วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 04:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ประโยชน์ของกระเทียม

กระเทียม, ประโยชน์ของกระเทียม, สมุนไพร, ความรู้รอบตัว

ทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่กินอยู่เป็นประจำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก…

กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด

- กินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้ผิวหนังสะอาด เพราะกระเทียมจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิวและฝี

- กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมจะไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น

- ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เพราะ กระเทียมจะไปยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูง

รู้อย่างนี้แล้ว หันมากินกระเทียมกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ

หัวใจคุณปกติกันดีหรือเปล่า? มีเต้นแรงๆ วูบๆ ไหวๆ หวั่นๆ สั่นๆ สะดุดๆ บ้างหรือเปล่า ?
ถ้ามี…ไปหาหมอได้แล้ว เพราะคุณอาจจะมีอาการของ “หัวใจเต้นผิดจังหวะ”
อาการที่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะถ้าขืนปล่อยปละละเลยไว้อาจอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้

ศ. น.พ.เกียรติชัย ภูริปัญโญ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ปกติหัวใจคนเราเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที การที่หัวใจเต้นผิดปกติส่วนใหญ่จะพบในผู้ใหญ่ โดยอาจมีอาการหัวใจเต้นแรง เร็ว ใจสั่น ใจหวิว วูบ บางรายหัวใจเต้นสะดุด เต้นช้า หรือหัวใจอาจหยุดเดินไป 1-2 จังหวะ ถ้ามีอาการรุนแรงอาจเป็นลมหมดสติ เหนื่อยง่าย หรือเจ็บหน้าอก อาจส่งผลให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้

ปัจจุบัน มีการตรวจหาความผิดปกติของหัวใจได้หลายวิธีตั้งแต่ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในขณะ ที่มีอาการ ตรวจเช็กคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง การใส่เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา การตรวจโดยฝังเครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจ และการตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ที่มักจะทำร่วมไปกับการจี้ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านสายสวนหัวใจ

แต่ ไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีการไหนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือ การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะที่ออกกำลังกาย ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ตรวจด้วยวิธี Tilt Table Test (ตรวจระบบประสาทและหัวใจด้วยเตียงปรับระดับเพื่อหาความผิดปกติของอาการหน้า มืด เป็นลม วิงเวียนศีรษะ) การตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วย CT64 Slice และ Cardiac MRI การตรวจด้วยการฉีดสีผ่านสายสวนหัวใจ เพื่อตรวจหาอาการของโรคหัวใจชนิดอื่นๆ ว่ามีอะไรแฝงอยู่ด้วยหรือไม่

ส่วน การรักษานั้นจะมีวิธีการที่แตกต่าง สำหรับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดปกติอย่างรุนแรง ที่อาจส่งผลทำให้หัวใจหยุดสูบฉีดเลือดได้นั้น จะต้องใช้วิธีรักษาด้วยการใช้ไฟฟ้าพลังงานสูงช็อคหัวใจ เพื่อดึงให้สัญญาณไฟฟ้าในหัวใจกลับมาเต้นได้ตามปกติ ซึ่งวิธีการนี้ผู้ป่วยสามารถผ่าตัดใส่เครื่องช็อคหัวใจอัตโนมัติ AICD ฝังเข้าไปในตัวของได้

เครื่อง AICD นี้เป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคที่จะรับสัญญาณไฟฟ้าภายในหัวใจส่งไปที่เครื่อง เมื่อมีสัญญาณหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง เครื่องจะส่งไฟฟ้าพลังงานสูงมาที่หัวใจให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจกลับมาเป็นปกติได้ ในเวลาไม่กี่วินาที

นอก จากนั้นแล้ว การรักษายังสามารถใช้วิธีจี้ด้วยไฟฟ้าผ่านคลื่นเสียงความถี่สูง เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดแต่ใช้สวนหัวใจด้วยสายชนิดพิเศษที่มีขั้วโลหะ ที่ส่วนปลาย เมื่อพบจุดที่ผิดปกติจะส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไป 30 – 60 วินาที การรักษาโดยวิธีดังกล่าวได้ผล 95% มีผลแทรกซ้อนน้อยกว่า 1% และใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาล 1 คืนหลังจากทำเสร็จ

สำหรับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ ก็จะใช้การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เข้าช่วย

เครื่อง ที่ว่านี้จะเป็นเครื่องขนาดประมาณ 4-5 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร ภายในประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนรับรู้การเต้นของหัวใจ ส่วนส่งพลังงานไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจ โดยทั่วไปเครื่องนี้จะมีอายุการใช้งานได้นาน 8-10 ปี

ผู้ ที่ใช้เครื่องนี้ควรมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจเช็คเครื่องและปรับโปรแกรม พลังงานให้เหมาะสม และเพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก หากต้องเดินทางหรือต้องผ่านเครื่องตรวจจับโลหะอย่าลืมที่จะแสดงบัตรประจำตัว ผู้ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย

ผู้ ที่หัวใจต้นผิดจังหวะ ควรหมั่นดูแลสุขภาพตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ แอลกอฮอล์ หรือยากระตุ้นบางชนิดที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ที่สำคัญอย่าเครียด

ถ้าไม่แน่ใจก็ควรไปพบแพทย์ขอคำปรึกษาเลย

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 24 ก.ย. 2009, 14:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

สวัสดีค่ะ คุณลุงมะตูม
ขอขอบพระคุณ สำหรับสาระน่ารู้ที่นำมาให้อ่านเสมอมา
ขอมอบดอกไม้ให้คุณลุงค่ะ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว




01_185.jpg
01_185.jpg [ 22.16 KiB | เปิดดู 4725 ครั้ง ]
tongue ขอบคุณค่ะ คุณลุงมะตูม สำหรับบทความ
ดีดี มีสาระมากมาย :b16:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




52528_002.jpg
52528_002.jpg [ 119.4 KiB | เปิดดู 4670 ครั้ง ]
11 วิธีเอาใจแม่ให้ชื่นใจ

1.พาแม่ไปตรวจสุขภาพ
คนเราเมื่อเริ่มสูงวัยพอสักอายุ 50 กว่าปีขึ้นไปแน่นอนว่าสุขภาพร่างกายจะเริ่มเสื่อม
เหมือนรถที่ผ่านการใช้งานมาสัก 5-6 ปี ก็ต้องมีการซ่อมบำรุง ร่างกายก็เหมือนกัน
ดังนั้นการได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะพอให้เราทราบได้ว่าคุณแม่เป็นโรคอะไรอยู่
มากน้อยแค่ไหน จะดูแลสุขภาพต่อไปอย่างไร การพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพประจำปี
นอกจากจะทำให้คุณแม่ชื่นใจแล้ว ยังส่งผลดีกับสุขภาพกายอีกด้วย

2.พาแม่ไปทำสปา
การทำสปาถือว่าเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ธุรกิจสปามีมากมายหลากหลาย
ทั้งสปาเพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งนวดหน้า นวดศีรษะ นวดตัวนวดเท้า ทั้งแบบนวดไทย
หรือนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยแบบฝรั่ง การทำสปาถือเป็นการปรนนิบัติร่างกายอย่างดีเยี่ยม
เพราะการทำสปามีครบทั้งรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ช่วยให้ผ่อนคลายหายเครียด
ถือเป็นการตอบแทนร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งปีได้เป็นอย่างดี การพาคุณแม่ไปทำสปา
จึงนับได้ว่าเป็นอีกรูปแบบของการให้ความสุขกับคุณแม่เช่นกัน

3.พาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ
การเดินทางถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ได้เป็นอย่างดี แต่ผู้ใหญ่มักจะเสียดายเงิน
ไม่อยากจ่ายค่าตั๋วแพงๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ การได้เดินทางไปยังสถานที่ที่แตกต่างออกไป
บรรยากาศหนาว อาหาร ผู้คน ที่ต่างไปจากเดิมจะสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
รวมถึง การพาไปดูสถาปัตยกรรม และร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นที่รู้จัก
นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีซึ่งถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่คุณแม่จะได้รับ

4.พาแม่ไปดูโชว์ดีๆ
ปัจจุบันนี้มีการแสดงดีๆ ที่เป็นของคนไทยอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นการแสดงหุ่นละครเล็ก
ของคณะโจหลุยส์ การแสดงของสยามนิรมิต การแสดงของโรงละครอลังการที่พัทยา
หรือการแสดงของภูเก็ตแฟนตาซี หรือละครเพลงต่างๆ ที่เรียกได้ว่าคุณภาพดีทั้งแสง สี เสียง
หรือจะเป็นการแสดงจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักร้องดังในยุคคุณพ่อคุณแม่ยังหนุ่มสาว
การแสดงกายกรรมต่างๆ เช่นกายกรรมกวางเจา การแสดงบัลเลต์ ซึ่งการแสดงในลักษณะนี้
จะมีเพียงปีละครั้ง หรือ 2-3 ปีครั้งถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่ได้มอบให้คุณแม่
ถือว่าเป็นการพาคุณแม่ไปย้อนอดีตอันน่าชื่นใจ

5.ซื้อหนังสือดีๆ ให้แม่
ขณะนี้ตลาดหนังสือของประเทศไทยเรา มีการพัฒนาไปมากทั้งรูปเล่มและเนื้อหา มีหนังสือรูปเล่มสวยๆ เนื้อหาดีๆ ทั้งเรื่องแปล เรื่องแต่งเอง แม้กระทั่งหนังสือภาพดีๆ ที่มีอยู่หรือหนังสือชุดที่มารวมเล่มใหม่ที่ทำรูปเล่มคลาสสิกน่าเก็บไว้สะสม เช่น ผู้ชนะสิบทิศ ผู้ดี เพชรพระอุมา หรือหนังสือพระหรือสถานที่สำคัญต่างๆ ที่พิมพ์สี่สีน่าสะสมอีกมากมายหนังสือต่างๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างความสุขใจให้คุณแม่ได้ไม่น้อยทีเดียว

6.เปลี่ยนฟันชุดใหม่ให้แม่ได้รับประทานของอร่อยอย่างไร้อุปสรรค
หากคุณแม่อยู่ในวัยเกิน 60 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในวันที่ต้องใส่ฟันปลอม
หรือถ้าอาวุโสกว่านั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนฟันปลอมเป็นชุดที่ 2
หากคุณพ่อคุณแม่มีปัญหาเรื่องปากและฟัน ก็มักจะมีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
หรือรับประทานอาหารได้ไม่อร่อย หรือถ้าเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
ก็จะมีปัญหาในเรื่องระบบการย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อได้โดยง่ายมีปัญหาอื่นๆ

การได้เปลี่ยนฟันชุดใหม่จะช่วยให้ชีวิตท่านดีขึ้น แต่โดยธรรมชาติของพ่อแม่มักจะขี้เหนียวเสียดายเงินไม่ยอมเปลี่ยนอะไรง่ายๆ หากสิ่งของนั้นยังพอใช้งานได้ การแสดงออกซึ่งความรักหวังดีต่อพ่อแม่ด้วยวิธีนี้นับเป็นที่น่ายินดีไม่น้อยถือว่าคุณลูกใส่ใจในรายละเอียดในชีวิตของท่าน

7.ซื้อคอร์สออกกำลังกายให้แม่
เป็นธรรมดาของมนุษย์เมื่อเริ่มอายุมากก็มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น
ว่ากันว่าโดยธรรมชาติของคนนั้นน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน้อยปีละ 2 กิโลกรัม
เมื่อน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือที่เรียกว่าอ้วนก็จะทำให้มีปัญหาต่างๆ ตามมาเช่น
ปวดขา ปวดเข่า ไขข้อไม่ดี เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก การออกกำลังกายจึง
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพของพ่อแม่

8.ซื้อเครื่องประดับให้แม่
ผู้หญิงกับเครื่องประดับเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน อายุเท่าใด ถือว่ายังต้องใช้กันอยู่เสมอ
หากคุณแม่ยังอยู่ในวัยทำงาน การซื้อเครื่องประดับเก๋ๆคุณภาพดี เพื่อให้คุณแม่ใช้ใส่ไปทำงาน
ก็เป็นเรื่องที่ดี หากคุณแม่เป็นแม่บ้านหรือเกษียณแล้วนานๆ ออกงานทีการซื้อเครื่องประดับ
เป็นอัญมณีมีค่าหรือจะเป็นทองรูปพรรณก็ได้เช่นกัน

เลือกในแบบที่เหมาะสมกับบุคลิกและการใช้งานของคุณแม่ หากไม่ชอบของสำเร็จรูป
ที่มีจำหน่ายทั่วไป ร้านจิวเวลรีหลายร้านก็รับทำและออกแบบให้ด้วยโดยอาจจะเลือกอัญมณี
สีที่เข้ากับวันเกิดหรือเดือนเกิดของคุณแม่ก็ได้ ภายใต้งบประมาณที่คุณสามารถกำหนดได้
และในอนาคตสมบัติเหล่านั้นก็จะต้องตกมาเป็นของลูกของหลานอยู่ดีไม่ได้สูญหายไปไหน
ยิ่งนานวันอัญมณีเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มคุณค่าทั้งราคาและคุณค่าต่อจิตใจ

9.ซื้ออาหารเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพให้
สุขภาพเป็นเรื่องจำเป็นบางครั้งการรับประทานอาหารก็ไม่สามารถกินได้ครบ 5 หมู่ได้
ในวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอมากกว่าคนวัยหนุ่มสาวการได้รับอาหารเสริม
อาจเป็นเรื่องที่สำคัญ เดี๋ยวนี้อาหารเสริมมีมากมายที่จะให้เลือกได้ตามความเหมาะสมกับสุขภาพ
เช่น น้ำมันจากกระดูกปลาวาฬช่วยบำรุงผิวพรรณเพราะผู้สูงวัยมักจะผิวแห้งมาก วิตามินบีรวมต่างๆ
หรือวิตามินบำรุงสมอง เพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม ซึ่งวิตามินบางตัวจะช่วย
ชะลอระยะเวลาในการเกิดให้ช้าลง เรียกว่า มีมากมายหลากหลายประเภทให้คุณเลือกได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

10.ตัดแว่นตาใหม่ให้แม่
สำหรับผู้ที่วัยเกิน 40 ปีขึ้นไปเริ่มมีปัญหาเรื่องสายตา บางคนตายาว บางคนทั้งสั้นทั้งยาว
แถมเอียงเข้าไปด้วย เรียกว่าปัญหาหลายด้าน การให้ความใสกระจ่างกับสายตาของแม่
ให้แม่ได้อ่านหนังสืออย่างชัดเจนมีความสุข มองดูหน้าลูกหลานด้วยความใสชัด จะทำให้คุณแม่ชื่นใจ เดี๋ยวนี้กรอบแว่นราคาแพง ผู้ใหญจะใช้จนเก่าก็จะยังไม่ยอมเปลี่ยนใหม่
การหาแว่นกรอบสวยๆ เก๋อันใหม่ให้คุณแม่ก็น่ารักดีไม่น้อย เวลาท่านเดินเหินไปไหนจะได้สะดวก
ถ้าสายตาฝ้าฟางไม่ชัดเจนประเดี๋ยวจะพลาดพลั้งหกล้มได้โดยง่าย

11.ลดละเลิกนิสัยแย่ๆ ที่แม่ไม่ชอบ
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก แน่นอนว่าลูกเกือบทุกคนมักจะมีนิสัยไม่ดีสักข้อสอง
ข้อที่แม่จะพยายามพร่ำสอนตั้งแต่เด็กที่เป็นนิสัยเสียๆ ของเรา เช่น ขี้เกียจ ชอบเถียงแม่
ใช้เงินเปลือง สูบบุหรี่ กินเหล้า เจ้าชู้จัด แล้วเราจะรู้ดีว่านิสัยแบบนี้แม่ไม่ชอบ
ลองให้ของขวัญวันแม่ปีนี้ด้วยการจะเลิกบุหรี่ เลิกเหล้าเลิกใช้เงินเปลืองหยุดโต้เถียงกับแม่สักที
นิสัยเหล่านี้ถ้าเราทำให้แม่ได้รับรองได้ว่าแม่จะชื่นใจสุดชีวิตทีเดียว

ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วลองเลือกทำให้แม่สักข้อสองข้อจะดีไม่น้อย แม่ให้เรามาเยอะแล้ว
ลองเปลี่ยนเป็นเราเป็นผู้ให้แม่บ้างดีไหมค่ะ แม่จะได้ชื่นใจ ถึงวันนี้คนรุ่นแม่ก็อยู่ในวัย 50-60 กว่าปีกันแล้วทั้งนั้น เวลาของท่านเหลือน้อยแล้วเรียกว่าเริ่มนับถอยหลังแล้ว อะไรทำให้แม่ได้ก็รีบๆ ทำเสียเถอะ ชีวิตนี้ก็มีแม่แค่คนเดียว อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง มีแม่ให้รักให้กอดก็ดีแล้ว

ต่อไปถ้าอยากบอกรักแม่ แต่แม่ไม่ได้อยู่ให้บอกแล้วจะเสียดายเวลานะคะ
ต้องไปบอกแม่ต่อหน้ารูปของท่านคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ที่สำคัญความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งที่ค้ำชูชีวิตของลูกให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ
อย่าลืมบอกรักแม่กันบ้างนะคะ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 28 ก.ย. 2009, 19:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

12 คัมภีร์หน้าใส

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งอายุ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ หรือ 20กว่า 35 แก่ๆ ก็ไม่มีใครแก่เกินสวยหรอกค่ะ

หลายคนกังวลล่วงหน้าไป 5-6 ปี ไอ้ที่หน้าจะไม่แก่ก็แก่ลงถนัดตา เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
อีกหลายๆ คนก็เตรียมเก็บเงินไว้เลย เพื่อเตรียมทำศัลยกรรม ดึงหน้า ดึงเหนียง ลบรอยตีนกา ฝ้า ไฝ
เมื่อถึงวัยตกกระ คุณสาวๆ คะ กรุณาอย่าตีตนไปก่อนไข้เลยค่ะ ทำไมไม่ลองหันมานึกดูละคะว่า เหตุการณ์ทั้งหลายดังกล่าวจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับคุณ เพราะคุณจะดูแลรักษาผิวหน้า ให้สวยสดใส

ด้วยวิธีง่ายๆ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ ดังต่อไปนี้

1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มันมากนัก
อย่ามัวแต่คิดว่าคุณน่ะยังไหว …. ใจไหว แต่สังขารอาจไม่ไหวก็ได้จริงไหม๊คะ

2. ดื่มน้ำมากๆ ไอ้ที่เขาว่าให้ดื่มวันละ 6-8 แก้วน่ะ
ให้คุณมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าด้วยละก้อ จะยิ่งดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลม ก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว หากดื่มมาก จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และกัดกระเพาะคุณซะปวดท้องได้

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
อย่างสม่ำเสมอ บริหารตัวแล้วอย่าลืมบริหารหน้า นวดหน้าด้วยนะคะ ตัวเต่งตึงแต่หน้าเหี่ยวละก้อ หมดกัน!

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่
เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุค่ะ ให้คุณที่สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆลองเดินคู่กันเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆดูว่า คุณกับเพื่อนใครแก่กว่าใคร
( ข้อสำคัญ เขาต้องไม่รู้จักเพื่อนคุณมาก่อนนะคะ เพื่อป้องกันการลำเอียง )
พึงระลึกไว้เสมอว่าอย่าเข้าข้างตนเอง แต่ให้คนอื่นที่เขาหวังดีต่อคุณ มองคุณจะดีกว่าค่ะ

5. อย่าตากแดดเป็นเวลานานๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัดเป็นเวลานานๆ มิเช่นนั้น หน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัวเชียวค่ะ

6. ใช้โลชั่นอย่างเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียว หนาวจัดตลอดปีตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับเถอะค่ะ เพราะก็ไม่เข้าใจเลยว่า บางบริษัทแอร์เย็นแบบทุกข์ทรมาน พนักงานนั่งสั่น ใส่เสื้อหนาวกันโดยทั่วหน้า ก็ในเมื่อมันทุกข์ขนาดนั้น จะต้องเปิดให้มันทรมานทำไม

7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบหน้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
แล้วยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วละก้อ ให้คุณใช้โฟมล้าง หน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ เอ เอช เอ จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญ ห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยน หากยิ่งแกะผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกพระจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิวเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูเครียด และแก่ได้โดยเฉพาะบรรดาผิวโลกพระจันทร์ทั้งหลายค่ะ

8. ขัดหน้าด้วยตนเอง
โดยการใช้สครับ หากคุณเป็นคนผิวมัน ให้ขัดอาทิตย์ละ 2 ครั้งเท่านั้น โดยขัดนานๆบริเวณดั้งจมูก และคางที่มีสิวเสี้ยน

9. หากคนเป็นคนผิวแห้ง
ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์เซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่แห้งเป็นพิเศษ ควรใช้โลชั่นที่มี เอ เอช เอให้ทั่วบริเวณ แต่หากคุณเป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซ์เจอร์ไรส์ชนิดเจล จะเหมาะกว่าชนิดครีม

10. อย่าใช้มืออันแสนสกปรกในช่วงวันไปสัมผัสบนใบหน้า
จำไว้ว่าทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้าน ให้คุณล้างมือก่อนเสมอ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาให้สิวขึ้นได้

11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง
เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ อันจะชัดนำให้สิวพากันมาขึ้นพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย

12. หากคุณมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็แล้วแต่ ให้คุณปรึกษาแพทย์โรคผิวหนังที่ชำนาญเท่านั้น อย่าได้มัวเสียเวลาไปหาที่ปรึกษาความงามตามเคาน์เตอร์ต่างๆ ใครจะมารู้ดีกับคนที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางล่ะเป็นไม่มี

12 ข้อนี้ เสมือนคัมภีร์หน้าใส ให้คุณๆ ที่น่ารักกลับไปปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าหน้าใสแล้วได้ดี ก็อย่าลืมบอกกันบ้างนะคะ

โดย : TTTonline Team

ลุงมะตูมหายป่วยหรือยังค่ะ.... tongue

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 28 ก.ย. 2009, 19:32, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง

ต้นเหตุของสมองเสื่อม ความจำสั้น อัลไซเมอร์
สมอง คืออวัยวะสำคัญ มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอยังทำร้ายสมองด้วยเช่น

1.ไม่ทานอาหารเช้า หลาย คนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง

5. มลภาวะ สมอง เป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

รู้หรือยังค่ะว่าสมองมีความสำคัญมากแค่ไหน ดังนั่นเราควรที่จะหันมาบำรุงสมองแทนการทำร้ายสมองกันดีกว่ามั้ยค่ะ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 30 ก.ย. 2009, 01:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อย่ามองข้าม เชื้อโรค ในห้องน้ำ

ห้องน้ำ

ห้อง น้ำ...มุมที่เราหลายคนระวังตัวน้อยที่สุดในบ้าน แต่รู้ไหมคะว่าถ้าดูแลไม่ดีพอในห้องน้ำจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของเชื้อโรค ขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามากมายเชียวล่ะ

1. ผ้าม่านพลาสติก

มี คำยืนยันจากนักจุลชีววิทยาแล้วค่ะว่า คราบสีดำที่เกาะอยู่กับผ้าม่านพลาสติกในห้องน้ำนั้นก็คือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้เติบโตได้ดีก็คือละอองจากการเรอ จาม และไอของคนค่ะ

Safety Tip ควรถอดผ้าม่านพลาสติกไปซักอาทิตย์ละครั้งหรืออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง

2. ฟองน้ำถูตัว

ฟองน้ำ ที่ใช้ถูตัวที่เป็นสิ่งชำระความสกปรกตามซอกต่างๆ ของร่างกาย แถมยังต้องเปียกชื้นอยู่เกือบตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเป็นอย่างดี

Safety Tip คุณแม่ควรเลือกฟองน้ำถูตัวที่ไม่หนามาก ซักฟองน้ำถูตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังใช้ และควรแขวนตากให้แห้งด้วย

3. แปรงสีฟัน

ห้อง น้ำมีเชื้อโรคหลายชนิด หนึ่งในเชื้อโรคนั้นคือโรตาไวรัสและเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัสที่ติดโดยการสัมผัส ผ่านทางจมูกและปาก เพราะฉะนั้นต้องระวังของใช้ส่วนตัว(ชิ้นเดียว)ที่มักวางอยู่ในห้องน้ำและ ต้องเอาเข้าปากอย่างแปรงสีฟันเป็นพิเศษ

Safety Tip หากล่องเก็บแปรงสีฟันโดยเฉพาะที่มีรูระบายอากาศ เพื่อป้องกันความเปียกชื้น และล้างแปรงสีฟันทุกครั้งก่อนแปรงฟัน

4. อ่างล้างหน้า

เป็น ที่อุดมไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ชอบความเปียกชื้นเป็นพิเศษ ในบางบ้านอาจมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาศัย อยู่ด้วย

Safety Tip ทำความสะอาดอ่างล้างหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรทำความสะอาดทุกวัน

5. ชักโครก

เครื่อง ใช้ที่รองรับของเสียทั้งหลายจากร่างกาย ไม่ต้องบอกก็พอเดากันได้ว่าการทำธุระส่วนตัวแต่ละครั้งจะมีเชื้อโรคแพร่ กระจายมากมายแค่ไหน แถมใต้ฝารองนั่งก็ยังมีเชื้อโรคต่างๆ แฝงอยู่ไม่น้อย

Safety Tip ล้างชักโครกด้วยน้ำยาที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกอาทิตย์ และอย่าลืมยกฝาชักโครกขึ้นขัดทำความสะอาดด้วยนะคะ

6. ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้า

เพราะ เปียกชื้นอยู่แทบตลอดเวลา หากคุณแม่มีแต่เช็ด เช็ด เช็ด แล้วก็เช็ด แต่ไม่เปลี่ยนผืนบ้าง ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้าจะกลายเป็นที่อาศัยของเชื้อราไปโดยปริยาย

Safety Tip ควรแขวนผ้าเช็ดมือหรือวางผ้าเช็ดเท้าในที่ลมผ่าน หรือเอาออกมาตากให้แห้งหลังใช้งานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคที่รักความอับชื้นทั้งหลาย

ห้อง น้ำอากาศไม่ถ่ายเทและชื้นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นยอดทีเดียว กิจวัตรประจำวันทุกวันของเราในห้องน้ำก็มีส่วนทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ อย่างดี ดัง นั้น วิธีที่ดีที่สุดคือคุณแม่ต้องรู้เท่าทันจุดที่มีเชื้อโรคหมักหมมหรือก่อตัว ได้ง่ายและหมั่นทำความสะอาดแหล่งเพาะเชื้อโรคนั้นเป็นประจำค่ะ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




upload-TUYIM56.gif
upload-TUYIM56.gif [ 106.9 KiB | เปิดดู 4682 ครั้ง ]
ฤดูฝนพรำ...ต้องระวัง!

ช่วง นี้เป็นช่วงที่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ฝนตกมากขึ้น ปริมาณความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น แถมบางวันอากาศก็ร้อนมากกว่าปกติ เป็นผลทำให้ร่างกายปรับตัวรับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่ทัน นอกจากนี้ยังเป็นฤดูที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบ หายใจหลายชนิด ทำให้เกิดการเจ็บป่วยของโรคระบบหายใจทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่เป็นกันถ้วนหน้า ไม่ว่าเด็กเล็ก เด็กโต คุณพ่อ คุณแม่ ในวันนี้จะขอกล่าวถึงโรคระบบทางเดินหายใจในเด็กที่พบได้บ่อยๆ ขณะนี้ โดยจะแยกง่ายๆ เป็นโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน และระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง

"โรคหวัด" เรื่องธรรมดาที่ไม่อาจหนีพ้น…

โรค ของระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่พบได้บ่อยสุดคงหนีไม่พ้นโรคหวัด แม้กระทั่งข้อมูลของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกายังพบอุบัติการณ์ ของโรคหวัดในเด็กวัยเรียนที่ถือว่าเป็นปกติประมาณปีละ 6-8 ครั้ง ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกวัยเข้าเรียนที่พอเริ่มไปโรงเรียนปุ๊บ! เป็นหวัดปั๊บ! บางคนไปโรงเรียน 2 วัน หยุด 1 อาทิตย์ บางคนไปอาทิตย์เว้นอาทิตย์ อย่าเพิ่งรีบคิดว่า ลูกของคุณพ่อ คุณแม่ ผิดปกติมากมาย เพราะว่าเดิมอยู่ที่บ้านโอกาสที่จะติดเชื้อน้อยกว่า ภูมิต้านทานก็ยังไม่แข็งแรง พอเริ่มไปโรงเรียนเพื่อนๆ เป็นหวัดโอกาสติดต่อก็เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งถ้าห้องเรียนเป็นห้องแอร์ โอกาสการติดเชื้อยิ่งง่ายกว่าปกติ โรคหวัดจะติดต่อกันโดยผ่านทางลมหายใจ และสารคัดหลั่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูก น้ำลาย เป็นต้น

สาเหตุ ของโรคหวัดในเด็กมากกว่า 60-70% เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีมากมาย ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบหายใจมีมากกว่า 200 ชนิดขึ้นไป และนอกจากนี้ อาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้ หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสจะทำให้มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เจ็บคอ ไอจาม คัดจมูก แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง ส่วนใหญ่จะมีอาการอยู่ประมาณ 5-7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ ถ้าเป็นหวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมักจะมีอาการไข้สูง บายรายอาจหนาวสั่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ซึ่งลักษณะของน้ำมูกมักจะมีสีเขียวปนเหลืองให้เห็นตั้งแต่วันแรกๆ ของโรค อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ และกดเจ็บร่วมด้วย จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบร่วมกับการรักษาตามอาการ

โรคของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง…เรื่องนี้ต้องรู้
ใน ที่นี้จะกล่าวถึง โรคหลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีอาการตั้งแต่รุนแรงน้อยจนถึงมาก อาการของโรคหลอดลมอักเสบ เกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ เช่น การติดเชื้อ การแพ้ และการระคายเคืองจากสารเคมี จะขอกล่าวถึงเฉพาะโรคหลอดลมอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการโดยทั่วไปมักเริ่มด้วยอาการของโรคหวัดนำมาก่อน เช่น ไข้ น้ำมูกใส ต่อมามีอาการไอ เริ่มต้นมักจะไอแห้งๆ แล้วตามมาด้วยไอมีเสมหะขาวใส หรือเหลือง ขึ้นกับชนิดของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการ เป็นได้ทั้งเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย อาการไอเป็นอาการเด่นที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ บางคนจะให้ประวัติว่าไอ มากจนอาเจียน หรือไอจนนอนไม่ได้ บางครั้งจะมีลักษณะของอาการหอบร่วมด้วย

โรค ปอดอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อปอดเอง พบได้ในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และมักจะรุนแรงมากกว่า เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการที่พบจะประกอบด้วย ไข้ ไอ หายใจหอบ หรือมีลักษณะหายใจลำบาก ในเด็กเล็กมักจะมีอาการงอแงมากกว่าปกติ ไม่ยอมกินอาหารและน้ำ แยกจากภาวะหลอดลมอักเสบ ได้จากการตรวจร่างกาย จะฟังได้ยินเสียงผิดปกติของปอด และเสียงหายใจ สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งพบได้ทั้งจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย นอกจากนั้น อาจเกิดจากการสูดสำลักอาหาร และน้ำ รวมทั้งสารเคมีต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา ในเด็กที่เป็นปอดอักเสบหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจอย่างถาวรได้ เช่น อาจจะทำให้เกิดเป็นโรคหลอดลมโป่งพอง ส่งผลทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ถดถอย และจำเป็นต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่องเหมาะสมตลอดชีวิต

"โรคระบบทางเดินหายใจ" เป็นแล้วรีบรักษา . . .ไม่สายเกินแก้
สำหรับ ข้อบ่งชี้ที่ต้องรีบนำผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจมาพบแพทย์ ก็คือ เป็นผู้ป่วยเด็กอายุน้อย โดยเฉพาะถ้าน้อยกว่า 3 เดือน มีอาการไข้สูง หายใจหอบ เหนื่อย เจ็บคอ หรือมีน้ำมูกเขียวเหลืองร่วมกับมีไข้มากกว่า หรือเท่ากับ 38.5 องศา มีอาการปวดบริเวณโพรงจมูก ปฏิเสธไม่ยอมกินอาหาร และน้ำ อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 อาทิตย์

การรู้เท่าทัน ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจในฤดูฝน
จะ เห็นได้ว่าในช่วงฤดูฝน หรือฤดูหนาว เด็กจะป่วยด้วยปัญหาทางเดินหายใจจำนวนมาก และบ่อยกว่าปกติ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และการแพร่ระบาดของเชื้อโรค หากคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองไม่อยากจะให้ลูกหลานต้องป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ ก็ควรให้การดูแลที่เหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกัน ตัวอย่างเช่น การจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านที่อยู่อาศัยให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่เข้าไปบริเวณที่มีคนแออัดจำนวนมาก ล้างมือก่อนรับประทานขนม หรืออาหาร รวมทั้งมีการออกกำลังกายที่เหมาะสม กินอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดก็จะช่วยให้โอกาสการติดเชื้อลดลง นอกจากนี้ ในปัจจุบันก็มีวิวัฒนาการของวัคซีนต่างๆ มากมายที่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบหายใจที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 00:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

"ร่วมกันกอบกู้..ช่วยลดโลกร้อน"

ผมอาจจะเป็นคนที่มีความคิดแปลกๆ ที่ไม่เข้าท่าเข้าทางอยู่หลายๆ อย่าง อย่างสม่ำเสมอ
และเรื่องสิ่งแวดล้อมก็คงไม่มีการละเว้นด้วยเช่นกัน
จากการศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโลกเก่าๆ ใบนี้ของผมอย่างงูๆ ปลาๆ
ทำให้ผมพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไปตามแนวทางแปลกๆ ที่ผมคิดไปเอง

จากการศึกษาและขุดค้นทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
จึงทำให้มนุษย์ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างผมและคุณ
อาจจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อย่างของประวัติศาสตร์บนโลกใบนี้
โลกก่อเกิดขึ้นมานานแสนนาน จากกลุ่มก๊าซก้อนหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นดาวเคราะห์
และเวลานานแสนนานก็ทำให้ความร้อนของโลกจะลดลงจนสภาวะต่างๆ ของมวลสาร
ที่ประกอบกันขึ้นมาในโลกนี้ จะแปรเปลี่ยนให้เอื้ออำนวยต่อการก่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิต

การเคลื่อนตัวของโลกในยุคแรกๆ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตใดๆ จะก่อเกิดขึ้น เกิดขึ้นหลายครั้งต่อหลายครั้ง
และในที่สุดโลกก็ได้เคลื่อนตัวไปจนพอใจแล้ว สภาวะอากาศของโลกก็เปลี่ยนไปอยู่หลายครา
ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งที่โลกทั้งโลกของเรา ต้องตกอยู่ภายใต้ความหนาวเย็นของสภาวะอากาศ
จนมาถึงยุคที่น้ำแข็งทั่วทั้งโลกต่างพร้อมใจกันละลายลงไป และอุณหภูมิของโลกก็อบอุ่นน่าอยู่ขึ้น
สถานที่ที่เคยเป็นมหาสมุทร พอเวลาเปลี่ยนไปก็กลับกลายมาเป็นผืนแผ่นดินในที่สูง
สถานที่ที่เคยเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้า ก็กลับกลายมาเป็นทะเลลึกที่ยากที่จะเชื่อ

ตั้งแต่ยุคที่โลกเรามีเพียงมหาทวีปพันเจียเพียงทวีปเดียว
จนโลกแยกออกมาเป็นสองทวีปคือ กอนด์วานาและลอเรเชีย
และเมื่อล่วงมาถึงยุคครีเทเชียส ทวีปต่างๆ จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกับปัจจุบัน
เพียงแต่ขนาดเล็กกว่าเนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงกว่า
แสดงให้เห็นว่าโลกมีบางอย่าง ที่ขับเคลื่อนตัวของมันอยู่อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลา โลกก็จะต้องเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มันควรจะเป็น

จนในที่สุดกับเวลาที่นานแสนนาน สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ก็กำเนิดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
ผ่านมาอีกนานแสนนานสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า คนก็จึงพัฒนามาจากลิงพันธุ์หนึ่งได้สำเร็จ
เมื่อราว 4ล้านปีก่อน พวกเราเริ่มที่จะยืนตัวตรง ต่อมาราว 2.5 ล้านปีร่างกายและสมอง
จึงเริ่มมีขนาดเพิ่มขึ้นจนในที่สุด มนุษย์ที่สมบูรณ์ใกล้เคียงกับเราก็กำเนิดขึ้นเมื่อ 1.7ล้านปีที่ผ่านมา

ผมยังคงมีความเชื่อว่า เวลาผ่านไป โลกก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างที่โลกเคยเปลี่ยนมาหลายหลากครั้ง
แต่ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุด ในจักรวาลได้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
การเอาชนะธรรมชาติหลากหลายครั้งของมนุษย์เกิดขึ้นมาจนนับครั้งไม่ถ้วน
การเอาชนะโรคระบาดด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์
การเอาชนะสภาวะภูมิอากาศด้วยเครื่องนุ่งห่มที่นำมาห่อหุ้มร่างกาย
การเอาชนะสัตว์ร่วมโลกอื่นๆ ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ประดิษฐ์และพัฒนาขึ้นเพื่อการไล่ล่า
การเอาชนะความมืดด้วยแสงสว่างยามค่ำคืนของพลังงานไฟฟ้า
และการเอาชนะความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ด้วยการประดิษฐ์อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ
แต่อย่างหนึ่งที่ สิ่งมีชีวิตอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่สามารถเอาชนะได้กลับมีแค่เพียงอย่างเดียว
ซึ่งนั่นก็คือ " ความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของพวกเรา "

อาจจะใช่ที่ว่าไม่ช้าไม่นานโลกก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปในอดีตก่อนที่มนุษย์จะพัฒนามาจากลิงสำเร็จ
สภาพสิ่งแวดล้อมของโลกต่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ควรเป็น
อาจจะร้อนมากขึ้น แต่ก็เป็นการร้อนที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นอย่างช้าๆ
อย่างที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่สามารถที่จะปรับตัวเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกมันตามไปได้

แต่หลังจากที่มนุษย์พัฒนามาจากลิงสำเร็จ ทุกสิ่งก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น
สัตว์ร่วมโลกหลายๆ สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ต่างค่อยๆ ล้มหายตายจากไป
ก่อนเวลาอันควรหลายหลากสายพันธุ์ต้องสูญหายไปจากการเปลี่ยนแปลงที่มีตัวเร่ง
คือความละโมบของมนุษย์มนุษย์คือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่ผิดธรรมชาติอีกมากมาย
หลายอย่างจากสมองที่ไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนาจากความต้องการทางวัตถุ

จนมาถึงวันหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ในวันที่ 22 เมษายน 1970
ที่มีคนสมมติให้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งสมองของมนุษย์ก็หวนกลับมามอง
ในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปกับโลกใบนี้

หลังจากที่เราได้พัฒนามาจากลิงได้สำเร็จมาถึง หลายล้านปี
เราถึงได้ตระหนักว่า พวกเรานี่ละที่เป็นตัวทำลายล้างโลกอย่างแท้จริง
เราจึงมารณรงค์ให้พวกเรากันเองหยุดทำร้ายโลกที่เราอาศัยหายใจอยู่นี่กันเสียที

ฟังดูแล้วผมอยากจะหัวเราะให้กับความเดียงสาของมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ
ว่าเราใช้เวลานานถึงขนาดนี้เชียวหรือเราถึงได้รู้ว่าเราได้ทำอะไรลงไป
ที่ผ่านมาเราต่างเอาเวลาไปค้นคว้าทำอะไรกันอยู่
การเริ่มต้นทำการเกษตร การรู้จักใช้งานสัตว์เลี้ยง การรู้จักนำแร่ธาตุใต้ดินมาใช้
การประดิษฐ์ เครื่องบิน อาวุธสงคราม อาวุธนิวเคียร์ คอมพิวเตอร์
การเดินทางเหนือแสง การถ่ายทอดสด การเดินทางไปต่างดาว การสร้างสถานีอวกาศ
คอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตยกึ่งประชาธิปไตย ประชาธิปไตยล้วนๆ หัวเอียงซ้าย หัวเอียงขวา
การค้าเสรี ทุนนิยม สังคมนิยม รัฐสวัสดิ์การ รัฐอิสระ รัฐเดี่ยว สหพันธรัฐ สหรัฐ
ดูแล้ว มนุษย์ช่างเป็นเผ่าพันธ์ที่ฉลาดเสียเหลือเกินที่คิดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้

แต่อย่างหนึ่งที่เราอาจหลงลืมกันไป
ก็คืออากาศดีๆ ที่จะหายใจของเรากำลังจะหมดไป
ยังไม่สายหรอกครับ ตามที่ปราชญ์ท่านหนึ่งเคยว่าไว้

" เมื่อใดเราสำนึกได้เมื่อนั้นเราย่อมมีทางแยกแยะแกะแก้ "

แต่ถ้าหากเราไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างจริงๆ จังๆ และเป็นรูปธรรมมากกว่าทฤษฎี
เพื่อที่จะทำให้สภาวะแวดล้อมกับมาเปลี่ยนแปลงอย่างปรกติตามธรรมชาติ
ไม่แน่สักวันหนึ่ง หากว่าเรายังคงเฉยเมยกับปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อม
เราอาจจะต้องมาร่วมมือกันระดมมันสมองทั้งหมดของมนุษย์จากทั่วทุกมุมโลก
เพื่อที่จะคิดค้นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ
และนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะมาทดแทนอากาศที่กำลังจะหมดไป
จากการกระทำอันไร้จิตสำนึกของพวกเรากันเอง

ปล. ตามกฎทั่วๆ ไปของ Tag ผมควรที่จะส่งต่อให้คนอื่นเขียนตอบ
แต่ผมขอไม่ส่งต่อแล้วกัน ใครที่แวะมาอ่านก็ไม่ต้องตอบ Tag ของผม
เพียงแต่ แค่คุณลองปิดไฟที่ไม่ใช้เสียบ้าง ช่วยลดการเกิดขยะให้น้อยลงโดยเฉพาะพลาสติก
ใช้น้ำมันให้น้อยลง ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและของกินของใช้ที่ผลิต
จากระบบอุตสาหกรรมให้น้อยลง เพื่อที่ระบบอุตสาหกรรมจะได้ผลิตสินค้าน้อยลง
ซึ่งจะมีผลให้การปล่อยก๊าซพิษและของเสียน้อยลงไปด้วย

อย่างสุดท้ายที่จะขอวิงวอนทานผู้อ่านอีกหนึ่งอย่าง ก็คืออย่าปล่อยให้คนชั่วๆ
นำรถแก๊สอันตรายมาจอดเกะกะใกล้ๆ เปลวไฟในย่านชุมชนโดยเด็ดขาดนะครับ
และถ้าหากจะถามผมว่าคิดอย่างไรกับกลุ่มคนที่สนับสนุนเศษมนุษย์พวกนี้
ผมบอกได้อย่างเดียวว่า " พวกนี้เสมือนขยะพิษที่ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้อีกแล้วครับ "

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 00:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ภัยร้ายขณะหลับ

แม้โรคการหยุดหายใจจากภาวะทางเดินหายใจถูกอุดกั้นขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea : OSA) เป็นความผิดปกติด้านการนอนที่พบมากที่สุดในโลก แต่คนไทยอาจยังไม่คุ้นหูนัก

ผลวิจัยจากโรค OSA นี้ พบว่า ประชากรทั่วโลก 4% กำลังเผชิญกับโรคนี้อยู่ โดยคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่า 2-3 เท่าของคนปกติ แถมมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดในสมองมากกว่าด้วย การศึกษาล่าสุดจัดทำโดยฟิลิปส์ใน 5 ประเทศทั่วโลก พบว่า สถิติแสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของคนไข้คิดว่าโรคนี้มีอาการแค่นอนกรน แท้จริงแล้วการกรนเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดโรคนี้ ในขณะที่เกือบ 2 ใน 3 รู้สึกว่าการกรนเป็นเพียงแค่ความไม่สะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องจัดการอะไร

วิธีรักษา เมื่อ พบแน่ชัดว่าคนไข้ป่วยด้วยโรคนี้ คุณหมออาจแนะนำให้ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดต่อเนื่อง (Contiunous Positive Airway Pressuew : CPAP) ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องต่อท่อหายใจ ปัจจุบันวิธีนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะเจ้าเครื่องนี้เป็นเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องจะปล่อยแรง ดันลมแบบเบาผ่านหน้ากากสู่จมูกเพื่อป้องกันการตีบของทางเดินหายใจ ทำให้ผู้ป่วยสามารถหายใจได้เต็มที่ขณะนอนหลับ

“ผู้ป่วยที่เป็นโรคภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับจากการ อุดกั้นจะตื่นขึ้นมาเพื่อหายใจบ่อยครั้งในระหว่างนอนหลับ ทำให้ไม่สามารถมีเวลานอนหลับได้อย่างเพียงพอ บางกรณีผู้ป่วยตื่นขึ้นมา 30 นาทีใน 1 ชั่วโมง เนื่องจากหยุดหายใจชั่วคราว CPAP จะช่วยเพิ่มพลังงาน ลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคเส้นโลหิตในสมองและโรคหัวใจวาย” ศาสตราจารย์ น.พ.ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ หัวหน้าภาควิชา โสต ศอ นาสิก วิทยา คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒกล่าว

ภัยร้ายขณะหลับ (ประชาชาติธุรกิจ)

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 00:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
อาการไอ ส่งสัญญาณอะไร?

ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา อากาศทั่วโลกต้องเรียกว่าอยู่ในขั้นปั่นป่วน ก็เพราะปรากฏการณ์ที่เรียกว่าภาวะโลกร้อน ที่ทุกคนในโลกกำลังเผชิญอยู่ คนเป็นพ่อเป็นแม่นอกจากจะปลูกฝังจิตสำนึก ในเรื่องการประหยัดพลังงานให้ลูกๆ เห็นเป็นตัวอย่างแล้วยังต้องคอยสังเกตอาการป่วยไข้ของลูกอยู่เสมอ ถ้าลูกแสดงอาการป่วยไข้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด จะได้แก้ไขได้ทัน ไม่ปล่อยให้เรื้อรังจนแก้ยาก เด็กเล็กๆ ไอกันได้ง่ายๆ และบ่อยๆ

ทำไมถึงไอ
โดย ทั่วไป อาการไอ เป็นกลไกลธรรมชาติ ที่ช่วยปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร เพื่อช่วยให้หายได้สะดวกขึ้น สังเกตจากแค่เราเจอควัน เราก็ไอออกมาแล้ว ฉะนั้นเวลาเด็กๆ เป็นหวัดธรรมดาแล้วไอออกมาจึงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง และไม่จำเป็นต้องซื้อยาแก้ไอมากิน แต่ถ้ามีอาการไอผิดปกติขึ้นมาก็ต้องมาดูถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอ

ลักษณะไอเบาๆ แห้งๆ ไม่ได้ไอติดต่อกัน อาจเกิดจากอาการระคายคอธรรมดา ไม่ใช่อาการน่าเป็นห่วง เด็กๆ ไอเพราะ…

หวัด
อาการหวัด และมีอาการไอด้วย มักมาจากการติดเชื้อไวรัสในอากาศ มักจะมีไข้ น้ำมูกไหล ระคายคอ
รักษาเบื้องต้น : ให้เด็กดื่มน้ำอุ่น ถ้ามีไข้ก็กินยาลดไข้ พักผ่อนมากๆ ถ้าเป็นหวัดธรรมดามักจะหายได้เองภายใน 3-5 วัน

อากาศ
ในช่วงที่อากาศหนาวและแห้ง เกิดการระคายเคืองในหลอดลมจมูกต้องปรับความชื้น เพื่อทำให้อากาศที่หายใจเข้าไปอุ่นขึ้น ดังนั้น ร่างกายจึงต้องปรับตัวให้เลือดมาเลี้ยงที่เยื่อบุจมูกมากขึ้น ทำให้เยื่อบุจมูกบวม เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเล็กๆ น้อย และไอแห้งๆ
รักษาเบื้องต้น : ใส่เสื้อหนาๆ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ดื่มน้ำอุ่นๆ

ส่งเสียงดัง
บางครั้งเด็กๆ สนุกกับการทำเสียงดัง เล่นสนุก ตะโกน ก็ทำให้ระคายคอมากขึ้น
รักษาเบื้องต้น : ให้งดใช้เสียงสักพัก ป้อนอาหารอ่อนๆ จำพวกข้าวต้ม โจ๊ก ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ

ภูมิแพ้
เด็กเมืองในปัจจุบันเป็นภูมิแพ้กันมาก โดยเฉพาะภูมิแพ้อากาศ ถ้ามีน้ำมูกไหลลงไปในคอ จะทำให้คัน ระคายคอมากกว่าธรรมดา อาการไอก็ตามมา
รักษาเบื้องต้น : เด็กที่ไอเพราะอาการดังกล่าว ถ้ามีน้ำมูกก็ให้รีบกินยาลดน้ำมูก เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ

ถ้าเกิดอาการแพ้ เป็นผลทำให้มีอาการอักเสบ หลอดลมตีบตัว ทำให้เกิดอาการไอ หรือเข้าข่ายเป็นหืด
รักษาเบื้องต้น : คุณหมอมักจะสั่งยาขยายหลอดลม

ถ้าเด็กไอนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ต้องพาไปพบคุณหมอ เพื่อตรวจดูว่าเกิดจากสาเหตุใด และถ้าไอติดกันนาน 1 เดือน จะเข้ากับคำว่า ไอเรื้อรัง ถ้าอาการไอของลูกไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น คุณแม่เองก็ต้องคอยสังเกตด้วยว่า ลูกไอช่วงไหนอย่างไร เช่น ไอเฉพาะตอนกลางคืน หรือตอนเช้า ไอเพราะควันบุหรี่ หรือทุกครั้งที่นั่งรถแล้วไอ (อาจจะเกิดจากไรฝุ่นในรถ) เพื่อจะแจ้งให้คุณหมอทราบ และหาสาเหตุที่แน่ชัดของอาการไอได้ดีขึ้น

เรื่องของยาแก้ไอ
คุณแม่หลายท่านพอเห็นว่าลูกมีอาการไอแต่ยังแข็งแรงร่าเริงอยู่ ก็ไปซื้อยาแก้ไอละลายเสมหะ (เพราะฟังเสียงไอ แล้วเหมือนมีเสมหะปนอยู่ด้วย) ในแง่ของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยาละลายเสมหะในกลุ่มผู้ป่วยเด็กนั้น ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า สามารถบรรเทาอาการไอได้

ดัง นั้น ยาแก้ไอที่ดีที่สุด (ถ้าเกิดจากหวัดหรือการระคายเคืองธรรมดา) ก็คือ น้ำอุ่น การพักผ่อน และการรับประทานอาหารที่ไม่ทำให้ระคายเคืองคอนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก (Mother & Care)

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ระวัง! นอนไม่พอเสี่ยงเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐ เสนอผลการศึกษาล่าสุด พบว่า การนอนมีผลต่อความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะคนที่นอนน้อยในเวลากลางคืน ประกอบกับไม่ออกกำลังกายและรับประทานอาหารมากเกินพอดี อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวานมากขึ้น

นายแพทย์พลาเมน เปเนฟ นักวิจัยอาวุโสของมหาวิทยาลัยชิคาโกและคณะทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเพศชายและ หญิงวัยกลางคน จำนวน 11 คนที่มีสุขภาพดี แต่ไม่ออกกำลังกาย ผู้วิจัยได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ทำการเก็บข้อมูลนาน 14 วัน โดยให้พวกเขาเหล่านี้เอาแต่นั่งๆ นอนๆ และทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ส่วนการนอนก็ให้นอนคืนละ 5 ชั่วโมงครึ่ง และ 8 ชั่วโมงครึ่ง

สิ่งที่พบคือ ผู้ใหญ่ที่มีเวลานอนลดลงจาก 8 ชั่วโมงครึ่งเหลือ 5 ชั่วโมงครึ่ง จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ต่อการตอบสนองการตรวจสอบน้ำตาล ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายคลึงกับคนที่กำลังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นเบา หวาน

หากผลการวิจัยนี้ได้รับคำยืนยันจากการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้น ก็จะเป็นสิ่งบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอมีความสำคัญต่อการหลีกเลี่ยงโรคเบาหวานได้พอๆ กับการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ

โดย mcot.net

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 01:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง

ตอน เช้าต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง

นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก

การนอนหลับพักผ่อน ให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้าน สารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)
2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

ที่มา : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร