วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2009, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




39.gif
39.gif [ 23.83 KiB | เปิดดู 5237 ครั้ง ]
tongue

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




20070303-BaanKhunTa-003.jpg
20070303-BaanKhunTa-003.jpg [ 71.76 KiB | เปิดดู 5026 ครั้ง ]
ทานอย่างไร? จึงจะเหมาะสม...

“ You Are What You Eat ” เป็นคำที่ผู้บริโภคบางท่านอาจเคยได้ยิน
การกินเพื่อเสริมสุขภาพนั้น เป็นศาสตร์แห่งโภชนาบำบัด เปรียบเสมือน เวชศาสตร์เพื่อป้องกันและรักษา รวมอยู่ในศาสตร์เดียวกัน เป็นการเตือนสติให้เรารู้จักหยิบจับประโยชน์ข​องอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มาใช้เป็นธรรมชาต​ิบำบัด เพราะสมุนไพรบางชนิดก็มีพิษเหมือนกัน แต่บางชนิดก็เป็นอาหารโดยตรง และบางชนิดก็เป็นยา การนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์นั้น ควรศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียด เพราะสมุนไพรบางอย่างนั้นมีความสลับซับซ้อนเก​ินไป และถ้าหากนำมาใช้แบบผิดวิธีจะทำให้เกิดอันตรา​ยได้

การรู้จักเลือกกิน เพื่อสุขภาพนั้น หากเรารู้จักแค่ด้านสมุนไพรคงยังไม่พอ
เราควรรู้จักส่วนของร่างกายด้วย ซึ่งต้นเหตุแห่งการเกิดโรคนั้นมาจากธาตุในร่า​งกาย 32 ธาตุด้วยกัน เป็นธาตุดิน 20 ชนิด ธาตุน้ำ 12 ชนิด และมีความสัมพันธ์กับอวัยวะ 12 ประการที่สำคัญ
และทำงานอวัยวะละ 2 ชม.รวมเป็น 24 ชม.
ในงานวิจัยของต่างประเทศนั้น ถ้าหากเราบำรุงอวัยวะนี้ ตรงเวลาจะทำให้ตัวยาหรือสมุนไพรที่เราทานเข้า​ไปจะทำให้ตัวยาได้ผลหลายเท่า

การ กินด้วยสติ กินเวลาไหน ? และกินอะไร ? เป็นคำถามที่ทำให้เกิดประโยคที่ว่า “ นาฬิกาชีวิต ” นั่นก็คือช่วงเวลาของการทำงานของอวัยวะภายในร​่างกาย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 03.00-05.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของปอด ซึ่งเป็นเรื่องของการหายใจสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะ ปอดของมนุษย์ ต้องทำงานตลอดเวลา

05.00-07.00 น. คือ ช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ สำคัญเป็นรองจากปอด เราควรจะทำให้เป็นธาตุว่าง เพราะถ้าธาตุเต็มเวลานี้จะทำให้ร่างกายเราป่ว​ยได้ง่าย เราควรทำการถ่ายอุจจาระเวลานี้ดีที่สุด

07.00-09.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของกระเพาะ เราควรที่จะรับประทานอาหารในเวลานี้เพื่อที่จ​ะทำให้ได้รับพลังงานได้เต็มที่

09.00-11.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของม้าม หากคนมีปัญหาที่ม้ามอาจมีสิทธิเป็นโรคหวัดสูง​ได้ อาหารบำรุงม้ามเป็นอาหารที่สีเหลืองเช่น มันเทศ ฟักทอง อาหารเหล่านี้จะอุ้มไขมันที่ไม่ดีในร่างกายไป​ทิ้ง

11.00-13.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของหัวใจในส่วนกล้ามเนื้อ หากอวัยวะส่วนนี้มีปัญหาอาจทำให้ร่างกายเรามี​ความเสี่ยงเป็นโรคไหลตายได้ หากเรางีบพักผ่อนช่วงเวลานี้ ประมาณ 15 นาที ก็สามารถช่วยให้หัวใจเราแข็งแรงได้

13.00-15.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของลำไส้เล็ก ซึ่งทำหน้าที่ในการดูดซึมโปรตีน และ วิตามิน เพื่อไปสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย โดยใช้กรด อะมิโนจากโปรตีนที่เราทานเข้าไปช่วงก่อนบ่ายโ​มง
15.00-17.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เราไม่ควรทำให้กระเพาะปัสสาวะทำงานหนักในเวลา​นี้แต่เราจะขับน้ำเป็นเหงื่อ แทนจากการออกกำลั​งกายแทน

17.00-19.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของไต ไตของเราจะทำงานหนักในช่วงเวลานี้ คนที่มีปัญหาเรื่องไตจะมีอาการง่วงและเพลียใน​เวลานี้

19.00-21.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของเยื่อหุ้มหัวใจ หากใครมีปัญหาควรควบคุมการทานผลไม้ในเวลานี้

21.00-23.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของระบบความร้อนในร่างกาย เราไม่ควรให้ร่างกายโดนความเย็นในช่วงเวลานี้​เช่น การอาบน้ำ สระผม ร่างกายเราต้องสะสมพลังงานจากความอุ่น เช่นการดื่มน้ำขิง เป็นต้น

23.00-01.00 น. คือ ช่วงเวลาการทำงานของถุงน้ำดี หากท่านใดมีปัญหาในเรื่องของถุงน้ำดีอาจเกิดอ​าการไมเกรนในเวลานี้ได้ ซึ่งสาเหตุของการเกิดไมเกรนเกิดจากทานน้ำน้อย ให้ แก้ปัญหาโดยการกินน้ำเยอะๆ ในเวลานี้ได้

01.00-03.00 น. คือ ช่วงเวลาของการพักผ่อนของอวัยวะในร่างกายเราค​วรนอนหลับในช่วงเวลานี้ไม่ควรให้อวัยวะส่วนใด​ทำงานหนัก

ศาสตร์ แห่งการกินเพื่อสุขภาพนั้นหากเรา ทานน้อยมื้อ จะช่วยทำให้เรามีอายุยืนขึ้นได้
เพราะร่างกายเ​ราได้ลดการทำงานของการเผาผลาญ ลง ทำให้อวัยวะบางส่วนร่างกายเรา
ทำงานน้องลง เนื่องจาก เราได้สารอาหารที่ครบแต่พลังงานน้อย


ขอบคุณ...กับอนุโมทนา...ของทุกท่าน...ที่แวะมาเยี่ยมลุง...ขอบคุณครับ :b8:
ขอบใจจ๊ะหนูปลายฟ้า...ที่ห่วงคนแ่ก่.... :b17:

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

วาซาบิ...เป็นสมุนไพรชนิดยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์

หลายคนคงจะเคยลองลิ้มชิมรสกับอาหารญี่ปุ่นกันบ้างแล้ว และหลายคนก็คงจะได้ลองสัมผัสกับความฉุนของเจ้า "วาซาบิ" ที่ถือว่าเป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่นกันแล้ว บางคนอาจจะหลงใหลในรสฉุนดังกล่าว บางคนอาจจะร้องยี้ แต่รู้หรือไม่คะว่า ใน วาซาบิที่คุณเขี่ยให้ห่างเวลาทานอาหารญี่ปุ่นนั้น มีประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยทำให้โล่งจมูกและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ยังอาจจะช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย

นายฮิเดกิ มาซูดะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัท โอกาวะ ผู้ผลิตเครื่องปรุงรส ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สาร ประกอบทางเคมีในวาซาบิ นอกจากทำให้วาซาบิ มีรสชาด และกลิ่นรุนแรงแล้ว ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็น ต้นเหตุของฟันผุ โดยวา ซาบิประกอบด้วย ไอโซทิโอไซยาเนตส์ ซึ่งนักวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งการผลิตเอนไซม์ ที่มีส่วนสำคัญ ในการก่อตัวของหินปูน ก่อนหน้านี้ วาซาบิ เคยมีชื่อเสียงในเรื่องของการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็ง และป้องกันโรคหอบหืด

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ทำสปาแบบง่ายๆ ที่บ้านคุณ

ในช่วงปีนี้ หลายๆ คนคงได้สังเกตุเห็นว่า ธุรกิจสปาในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นเร็วมาก อย่างไรก็ตาม การไปใช้บริการสปาตามสถานที่ต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินใช้ทองไม่น้อยทีเดียว ทำให้เป็นอุปสรรคพอสมควรสำหรับคนประเภทเบี้ยน้อยหอยน้อย

ขณะที่บรรดาคนมีสตางค์เองก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะทำสปาแบบง่ายๆ ขึ้นที่ "บ้าน" เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการแต่งเติมชีวิต ในความเป็นจริงนั้น การทำสปาที่บ้านไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าหากรู้วิธีก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ เช่นกัน

สำหรับวิธีการทำสปาที่บ้านนั้น ก่อนอื่นต้องเตรียมอุปกรณ์และสถานที่ให้เหมาะสม โดยใช้มุมของบ้านที่สบายๆ โล่งๆ มีลมเบาๆ และจัดหาสถานที่สำหรับเอนหลังเอาไว้นอนด้วยก็จะเป็นการดี

พอได้ที่แล้ว ก็มาถึงเรื่องของการสร้างบรรยากาศ ซึ่งสปาทั่วๆ ไปนั้นจะมีกลิ่นธรรมชาติหอมฟุ้งเบาๆ ลอยฟุ้งอยู่ทั่วไปหมด ดังนั้น ก็ต้องมีการเตรียมการสิ่งเหล่านี้เอาไว้ เช่น กลิ่นกำยาน น้ำมันหอมระเหยจากพืช ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ ฯลฯ พร้อมทั้งสรรหาดนตรีบรรเลงสไตล์อาราเบียนหรือฮินดู เพื่อให้เข้ากับกลิ่น ส่วนเรื่องของแสงไฟนั้น ต้องแนะนำว่า ควรหรี่แสงไฟให้น้อยที่สุดเพื่อทำให้เคลิ้มหลับได้ง่าย

จุดสำคัญอีกจุดหนึ่งก็คือเวลาที่จะทำสปา จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า วันอาทิตย์เวลาบ่ายสองโมงเป็นห้วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ถามว่าทำไมต้องเป็นวันและเวลานั้น บอกได้คำเดียวว่า ต้องลองทำดูแล้วถึงจะรู้

เมื่อจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้พร้อมสรรพแล้ว ก็มาถึงกรรมวิธีในการ สปา ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการเปิดเพลง สร้างกลิ่น จากนั้นก็ไปอาบน้ำโดยใช้เวลาอย่างน้อย 6 นาที ไม่ใช่รีบๆ อาบให้เสร็จๆ เพราะจุดประสงค์คือการผ่อนคลาย

หลังอาบน้ำเสร็จแล้ว ให้เช็ดตัวสบายๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เบาสบาย นอนเอนหลังลงในที่ที่เตรียมไว้แล้วหลับตา ผ่อนคลาย อย่าพยายามคิดอะไร นอกจากคล้อยตามเพลงที่ชอบ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนด้วยการหายใจสบายๆ ฟังเพลง...ผ่อนคลาย...หายใจสบายๆ...ฟังเพลง...ผ่อนคลาย....แล้วคิดในใจว่า อีกหนึ่งชั่วโมงจะตื่น...

จากนั้นหายใจสบายๆ ฟังเพลง...ผ่อนคลาย...หายใจสบายๆ...ฟังเพลง...ผ่อนคลาย...ผ่านไปหนึ่ง ชั่วโมง เมื่อคุณตื่นขึ้นมา จะรู้สึกถึงความสบายและผ่อนคลายในอีกแบบหนึ่ง เหมือนกับเวลาที่ไปใช้บริการในสปาต่างๆ อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว

เอาเป็นว่า ใครอยากทดลองทำสปาแบบง่ายๆ ในบ้าน และได้ผลเหมือนกับเวลาไปใช้ในสถานบริการสปา ก็ทดลองทำตามข้อแนะนำข้างต้น ซึ่งรับรองว่าจะติดใจและไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




01612_21.jpg
01612_21.jpg [ 53.55 KiB | เปิดดู 5002 ครั้ง ]
วิธีเอาตัวรอดจากความเครียด

ช่วงนี้มีใครเครียดบ้าง? ครับ

ลุงว่า คงจะมีเนอะ โดยเฉพาะหลานๆ ที่กำลังเครียดเรื่องสอบ เรื่องส่วนตัว เรื่องสถานการณ์บ้านเมือง เรื่องสุขภาพ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเครียดจัด หรือรู้สึกวิตกกังวลถึงความไม่มั่นคงปลอดภัย วิธีการเอาตัวรอดจากเรื่องเลวร้ายง่ายมากครับ แค่มาลองพิจารณาสาเหตุของเรื่องต่างๆ กันก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไข โดยต้องไม่ลืมว่า "ปัญหามา ปัญญามี" อิอิ มาเริ่มกันเลยครับ

@ เรากำลังมีปัญหาใหญ่?
ที่จริงแล้วที่เรามัวเครียด กังวล สับสน ว้าวุ่นอยู่นั้น "เรากำลังมีปัญหาใหญ่จริงเหรอ?" ลองมองดูรอบๆ ข้างบ้าง หลายๆ คนก็กำลังประสบปัญหาไม่ต่างจากเรา บางคนหนักกว่าเราอีก ลองกำหนดขอบเขตปัญหาหรือสาเหตุที่ทำให้เราเครียดดู จะได้รู้ว่าทางออกของปัญหานั้น ต้องใหญ่แค่ไหน...

@ วิเคราะห์ปัญหากันก่อน?
ว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากความผิดพลาดของเราเอง อันมาจากความสะเพร่า ไม่รอบคอบ ไม่รับผิดชอบ หรืออะไรก็ตามแต่ใช่หรือไม่ หากใช่... แน่นอนว่าย่อมมีทางแก้ไข แต่หากปัญหานั้นไม่ได้มาจากตัวเรา แต่เกิดมาจากบุคคลอื่นหรือมีแรงกดดันมาจากสิ่งอื่น แน่นอนว่าเรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราซะแล้ว คงจะแก้ได้ยาก ดังนั้นเตรียมใจยอมรับมันดีกว่า

@ คิดทีละข้อ แก้ทีละเรื่อง?
พอเราเริ่มมีปัญหา เรามักจะรู้สึกว่า "แย่จัง ทำไมปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเราพร้อมกัน" ถ้าเรายิ่งวิตกกังวล เราย่อมมีโอกาสทำพลาดมากขึ้น ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ไปทีละจุดเหมือนแก้ปมเชือก ถ้าใจร้อน อาจทำให้ปมยิ่งแน่น และยิ่งพันกันยุ่งกว่าเก่า

@ หาทางออกกันอย่างไร?
"เวลามีปัญหา ถ้าหาทางออกไม่ได้ ให้ไปออกตรงทางเข้า" !!! (ใครไม่รู้เคยบอกไว้) อย่าลืมว่าเรื่องราวมักมีวิธีการคลี่คลายปมเหตุมากกว่าหนึ่งทางเสมอ เหมือนเวลาเราดูละครแล้วเดาตอนจบกันไปต่างๆ นาๆ ต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกปัญหาล้วนมีทางออก และย่อมมีวิธีที่ดีที่สุดเสมอ เพียงแต่บางเรื่องก็ต้องการเวลาเยียวยา

@ ผ่านไปแล้วอย่าเก็บมาคิด?
ทุกเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ ดังนั้น ทบทวนเอาไว้เป็นบทเรียนก็พอ อย่าไปหมกมุ่นวิตกกังวลว่าจะซ้ำรอยเดิมอีก คนเราพลาดกันได้ หกล้มคลุกคลานได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะลุกขึ้นยืนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง

@ กอบโกยความสุขใส่ตัว?
ไม่มีใครให้กำลังใจเราได้ดีเท่าตัวเราเอง ความสุขก็ไม่ต้องไขว่คว้าหาที่ไหนไกล เวลาที่เราสงบนิ่ง หยุดคิดฟุ้งซ่าน ความสุขก็จะบินมาเกาะบนบ่าเราเอง ความสุขและโอกาสดีๆ มีอยู่รอบตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีแรงคว้ามาสักแค่ไหน ลองมองความสามารถตัวเองให้ชัดๆ แล้วเพิ่มความพยายามอีกนิด ไม่ยากเลยจริงๆ

หลานๆ ที่เผลอก่อเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะรับผิดชอบไหว หรือตัดสินใจไม่ได้
ควรปรึกษาผู้ใหญ่นะครับ แน่นอนว่าผู้ใหญ่อาจจะโวยวายเหมือนไม่เข้าใจเราในตอนแรก
แต่เชื่อลุง..เหอะว่า ผู้ใหญ่เค้ามีทางออกให้ลูกหลานแน่นอน....

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว




image001.jpg
image001.jpg [ 35.23 KiB | เปิดดู 5031 ครั้ง ]
คุณ(ลิง) เอ้ย! ลุงมะตูม น่ารักม๊าก..มาก

เห็นลุงน่ารัก เลยส่งรูปหลานมาให้ลุงดูเล่นด้วย (ตามประสาคนขี้เห่อ)


ขอให้ลุงมะตูมเจริญในธรรมจ้า

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2009, 19:40
โพสต์: 35

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติดีอย่างนี้เอง
ขอบคุณค่ะ tongue

.....................................................
รู้จักคุณค่าในสิ่งที่เรามี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




4_1237651130.gif
4_1237651130.gif [ 16.52 KiB | เปิดดู 5010 ครั้ง ]
"จอกนี้....ฟ้าขอคาระวะ.... :b32: :b32: :b32: "

tongue สวัสดีค่ะ..คุณลุง...กลับมาก็ฟิตเลยนะค่ะ.... :b35: :b35: :b35:

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
Thai Coment

สวัสดีค่ะ...คุณลุงมะตูม

สบายดีนะคะ...รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




C173E91513701CBF68C4995DDFC94.jpg
C173E91513701CBF68C4995DDFC94.jpg [ 51.3 KiB | เปิดดู 5337 ครั้ง ]
นวดศีรษะคลายเครียด.........

ขั้นตอนการนวดหนังศีรษะที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง
ยังอยู่ในสัปดาห์เกี่ยวกับหนังศีรษะและเส้นผม ยืดเส้นยืดสาย มี โล่งสบาย
ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

1.มือ ซ้ายรองต้นคอ และใช้อุ้งมือขวาวางพาดช่วงหน้าผาก กางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ กดลงบริเวณคิ้ว จากนั้นให้เลื่อนระดับขึ้นไปอย่างช้า ๆ จนผ่านแนวเส้นผมลึกเข้าไป 1 นิ้ว ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

2.วาง อุ้งมือทั้งสองข้างแนบข้างศีรษะเหนือใบหู และใช้อุ้งมือยกหนังศีรษะขึ้น พร้อมกับการเลื่อนอุ้งมือวนเป็นวง ให้อุ้งมือข้างหนึ่งเลื่อนไปทางด้านหน้า อีกข้างเลื่อนไปที่กลางกระหม่อม แล้วเลื่อนไปทางศีรษะด้านหลังที่บริเวณท้ายทอย และนวดจนทั่วศีรษะ

3.ใช้ปลายนิ้วนวด โดยเริ่มจากหนังศีรษะด้านข้างทั้งสองด้านพร้อมกัน และค่อย ๆ กดไล่ไปทางด้านหน้า ทำซ้ำลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

4.นวด รอบไรผม โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางของแนวผม คือ บริเวณหน้าผาก ใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงลงไปจนถึงแนวผมข้างขมับ ต่อไปจนถึงบริเวณท้ายทอย ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

5.วางปลายนิ้วตรงกลางกระหม่อม ก่อนนวดวนเป็นวงจากจุดดังกล่าวไปถึงขมับ และจากข้างขมับสู่กลางกระหม่อมเช่นเดิม

6.ก้ม หน้าลง ใช้อุ้งมือซ้ายรองรับหน้าผากไว้ ใช้ปลายนิ้วมือหรืออุ้งมือขวานวดในลักษณะวนเป็นวง จากหลังใบหูผ่านท้ายทอย กระทั่งไปจรดที่หลังใบหูอีกด้านหนึ่ง ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 2-3 ครั้ง

7.ใช้ปลายนิ้วนวดจากกลางกระหม่อมลงสู่ท้ายทอย จากท้ายทอยขึ้นไปที่กระหม่อม และจากต้นคอด้านซ้ายไปถึงบริเวณต้นคอด้านขวา

8.กำ เส้นผมด้วยมือ ดึงเบา ๆ อย่างช้า ๆ นับจังหวะ 1-3 แล้วจึงปล่อย ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันให้ทั่วศีรษะ (สำหรับผู้ที่รากผมอ่อนแอ หลุดร่วงง่าย ไม่ควรปฏิบัติในขั้นตอนนี้)

หากคุณผู้อ่านนวดศีรษะตามขั้นตอนข้าง ต้นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การทำงานของปลายเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มีอยู่เป็นจำนวนมากใต้หนังศีรษะ แถมยังช่วยแก้ไขปัญหาเส้นผมได้มากมาย อาทิ ผมไร้น้ำหนัก ขาดชีวิตชีวา ผมร่วง เป็นต้น.

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




82364C781B9F5DFD19F976819F2C3.jpg
82364C781B9F5DFD19F976819F2C3.jpg [ 28.52 KiB | เปิดดู 4977 ครั้ง ]
สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก

ใน สมองของคนเรามีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนมากมาย
และมีการหลั่งสารเคมีหลายชนิด เมื่อเรากำลังมีความรัก หนึ่งในสารเคมีเหล่านั้นคือ
สาร เอ็นโดฟินส์ ( ENDORPHINES) หรือ สารแห่งความสุข หรือ สารสุข
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก คาลิล ยิบราน

สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก

ถึงแม้ว่าจะผ่านวันแห่งความรักมานานแล้ว
แต่เราก็ยังคงสัมผัสกับความรักอยู่เสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ความรักเป็นสิ่งจรรโลงใจให้กับมนุษย์มานานแสนนาน
อาจสังเกตได้จากบทเพลง บทกวี นวนิยาย ละคร หรืออุปรากรต่างๆ
ก็มักวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรัก ความรักของแต่ละคนก็มีนิยามแตกต่างกัน
บางคนมีความรักที่หมายถึงความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ คิดถึงเมื่ออยู่ห่างไกล
ต้องการทำสิ่งที่ดีให้เพื่อเอาใจ บางคนความรักหมายถึงการอยากใช้ชีวิตด้วย
อยากมีครอบครัวด้วยกัน อยากแก่ไปด้วยกัน บางครั้งความรักก็นำความทุกข์มาให้แก่คนเรา
แต่หลายๆ ครั้งที่ความรักนำความสุข ความอิ่มใจ ปลื้มปิติมาให้ทั้งแก่ผู้รักและผู้ถูกรัก
หลายท่านอาจเคยมีประสบการณ์ยามเมื่อแรกรักใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นการแอบชอบ
แอบรักใครสักคนก็ตาม ก็มักรู้สึกว่าช่วงนั้นพิเศษกว่าปกติ สามารถนั่งอมยิ้มได้คนเดียว
เมื่อนึกถึง มองอะไรๆ สดชื่นไปหมด อยากรู้ความเป็นไปของคนที่เรารักทุกอย่าง
บ่อยครั้งก็มองเห็นแต่ข้อดีของคนที่เราชอบ เรารัก ต่อมาเมื่อคบกันนานเข้า
ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนที่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆ ก็มักจะมี ความผูกพันกัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความรู้สึกรักใคร่ในช่วงแรก

สาร เอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น (opioid)
ซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย โดยสมองส่วนไฮโปธารามัส (Hypothalamus)
และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland)
อันเนื่องมาจากเป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น จึงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด (Analgesia)
และทำให้รู้สึกสุขสบาย (Sense of well-being)หรืออีกนัยหนึ่ง
สารเอ็นโดฟินส์ก็คือ ยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ นั่นเอง

สาร เอ็นโดฟินส์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดย John Hughs
และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร
ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร Enkephalins
(ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ)
และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์
โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine
ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ก่อผลเสียต่อร่างกาย
เมื่อเรามี ความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุขสบาย (Pleasure experience)
ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น
การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ
การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ)

การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก
การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก
การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก
ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น
(โดยพบว่ามี การหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)
เมื่อ สารเอ็นโดฟินส์ที่หลั่งออกมานี้จะไปจับกับตัวรับ(receptor) ชนิด Opioid ในสมอง
ก็จะมีผลโดยรวมทำให้เกิดการหลั่งของสารโดปามีน(Dopamine) มากขึ้น
ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายต่างๆ เช่น บรรเทาความเจ็บปวด เกี่ยวข้องกับสมดุล ความหิว
การนอนหลับ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

นอกจากนี้ยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (* hormones)
และที่สำคัญสารเอ็นโดฟินส์ สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
(Immune system) โดยมีการศึกษาและรายงานถึงผลของการหัวเราะว่า
ทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ในสมองมากขึ้น
จะเกิดการกดการทำงานของ Stress hormone
หรือฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อร่างกายเผชิญกับสภาวะที่เครียด
เช่น Adrenaline มีผลทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ผ่อนคลายมากขึ้น
ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น
ทำให้เม็ดเลือดขาวเดินทางเข้าไปฆ่าเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น
โอกาสเจ็บป่วยก็จะลดลง คือทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นการที่มีกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุข
มีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ ย่อมมีส่วนเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ
เนื่องจากร่างกายกับจิตใจมีความเชื่อมประสานกันอย่างแยกไม่ได้
ในบางครั้งอาจเคยสังเกตว่าเวลาไม่สบายกาย จิตใจก็มักหงุดหงิดหรือหดหู่ไปด้วย
หรือเวลาที่ไม่สบายใจ ร่างกายก็พลอยเบื่ออาหาร นอนไม่หลับไปด้วย

ดังนั้นเวลาที่คนเราไม่สบาย
นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว
การอยู่ในสภาวะที่มีความสบายกาย และสบายใจ หรือมีความสุขใจ
ก็มีผลดีต่ออาการเจ็บป่วยทางร่างกาย
การมีความรัก มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ใกล้ๆ
การได้รับสัมผัสการกอด จูบ การลูบหัว จับมือจากคนรัก
ซึ่งจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจขึ้นทันที
เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Pleasure experience
เมื่อมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์แล้ว
คนรักที่กำลังไม่สบายก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง

การทำงานของเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันโรคก็แข็งแรงขึ้น
มีผลให้หายเจ็บป่วยได้ไวขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าความรักนั้น
นอกจากจะทำให้สุขใจแล้ว ยังทำให้สุขกายได้อีกด้วย ในผู้ที่ติดสารเสพติดนั้น
เหตุผลของการใช้สารเสพติดมักเกี่ยวข้องกับความต้องการคลายเครียด คลายความทุกข์ใจ
อยากรู้สึกสนุกหรือมีความสุขมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะพบว่า ถ้าครอบครัว และสังคม มีความรัก
ความอบอุ่นให้แก่กันเพียงพอ และรู้จักการหาความสุขจากกิจกรรมที่สร้างสรรค์
ก็จะเกิดการหลั่งของ Endogenous Morphine หรือ Endorphine ทำให้รู้สึกสุขสบาย
ไม่ต้องหาสารสุขจากภายนอก เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเสพติดลงได้เป็นอย่างยิ่ง

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




B3B46197BE4E5094E0AC437B6EC45.jpg
B3B46197BE4E5094E0AC437B6EC45.jpg [ 46.81 KiB | เปิดดู 4990 ครั้ง ]
4 บ่อเกิดของอารมณ์หึง

ทุก คนย่อมมีอารมณ์หึงหวงจี๊ดขึ้นมาเป็นธรรมดาถ้าเห็นหนุ่มคู่ใจไปทำก้อร่อ ก้อติกกับสาวอื่นในงานปาร์ตี้ แต่สำหรับคนที่มีนิสัยขี้หึงนั้นมักเกิดจากปมในอดีต เช่น พ่อหรือแม่มีชู้ หรือกลับบ้านมาเจอคนรักกำลังนัวเนียกับเพื่อนบ้านอยู่บนเตียง แน่นอนว่าประสบการณ์แย่ๆแบบนี้ย่อมกลายเป็นปมที่จำฝังใจ
นอก จากจะสร้างทัศนคติเชิงถากถางเกี่ยวกับความสัมพันธ์แล้ว ยังทำให้เราใช้ปมพวกนี้มาตัดสิน เช่น ถ้ามีแฟนเป็นผู้ชายเจ้าชู้จีบสาวดะไม่เลือกหน้า เราก็จะคิดเหมาเลยว่า ผู้ชายทุกคนจะนอนกับผู้หญิงไปทั่วถ้ามีโอกาสแม้เพียงนิดเดียว สำหรับผู้ชายบางคนอาจเป็นเช่นนั้นจริง แต่ผู้ชายดีๆที่ไม่มั่วซั่วก็ยังพอมีเหลืออยู่โลกใบนี้

คน ซึ่งอาการแบบนี้ต้องปรับปรุงความเชื่อมั่นในตัวเองโดยด่วน เพราะถ้าอยากมีความสุขกับคนรักปัจจุบันก็ต้องพยายามคิดให้ได้ว่า เขาจะไปต้องการคนอื่นทำไมในเมื่อมีฉันอยู่แล้วทั้งคน อัตตาเต็มเปี่ยมแบบนี้คือปราการป้องกันอาการขี้หึงได้ชะงัดนัก

ทุก คนย่อมมีอารมณ์หึงหวงบ้างเป็นครั้งคราว แต่คนที่ไม่ไว้ใจผู้อื่นแบบสุดๆ จะมีอาการหึงหวงกับทุกคนที่ตัวเองออกเดทหรือมีความสัมพันธ์ด้วย และสาเหตุที่หึงจนหน้ามืดขนาดนั้นก็เพราะ

ความไม่มั่นคง
ความ หึงหวงและความไม่ไว้ใจมักมีบ่อเกิดมาจากความไม่มั่นคง เรื่องนี้เป็นเหตุเป็นผลกัน คนที่อยู่ในอารมณ์หึงหวงและไม่มั่นคงจะแสดงออกได้ 2 ทางคือ
เกิดอาการจิตตกคิดเอาเองเป็นตุเป็นตะว่า คนรักของตัวเองกำลังจะหอบผ้าหนีไปกับภารโรงที่ออฟฟิศวัย 80 หรือ ไม่ก็ทำตัวแย่ๆเหมือนอันธพาลคอยหาเรื่อง ถ้ารู้สึกว่าตัวเองอาการไม่ดี ภายในใจมันปั่นป่วนเหลือเกิน
วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นด้วยการพยายามควบคุมทุกอย่าง
และทุกคนที่อยู่รอบตัว ลองเล่นบทใจแข็งด้วยการปล่อยวางทุกครั้งที่รู้สึกหึงหวงหวานใจ
วิธีนี้จะทำให้เข้มแข็งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทำใจแข็งเมินเฉยไม่สนใจใยดีนานเท่าไร
อีกฝ่ายจะกลายเป็นคนที่รู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมาบ้าง ไปๆ มาๆ ก็จะไม่กล้าทิ้งเราไปไหนเลย

วัยเด็ก
ผู้ เชี่ยวชาญบอกว่าลูกคนกลางมักเป็นคนขี้อิจฉา อาจเป็นเพราะลูกคนกลางมักรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและมองข้าม นอกจากนั้นถ้าในอดีตพ่อหรือแม่มีชู้ ก็อาจเป็นปมให้เรานึกสงสัยคนรักของตัวเองเช่นกัน
เราอาจใช้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ที่เราเคยเห็นมาตัดสินความสัมพันธ์ของตัวเอง ด้วย

อดีต
ถ้า เราเป็นฝ่ายถูกทิ้งมาก่อนหน้านี้ หรือถูกนอกใจเป็นประจำ ก็คงเป็นเหตุผลสมควรที่จะไม่ไว้ใจคนรัก เราเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าคนบางคนไม่ควรค่าที่จะมอบความไว้วางใจให้ หรือไม่งั้นเราก็มองคนไม่เก่งนัก ถ้าครั้งสุดท้ายที่คนรักออกไปซิ่งนอกบ้าน แล้วแอบไปสะบึมกับคนอื่น จึงมีสิทธิ์ที่เราจะโมเมได้ทันทีว่า คนรักที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันก็น่าจะทำแบบนั้นเช่นกัน ถึงแม้มันอาจฟังดูงี่เง่าก็เถอะ ก็คนมันมีปมในใจนี่นะ

ความซื่อสัตย์ของตัวเอง
ถ้าเกิดรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นเข็ญใจเหลือเกินที่จะซื่อสัตย์กับคนเพียงคนเดียว ในเมื่อคิดแบบนี้เราก็อาจเหมาเอาว่าคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน นักจิตวิทยาบอกว่า นี่คือการมองเห็นคุณสมบัติ (แย่ๆ) ของตัวเองในตัวผู้อื่น เราไม่ไว้ใจตัวเอง (ไม่ว่า ตอนนี้หรือในอดีต) ดังนั้นเราก็เลยไม่ไว้ใจคนรักไปด้วยโดยปริยาย ถ้าเรามีนิสัยนอกใจผู้อื่นเป็นอาจิณ แถมยังหนีรอดลอยนวลมาได้ตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนอื่นก็ต้องทำแบบนี้กับเราเหมือนกัน...กงกรรมกงเกวียน

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงมะตูมครับ...
ผมอยากจะเข้ามาบอกลุงหลายครั้งแล้ว
ว่าผมชอบกระทู้นี้ของลุงจริง ๆ ครับ...
ต้องพิมพ์ออกไปอ่านครับ...เพราะพอมีรูปเยอะแล้วมัน load ช้าครับ
กว่าจะเข้าได้ ผมอยากจะอนุโมทนาซะให้ครบทุก block
แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเหลือเกิน
มีงวดนี้ครับ...ที่อยากเข้ามาและเข้ามาได้อย่างค่อนข้างไม่มีอุปสรรค์
แต่ก็ไม่กล้าอนุโมทนา กลัวกระทู้ของลุงจะหลุดมือ...

ผมชื่นชอบอุปนิสัยที่แสดงออกของลุงครับ...ชอบจริง ๆ
และก็ชอบ...บทความของคุณลุงด้วย...
ผมอยากจะพูดสิ่งที่ผมคิดกับลุงมะตูมมาตลอด แต่ไม่มีโอกาสเหมาะ ๆ สักที
ผมว่าลุงเป็นคนที่เข้าใจตั้งชื่อนะครับ...
เพราะแค่คำว่า ลุง นำหน้า... อ่านเจอทีไร
ความรู้สึกอบอุ่นในใจก็ก้าวออกมานำแล้ว...
อีกคน...ก็ ลูงชู ครับ... แค่ชื่อก็ได้ใจผมไปเต็ม ๆ แล้วครับ...
อีกคน...ก็ ป้า COMA ครับ...
ถ้า ลุง กับ ป้า ได้เข้ามาในกระทู้นี้ และได้อ่าน...
ผมขอมอบความรู้สึกนี้ให้กับคุณ ลุง และ คุณป้า ด้วย...

:b16: :b16: :b16:

:b39: :b39: :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 21 ส.ค. 2009, 15:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1B467268EB811BE55F274A5B16E5C9.jpg
1B467268EB811BE55F274A5B16E5C9.jpg [ 26.82 KiB | เปิดดู 5008 ครั้ง ]
ความเสี่ยงของมะเร็งในช่องปาก

ในช่องปากมีอวัยวะสำคัญหลายส่วน เหงือก ฟัน ลิ้น เพดานบน กระพุ้งแก้ม ฐานของลิ้น ริมฝีปาก
หากมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณเหล่านี้ คุณต้องระวัง !
เรื่อง: พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี
ส่วนใหญ่มะเร็งช่องปาก คุณสามารถป้องกันได้
ถ้าหากให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงต่างๆ และอย่าใกล้ชิดมัน
ความเสี่ยงของมะเร็งในช่องปาก
อะไรบ้างที่เป็นความเสี่ยง ?

* บุหรี่ นอกจากมีผลทำให้เกิดมะเร็งปอดถึง 87% แล้ว บุหรี่มีผลทำให้เกิดมะเร็งในหลอดลม ลำคอ และมะเร็งช่องปากด้วย 90% ของมะเร็งในช่องปากพบในคนสูบบุหรี่ ซึ่งคนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนไม่สูบถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังรวมถึงคนที่สูบซิการ์ pipe การเคี้ยวยาเส้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากบุหรี่ สารเคมีที่มีอยู่ในยาเส้น เป็นสารก่อมะเร็งทำให้เกิดมะเร็งบริเวณแก้ม ริมฝีปาก เหงือก ส่วนคนไม่สูบบุหรี่เลย แต่ใกล้ชิดควันของคนที่สูบบุหรี่ อยู่ในสถานที่มีควันบุหรี่มากๆ แล้วสูดเอาควันบุหรี่เหล่านั้น ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งได้เช่นกัน

* แอลกอฮอล์ ดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ มีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งในช่องปาก 75-80%มะเร็งช่องปากเกิดขึ้นในคนที่ดื่มจัด และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากถึง 6 เท่าของคนที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าทั้งดื่มจัด สูบบุหรี่มาก ความเสี่ยงต่อมะเร็งช่องปากจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

* แสงอัลตร้าไวโอเลต พบว่า 30% ของคนที่เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก เกิดในคนที่มีอาชีพกลางแจ้ง ถูกแสงแดดประจำ วิธีที่จะลดความเสี่ยงคือให้ทา lip palm ที่มีสารป้องกันรังสียูวี หรือใส่หมวกกันแดดโดนริมฝีปากและผิวหนัง

* มีสิ่งระคายเคืองในช่องปากอยู่เสมอ เช่น
-ฟันปลอมที่หลวม ใส่แล้วมีแผลในช่องปาก เป็นเวลานานๆ ไม่หาย
-มีฟันผุ คม บาดลิ้น เวลาเคี้ยวอาหาร หรือพูด
-ฟันปลอมที่แตกหักแล้วขูดช่องปากอยู่เสมอ

* อาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง หากเราได้รับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากใยมากๆ ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน

* อายุ มะเร็งในช่องปาก มีสถิติพบมากในคนอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอายุ 35 ปีขึ้นไป

* เพศ มะเร็งช่องปากพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า
น่าจะมีเหตุผลจากผู้ชายดื่มและสูบบุหรี่มากกว่าคุณผู้หญิง

หากมีสิ่งผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์ประจำตัวทันที

* มีสีที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนในช่องปาก เช่น มีสีแดงจัด ฝ้าขาวตามกระพุ้งแก้ม

* มีลักษณะเนื้อหนาตัวขึ้น หรือมีผิวหยาบๆ

* เป็นแผลในช่องปาก เลือดไหลง่าย

* พูด กลืน ขยับลิ้นลำบาก

* มีกลิ่นปาก

* ฟันโยก เก ขากรรไกรบวม

* เป็น แผลในช่องปากเป็นเวลานานๆ ไม่หาย นอกจากในช่องปาก อาการภายนอกที่ร่วมกับมะเร็งที่น่าสังเกต คือ น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ มีก้อนคลำได้บริเวณลำคอ

มะเร็ง ในช่องปากนั้นหากพบในระยะเริ่มต้นจะรักษาไม่ยุ่งยากและประสบความสำเร็จสูง แต่หากคุณเลี่ยงไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในช่องปากได้ การพบทันตแพทย์ตรวจสุขภาพในช่องปากเป็นประจำจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เฉพาะเรื่องฟัน และเหงือกเท่านั้น แต่ทันตแพทย์เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับอวัยวะส่วนนี้ สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ง่าย เพื่อรู้ก่อนและสามารถป้องกันได้ก่อน
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today


ขอบคุณครับ...คุณyahoo :b18: :b18:

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 21 ส.ค. 2009, 16:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




007p0528bnL.jpg
007p0528bnL.jpg [ 36.43 KiB | เปิดดู 5017 ครั้ง ]
เรื่องจิตอาสาเป็นการปฎิบัติธรรม

เรื่องจิตอาสาเป็นการปฎิบัติธรรม
เป็นการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนภิกษุไว้
ว่าเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์
นี่ก็คือ ความเมตตา และความกรุณา คือการแบ่งปัน ลดละตัวตน
ลดละความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นการให้ เป็นการแบ่งปัน
จึงทำจิตของเรามีความบริสุทธิ์ และงดงาม
และมีความสุขมากกว่าการเป็นผู้รับ
แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้รับเป็นผู้ที่ต่ำต้อยกว่า แต่เป็นผู้ที่เสมอภาพกัน
เราเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ได้รับความรัก ความเมตตา ความเคารพ ศรัทธา
และเราก็ให้ความเมตตากรุณา ก็ถือว่าเป็นการเชื่อมโยงการทำหน้าที่ด้วยการปฎิบัติธรรม
ด้วยจิตใจอาสา หมายถึงทำโดยไม่หวังสิ่งใด ตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญใดๆ

การเป็นอาสาสมัครทำให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
เราไม่ต้องกังวลว่าจบจากบัญฑิตอาสาแล้วเราจะไปทำอะไร
แต่เรามีชีวิตอยู่กับ ปัจจุบัน ทำหน้าที่ ณ ปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อพัฒนาตัวเอง
เช่นทำหน้าที่เป็นครู เป็นครูสอนหนังสือเด็กตอนกลางวัน
ครูสอนนักศึกษาผู้ใหญ่ตอนกลางคืน เราก็ต้องไปศึกษาด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับเด็ก
ว่าเด็กเขาชอบอะไรครูที่ดีที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้สูงสุด
และการแบ่งปันความรู้ให้กับเด็ก ก็อยู่กับปัจจุบัน คือทำหน้าที่ณ ปัจจุบันให้ดีที่สุด
และป็นช่วงที่เห็นว่าการที่ไปชนบท ได้ทำประโยชน์มากกว่าอยู่กรุงเทพ
ถ้าอยู่ในกรุงเทพเรา ก็อาจจะไปเป็นพนักงานบริษัทเพื่อรับเงินเดือนไปแต่ละเดือน
แต่ในตอนนั้นคิดว่าถ้าไปอยู่ชนบท จะเป็นที่ไปเรียนรู้ศักยภาพของชนบท ของชนชาติพันธุ์ต่างๆ
ว่าเขามีเอกลักษณ์ยังไง ที่เป็นภูมิปัญญาของเค้า ในเรื่องของอาหารในเรื่องของความ
เชื่อ ในเรื่องของการเคารพธรรมชาติ ในเรื่องของโครงสร้างสังคมและวัตณธรรม
อันนี้ก็เป็นจิตใจอาสาสมัครที่เราไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าใครจะมารู้มาเห็นหรือไม่
ใครจะมายกย่องสรรเสริญหรือไม่ ก็ไม่ได้สนใจ แต่รู้ว่าเราทำแล้วมีความสุข
แล้วผู้อื่นได้รับประโยชน์ เราไม่ได้เป็นผู้ให้แต่เป็นผู้เรียนรู้ ร่วมกัน เป็นทั้งผู้รับผู้ให้
เป็นความสุขและเป็นการเรียนรู้การพัฒนาจิตใจ

ตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป ที่เราจะทำให้จิตใจอาสามันเกิดขึ้นในทุกวิชาชีพ ให้เด็กตั้งแต่อนุบาลขึ้นมาได้รู้ว่าเค้าจะทำประโยชน์ อะไร ให้กับตัวเอง ให้กับครอบครัวให้กับสังคมได้ อย่างเช่นที่บ้านก็แค่เริ่มว่าลูกไม่เป็นภาระต่อพ่อแม่ ตื่นขึ้นมาก็รู้จักเก็บที่นอน พับผ้าห่ม คลุมเตียงให้เรียบร้อย หรือช่วยพ่อแม่เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ อันนี้ก็เป็นประโยชน์ของครอบครัวได้ ดังนั้นจิตอาสานี่ ต้องเริ่มจากตัวเอง ครอบครัว และออกมาสู่สังคมโดยเฉพาะหลักสูตรของนักเรียนทุกระดับ จนถึงชั้นมหาวิทยาลัย ต้องมีกิจกรรมที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ในด้านใดด้านหนึ่ง

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร