ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ปวดหลัง...ขับรถจะปรับอย่างไรดี http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=20580 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 13 ก.พ. 2009, 17:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | ปวดหลัง...ขับรถจะปรับอย่างไรดี |
ปวดหลัง…ขับรถจะปรับเบาะอย่างไรดี ดร.คีรินท์ เมฆโหรา คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีผู้ป่วยหลายคนบ่นถึงอาการของตนเองว่า ถ้าขับรถแล้วจะมีอาการปวดหลังมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถเป็นเวลานานๆ ดังนั้น หากต้องขับรถ ผู้ป่วยหลายๆ คนจะกลัว และมีความรู้สึกไม่อยากขับเอาเสียเลย แต่ยังมีผู้ป่วยอีกหลายคนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้ป่วยแต่จำเป็นต้องขับรถทางไกล แล้วจะทำอย่างไรดี ข้อคำถามเหล่านี้ผู้เขียนได้ตอบให้กับผู้ป่วยบ่อยมาก ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าการขับรถเป็นเรื่องที่สำคัญมีผลต่อร่างกายและอาการปวดหลัง จึงต้องมาเขียนเล่าเรื่องแทรกเข้ามาในฉบับนี้ หลังจากที่หลายๆ ฉบับที่ผ่านมาผู้เขียน เขียนเรื่องโรคกับการทำงานติดต่อกัน ประสบการณ์ตรงของผู้เขียนกับอาการปวดหลังเมื่อขับรถ ผู้เขียนเคยมีอาการปวดหลัง ที่เป็นเนื่องจากการเรียนในหลักสูตรที่ต้องดัด ดึง ข้อต่อ เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่เรียนนั้นเป็นช่วงที่มีการ "หักหลัง" ฟังดูแล้วน่ากลัว ใช้คำว่า "ก๊อกหลัง" ดีกว่า คือการบิดตัวเพื่อให้มีเสียงดัง ก๊อก ในข้อที่เราต้องการ เหมือนอย่างหมอนวดไทย หรือแพทย์ทางเวชศาสตร์โครงสร้างทำกันบ่อยๆ หลัง จากการฝึกหนักทำให้หลังระบม และไปเล่นแบดมินตันต่อ ขณะที่เล่นนั้นมีอยู่จังหวะหนึ่งที่ต้องกระโดดแล้วบิดตัวเพื่อตีลูกอย่างแรง (เป็นท่าที่หลังไม่ชอบเอามากๆ เลย) ทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้นมาทันที ผู้เขียนเจ็บอยู่ประมาณ ๒ สัปดาห์ ทำให้ทราบว่าอาการปวดหลังเป็นอาการที่ทรมานมาก เพราะเดินไม่ได้ ใส่เสื้อผ้ายังต้องนอนใส่ หากขับรถแม้ระยะทางสั้นๆ จะมีอาการปวดมาก โดยเฉพาะขณะที่ออกจากรถ ต้องใช้วิธีพิเศษคือนำขาออกก่อน ๑ ข้าง หมุนตัวโดยไม่ให้ตัวบิดและก้ม นั่นคือต้องใช้มือซ้ายเอื้อมมาทางขวา และใช้มือทั้งสองข้างเท้าที่เบาะ และผลคือต้องลงไปคุกเข่า แล้วค่อยๆ เอามือไต่รถขึ้นมายืน จากประสบการณ์นั้นและความรู้ที่ได้เรียนมา ทำให้ได้ข้อคิดและวิธีปฏิบัติไม่มากก็น้อยที่เป็นประโยชน์ กับผู้ที่ขับรถ และผู้ป่วยปวดหลังหรือบริเวณอื่นๆ ที่จำเป็นต้องขับรถ ข้อเท็จจริงที่ต้องรู้ก่อนการปรับเบาะ ก่อนที่จะปรับเบาะควรพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้ประยุกต์ ก่อนที่จะทำการปรับ ๑. ร่างกายไม่ชอบที่จะอยู่ท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หากจำเป็นต้องอยู่นานๆ ท่านั้นต้องเป็นท่าที่สบายที่สุด ๒. หลัง ไม่ชอบที่จะอยู่ในท่าโค้งหรือมีการบิดตัว เพราะในท่าเหล่านั้น กล้ามเนื้อและเอ็นด้านหลังจะถูกยืดนานๆ หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีแรงกดมากกว่าในท่านั่งหลังตรงหรือท่ายืนตรง ๓. บ่า และไหล่ ไม่ชอบให้ศีรษะอยู่ในท่าก้มหรือเงยมากไป เพราะเขาจะทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกันกับถ้าต้องยกแขนสูงๆ โดยสังเกตได้ว่า กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องเกร็งตัวขึ้น ๔. เส้นประสาทหลัง และขา ไม่ชอบอยู่ในท่าที่ตึงๆ นานๆ ท่าที่ทำให้เส้นประสาทตึงคือท่าที่นั่งเป็นรูปตัวแอล (L) หรือยืนก้มตัวโดยให้ขาตรง ๕. ความเมื่อยล้าของสายตา และความเครียดมีผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อต้องปรับเบาะ...อย่างปลอดภัย เมื่อต้องขับรถ มีอุปกรณ์หลายอย่างที่สามารถปรับได้ เช่น กระจกมองข้าง กระจกส่องหลัง เบาะและพวงมาลัย อุปกรณ์เหล่านี้ อาจไม่ต้องมีการปรับบ่อยหากรถนั้นใช้เพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามควรปรับให้เหมาะสมและตรวจดูความเหมาะสมของอุปกรณ์เหล่านี้ ทุกครั้งก่อนขับรถ โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้ ๑. ปรับระยะนั่งใกล้ ไกล ก่อนเป็นอันดับแรก โดยให้ขาเหยียบคันเร่งพอดีและสามารถขยับเท้ามาเหยียบเบรกได้ง่ายและรวดเร็ว และระยะห่างนี้ต้องไม่ทำให้เข่าและสะโพกงอมากนัก เพราะการงอมากของเข่า และสะโพกจะทำให้กระดกข้อเท้าได้ลำบากทำให้ต้องยกขาเมื่อต้องขยับเท้าไปมา ขณะเดียวกันการเหยียดขามากไปจะทำให้ตัวและขาอยู่ในรูปคล้ายตัวแอล ซึ่งมีผลต่อการเหยียบเบรกและคันเร่งเช่นกัน คือแรงจะลดลง เพราะสามารถใช้ปลายเท้าเหยียบได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แรงจากเข่าและสะโพกได้ ร่างกายที่อยู่ในรูปตัวแอล จะมีผลทำให้หลังส่วนล่างโค้งมาก และเส้นประสาทสันหลังและขาตึงตัวมาก จะมีผลเสียคือ กล้ามเนื้อล้าง่าย ด้านหน้าของหมอนรองกระดูกมีแรงกดมาก ทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นไปด้านหลังสูง ท่านั่งนี้จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงท่านั่งนี้ ที่เราอาจพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้เก๋งเตี้ยๆ ๒. การปรับความเอียงของเบาะพิงหลัง จะมีความสัมพันธ์กับการปรับใกล้ไกล มุมการมอง และการจับพวงมาลัย คือเมื่อปรับขาให้พอดี ตัวอาจจะห่างไป ทำให้ต้องปรับเบาะพิงชันขึ้นมา แต่การปรับเบาะชันขึ้นมาอาจมีผลทำให้หลังและขาเป็นรูปคล้ายตัวแอลดังข้อ ๑ แต่ก็มีข้อดีเมื่อตัวตั้งตรงคือ ทำให้ไม่ต้องงอคอมากนัก บ่าและคอจึงไม่เมื่อย ดังนั้นความเอียงของเบาะควรอยู่ในระดับที่เมื่อขับรถแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่าต้องใช้แรงในการยกคอและศีรษะขึ้นมาตั้งตรง ๓. ปรับการเอียงของเบาะนั่ง มีความจำเป็นอีกเช่นกัน เพราะหากเบาะนั่งให้มีการชันตัวมาก จะมีผลทำให้เกิดการกดของด้านหน้าของเบาะต่อด้านหลังเข่าของผู้ขับขี่ ซึ่งด้านหลังเข่านี้ มีหลอดเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก หากมีการกดทับจะทำให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงของขาได้ ดังนั้นควรปรับให้เบาะด้านหน้าสูงพอที่ระรับน้ำหนักขาได้ โดยที่ขาไม่ลอยสูงจากเบาะ (ลักษณะเข่าชัน) และเมื่อขับรถและมีการกดคันเร่งค้างนานๆ ด้านหน้าของเบาะต้องไม่กดหลังเข่า ๔. ปรับความสูงต่ำของเบาะ โดยเฉพาะรถใหม่ๆ มักจะสามารถปรับได้ หลายๆ คนอาจมองว่าไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวสูงอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ตัวสูงก็ต้องใช้ เพราะถ้าเบาะเตี้ยจะทำให้ต้องปรับเบาะรถห่างจากพวงมาลัยมากขึ้นส่งผล ต่อการงอของหลัง การปรับเบาะรถให้สูงขึ้นจะมีผลทำให้ท่านั่งขับรถ คล้ายกับการนั่งเก้าอี้มากขึ้น ดังเห็นได้จากรถตู้หรือรถ MPV ที่มักต้องนั่งขับในท่าหลังตรงๆ และแน่นอนท่านี้ศีรษะและคอก็จะอยู่ในแนวตรง ไม่จำเป็นต้องงอคอขึ้นมา และในผู้ที่ตัวไม่สูง ก็สามารถปรับความสูงของเบาะเพื่อให้เหยียบถนัดขึ้น ๕. ปรับมุมของพวงมาลัย จะขึ้นอยู่กับการปรับเบาะต่างๆ ด้วย ให้ปรับทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยมาปรับพวงมาลัย แต่ถ้าปรับพวงมาลัยสุดแล้วยังรู้สึกไม่พอดี ต้องปรับจากข้อ ๑ ถึง ๔ ใหม่อีกครั้ง ตำแหน่งและระยะการจับพวงมาลัยมีความสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการควบคุมพวงมาลัยของรถทำให้บังคับรถได้ง่ายหรือยากได้ ระยะและระดับที่เหมาะสมคือ ระยะที่เมื่อวางมือแล้ว สามารถหมุนพวงมาลัยได้คล่อง ไม่มีการติดขัดหรือมีความรู้สึกว่าต้องเอื้อม ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องไม่เกร็ง เพื่อที่จะถือแขนให้อยู่กับพวงมาลัยนานๆ ๖. การปรับระยะพวงมาลัยเข้าใกล้หรือไกล รถรุ่นใหม่ๆ อาจสามารถปรับระยะใกล้ หรือไกลของพวงมาลัยได้ คือเราสามารถดึงพวงมาลัยเข้าใกล้หรือผลักออกไปไกลได้ การปรับนี้มีข้อดี ที่เมื่อปรับระยะใกล้ ไกล และปรับพนักพิงแล้ว อาจทำให้แขนต้องเอื้อมจับหรือแขนอยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป การปรับนี้จะช่วยให้เราสามารถจับพวงมาลัยได้ถนัดขึ้น ๗. ปรับกระจกส่องข้างและหลัง จะเป็นการปรับหลังสุด หลังจากปรับส่วนอื่นๆ เสร็จแล้ว โดยยึดหลักการที่ว่า เมื่อนั่งโดยไม่ต้องขยับศีรษะหรือโยกตัว เราสามารถมองเห็นในจุดที่เราต้องการได้ หากการมองยังมีจุดบอดแสดงว่าอาจต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ติดกระจกส่องหลังบานใหญ่ขึ้น หรือกระจกโค้ง เพื่อให้เห็นได้ครอบคลุมขึ้น แต่อาจมีผลเรื่องการกะระยะบ้างเพราะภาพจากประจกโค้งจะหลอกตา หลักการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องอยู่ภายใต้คำว่า ความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย หากปรับให้สบายตัว แต่ไม่ปลอดภัยก็ไม่ถือว่าเป็นการปรับที่ดี ทั้งนี้ขอให้ปรับเมื่อรถอยู่นิ่ง ไม่ควรปรับเมื่อรถวิ่งอยู่ โดยเฉพาะการเลื่อนเบาะและปรับมุมพนักพิง ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้ และดังที่กล่าวไว้ว่าร่างกายไม่ชอบอยู่ในท่าทางที่นานๆ แม้ว่าท่านจะได้ท่านั่งที่ดีและเบาะนั่งที่เหมาะกับตัวท่านแล้ว ร่างกายยังต้องการการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ดังนั้น ให้หยุดพักบ่อยๆ เมื่อขับรถทางไกล ให้ลงจากรถมายืดเส้นยืดสาย ล้างหน้า จะได้หายจากความเมื่อยล้า และความเครียด หากทำได้เช่นนี้ท่านจะมีความสนุกกับการขับรถ คัดลอกจาก...มูลนิธิหมอชาวบ้าน http://www.doctor.or.th/node/1190 ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 21 ก.พ. 2009, 22:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปวดหลัง...ขับรถจะปรับอย่างไรดี |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Duangtip [ 18 มี.ค. 2015, 10:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปวดหลัง...ขับรถจะปรับอย่างไรดี |
สาธุๆๆ ค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |