดน้อยมาก ในประเทศไทยได้มีการ นำเอาต้นสาละหรือต้นซาลเข้ามาปลูกหลายครั้ง เท่าที่ทราบก็มีหลวงบุเรศบำรุงการนำมาถวายสมเด็จ พระมหาวีรวงษ์ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยทรงปลูกไว้ที่หน้าพระอุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2510 อีก 2 ต้น ในจำนวนนี้ได้ทรงปลูกไว้ในพระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน 1 ต้น กับทรงมอบให้วิทยาลัยการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีอีก 1 ต้น อาจารย์เคี้ยน เอียดแก้ว และอาจารย์เฉลิม มหิทธิกุล ก็ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในบริเวณคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ที่ค่ายพักนิสิตวนศาสตร์ สวนสักแม่หวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง พระพุทธทาสภิกขุ ก็ได้ปลูกไว้ที่สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และนายสวัสดิ์ นิชรัตน์ ผู้อำนวยการกองบำรุง ก็ได้นำปลูกไว้ในสวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่างก็มีความเจริญงอกงามดี และคาดว่าคงจะให้ผล เพื่อขยายพันธุ์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นในเวลาอันควร


เดิมทีความเข้าใจเกี่ยวกับต้นสาละหรือต้นซาล ของชาวไทยยังค่อนข้างสับสนกันอยู่ เช่นเข้าใจว่าต้นสาละ เป็นต้นเดียวกันกับต้นรัง ที่มีชื่อทางพฤกษศาตร์ว่า Shorea siamensis Miq. เพราะรูปร่างและขนาด ของใบคล้ายคลึงกันมาก ประกอบกับต่างก็ชอบขึ้นเป็นหมู่ด้วยเช่นกัน แต่รังของไทยผิวใบไม่เป็นมัน พื้นผิว ค่อนข้างเรียบ บางสายพันธุ์ยังมีขนตามผิวใบ กับพอใบแก่จัดก่อนร่วงยังกลายเป็นสีแดงอิฐเสียอีกด้วย บางทีก็เข้าใจว่าต้นลูกปืนใหญ่หรือแคนนอลบอล ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Couroupita guianensis Aubl. เพราะมีผู้นำต้นไม้ชนิดนี้มาจากประเทศลังกา และได้รับการบอกเล่าจากทางลังกาว่าเป็นต้นสาละ ผู้นำเข้ามาส่วนใหญ่จะปลูกไว้ตามวัดต่าง ๆ เช่น วัดพระเชตุพนฯ วัดบวรนิเวศน์ฯ และที่สวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี เป็นต้น พันธุ์ไม้ดังกล่าวจะมีช่อดอกออกตามลำต้น ดอกโตขนาดถ้วยแกง และมีผลกลม โต ขนาดผลส้มโอย่อม ๆ

ขอบคุณ http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=230.0

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/