วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 12:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1_122602472.jpg
1_122602472.jpg [ 77.78 KiB | เปิดดู 8087 ครั้ง ]
อย่ากลัวคลอรีน ในน้ำก๊อก

ทุกวันนี้การสื่อสารทันสมัยกันมากขึ้น บางคนได้รับอีเมล์ส่งต่อๆ กันมาเกี่ยวกับข่าวสารสุขภาพ ที่ดูน่ากลัว อย่างเรื่องคลอรีนในน้ำประปา หรือน้ำก๊อกที่มีคนหัวใสนำไปทำการตลาดกับเครื่องกรองน้ำราคาแพงก็เป็นหนึ่ง

ในข่าวสารลักษณะนี้ มักมีการกล่าวอ้างว่ามีข้อมูลวิจัยจากต่างประเทศ พบว่าคลอรีนในน้ำประปาก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า "ไตรฮาโลมีเธนส์" จนอาจทำให้ ผู้บริโภคน้ำประปาตื่นตระหนกตกใจกันขึ้นว่าไม่ควรดื่มน้ำก๊อก เรื่องนี้นางยิ่งลักษณ์ ธัญญะโชโต ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรการประปานครหลวง (กปน.) ชี้แจงว่า น้ำประปาเป็นน้ำที่ผลิตมาจากน้ำดิบตามธรรมชาติย่อมมีสารอินทรีย์ที่เกิดจาก สิ่งมีชีวิตปะปนอยู่ เมื่อทำปฏิกิริยาเคมีกับคลอรีน ทำให้เกิดสารประกอบเคมีที่เรียกว่า Trihalomethanes (THMs) หรือ "ไตรฮาโลมีเธนส์" ที่ผ่านมา กปน.ติดตามการศึกษาและวิจัยของพิษภัยสารตัวนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำประปาไว้ไม่ต่ำกว่า 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร

ทั้งยังได้เคยว่าจ้างให้คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจหา "ไตรฮาโลมีเธนส์" ในน้ำประปาของ กปน. และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งได้ผลออกมาว่าปริมาณสาร "ไตรฮาโล-มีเธนส์" ในน้ำประปาต่ำกว่าเกณฑ์กำหนดขององค์การอนามัยโลกมาก จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งน้อยมาก

แต่ถ้าหากยังไม่มั่นใจและต้องการกำจัด "ไตรฮาโล-มีเธนส์" ก็ทำได้ง่ายมาก เนื่องจากจัดอยู่ในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย ทำได้เพียงแค่รองน้ำประปาตั้งทิ้งไว้ในภาชนะเปิด ประมาณ 15 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ปริมาณ "ไตรฮาโลมี-เธนส์" ซึ่งมีอยู่ในระดับต่ำและไม่ส่งผลต่อสุขภาพ รวมทั้งคลอรีนซึ่งอาจส่งผลต่อกลิ่นและรสของน้ำก็จะระเหยหมดไปเอง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อเครื่องกรองน้ำราคาแพงที่บอกว่า สามารถกำจัด"ไตรฮาโลมีเธนส์" ได้

หากต้องการความมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีก สามารถนำน้ำประปาไปต้มก่อนโดยเปิดฝาภาชนะไว้ขณะต้มก็ช่วยได้เช่นกัน เพราะน้ำประปาต้มเดือดถือเป็นน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยที่สุด

แหล่งที่มา : http://hilight.kapook.com/view/36701

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 17:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




22d4bd3df47.jpg
22d4bd3df47.jpg [ 20.59 KiB | เปิดดู 8179 ครั้ง ]
นอนมากเกิน-น้อยเกิน เสี่ยงเบาหวาน

คนที่นอนมากเกินไปหรือนอนน้อยเกินไป มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคเบาหวาน

ผลวิจัยพบว่า คนที่ไม่ได้นอนคืนละ 7-8 ชั่วโมงมีแนวโน้มสูงขึ้น 2 เท่าครึ่งที่จะมีน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งโยงกับโรคเบาหวาน

นักวิจัยซึ่งศึกษาพฤติกรรมของอาสาสมัคร 276 คนเป็นเวลา 6 ปี บอกว่ายังไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Sleep Medicine แนะนำว่า การนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนับเป็นจำนวนที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ในการป้องกันโรคต่างๆ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ทราบสาเหตุของเรื่องนี้ แต่ผลการศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแบบแผนการนอนกับ โรคอ้วน โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิต

โรคอ้วนมีส่วนเชื่อมโยงกับเบาหวาน แต่โอกาสเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเบาหวานอันเนื่องจากนิสัยในการนอนนั้นก็ยังคง มีอยู่แม้ว่าได้ตัดปัจจัยเรื่องโรคอ้วนออกไปแล้ว

งานวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ว่า การอดนอนอาจรบกวนการผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารที่มีแคลอรีสูง ความหิว และการใช้พลังงาน

นักวิจัยแองเจโล เทรมเลย์ บอกว่า งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาต่อเนื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาการ นอนกับความเสี่ยงต่อเบาหวาน ความเสี่ยงนี้ยังคงมีนัยสำคัญแม้ว่าได้นำปัจจัยเรื่องดัชนีมวลกายกับเส้นรอบ เอวมาร่วมพิจารณาด้วยแล้ว "คำแนะนำก็คือ เราควรนอนให้เต็มตื่น แต่สำหรับบางคนเรื่องนี้ก็พูดง่ายแต่ทำยาก"

งานสำรวจหลายชิ้นพบว่า ผู้คนกำลังใช้เวลากับการนอนหลับน้อยลง ชาวอังกฤษวัยผู้ใหญ่ราว 1 ใน 3 มักนอนคืนละ 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น ระยะเวลาการนอนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ชั่วโมง

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2009, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

แหะๆ บังเอิญว่า..เมื่อวันก่อนได้คุยกับพี่ทริปเรื่องต่างๆมากมาย
และเรื่องของพี่เค้าที่ห่างหายไปจากบล็อกๆ นึ่งด้วยมีเหตุผลของการหายไป
เนื่องจากเธอมีอาการตาแห้งและน้ำวุ้นลูกตาเสื่อมค่ะ
ฟ้าฟังแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์จึงเอาเรื่องนี้มาฝาก

ตาแห้ง....วุ้นลูกตาเสื่อม...

อาการวุ้นลูกตาเสื่อม :
จะมองเห็นคราบดำๆ เหมือนหยากไย่ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจก
จะเห็นชัดเมื่อมองแบล็คกราวด์ที่สว่างหรือสีขาว ...(ตอนนี้เป็นแบบนี้อยู่ค่ะ)
บางทีก็รำคาญมาก เผลอจะเอามือไปปัด นึกว่าหยากไย่ลอยมาตรงหน้าทู๊กทีเรย

สาเหตุของโรค : ใช้สายตามากเกินไป (โดยเฉพาะใช้คอมฯ)

1. มองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอคอมฯ นานๆ..โฟกัสไม่แน่นอน

2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัดในหน้าจอคอมฯ จะเลื่อนแบบกระตุกทำให้สายตาเสีย
กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก จะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ ไม่สามารถปรับโฟกัสในการมองของใกล้แล้ว
มองไกลได้ทันทีเหมือนเคย (กล้ามเนื้อประสาทตาล้า ทำให้การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)

3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอมฯ กลับไปกลับมา "ทำให้สายตาเสีย"

4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้าเกินไปโดยไม่รู้ตัว "ทำให้สายตาเสีย"
ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ

5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพหรือดูหนัง
แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะสายตาคนเรามีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12 นิ้ว)
แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง
จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือหลายปี ติดต่อกัน
สายตาเสียแน่นอน ฉะนั้นถ้าจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมต้องไม่เกิน 15 นิ้ว

ส่วน มากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวันง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ตาบอดได้
ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว
และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

ป.ล.ขอบคุณข้อมูลน้ำวุ้นลูกตาเสื่อมเพลงและภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตค่ะ


หวัดดี..คุณลุง..คุณป้า..พี่ๆ เพื่อน...ทุกท่าน...ในลานฯ
คิดถึงนะค่ะ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ต.ค. 2009, 23:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1243865986.jpg
1243865986.jpg [ 146.38 KiB | เปิดดู 8110 ครั้ง ]
อากาศร้อน..กินอย่างไร..ไม่ให้ร้อน ?

อ่านพบบทความดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพและอาหารในหน้าร้อนนี้ลองดูนะจ๊ะ
คิด ว่าสุขภาพของสรรพสัตว์ก็ไม่แตกต่างจากมนุษย์เราเหมือนกัน
ช่วงนี้ก็ให้หนอนนกน้อยๆ หน่อยละกัน เน้นผลไม้สดที่มีคุณค่าจะทำให้เค้าคลายร้อนได้มากทีเดียวจ๊ะ

หน้าร้อนปีนี้ มาเยือนเร็วกว่าที่เคยนะคะ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว
ทำให้หลายคนเกิดอาการเบื่ออาหาร อากาศร้อนยังทำให้อารมณ์เสีย
หงุดหงิดได้ง่ายอีกด้วย การเลือกรับประทานอาหารให้ดี นอกจากจะช่วยคลายร้อนแล้ว
ยังช่วยให้อารมณ์เย็นขึ้นได้อีกด้วย

หลายคนใช้วิธีดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หรือรับประทานไอศกรีม
ซึ่งจะช่วยแก้กระหายคลายร้อนได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
แต่จะไม่ช่วยให้ร่างกายเย็นลงจากสภาพอากาศร้อนรอบๆ ตัวได้
ทางที่ดีควรอาบน้ำให้เย็นชื่นใจหรือรับประทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายระบายเหงื่อได้โดยตรง

อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมัน
เป็น อาหารที่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและการนำไปใช้สูงกว่าผักและผลไม้
การที่ทางเดินอาหารทำงานหนัก จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย อาหารประเภทเนื้อและไขมัน
รวมถึงอาหารทอด จึงเป็นอาหารที่รับประทานแล้วจะเกิดอาการแน่นท้อง อึดอัด ย่อยยาก
ทำให้รู้สึกร้อนมากขึ้น ไม่ควรรับประทานมากในหน้าร้อน

ส่วนอาหารที่ไม่สร้างความร้อนเพิ่มขึ้น คือ ผักและผลไม้ที่ไม่มีแป้งมาก ดังนั้น
จึง ควรเน้นรับประทานผักและผลไม้เป็นหลักมากกว่าอาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้พลังงานมากเกินความจำเป็นหากรับประทานมากเกินไป

พืชผักที่เหมาะจะรับประทานในหน้าร้อน ยกตัวอย่างเช่น
มะระ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย แก้ร้อนใน
ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น คนจีนนิยมทำเป็นยาถอนพิษ ขับร้อนใน
ผักกาดขาว ช่วยแก้อาการร้อนในได้
ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย
ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ

เครื่องเทศ
ซึ่งมีสรรพคุณเป็นทั้งอาหารและเป็นยาก็ยังช่วยคลายร้อนได้โดยอาศัยความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ
การกินเผ็ดทำให้มีเหงื่อออกเป็นการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีวิธีหนึ่ง
ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย หลายประเทศในแถบร้อนจึงรับประทานอาหารรสเผ็ด
เช่น แกงเผ็ด ผัดเผ็ดต่างๆ ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ รับประทานทีละน้อย แต่รับประทานบ่อยๆ

เมนูที่นอกจากจะกินอร่อย ได้ประโยชน์ และยังช่วยคลายร้อนได้ ก็ได้แก่
แกงเลียง แกงส้มต้มยำ ต้มโคล้ง ยำต่างๆ น้ำพริกผักจิ้ม ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ

ส่วนของหวานก็ได้แก่ น้ำแข็งใส เฉาก๊วย ผลไม้ลอยแก้ว เลือกที่ไม่ใส่กะทิ
อากาศร้อนๆ คงไม่มีใครอยากดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ กันเท่าไรนัก

แต่การดื่มเครื่องดื่มร้อน เช่น น้ำชาร้อนๆ จะทำให้เหงื่อออก ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหย จะทำให้เกิดความเย็น
แต่ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ จะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปอย่างรวดเร็ว

น้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณคลายร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ เช่น
ใบบัวบก แตงโม ใบเตย ใบสะระแหน่ ช่วยดับกระหายและคลายความร้อนในร่างกาย
น้ำตะไคร้ ช่วยขับเหงื่อ
น้ำกระเจี๊ยบ ช่วยรักษาอาการร้อนในภายในช่องปาก
น้ำมะนาว ช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า และขับเสมหะ
น้ำมะพร้าว ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย
น้ำมะตูม เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มในหน้าร้อนมาแต่โบราณ เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจ
ช่วยแก้กระหายได้แล้ว ยังมีสรรพคุณในการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง
น้ำยาอุทัย เหยาะใส่น้ำเย็น ดื่มแล้วชื่นใจ มีสรรพคุณเช่นเดียวกับน้ำมะตูม

ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่ช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการแน่น จุก เสียดได้อีกด้วย
หากไม่ชอบน้ำสมุนไพร อาจเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้คั้นสดๆ ไม่ใส่น้ำตาลและเกลือ หรือใส่แต่น้อย
ก็จะช่วยแก้กระหายคลายร้อนได้เช่นกัน

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องทำงานท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด หรือออกกำลังกายกลางแจ้ง
ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร หรือประมาณ 4-6 แก้ว
แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม แต่อย่าดื่มมากไปจนกระทั่งเกิดอาการจุก
และควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องอย่างน้อย 1-2 แก้ว
เมื่อต้องออกจากบ้านในวันที่อากาศร้อนจัด

หวัดดีค่ะคุณลุง..กลับมาแล้วเล่าให้ฟังบ้างนะค่ะ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 24 ต.ค. 2009, 23:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




18645-attachment.jpg
18645-attachment.jpg [ 26.1 KiB | เปิดดู 8472 ครั้ง ]
ลบรอยแผลเป็นด้วยใบมะลิ
ใครจะรู้บ้างว่ามีดอกไม้สีขาวชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมฟุ้ง และปลูกง่ายตามบ้านอย่าง “มะลิ”
จะเป็นยาสมุนไพรชั้นเยี่ยม ในการรักษารอยแผลเป็นที่อยู่บนตัวเรา วันนี้ขอนำเกร็ดสุขภาพดีๆมาฝากกัน

ในโบราณเรามีการใช้ใบมะลิเป็นสมุนไพรในการรักษารอยแผลเป็นต่างๆ เช่น แผลพุพอง ฝีดาษ แผลเป็นจากอีสุกอีใส จากสิว ตลอดจนบาดแผลที่เกิดจากรอยขีดข่วน การบาด จากของมีคม แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

วิธีการในการรักษาบาดแผล เช่น แผลจากรอยขีดข่วน จากการบาดของมีด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
เมื่อรักษาจนแผลเริ่มแห้งตกสะเก็ดและเริ่มลอกหลุดออกแล้ว ให้เลือกใบมะลิจะเป็นมะลิลาหรือมะลิซ้อนก็ได้ สัก 2-3 ใบ ล้างให้สะอาด นำมาตำหรือบดพอละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบริเวณแผลเป็นวันละ 3-4 ครั้ง รอยแผลเป็นจะค่อยๆ เริ่มจาง และไม่มีอาการเจ็บ สามารถนำใบมะลิมาถูเบาๆ บริเวณรอยแผลเป็นได้โดยตรง
วันละ 3-4 ครั้ง เช่นเดียวกัน

สำหรับวัยรุ่นที่เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวและมีท่าทีว่าจะหายช้าให้ผสมน้ำคั้นใบมะลิ น้ำมะนาว และดินสอพองลงเข้าด้วยกัน ทาบริเวณรอยแผลเป็น จะช่วยสมานผิวและผลัดเซลล์ผิวให้รอยแผลเป็นจางหายไปเร็วยิ่งขึ้น
เรียก ได้ว่าสรรพคุณของใบมะลินั้นมีประโยชน์มากมาย อีกทั้งราคาไม่แพงสามารถหาซื้อมาปลูกไว้ที่บ้าน
เพื่อเป็นสมุนไพรในการรักษา รอยแผลเป็นต่างๆ ยังไงก็ลองนำไปใช้ดูกันนะครับ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 17:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




hand3.jpg
hand3.jpg [ 10.81 KiB | เปิดดู 8421 ครั้ง ]
วิธีจัดการกับเล็บให้ดูดี

ใครที่ต้องแต่งหน้าบ่อย ๆ อาจเกิดปัญหาแพ้เครื่องสำอาง
วันนี้มีวิธีรักษาอาการแพ้เครื่องสำอางมาฝากกันกันค่ะ....

1. หยุดการใช้เครื่องสำอางนั้นทันที และพยายามเช็ดหรือชะล้างบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางนั้นให้สะอาดที่สุดเท่าที่ จะทำได้ โดยปกติอาการแพ้ไม่รุนแรงมากนัก หลังจากนั้นสังเกตดูว่ามีอาการแพ้ลุกลามมากขึ้นอีกหรือไม่ โดยมากมักจะหายภายใน 7-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เมื่อทราบสาเหตุว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดใดหรือสารที่เป็นส่วนผสมในเครื่อง สำอางนั้น ควรงดใช้หรือหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

3. รักษาอาการแพ้ให้หาย หากเป็นผื่นแดง หรือเป็นตุ่มบวม หรือเป็นตุ่มน้ำใสมีน้ำเหลืองซึมออกมา ก็ควรทำความสะอาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการอักเสบเป็นหนอง นอกจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้น จากการแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น เพื่อรักษาและหยุดปฏิกิริยาการแพ้ให้หายโดยเร็วที่สุด

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: สุขภาพน่ารู้.....เก็บมาฝาก :b48:

รูปภาพ


:b39: 1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ

คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี
วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร “ ลูทีน ”
ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า
การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า
จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ
ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย


:b39: 2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน

คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง
ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้
ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุ ทองแดงเป็นประจำ
จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย
ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก
เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน
จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น


:b39: 3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง

ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด
เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “ เคอร์ซีทิน ”
สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก
ซึ่งจะให้ได้รับสาร “ เพกทิน ” จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย
สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว
เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์
การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย


:b39: 4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่

ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชรา
ด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย
เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “ โอพีซี ” (oligomeric proanthocyanidin)
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า
และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน
ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา
และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย



ที่มา...teenee.com
http://www.school.net.th/schoolnet/arti ... cle_id=126


:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2009, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

10 โรคที่ป้องกันและรักษาได้ด้วยอาหาร

อาหารสามารถช่วยลดความเจ็บปวดหรือป้องกันโรคได้เพียงแค่คุณใส่ใจกับอาหารการกินทุกมื้อในแต่ละวัน
ก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรง

1. เรอบ่อยๆ
ดื่มน้ำมันฝรั่งต้มวันละ 3 แก้ว จะช่วยให้ผนังกระเพาะอาหาร และกรดในกระเพาะสมดุล

2. ท้องอืดเฟ้อ
ใส่ดอกเก๊กฮวยลงไปในน้ำร้อน 2 ช้อนชา ทิ้งไว้ 10 นาที ดื่มวันละ 1-2 ถ้วย
หากท้องอืดเฟ้ออันเนื่องมาจากการกินอาหารคาร์โบไฮเดรต (เช่น ขนมปัง พุดดิ้ง)
ให้กินแตงกวาดองในมื้ออาหาร

3. ความดันโลหิตต่ำ
หากความดันโลหิตต่ำ หลังตื่นนอนให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้วจะช่วยให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
(อาจคงอยู่ได้เพียงแค่ 2 ชั่วโมง) หากรู้สึกล้า ควรกินผักผลไม้ที่มีวิตามินซี
เช่น กีวี มะเขือเทศ ฝรั่ง จะช่วยให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขด้วย
เกลือทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น คุณจึงควรเติมเกลือเล็กน้อยในผัก
โดยเฉพาะผู้ที่มักหน้ามืดวิงเวียนเวลายืนหรือตื่นนอน

4. ความดันโลหิตสูง
อาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะลดน้ำในเลือดและทำให้ความดันโลหิตลดลงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
เช่น กล้วย แตงกวา ทดสอบว่าคุณมีปฏิกิริยาไวกับเกลือหรือเปล่าโดยการไม่กินเกลือหนึ่งสัปดาห์
แล้วดูว่าความดันโลหิตลดต่ำลงหรือไม่
หากมีความดันโลหิตสูงที่เกิดจากความอ่อนเพลียให้กินอาหารที่มีกรดอะมิโน Tryptophan
จะช่วยให้ความดันโลหิตลดลง เพราะความเครียดจะสลายกรดอะมิโนตัวนี้
อาหารที่มีกรดอะมิโน Tryptophan คือมันฝรั่ง ถั่ว ข้าวโอ๊ต เนย และเพื่อให้การดูดซึม
กรดอะมิโนตัวนี้ได้ดีขึ้น อาหารมื้อค่ำจึงควรกินคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์ธัญพืชไม่ขัดสี
และทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย (ไม่ทานไส้กรอก) วิตามินอีจะช่วยปกป้องเส้นเลือดไม่ให้แข็งตัว
วิตามินอีมีมากในน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันงาจะให้ผลดีที่สุด คือเหยาะน้ำมันงาในสลัด

5. ซึมเศร้า
จากการศึกษาพบว่า คนจีนในไต้หวันเป็โรคซึมเศร้าน้อยมาก ซึ่งน่าจะมาจากอาหารการกิน
นั่นคือ การกินข้าว กินผักดิบวันละหนึ่งครั้งใช้น้ำมันงา กินเนื้อสัตว์ และไส้กรอกน้อย และมื้อค่ำไม่ทานเนื้อสัตว์

6. นอนไม่หลับ
กรดอะมิโน Tryptophanจะช่วยให้หลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ซึ่งจะช่วยให้หลับสบาย
กินถั่ววันละหนึ่งกำมือ เพราะในถั่วมีไนอาซินสูง ซึ่งมีความสำคัญในการผลิตฮอร์โมนเซโรโทนิน
ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความสุข
ไม่ทานเนื้อสัตว์หรือไส้กรอกเป็นอาหารค่ำ เพราะอาหารไขมันจะรบกวนระบบประสาท
ซึ่งจะกระทบกับการนอนหลับ ทางที่ดีที่สุดคือ กินอาหารที่ย่อยง่าย

7. อากาศเปลี่ยนทำให้ปวดศีรษะ ง่วง ฯลฯ
หากอากาศเปลี่ยนแล้วส่งผลให้คุณมีอาการปวดศีรษะง่วง ฯลฯ ไม่ควรกินมูสลี่และผลไม้เป็นอาหารเช้า
เพราะมันจะทำให้เกิดอาการทางประสาทและอื่นๆ อาหารที่ควรกินคือ โปรตีนและวิตามินบี
เช่น แตงกวาดอง ควรกินอาหารเบาๆ เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ และปลา

8. PMS ก่อนมีประจำเดือน
หากขาดวิตามินบี 6 จะทำให้เกิดอาการซึมเศร้า หิวจัด และเจ็บเต้านม ดังนั้น จึงควรกินอาหารที่มีวิตามินบี 6
เช่น ผลิตภัณฑ์ธัญพืชไม่ขัดสี มันฝรั่ง ผลไม้เปลือกแข็ง ไม่ดื่มน้ำชา กาแฟ และน้ำดำ งด งด งด งด งด!!!

9. กระดูกพรุน
แคลเซียมช่วยให้กระดูกแข็งแรง แคลเซียมมีมากในนม ซึ่งมีไขมันตามธรรมชาติ บล็อกโคลี่ ผักขม
ฟอสฟอรัสในอาหาร เช่น อาหารสำเร็จรูป น้ำดำ ซอฟต์ดริ๊งก์ จะลดการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้งมูสลี่
และข้าวโอ๊ตก็จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเช่นกัน กินโยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วย แบคทีเรียในกรดนม
จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ฟลูโอไรด์จะช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์กระดูกมีมากในถั่ว
ชาเขียว ปลา ดื่มชาเขียวทุกวันเพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าไปในกระดูก วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมในร่างกายมีมากในผลิตภัณฑ์นม และปลา

ชากุหลาบ
การเตรียมใบชา ให้เลือกตัดดอกกุหลาบตอนรุ่งเช้า ถ้าปลูกเองได้ยิ่งดี เพราะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยจากสารเคมี นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วใส่ตะแกรงโปร่งผึ่งให้แห้ง จากนั้นเด็ดกลีบกุหลาบทีละกลีบ กลีบเล็ก ๆ ตรงใกล้เกสรไม่เอาเพราะจะมีรสขมมาก เสร็จแล้วตากให้แห้งประมาณ 8-10 ชั่วโมง เมื่อแห้งดีแล้วเก็บใส่ขวดโหลไว้ชงดื่ม
รูปภาพ
วิธีการชง
ใช้ชาดอกกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อการชงชา 1 ถ้วย เวลาชงให้เอาชาดอกไม้ใส่ในถ้วยก่อน แล้วเท น้ำร้อนตามลงไป แช่ไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงตัก กลีบกุหลาบออก จะได้ชาดอกกุหลาบสีหวาน กลิ่นหอม อ่อน ๆ น่าดื่ม

ชาดอก กุหลาบช่วยในการเผาผลาญ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยขับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และบำรุงหัวใจ คนที่ชอบรสชาติเข้มข้นสามารถเพิ่มชาได้ตามต้องการ แต่ไม่ควรใช้น้ำเดือดจัดในการชง เพราะจะทำให้ยางดอกไม้ออกมาจนเหม็นเขียว เวลาเทน้ำร้อนให้ยกกาสูง ๆ เพื่อให้ออกซิเจนหมุนเวียน
การเก็บรักษาชาดอกกุหลาบ ควรเก็บไว้ในขวดโหลแก้วที่มีฝาจุกยางปิดสุญญากาศ เก็บให้ห่างจากแสงสว่างและความชื้น จะช่วยให้เก็บชาไว้ได้นาน

ใครชื่นชอบสูตรไหนลองนำไปทำกันดูนะคะ ที่สำคัญนอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้ว อย่าลืม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย จะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจได้ค่ะ

น้ำเก๊กฮวย
เก๊กฮวย เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตรง
ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก
นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน "เก็กฮวย"ช่วยแก้ปวดหัวได้
รูปภาพ
ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้ง มาล้างให้สะอาด เติมน้ำลงในหม้อต้ม ใส่เก๊กฮวยลงในหม้อ ต้ม 2 นาที
จนน้ำที่ต้มเป็นสีเหลือง แล้วนำมากรอง เอากากออก เติมน้ำตาลลงไป ต้มจนน้ำตาลละลาย
จะได้น้ำเก๊กฮวยที่มีรสชาติหวานหอมชื่นใจแถมเจ้าเก๊กฮวยประโยชน์
และคุณค่าทางสมุนไพรแบบที่เราอาจคาดไม่ถึงด้วยนะเนี่ย
- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศหนู มีน้ำมันหอมมระเหย มีรสขม
- ดอก เป็นยาระงับอาการปวดศีรษะ ไข้หวัด ขับลมในลำไส้ บำรุงประสาท
- ดอกและใบ ต้มละลายนิ่ว
- ใบและต้นใช้รักษาโรคผิวหนังได้
- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศสวน มีน้ำมันหอมมระเหย มีสารฝาดสมาน
- ดอก ช่วยย่อยและเจริญอาหาร เป็นยาระบาย แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน
- ใบ แก้ปวดศีรษะ
- ต้น ผสมกับพริกไทยดำรักษาโรคโกโนเรียย ถ้าสกัดเอาน้ำจากต้นสด ช่วยลดอาการอักเสบ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 03 พ.ย. 2009, 21:51, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รอบรู้แพทย์แผนจีน : โจ๊กดอกไม้

โจ๊กดอกไม้ เป็น 1 ในอาหารเสริมความงามในศาสตร์ของแพทย์แผนจีน ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มชาวจีนที่ต้องการรักษา สุขภาพ และผิวพรรณ โดยเชื่อว่าหากรับประทานโจ๊กดอกไม้สดบ่อย ๆ จะช่วยให้ระบบเส้นประสาทต่าง ๆ ทำงานได้ดีช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายและสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงการลดน้ำหนัก เชื่อว่าจะช่วยให้ผิวพรรณได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ไม่ทำให้ดูโทรม เมื่อ เรารู้ว่าโจ๊กดอกไม้ มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยเสริมสร้างความงามดังนี้แล้ว จึงไม่ลืมที่จะนำสูตรโจ๊กดอกไม้มาฝากให้ลองทำรับประทานกันดู ขอบอกว่าไม่ยาก ทำง่ายและน่าสนใจ

โจ๊กดอกเก๊กฮวย
ดอกเก๊กฮวยมีกลิ่นหอมสดชื่น ยิ่งนำข้าวใหม่มาทำเป็นโจ๊ก ยิ่งสามารถดูดซึมสารอาหารหรือสารที่มีประโยชน์จากดอกเก๊กฮวยได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่งอยู่เสมอ นอกจากประโยชน์ที่มีต่อผิวพรรณความงามแล้ว โจ๊กดอกเก๊กฮวยยังมีส่วนช่วยระบบไหลเวียนของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ บำรุงสายตา
และลดอาการปวดบวม เมื่อยลาของสายตาได้อีกด้วย

วิธีทำ
เด็ดก้านดอกเก๊กฮวยออก แล้วนำไปตากแห้ง หลังจากนั้นบดจนเป็นผงละเอียด
ใช้ข้าวใหม่ต้มเป็นโจ๊กในปริมาณข้าว50-100 กรัม
เมื่อโจ๊กสุกได้ที่ให้นำผงดอกเก๊กฮวยในปริมาณ10-15 กรัม เติมลงไป
แล้วต้มต่ออีก1-2 นาที หรือหากสะดวกใช้ดอกเก๊กฮวยตากแห้งสำเร็จรูป
ให้ใช้สัดส่วนดอกเก๊กฮวยแห้ง 60 กรัมต่อ ข้าว 100 กรัม
วิธีง่าย ๆ คือ
หลังจากที่ล้างดอกเก็กฮวยเรียบร้อยแล้ว ให้นำดอกเก๊กฮวยไปต้ม ทำเป็นน้ำแกงก่อน
หลังจากนั้นเติมข้าวที่เตรียมไว้ลงไปต้มพร้อมกัน โดยเปิดไฟแรง พอเดือด ให้ใช้ไฟอ่อนค่อย ๆ
ต้มไปเรื่อย ๆ กระทั้งได้โจ๊กดอกเก๊กฮวยที่มีกลิ่นหอมชวนรับ
รูปภาพ

โจ๊กดอกกะหล่ำ
โจ๊กดอกกะหล่ำเป็นโจ๊กที่มีกลิ่นหอมรสชาติถูกปาก หากรับประทานบ่อย ๆ จะมีสรรพคุณช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ลำไส้ใหญ่ทำงานสะดวก และการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาละเอียดผ่องใสแลดูสุขภาพดี อีกทั้งยังมีสรรพคุณช่วยในการขับสารพิษออกจากตับและไต อีกด้วย

วิธีทำ
นำดอกกะหล่ำสด 50 กรัม ต่อข้าวใหม่ 50-100 กรัม เติม
น้ำตาลทรายแดงในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรมากเกินไปหรือน้อยจน
ไม่ได้รสชาติ เติมน้ำในปริมาณ 500 กรัมแล้วใช้ไฟอ่อนในการต้มโจ๊ก
ขณะที่กำลังรอให้โจ๊กข้นนั้น ให้เติมน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อยเพื่อดูว่า
โจ๊กนั้นได้ที่แล้วหรือยัง หากได้ที่แล้วจะปรากฏน้ำมันลอยขึ้นมาให้เห็น..
รูปภาพ

โจ๊กดอกกุหลาบ
กล่าวกันว่าหากรับประทานโจ๊กดอกกุหลาบติดต่อกันในระยะเวลายาวนาน จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้ผิวพรรณมีสีออกแดงเรื่อๆละเอียดเกลี้ยงเกลา แลดูสุขภาพดี อีกทั้งยังมีสรรพคุณ ช่วยรักษาโรคกระเพาะที่เกิดจากความเครียดได้อีกด้วยการเลือกดอกกุหลาบที่จะนำมาทำโจ๊กนั้น ควรเลือกดอกตูมที่ยังไม่
บานเพราะสารอาหารที่มีประโยชน์จะยังคงอยู่ครบ

วิธีทำ
ให้นำข้าวสารใหม่ต้มให้สุกเป็นโจ๊ก หลังจากนั้นนำดอกกุหลาบที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในปริมาณที่พอเหมาะ
ต้มต่อไปกระทั้งโจ๊กเริ่มออกสีแดงอ่อน จึงจะสามารถตักออกมารับประทานได้..
รูปภาพ

โจ๊กดอกบัว
นำข้าวสารใหม่ 100 กรัมมาต้มกระทั้งสุกเป็นโจ๊ก หลังจากนั้นให้นำเมล็ดดอกบัวและกลีบดอกบัวที่ล้างสะอาดใส่ลงไปในหม้อแล้วต้มต่อเนื่องไปอีก 10 นาทีก็จะได้โจ๊กดอกบัวสีเขียวมรกต ชวนรับประทานหากรับประทานโจ๊กดอกบัวบ่อย ๆจะมีสรรพคุณ ช่วยขับไขมันและสิ่งสกปรกบริเวณผิวหน้า ทำให้ลดอัตราการเกิดสิว ผิวพรรณกระจ่างใสแก้มเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ..
รูปภาพ

โจ๊กดอกมะลิ
โจ๊กดอกมะลิจะมีรสชาติหวาน กลิ่นหอมสดชื่น ขณะรับประทานจะรู้สึกชุ่มคอเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่ผิวแห้ง โจ๊กดอกมะลิยังมีสรรพคุณช่วยคืนความชุ่มชื้นสู่ผิว ชะลอการเกิดริ้วรอย ทำให้แลดูอ่อนเยาว์เสมออีกด้วย

วิธีทำ
นำข้าวสารใหม่ปริมาณ 100 กรัม มาต้มให้สุกเป็นโจ๊กหลังจากนั้น ใส่ดอกมะลิแห้งลงไปในปริมาณ 3-5 กรัม
ต้มต่อเนื่องอีก 5-10 นาที ก็จะได้โจ๊กดอกมะลิกลิ่นชวนรับประทาน..ลองทำรับประทานดูน่ะค่ะ เพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่ดูดีขึ้นแถมยังห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย..

รูปภาพ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หน้าใสไร้สิวด้วย…ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) ขึ้นชื่อเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่มีคุณค่าสูง หาได้ง่าย เพราะปลูกได้เองที่บ้าน เป็นพืชที่มีสรรพคุณมากใช้รักษาแผลไฟใหม้ น้ำร้อนลวก โดยใช้วุ้นทาเพื่อป้องกันรอยแผลเป็น นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การดูแลผิวหน้านุ่มไร้สิว
หากว่าคุณเป็นคนผิวหน้ามัน และมีสิวอักเสบ ผิวหน้าคล้ำจากแดด การปรนนิบัติผิวหน้าด้วยครีมพอกหน้าว่านหางจระเข้วิธีนี้เหมาะกับคุณมาก เพราะจะช่วยปรับสภาพผิวหน้าของคุณให้มีสุขภาพดีขึ้น

ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า
1. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่คุณใช้ประจำ
2. ประคบใบหน้าด้วยผ้าขนหนูอุ่นๆ จะใช้วิธีแช่ผ้าขนหนูในน้ำร้อนแล้วบิดหมาดๆ หรือนำผ้าขนหนูไปนึ่งไอน้ำให้อุ่นก็ได้ แล้วนำมาประคบใบหน้าทิ้งไว้ 10 นาที
3. จากนั้นก็ทำครีมพอกหน้าว่านหางจระเข้ โดยนำเกาลิน(ดินขาว) หาซื้อตามร้านขายยาแผนโบราณ ประมาณ ½ ถ้วย ผสมเข้ากับเนื้อว่านหางจระเข้สดปั่น ½ ถ้วย แล้วเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. นำครีมพอกหน้าว่านหางจระเข้ที่ได้ ทาพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตาและรอบริมฝีปาก
5. เอนหลังนอนผ่อนคลายให้สบาย เพื่อรอให้ครีมพอกหน้าแห้งสนิท
6. เมื่อแห้งแล้วลองแกะออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ให้เกลี้ยงเกลาหมดจด
7. ซับหน้าให้แห้ง แล้วตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่คุณใช้ประจำ คุณจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของผิวหน้าที่เนียนเรียบขึ้น

ยังไงก็ลองนำวิธีการดูแลผิวหน้าด้วยห่านหางจระเข้ไปใช้ดูนะคะ ทั้ง ประหยัดและผิวสวยขึ้นอีกด้วยแต่อย่าลืมตรวจสอบก่อนใช้ว่า ตนเองมีอาการแพ้หรือไม่ โดยทาวุ้นลงบริเวณแขนด้านในทิ้งไว้สักพักใหญ่ หากไม่เกิดอาการคันหรือแดงก็ใช้ได้

(ขอบคุณ : นิตยสาร Health Today)

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

"หอม..... รักษาสิว"
มะมาให้หอมซะดีๆ....ไม่ใช่นะครับ...ชื่อเรื่องพาเคลิ้มซะ... :b12: :b12:

“หัวหอม”
ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นพืชเครื่องเทศในการปรุงอาหาร และเป็นสมุนไพรในการรักษาโรคนั้น
มีน้ำมันหอมระเหย (Vilatile Oil) ซึ่งประกอบด้วยไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ (Diallyn Trisulfide)
เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไกลโคไซด์ (Glycosides)
เพคติน (Pectin) และลูโคคินิน (Glucokinin) ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย
ลดไขมันเส้นเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ทำให้เจริญหาอาหาร
และช่วยย่อยอาหาร นอกจากนั้นยังพบอีกว่าในหัวหอมยังมีสารฟอสฟอรัสในปริมาณสูง
ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีอีกด้วย

ประโยชน์ของหัวหอมนอกจากบำรุงร่างกายแล้วยังรักษาสิวและรอยด่างดำได้อีกด้วย
วิธีทำ คือ นำหัวหอมแดงที่ล้างสะอาดแล้วมาฝานให้เป็นแว่นบาง ๆ ใช้ทา
หรือแปะไว้ที่บริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือ จุดด่างดำ
หรือวางแว่นหอมแปะไว้บนรอยบวมจากการบีบสิวหรือรอยด่างดำบนใบหน้า
ทำแบบนี้ทุกวันประมาณหนึ่งสัปดาห์ สิว ฝ้า หรือจุดด่างดำ ก็จะจางหายไป

หากไม่ใช้วิธีฝานเป็นแว่น ก็สามารถคั้นเอาเฉพาะน้ำของหัวหอมแล้วนำไปแช่ตู้เย็น
เพื่อดับกลิ่นและลดความซ่าที่อาจทำให้เราแสบได้ หลังจากนั้นนำมาทาเม็ดผดผื่นคัน
หรือทาใบหน้าก่อนเข้านอนทุกวันจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี
ไม่ก่อให้เกิดสิวบนใบหน้าได้อีก

มีสรรพคุณมากขนาดนี้ สงสัยน้องๆ เพื่อนๆ ที่เป็นสิวคงไม่ต้องพึ่งคลินิกรักษาสิวหน้ากันแล้ว
มีเวลาว่างยังไงลองทำดูนะครับ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ รูปภาพ

โรคตาจากคอมพิวเตอร์ (Computer Vision Syndrome)

ปัจจุบัน ไม่ว่าคุณจะเรียนหรือประกอบอาชีพอะไรเกิน 85 % จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ทั้งเพื่อประโยชน์ในการทำงาน อำนวยความสะดวก รวมถึงเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อย่างไรก็ตามการใช้คอมพิวเตอร์อาจมีผลเสียต่อสุขภาพของคุณ โดยเฉพาะสุขภาพทางตาที่เรียกว่า “คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” (Computer Vision Syndrome) หรือ "โรคซีวีเอส" คือกลุ่มอาการทางตาที่ประกอบไปด้วยอาการปวดตา แสบเคืองตา เมื่อยตา น้ำตาไหล ตาแดง ตามัวมองเห็นภาพซ้อนหรือมองเห็นภาพไม่ชัด ภายหลังจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นอกจากนี้การใช้ Computer อาจทำให้เกิดปัญหาทางระบบกล้ามเนื้อเนื่องจากลักษณะ ท่านั่งในการใช้งาน เช่นการปวดต้นคอ ปวดข้อมือ ปวดหลัง อีกด้วย

ซึ่งกลุ่มอาการโรค “คอมพิวเตอร์วิชั่นโดรม” นี้มีมากถึง 70-80% ของจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหมด ซึ่งสาเหตุของโรคเกิดจาก

1. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ค่อยกระพริบตา
ปกติแล้วเราทุกคนจะต้องกระพริบตาอยู่เสมอ เป็นการเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่วๆ โดยมีอัตราการกระพริบ 20 ครั้งต่อนาที หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบจะลดลง โดยเฉพาะการจ้องคอมพิวเตอร์การกระพริบตาจะลดลงกว่าร้อยละ 60 ทำให้ผิวตาแห้ง ก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกฝืดๆ ในตา

2. แสงจ้า และแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
ทำให้ตาเมื่อยล้า ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย

3. การออกแบบและการจัดภาพ ระยะห่างจากจอภาพให้เหมาะสม
ควรจัดจอภาพให้อยู่ในระยะพอเหมาะที่ตามองสบายๆ ไม่ต้องเพ่ง โดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45 ถึง 0.50 เมตร ตาอยู่สูงกว่าจอภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้แว่นสายตาที่มองทั้งระยะใกล้และไกล จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้มองตรงกับเลนส์แว่นตาที่ใช้มองใกล้

4. รายงานการศึกษาวิจัยเมื่อปี 2004 พบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดโรคซีวีเอสคือ มุมของระดับสายตา (angle of gaze) กับจอคอมพิวเตอร์ อาการต่างๆ จะหายไปเมื่อมุมดังกล่าวมากกว่า 14 องศา ส่วนปัจจัยอื่นๆ จากการวิจัยพบว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

ข้อปฏิบัติและการดูแลสุขภาพตา

1. ถ้ารู้สึกตัวว่าจ้องหน้าจอนานเกินไป ให้กระพริบตาให้บ่อยขึ้น หรือพักสายตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์ หลังจากใช้ไปประมาณ 20 – 30 นาที หรืออาจใช้ยาหล่อลื่นลูกตาประเภทน้ำตาเทียม

2. จัดแสงไฟและตำแหน่งจอภาพให้เหมาะสม อย่าให้จอภาพหันหน้าเข้าหน้าต่างหรืออยู่ตรงหน้าต่าง โคมไฟที่ส่องหน้าตรงๆ ลงมาอาจทำให้เกิดแสงจ้า น่าจะเปลี่ยนเป็นหลอดไฟที่กระจายทั่วๆ ไป หรือโคมไฟที่ส่องเฉพาะกระดาษ อย่าให้แสงปะทะกับจอภาพและตาผู้ใช้

3. ปรับคลื่นแสงที่หน้าจอ (Refresh rate) ซึ่งเครื่องส่วนใหญ่จะปรับอยู่ที่ 60 Hz ซึ่งขนาดนี้ทำให้เกิดแสงกระพริบทำให้ภาพบนจอเต้นกระตุ้นให้เราต้องปรับตาเพื่อโฟกัสใหม่อยู่เรื่อยๆ ทำให้ตาเมื่อยล้าได้ ควรปรับความถี่ให้อยู่ระดับ 70-80 Hz จะทำให้จอภาพเต้นน้อยลง สบายตาขึ้น

เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณไม่ปวดตา และไม่เมื่อยล้าจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานามได้แล้วค่ะ หมั่นดูแลสุขภาพตาของเรากันด้วยนะครัย

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ลิงน้อยแวะมาเยี่ยมค่ะ...คุณลุง
สบายดีนะคะ
ขอบคุณสิ่งดีดี ที่คุณลุงและเพื่อนๆนำมาฝากเสมอค่ะ
สุขภาพดีด้วย “ธรรมชาติบำบัด”


:b48: คิดถึงเสมอนะคะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




29-monk.jpg
29-monk.jpg [ 17.32 KiB | เปิดดู 7857 ครั้ง ]
ความรักกับสุขภาพจิต

ความ รัก เป็นคำที่มีความหมายได้หลายอย่างและมีได้หลายรูปแบบ คำที่มีความหมายในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ ความชอบ ความสนใจ ความพึงพอใจ ความดึงดูดใจ ความหลงใหล ความคลั่งไคล้ ความลุ่มหลง

จอห์น ลี (John Lee) ได้เขียนหนังสือชื่อ The colors of love แยกความรักออกเป็น 6 ชนิดคือ

1. Eros เป็นความรักที่มีความใคร่เกี่ยวข้องและมีความปรารถนาที่จะรวมกับบุคคลที่รัก

2. Mania เป็นความคลั่งไคล้ และมีความต้องการสูง ซึ่งมักก่อให้เกิดความเจ็บปวด และความวิตกกังวลเพราะมีความต้องการความสนใจจากอีกฝ่ายหนึ่งมากอย่างไม่สิ้น สุด

3. Ludis เป็นความรักในลักษณะคล้ายกับต้องการชนะการแข่งขัน เพื่อสนองความหลงตัวเอง หรือความเห็นแก่ตัว

4. Storge เป็นความรักแบบเพื่อน เป็นความรักที่สงบและแน่นแฟ้นระหว่างเพื่อนสนิท

5. Agape เป็นความรักที่มีแต่ความเมตตา อดทนและให้อภัยเสมอ

6. Pragma เป็นความรักที่มีเหตุผล และได้พิจารณาตรึกตรองดีแล้ว

ความ รักของคนเราที่มีต่อบุคคลต่างๆ จึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และอาจมีรูปแบบแตกต่างกันได้ เช่น ความรักต่อพ่อแม่ ความรักต่อลูก ความรักต่อเพื่อน ความรักแบบหนุ่มสาว ความรักต่อสังคมและประเทศชาติ ฯลฯ

แฮทฟิลด์ และวอลสเตอร์ (Hatfield and Walster) กล่าวถึงความรัก 2 ชนิดคือ

1. Passionate love เป็นความรักที่มีความใคร่เป็นส่วนสำคัญ และมีอารมณ์หลายอย่างเกี่ยวข้อง ทั้งความอ่อนโยน ความสนุกสนานครื้นเครง ความเจ็บปวด ความวิตกกังวล ความสบายใจ ความเสียสละและความหึงหวง

2. Companionate love เป็นความรักแบบมิตรและมีความผูกพัน มีความเข้าใจ และห่วงใยในสวัสดิภาพของคนที่รัก ความรักแบบนี้มีอารมณ์รุนแรงน้อยกว่า

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมให้คนเกิดความรักบุคคลอื่นได้ง่ายขึ้น การวิจัยพบว่า โอกาสในการเกิดความรักขึ้นกับปัจจัยต่างๆ คือ

1. ความใกล้ชิด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเกิดความรักกันได้ง่ายขึ้น คนที่อยู่ใกล้ชิดกันหรือทำงานร่วมกัน จึงมักกลายเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรัก หรือแต่งงานกัน ทั้งนี้เพราะความใกล้ชิดทำให้คนมีโอกาสผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่ดีๆ ร่วมกันได้มาก

2. ความดึงดูดใจทางกายภาพ คนที่มีรูปร่างหน้าตาดี มีโอกาสที่คนจะมาหลงรัก มากกว่าคนที่ไม่สวย ไม่หล่อ ทั้งนี้เพราะความสวยงามเป็นสิ่งที่คนทั่วไปปรารถนา และค่านิยมของคน มักมีความภูมิใจที่มีคู่ควงหน้าตาดี อีกทั้งมักมีใจเอนเอียงจะเชื่อว่า "ความสวยคือความดี" หรือ "คนสวยเป็นคนดี" อยู่แล้ว คนสวยทำอะไรจึงมักได้รับความชื่นชม ทำผิดก็ได้รับการอภัย

3. ความเหมือนหรือคล้ายกัน คนเรามักชอบคนที่มีหลายๆ สิ่งคล้ายคลึงกัน เช่น นิสัยใจคอ ค่านิยม งานอดิเรก รสนิยม เจตคติ ฯลฯ เหตุผลอาจเป็นเพราะมีความรู้สึกว่า จะสามารถเข้ากันได้ง่ายกว่า มีอยู่บ้างที่บางคนอาจชอบคนที่มีลักษณะแตกต่างจากตน แต่ก็ต้องเป็นแบบที่เข้ากันได้ คล้ายกับการต่อภาพให้สมบูรณ์

การ รักชอบบุคคลที่มีความคล้ายตัวเองนั้น อย่างน้อยก็เป็นการเสริมความรู้สึกภูมิใจว่าตนเองนั้นใช้ได้ บางครั้งความเหมือนกันอาจมีน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในความเป็นจริง แต่ความเอนเอียงทำให้รับรู้ว่าคนที่รักนั้น คล้ายกับตัวเองมากกว่าที่เป็นจริง เมื่อใกล้ชิดกันแล้วก็อาจพยายามโน้มน้าวให้คนรักมีการปฏิบัติตัว และเปลี่ยนเจตคติให้เหมือนตนยิ่งขึ้นอีก

ใน กรณีที่คนบางคนมีความสนใจชอบพอคนอื่นในลักษณะที่ต่างจากนี้ เช่น รักคนที่มีความแตกต่างกันมากๆ ทั้งฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา อายุ เชื้อชาติ คงต้องหาคำอธิบายที่มีเหตุผลเพียงพอ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นด้วยปมบางอย่างที่อยู่ในจิตไร้สำนึกของเขา

ความ รักเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคนและมีความสัมพันธ์กับสุขภาพจิต คนที่เกิดมาได้รับความรักจากพ่อแม่และบุคคลในครอบครัวอย่างเหมาะสม มักมีพัฒนาการทางจิตใจที่ดี และเติบโตเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี

คน ที่มีสุขภาพจิตดี ต้องรู้จักให้และรับความรักอย่างเหมาะสม เริ่มตั้งแต่รักตัวเองเป็น รักพ่อแม่ญาติพี่น้อง รักเพื่อน รักคู่ครอง รักลูกและรักเพื่อนมนุษย์ ตลอดจนรักเพื่อนร่วมโลกอื่นๆ ด้วย

คนที่รักใครไม่เป็น หรือชิงชังคนทั่วไปหมด เป็นคนที่มีสุขภาพจิตไม่ดีอย่างแน่นอน และมักมีพยาธิสภาพที่เกิดจากพัฒนาการในวัยเด็ก

เด็ก เล็กๆ เรียนรู้ความรักจากพ่อแม่ เด็กสามารถรู้สึกได้ถึงความรักของพ่อแม่ที่แสดงต่อลูก เมื่อได้รับความรักอย่างเหมาะสม ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะรักพ่อแม่บ้าง ส่วนใหญ่แล้วในตอนเล็กๆ มักเป็นความผูกพัน ร่วมกับความต้องการพึ่งพิง (dependency need)

เมื่อ โตเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มเรียนรู้ที่จะรักเพศตรงข้าม โดยมีแรงขับทางเพศเป็นส่วนประกอบ ความรักของวัยรุ่น มักมีอารมณ์เป็นพื้นฐาน ยังไม่มีการใช้เหตุผลมากนัก จึงยังไม่จริงจังและมักเปลี่ยนแปลงได้ ความรักแบบนี้จึงคล้ายกับการเล่น ซึ่งอาจเกรียกว่าความรักแบบลูกสุนัข (puppy love)

ความ รักที่มีเหตุผล จะเกิดขึ้นเมื่อคนมีพัฒนาการจนมีวุฒิภาวะ (maturity) จึงรู้จักใช้ความคิดพิจารณาเหตุผล และตัดสินใจรักบุคคลที่เหมาะสม ความรักแบบนี้จึงเป็นแบบที่ไม่มีพิษมีภัย สามารถให้คำอธิบายได้ว่า ทำไมจึงรักมิใช่เพียงแค่รู้ว่ารักคนนั้นคนนี้ แต่ไม่สามารถตอบได้ว่า ทำไม

ความ รักแบบมีความใคร่ร่วมด้วย มักก่อให้เกิดความคาดหวังสูง การที่มีอารมณ์หลายอย่างเกี่ยวข้อง มักทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย และถ้าประสบความผิดหวังก็อาจมีปฏิกิริยารุนแรง

คน ที่คิดจะมีความรัก ควรรู้จักประเมินตนเองก่อนและเลือกรักคนที่เหมาะสม โดยต้องไม่คาดหวังสูงเกินไปและเตรียมใจไว้เผื่อความผิดหวังบ้าง ความผิดหวังในความรัก หรืออกหัก เป็นประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่เคยพบมาบ้างในชีวิต แต่ปฏิกิริยาต่อการอกหัก มักไม่รุนแรงและมีระยะเวลาจำกัด

คน ที่อกหักและฆ่าตัวตาย เกิดขึ้นเพราะคนนั้นมีพยาธิสภาพในจิตใจของเขาเอง ซึ่งมีได้หลายรูปแบบ เช่นไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่หรือใครอื่น จึงมาคาดหวังจากบุคคลอื่น และทุ่มเทมากเกินไป การถูกสลัดรัก อาจเป็นการรื้อฟื้นความรู้สึกว่าถูกรังเกียจ (rejection) ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในชีวิตเขา

ความรักเป็นประสบการณ์ที่สำคัญของชีวิตเราทุกคน เป็นกลไกลสำคัญที่ทำให้ชีวิตบนโลกดำเนินต่อไป และมีการสืบเผ่าพันธุ์

จงรู้จักรักให้เป็น และใช้ความรักในทางที่สร้างสรรค์ สุขภาพจิตก็ดีจะดีครับ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




26-1.gif
26-1.gif [ 191.05 KiB | เปิดดู 7822 ครั้ง ]
นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ

The 7 Habits of Highly Effective People

ประพันธ์โดย Steven Covey เป็นหนังสือที่

ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจ าหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่มผู้แต่งได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความส าเร็จ แผนที่ในการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่

ความสำเร็จ และวิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เป็นต้น
มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้ก่อนที่จะกล่าวถึงนิสัยทั้ง 7 ประการ
ผมได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่ 3 อย่างคือ มีสามัญสำนึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีพลังจิตดังนั้น การเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง
นอกจากนั้นผู้แต่งยังกล่าวว่า กรอบในการมองโลก(Paradigm) หรือ นิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเพราะเอา ความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน
ดังนั้น ผมจึงแนะนำให้หยุดทบทวนแนวความคิดมุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาว่า
สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริงสิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ
เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผมยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบ คุมการทำงานของสมองด้านซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก
ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นการพัฒนาการทำงานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี

กฎข้อที่ 1. นิสัยรู้และเลือก (Be Proactive)

การรู้และเลือกคือการมีสติตามตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่
และผลที่เกิดจากการกระทำนี้คืออะไร รู้ว่าขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด
สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง
และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน ปกติแล้วมนุษย์มีอารมณ์หลักอยู่สามอารมณ์คือ สุข ทุกข์ และเฉย ๆ หากเรารู้เท่าทันอารมณ์เราจึงจะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ เมื่อรู้แล้ว เมื่อเห็นแล้วจึงจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ คนเรามีสิทธิ์ที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง
แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามกระแสสังคม ถูกฉุดกระชากไปตามอารมณ์
และการกระทำของผู้อื่นเช่นเมื่อได้รับคำชมก็ดีใจ ได้รับคำตำ หนิก็เสียใจ หรือคนพูดไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ
เป็นต้น เราเอาพฤติกรรมของเราไปขึ้นกับการกระทำ และความคิดของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
สรุปแล้วชีวิตนี้เป็นของใครกันแน่ ดังนั้นหากเรารู้จักเลือก รู้จักหยุดคิดก่อนที่จะตอบสนอง
เราจึงจะมีชีวิตที่เป็นของเราจริง ๆ และจะเลิกโทษผู้อื่น เลิกโทษโชคชะตาเทวดาฟ้าดิน และจะได้ชื่อว่า
เป็นคนที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เมื่อนั้นจิตจึงจะนิ่งสงบไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบ
จิตจึงมีพลังสามารถทำการใหญ่ได้ การจะมีสติตามทันอารมณ์ได้นั้นจิตต้องมีความสงบ หรือมีสมาธิในระดับหนึ่ง ซึ่งทำได้โดยการ การสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เป็นต้น

กฎข้อที่ 2. สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (Begin with the End in Mind)

การมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ อีก 5 ปี 10 ปี หรือในบั้นปลายชีวิตเราอยากจะมีชีวิตแบบใด
เมื่อมีเป้าหมายเราจะรู้ว่าตอนนี้ควรทำสิ่งใด ตอนนี้ก าลังยืนอยู่ตรงจุดไหน จะต้องไปอีกไกลเท่าไร
และไปด้วยวิธีใดบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมาย จะทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่า และไม่น่าเบื่อเป้าหมาย
จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่างๆ ของเรา เป้าหมายที่ดีจะต้องชัด และต้องสร้างเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ
ตลอดเวลา และการสร้างเป้าหมายต้องมาจากสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ไม่ใช่ทำตามกระแสสังคมและที่สำคัญ
เป้าหมายนั้นต้องพอที่จะเป็นไปได้ นอกจากนั้นเป้าหมายในที่นี้ยังหมายถึงภาพพจน์ที่เราต้องการให้คนอื่น
จดจำเราได้นั้นเป็นแบบใด เช่นหากเราตายไปตอนนี้เราอยากให้ทุกคนจดจำเราได้ในแบบใด เป็นต้น

กฎข้อที่ 3. ทำสิ่งที่ต้องทำก่อน (Put First Things First)

การทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน จะต้องเลือกทำในสิ่งที่นำพาเราไปสู่เป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก
และทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหนอีกไกลเท่าไร และเรามาถูกทางหรือไม่ มีเส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหรือเปล่า
หรือเรากำลังเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
จะต้องซื่อสัตย์ ใช้สติ และไม่เข้าข้างตัวเอง นอกจากนั้นควรเลือกทำสิ่งที่ไม่เร่งด่วนแต่สำคัญในชีวิตก่อน
คนส่วนใหญ่มักเลือกทำในสิ่งที่เร่งด่วนก่อนเสมอ โดยลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต
หรือไม่ จงอย่าทำตามสิ่งที่สังคมกำหนด แต่ให้เลือกทำในสิ่งที่เรากำหนดเอง และผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า
การวางแผนทำสิ่งใดต้องวางแผนในระยะยาวอย่าวางแบบวันต่อวัน เพื่อจะได้งานเป็นกรอบเป็นกำ
และต้องหัดมอบหมายงานให้กับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญ และตรงตามเป้าหมาย
ในชีวิตได้มากขึ้น

กฎข้อที่ 4. การรู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย (Think Win/Win)

ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น คนในครอบครัว เจ้านายลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า เป็นต้นทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การไม่คิดถึงตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง นั่นคือการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้รู้ได้โดยการมองย้อนเข้าหาตัวเองว่า หากเป็นเราเจอแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร และนอกจากการเข้าใจผู้อื่นแล้ว ผมกล่าวถึงบุคลิกลักษณะที่น่าคบหาสมาคม และน่าเชื่อถือคือต้องปากกับใจตรงกัน รู้จักรักษาคำพูด มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
ที่มั่นคง สงบนิ่ง ใจกว้าง และมองโลกในแง่ดี และที่สำคัญในฐานะผู้บริหาร หากต้องการให้คนในองค์กรได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ควรจะจัดระบบขึ้นมารองรับเช่นคนที่ตั้งใจทำงานก็ควรจะมีรางวัล หรือโบนัสเป็นต้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทุกฝ่ายในองค์กรได้รับประโยชน์เท่ากันอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 5. การพยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา
( Seek First to Understand,Then to Be Understood)

ส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักชอบพูดให้ผู้อื่นฟังมากกว่าฟังที่คนอื่นพูด ดังนั้น เมื่อไม่มีใครยอมฟังใครปัญหาจึงเกิดขึ้น การฟังอย่างตั้งใจ และพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นแทนที่จะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา อีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึก
เห็นอกเห็นใจจากเรา และเกิดความผ่อนคลายลงในระดับหนึ่ง และจะยอมรับฟังความคิดเห็นจากเราด้วย
ในที่สุด การเป็นผู้ฟังที่ดีและพยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่าย เช่น ขณะนั้นเขารู้สึกอย่างไร และเขาพูดไปเพื่ออะไร เป็นต้น จะทำให้มองเห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างชัดเจน และสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด แต่ผมได้ให้
ข้อคิดไว้ว่า การฟังนั้นต้องฟังอย่างมีสติ อย่าฟังจนเคลิ้ม และต้องมีจุดยืนในตัวเองด้วย
มีการกล่าวเพิ่มเติมไว้ว่า การรับฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจจะช่วยลดอคติที่มีต่ออีกฝ่ายได้และจะไม่เกิดการ ตัดสินคนจากคำพูด เพราะขณะนั้นจิตใจจะมีความเมตตาไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ นอกจากนั้นหากต้องการพูดแสดงความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพูดควรถามความรู้สึกของตนเองก่อนว่าในเวลานี้ควรพูดหรือไม่ ควรพูดแค่ไหน และควรพูดอย่างไร จึงจะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 6. การสร้างทีมเวิร์ค (Synergize)

การสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นภายในองค์กร เป็นหน้าที่ของผู้บริหารคือ การดึงเอาศักยภาพของลูกน้องแต่ละคน
มาผสมผสานกันอย่างลงตัว และสามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ ในฐานะผู้บริหารต้องมองปัญหา และการทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นเรื่องปกติ แต่ให้คิดว่าจะทำอย่างไร ถึงจะสามารถเปลี่ยน
สิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นผลงานได้ นอกจากนั้น การบริหารลูกน้องจ านวนมาก ๆ จะใช้วิธีเดียวกันหมดไม่ได้เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ในฐานะเจ้านายจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งจะรู้ได้ว่า คนไหนต้องใช้วิธีใดก็ต้องเริ่มจากการรู้จักตนเองก่อน เมื่อรู้จักตนเอง จึงจะรู้จักผู้อื่น
และต้องพยายามเข้าใจว่าอีก ฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรด้วย จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่างทันท่วงที
ทำให้ได้ให้ข้อคิดในการทำงานเป็นทีมคือ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความถ่อมตน
จงคิดว่าทุกคนย่อมมีข้อดีในแต่ละด้าน ไม่มีใครดีกว่าใคร หากคิดเช่นนี้อัตตาตัวตนก็ไม่เกิด
การทำงานเป็นทีมจึงจะสมบูรณ์

กฎข้อที่ 7. การเพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)
ว่าด้วยวิธีการพักจิต และเพิ่มพลังเพื่อพร้อมที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไป
มีวิธีการ ดังนี้

1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์

2. หัดสร้างมโนภาพอยู่ตลอดเวลา ต้องอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้

3. มีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

4. เข้าใจและรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และสร้างความสงบภายใน
จากนิสัยแห่งความสำเร็จทั้ง 7 ประการ
ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถสรุปเป็นใจความสั้น ๆได้ว่า Steven Covey
ให้ความสำคัญในเรื่องการใช้สมองข้างขวา การใช้จินตนาการ การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
การมีหลักคุณธรรมในการดำรงชีวิต และการสร้างแผนที่ชีวิต

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร