วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 19:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




AB10894~Wine-Chef-IV-Posters.jpg
AB10894~Wine-Chef-IV-Posters.jpg [ 51.98 KiB | เปิดดู 5014 ครั้ง ]
"ของว่าง..ไม่กลัวอ้วน"

รู้น่ะว่ากลัวอ้วน! แต่รายการ "อาหารว่าง" ต่อไปนี้
นอกจากไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มแล้ว ยังมีผลดีต่อถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ
นอกจากจะช่วยให้สมองแล่นอารมณ์ดีและอิ่มนานเป็นชั่วโมงแล้ว ยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย

กล้วย
อุดมด้วยโพแทสเซียมช่วยคุมระดับความดันเลือด วิตามินบี 6 สำหรับแก้อาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดและนอนไม่หลับ และเซโรโทนินทำให้อารมณ์ดี

แครอต
เปี่ยม ไปด้วยแคโรทีนอันเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ แครอตจึงเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม และสามารถป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย

ลูกเกด
มี สารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง แถมยังดีต่อสุขภาพฟัน นอกจากนี้แร่ธาตุในลูกเกดยังอาจส่งผลต่อระดับเอสโตรเจนในร่างกายและป้องกัน โรคกระดูกพรุน

ถั่วเปลือกนิ่มต่างๆ
มีโปรตีน วิตามินบีจำนวนมาก ถั่วลันเตาหรือถั่วเหลืองต้มสุกสักถ้วยดีต่อสุขภาพแน่นอน

แอปเปิ้ล
เชื่อ กันว่า ผลไม้ที่เป็นแหล่งของไฟโตเคมิคัลหลากชนิดนี้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลใน กระแสเลือด ช่วยการขับถ่าย และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเส้นเลือดแตกในสมอง มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเบาหวาน และโรคหอบได้

ข้าวโอ๊ตต้ม
พร้อม พรั่งทั้งสารอาหาร จากพืช โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ Low-Gl ยังช่วยให้อิ่มไปตลอดเช้า ถ้าไม่มีเวลาต้มก็ลองซื้อแบบปรุงง่ายๆ ด้วยไมโครเวฟมาทาน

องุ่น
เชื่อกันว่า แหล่งวิตามินเอ ซี และบี 6 รวมถึงธาตุเหล็ก และเซเลเนียม ชั้นเลิศนี้ในเนื้อองุ่นป้องกันมะเร็งได้

เยลลี่
หากเลือกกินชนิดปราศจากน้ำตาล ไม่เพียงแต่จะปลอดภัยจากไขมัน แต่ยังแทบไม่มีแคลอรีอีกด้วย

คราวนี้แหละ เคี้ยวเพลินไปเลย

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2009, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




post-251-1179320688.jpg
post-251-1179320688.jpg [ 78.98 KiB | เปิดดู 4936 ครั้ง ]
ผักผลไม้ฟอกฟันให้ขาวสะอาดได้

โชคดีที่ธรรมชาติได้มอบสิ่งวิเศษสุดที่แสนธรรมดาเอาไว้ให้เรา...
คือ พืชผัก ผลไม้ ที่งอกงามขึ้นมาจากผืนดินนั่นเอง จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอต และ ผักผลไม้สดอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่เราจะต้องเคี้ยวมากๆ เวลากิน สามารถทำหน้าที่ได้ดีราวกับผงซักฟอกทีเดียว ทั้งยังมีคุณสมบัติบางประการที่ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีก ด้วย

ส่วน ผักโขม ผักกาดหอม และบร็อคโคลี่ ก็ช่วยป้องกันคราบไม่ให้เกาะติดได้ง่าย โดยการสร้างเยื่อบางๆ เคลือบผิวฟัน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะชั้นนอกอีกที

นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รี่ ก็นำมาใช้สีทำความสะอาดฟันได้อย่างอ่อนโยนราวกับยาสีฟัน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟอกฟัน ทั้งยังขจัดคราบเหลืองของน้ำชากาแฟได้ด้วย โดยบิบผลสตรอว์เบอร์รี่สีแดงผลหอมหวานออก แล้วนำเนื้อผลไม้นุ่มๆ นั้นขัดถูลงบนผิวฟัน

แหม... กินแล้วทำให้เราสวยได้ทั้งจากภายใน เพราะได้รับวิตามินและกากใย ทำให้ดูดีจากภายใน แล้วยังทำให้เราดูดีจากภายนอก เพราะฟันขาวสะอาด ได้ประโยชน์สองต่อขนาดนี้ นึกออกแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้จะซื้อผลไม้อะไรกลับบ้านบ้าง

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 03:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมหาลุงเจอแล้วนะคับ....อย่าลืมรางวัลนะคับ :b12: :b12:

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




73.gif
73.gif [ 4.1 KiB | เปิดดู 4908 ครั้ง ]
ฟ้ามากราบขอบคุณ..คุณลุงมะตูม...ค่ะ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หวัดดีจ๊ะหนูฟ้า....
เพียงแค่เปิดใจให้กว้าง
ปล่อยวาง ยอมรับในความเปลี่ยนแปลงและเป็นไป
แล้วเมื่อนั้นโลกอันวิไลก็จะอยู่ใกล้ ๆ ตัวเรา
เก่งมาก...ท.ทหารอดทน..นะจ๊ะ.... :b4: :b4:

บุหลัน..เลื่อนลอย เขียน:
ผมหาลุงเจอแล้วนะคับ....อย่าลืมรางวัลนะคับ :b12: :b12:

มาได้งั้ย!........ :b34: :b34:

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 13:42, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ความสำคัญ....ของอาหารเช้า
โดย...คุณปิยนุช ยอดสมสวย
เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)

วิถีชีวิตของคนในสังคมเมืองที่มีความเร่งรีบส่งผลให้พฤติกรรมสุขภาพของเราเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะคนวัยทำงาน นักศึกษา หรือนักเรียน
ที่ต้องเร่งรีบออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปให้ถึงที่ทำงาน หรือสถานศึกษาให้ทันเวลา
และมีคนบางกลุ่มให้เหตุผลว่าการงดอาหารเช้าเป็นการลดความอ้วนวิธีหนึ่ง
และไม่ให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้าโดยการละเลยอาหารมื้อดังกล่าวไป
ทำให้ได้รับพลังงานจากอาหารเช้าไม่เพียงพอในแต่ละวัน
ซึ่งในความจริงแล้วอาหารเช้าเป็นมื้อที่จำเป็นที่สุดของวัน
เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เรามีพลังงานในการทำงานและทำกิจกรรมต่างๆ
หลังจากที่เราอดอาหารมาตลอดคืน ร่างกายจะอยู่ในภาวะขาดน้ำตาลกลูโคส
ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ระดับน้ำตาลในเลือดจึงต่ำ
ต้องได้รับพลังงานจากอาหารเช้าเพื่อให้สามารถทำงานหรือใช้สมองได้อย่างปกติ
ผู้ที่ไม่กินอาหารเช้าจะขาดสมาธิ โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็ก จะไม่มีสมาธิในการเรียน
ความตั้งใจในการเรียนลดลง คิดอะไรไม่ออก สับสน หงุดหงิด เพลีย และง่วงนอน
บางคนอาจปวดศีรษะหรือปวดท้องจนอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนในระยะยาวได้
และมีผลงานวิจัยจากต่างประเทศ ระบุว่า ผู้ที่กินอาหารเช้าทุกวัน จะมีโอกาสเกิดภาวะอ้วน
และโรคเบาหวานน้อยกว่า ผู้ที่ไม่กินอาหารเช้าถึง 35-50 เปอร์เซ็นต์

โดยผลวิจัยล่าสุด
ที่ได้เผยแพร่ในวารสาร American Journal of ClinicalNutrition ชี้ว่า
การงดกินอาหารเช้า นอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน และโรคเบาหวานแล้ว
อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจได้ และการงดกินอาหารเช้าเป็นประจำ เป็นเวลานานนั้น
น่าจะส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มจนอาจเกิดภาวะอ้วนได้
นอกจากนั้น ยังอาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน
จากการที่ร่างกายลดการตอบสนองต่อฮอร์โมน อินซูลินอีกด้วย
ซึ่งมีสาเหตุจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ปริมาณโคเลสเตอรอลที่มากขึ้น
และโรคเบาหวานนั้น ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
จึงเป็นไปได้ว่า การงดกินอาหารเช้าเป็นประจำ น่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
และหลอดเลือดได้

ข้อมูลจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยืนยัน
ว่าอาหารเช้าเป็นอาหารมื้อแรกที่สำคัญที่สุดของวัน อาหารเช้าจะ
ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า มีสมาธิทั้งในการเรียน
และการทำงาน และอาหารเช้าที่เหมาะสมนั้น ควรมีค่าพลังงาน และ
สารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณที่ควร
จะได้รับตลอดวัน ส่วนการกระจายพลังงานในมื้อกลางวัน และมื้อเย็น
ควรอยู่ที่ 35 และ 30 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และที่เหลือเป็นพลังงาน
จากอาหารว่างอีก 10 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่มัก
ละเลยอาหารเช้า หรือได้รับพลังงานจากอาหารเช้าไม่เพียงพอ
ในแต่ละวัน

กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ได้จัดทำหนังสือคู่มือธงโภชนาการ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการกำหนดอาหาร
มื้อเช้าที่ถูกหลักโภชนาการ ประกอบด้วย


1. โจ๊กหมู ส้มเขียวหวาน
2. เกี้ยมอี๋ ลำไย นมสด
3. ข้าวต้ม ผัดผักบุ้ง ไข่เจียว มะละกอ
4. ข้าวสวย ต้มจืดเลือดหมูใบตำลึง ไก่ทอด ชมพู่
5. ข้าวสวย ต้มจับฉ่ายกระดูกหมู ยำปลากระป๋อง ฝรั่ง
6. ซุบมะกะโรนี มะละกอ
7. ข้าวสวย กะหล่ำปลีตุ๋น ปลาช่อนผัดคึ่นช่าย
8. ข้าวต้มปลากะพง/ไก่/กุ้ง เงาะ
9. ข้าวสวย มะระสอดไส้หมู ไข่ตุ๋น
10. ขนมปัง ไข่ดาว มะเขือเทศ น้ำส้มคั้น เป็นต้น

ข้อมูลข้างต้นเป็นตัวอย่างอาหารที่เหมาะสม ในการเลือกรับประทานเป็นอาหารในมื้อเช้า
และหากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ให้ความสำคัญกับมื้อเย็นน้อยลง
และใส่ใจกับอาหารมื้อเช้าให้มากขึ้น เราก็จะได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความกระปรี้กระเปร่า
มีสมาธิในการเรียน การทำงานตลอดจนการทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนั้นการรับประทานอาหารมิใช่เพียงอาหาร อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอิ่ม
แต่ควรพิจารณาถึงประโยชน์และปริมาณของอาหารที่เหมาะสมด้วยเพื่อสุขภาพ
และร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 14:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
เรื่องดีๆของช็อกโกแลต
ช็อกโกแลต นอกจากจะเป็นขนมรสหอมอร่อยหวานมันแล้ว ยังเป็นสื่อสากล ทั้งทางยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น รวมทั้งเมืองไทยจะมอบให้กันแทนความรู้สึกดีๆ เช่น แทน คำขอบคุณ น้ำใจไมตรี มิตรภาพและความรัก ช็อกโกแลตที่เรากินกันทุกวันนี้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแห่งเดียวกัน ซึ่งชาวยุโรป ได้คิดค้นพัฒนาปรุงแต่งรสชาตินับ ครึ่งศตวรรษมาแล้ว

ชาว สเปนเป็นชาติแรกที่ค้นพบรสชาติอันวิเศษของช็อคโกแลต โดยการเติมน้ำ น้ำตาลอ้อยลงในโกโก้แล้วนำไปต้มจนเดือด ทั้งยังได้คิดค้นสูตรการปรุงใหม่ๆ โดยเน้นหนักในการเติมส่วนผสมที่เป็นเครื่องเทศ อย่างอบเชย กานพลู ลูกผักชี และเพิ่มความหอมมันด้วยเมล็ดอัลมอนด์ จากนั้นอีกเกือบหนึ่งศตวรรษจึงแพร่หลายเข้าไปสู่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป

ในช่วงศตวรรษที่ 18 นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ลินนีอุส ผู้ตั้งชื่อและจัดระเบียบ พีชพันธุ์ต่างๆ ในโลก ได้ตั้งชื่อโกโก้ (ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตช็อคโกแลต) ว่า "เทโอโบรมา คะคาโอ" (Theobroma cacao) คำว่า เทโอโบรมานั้น เป็นภาษากรีก แปลว่า "อาหารแห่งเทพ" นับเป็นชื่อที่เหมาะสมกับรสชาติความอร่อยของช็อคโกแลตนี้แล้ว

ช็อคโกแลตแบ่งตามส่วนประกอบได้ 3 ประเภทคือ ช็อคโกแลตนม (Milk Chocolate) ช็อกโกแลตไม่ใส่นม (Dark Chocolate) และช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) ซึ่งประกอบด้วยสารอาหาร 5 ชนิด คือ น้ำตาล, ไขมันโกโก้, Milk solid, Cocoa mass และ Lecithin / Vanillin โดยส่วนประกอบแตกต่างกันไปตามสัดส่วนของช็อกโกแลตทั้งสามนั้น

ช็อกโกแลตมีข้อกล่าวหาและมีความเชื่อผิดๆ ที่ว่า เป็นบ่อเกิดแห่งสิว เพราะจริงๆ แล้ว การเกิดสิวนั้นไม่มีผลมาจากรับประทานอาหารชนิดใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนข้อกล่าวหาทีว่า ช็อกโกแลตมีคาเฟอีนนั้น ความจริงมีอยู่เพียงเล็กน้อย โดยอัตราส่วนช็อกโกแลต 1.4 ออนซ์ จะมีคาเฟอีนอยู่เพียง 6 มก. ซึ่ง เท่ากับจำนวนของคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟแบบดีแคฟ และสำหรับ ไวท์ช็อกโกแลตไม่มีคาเฟอีนอยู่เลย โดยรวมๆ แล้วช็อกโกแลตสามารถเรียกได้ว่า เป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างดีทีเดียว เพราะในต่างประเทศ ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าสารประกอบในช็อกโกแลตมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิด มะเร็งและลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากในตัวช็อกโกแลตมีสารชื่อว่า ฟีโนลิกอยู่ในปริมาณสูงฟีโนลิกเป็นสารซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกัน การก่อตัวของไขมันในเส้นเลือด ที่สำคัญยังช่วยชะลอความแก่ด้วย นอกจากนั้นช็อกโกแลตสามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์ต่อมรักได้เพราะช็อกโกแลตมีสารกระตุ้นที่มีผลต่อ หัวใจและระบบประสาท เมื่อ รับประทานช็อกโกแลตหัวใจจะเต้นแรงขึ้น รู้สึกคึกคักอยากจะกระโดดโลดเต้น อีกทั้งเคยมีคนพูดว่า อารมณ์ตอนทานช็อกโกแลตนั้น เหมือนอารมณ์ตอนตกหลุมรักเพราะร่างกายจะหลั่งสารชนิดเดียวกันออกมา มีข้อแตกต่าง ตรงที่เราหาซื้อความรักไม่ได้ แต่เราสามารถหาซื้อช็อกโกแลตได้

ประโยชน์อื่นๆ ของช็อกโกแลต เช่น ช่วยปรับอารมณ์และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติ เหมาะมากสำหรับผู้หญิงวัยทองที่เลือดจะไป ลมจะมาทั้งหลาย ฉะนั้นช็อกโกแลตจึงถือได้ว่าเป็นขนมหวานอันดับหนึ่งสำหรับผู้หญิงเลยทีเดียว ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ก่อนมีประจำเดือน ช่วยแก้อาการเมาค้าง ป้องกันการเกิดมะเร็ง เพราะได้พิสูจน์พบแล้วว่า สารที่พบในช็อกโกแลตเป็นสารที่พบในผักผลไม้ และไวน์แดง ช่วยลดอาการอักเสบเวลา เจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมองเพราะช่วยทำให้ตื่นตัว และยังช่วยให้กระฉับกระเฉงอีกด้วย ในมิลค์ช็อกโกแลตจำนวน 1.4 ออนซ์ จะประกอบด้วย โปรตีน 3 กรัม แคลเซียมร้อยละ 5 และธาตุเหล็กร้อยละ 15 โดยเฉพาะช็อกโกแลตที่ใส่ถั่วหรืออัลมอนด์ จะมีสารอาหารเหล่านี้มากขึ้นตามไปด้วย

สรุปว่าเมื่อรับประทานช็อกโกแลตไม่ต้องกลัวสิว ไม่ต้องกลัวอ้วนกันอีกต่อไปแล้ว ขอ แค่บริโภคอย่างพอดี และ ตระหนักไว้เสมอว่าช็อกโกแลตอุดมไปด้วยไขมันและน้ำตาล ซึ่งถ้าร่างกายได้รับมากเกินไป จะเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควรดูแล สุขภาพของตัวท่านเองให้ดี อย่าตามใจปากมากนัก เพราะการรับประทานอาหารอะไรก็ตามปริมาณมากเกินไป ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดปัญหาได้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า ทุกอย่างต้องเดินทางสายกลางไม่มากหรือน้อยเกินไป

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1201227616.jpg
1201227616.jpg [ 30.5 KiB | เปิดดู 4910 ครั้ง ]
13 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน

หน้า ร้อนแบบนี้ ยิ่งเป็นบ้างเรา ยิ่งร้อนมากมาย เจ็บป่วยก็ง่ายแสนง่าย
มาดูแลสุขภาพกันหน่อยนะจ๊ะเพื่อนๆ เดี๋ยวจะเที่ยวปิดเทอมไม่สนุกนะ
หน้าร้อน, SUMMER, สุขภาพ, เคล็ดลับ, ความรู้, ฮอต, แดด

1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดู ร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม

2. เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้

3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความ ร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

5. อย่างด อาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการ สารอาหาร เพื่อกระตุ้น ระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วย ควบคุมน้ำหนัก ด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยง อาหาร จำพวก แป้งขัดขาว หรือ ของทอด ของมัน หากควบคุมอาหาร แล้วยังรู้สึก ท้องอืด และ อึดอัด อยู่ เม็กซ์ ทอมลินสัน นักโภชนาการ แนะนำให้ดื่ม น้ำชา เปปเปอร์มิ้นต์ ช่วยขับลม จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

6. ดูแลสุขภาพของเด็กโดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และทางเดิน

7. หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อ ป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป

8. บุคคลที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอาย ุผู้ที่มีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น

9. อย่าทา ครีมกันแดด อย่างเร่งรีบ แพทย์ ผิวหนัง แนะนำให้ทาให้ทั่วถึงแม้แต่ ในร่มผ้า ด้วย โดยทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และหลัง ว่ายน้ำ แม้ผลิตภัณฑ์จะเป็นสูตรกันน้ำ ก็ตาม โดยควรเลือกที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier

10. อากาศร้อนจัดมีผลต่อ อารมณ์ หงุดหงิด และ หดหู่ (SAD - Seasonal Affective Disorder) จากสถิติ ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นลองออกไป เดินเล่น ช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงที่คนไม่มาก สิ่งสำคัญคือ พยายาม กระฉับกระเฉง เข้าไว้

11. หากผิวแสบร้อนจาก การโดนแดด แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้กิน ยาแอสไพริน เพื่อ ลด อาการเจ็บปวด แล้วลองแช่ตัว ใน อ่างน้ำ อุณหภูมิร่างกาย โดยใส่ ออยล์ สำหรับ แช่อาบ จากนั้น บำรุงผิว ด้วย โลชัน ที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ หรือ อาฟเตอร์ซันเจล และหลีกเลี่ยงแดด ในวันถัดไป

12. ลองทำ สเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียม อย่างง่าย ๆ คือ น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่ เอสเซ็นเชียลออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ 2 หยด และ สเปียร์มิ้นต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ใน กระบอกฉีด สำหรับพกติดตัว

13. หากต้องออกไปเผชิญ อากาศร้อน ภายนอก ควรใช้ เครื่องสำอาง เนื้อครีม ที่ปัจจุบันมี เนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามัน ปัดทับด้วย บรอนเซอร์ หรือ แป้งชนิดฝุ่น

อ่านกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้ในหน้าร้อนนี้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อนๆ
แหล่งข้อมูล : http://www.sanook.com

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




p23_grandma-12.jpg
p23_grandma-12.jpg [ 49.86 KiB | เปิดดู 4877 ครั้ง ]
การจัดการความเครียด

ความ เครียดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา การคิด และการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าเราคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรง เราก็จะรู้สึกเครียดน้อยหรือแม้เราจะรู้สึกว่าปัญหานั้นร้ายแรง เราก็จะรู้สึกเครียดน้อยหรือแม้เราจะรู้สึกว่าปัญหานั้นร้ายแรง แต่เราพอจะรับมือไหว เราก็จะไม่เครียดมาก แต่ถ้าเรามองว่าปัญหานั้นใหญ่ แก้ไม่ไหว และไม่มีใครช่วยเราได้ เราก็จะเครียดมาก

สุขภาพ จิตจึงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อความเครียด ถ้าจะพูดง่าย ๆ สุขภาพจิตที่ดี ย่อมมีความเครียดน้อยมากหรือมีความเครียดแต่เพียงพอดีๆ และสามารถแก้ปัญหาขจัดความ เครียดให้บรรเทาเบาบางไปได้ นำมาซึ่งความสุขและความสบายของจิตใจ หากความเครียดเกิดขึ้นจากเรื่องราวที่ใหญ่โตมากมาย เช่น อยู่ในฐานะเป็นหนี้เป็นสินใกล้ล้มละลาย ยังต้องเสียของรัก หรือเสียคนอันเป็นที่รัก ยังถูกผู้ใกล้ชิดดูถูกเหยียดหยาม ขาดคนเข้าใจ ขาดคนเห็นใจ ความเครียดเหล่านี้ย่อมนำมาให้เกิดสุขภาพจิตแปรปรวน กลายเป็นความทุกข์ทางใจ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 16:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 13:40
โพสต์: 76

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะคุณลุงมะตูม ที่นำสี่งที่ดีและมีประโยชน์มากๆ ๆ เป็นความรู้ซึ่งยังไม่เคยรู้มาก่อน
และสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อตัวเองและคนรอบข้างด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
หวัดดีค่ะ ลุงมะตูม
ชอบมาก ๆ ขอเอากระจาด ผลไม้ไปทาน..เอ๊ย..ไปฝากที่ "ดูสบาย..ฯ" นะคะ
แฮ่ ๆ ไปซื้อไม่ทันอ่ะ ...ตลาดวายไปแล้ว...หุ หุ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณมากค่ะ...คุณลุงมะตูม
ที่หมั่นนำเรื่องราวดีดีมาเล่าให้ฟัง
ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้หลายอย่าง นำมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ คุณลุง
คุณลุงสบายดีนะคะ

รักษาสุขภาพด้วยค่ะคุณลุง

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

มาสลัดเรื่องไร้สาระ..ออกจากใจกันเถอะ.. :b41:

1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง
มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม

วิธีแก้ :b41: หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อ หน้า เรา คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป

2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคล ที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้ :b41: รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง

3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่าง มีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความ ผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีแก้ :b41: เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ
กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น
มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ
ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก
ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่า สำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า
เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)

4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง

วิธีแก้ :b41: ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้าง ขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น
มีความเครียดเป็นอาจิณ

วิธีแก้ :b41: เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอม รับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่าง แต่อย่าคิดต่อ ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู

6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การ โต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็น การสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว

วิธีแก้ :b41: พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน

วิธีแก้ :b41: ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง
ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วย เหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน

8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน

วิธีแก้ :b41: รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ
และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน
แต่ เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมา ทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมาก ขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น

9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรม ของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลัก ไม่ก้าวหน้าไปไหน เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ

วิธีแก้ :b41: จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่น มาทดแทน เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การ คิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้ :b41: คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก
อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง

11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก

วิธีแก้ :b41: ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะ เกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง
อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว
บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว

วิธีแก้ :b41: ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น

13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด
และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย

วิธีแก้ :b41: คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง

ก๊อบมาจาก..ปลายฟ้า...ค่ะ

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




108_20080714154422..jpg
108_20080714154422..jpg [ 48.18 KiB | เปิดดู 4842 ครั้ง ]
ความสุขในครอบครัวไม่จำเป็นต้องร่ำรวย :b41:

สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ
ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ได้เงินหลายสิบล้านบาทก็อาจลงเอยด้วยการฆ่าตัวตายได้

ขณะที่คนซึ่งหาเช้ากินค่ำกลับมีความสุขมากกว่า
แม้มีรูปร่างและทรวดทรงสวยงามก็ยังกลุ้มใจจนเป็นโรคประสาท
ขณะที่คนซี่งพิการ ผอมลีบทั้งตัว ไปไหนดวยตัวเองไม่ได้ กลับมีความสุขจนใคร ๆ อิจฉา

เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าทำใจ อย่างไรเจอสิ่งดี ๆ
แต่ทำใจไม่ถูก ก็ทุกข์มหันต์ในทางตรงข้าม เจอสิ่งร้าย ๆ แต่ทำใจไว้ถูก ก็สุขได้

ฉลาดในอาชีพการงาน ฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ
ฉลาดในการสมคม กับผู้คนรวมทั้งฉลาดในการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้ส่วนรวม ล้วนเป็นส่งดีทั้งนั้น
แต่ที่ไม่ควรละเลยก็คือ ฉลาดในการทำใจ โดยเฉพาะเมื่อประสบกับเหตุร้ายหรือความไม่สมหวัง

คนเรามีความทุกข์ด้วยเรื่องต่าง ๆ มากมายแต่ละคนก็มีสาเหตุแตกต่างกันไป
แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้ว มักหนีไม่พ้นเหตุร้ายหรือความไม่สมหวังใน 4 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่

:b41: ทรัพย์สินเงินทอง
:b41: ร่างกาย
:b41: การงาน
:b41: ความสัมพันธ์กับผู้คน

ทั้ง 4 เรื่องนี้แม้ว่าจะหนักหนาสาหัสเพียงใด
แต่หากรู้จักทำใจให้ถูกต้อง เรื่องร้ายก็กลายเป็นเบา
หรืออาจกลายเป็นคุณประโยชน์ต่อเราด้วยซ้ำ

:b41: ความสุขในครอบครัวไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรอกนะ..? :b41:

แม้เราจะอยู่ในครอบครัวที่ยากจน ก็สามารถสร้างความสุข ให้มีในครอบครัวได้
เพราะความสุขในครอบครัว ไม่จำเป็นจะต้องร่ำรวย
ขอให้ท่านได้ประสบการณ์ในชีวิตสังเกตดูครอบครัวที่ร่ำรวยรอบๆ บ้าน
ถ้าเผื่อท่านจนกว่าเขาก็จริง แต่บ้านเราไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้ง อยู่กันอย่างสงบสุข
คนรวยๆ บ้านท่าน แม้มีบ้านยังกับวัง แต่ภายในบ้านมีแต่ปัญหา
ไม่เคยได้รับความสุขทางด้านจิตใจเลย

เพราะฉะนั้น ความสุขในครอบครัว เป็นความสุขที่ปลอดภัยและอบอุ่น
ซึ่งหาได้ยากในที่อื่น อยู่กับลูกกับเมียกับสามี อยุ่กับลูกหลาน

ความสุขในครอบครัว คือความสุขที่ไม่ต้องหวาดระแวง
สาเหตุก็มาจากคนในครอบครัวเข้าใจกัน ช่วยกันจัด ช่วยกันทำ ตามหน้าที่ที่ตนเป็น

เป็นการปฏิบัติธรรมะตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศานาที่สำคัญในครอบครัว
คือพฤติกรรมทางาย วาจา ใจของแต่ละคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา

พฤติกรรมเหล่านั้นย่อมเป็นเสมือนนิทรรศการหรือภาพยนตร์ประจำบ้าน
ซึ่งฉายแสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ววันเล่า ให้คนในครอบครัวได้ดู ได้ยิน
ได้ฟังอยู่เป็นประจำถ้าคนในครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้ใหญ่มีพฤติกรรมทาง กาย วาจาไม่ดี
เช่น กิริยา วาจาหยาบคาย ส่อเสียด เพื้อเจ้อ นินทา ว่าร้ายผู้อื่นอยู่เป็นประจำ
กิริยาอาการเหล่านี้น่าจะแทรกซึมไปในตัวเด็ก
เพราะเป็นลักษณะนิสัย อุปนิสัย อัธยาศัย และวาจาพื้นฐานจิตใจของเขาต่อไป :b41: :b41:

ก๊อบมาจาก..ปลายฟ้า...ค่ะ

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แก้ไขล่าสุดโดย COMA! เมื่อ 29 ส.ค. 2009, 00:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีคับ..คุณลุง
ผมหามุมของผมเจอแล้ว...สัญญาณคงที่...อยู่ใกล้คุณลุงเนี้ยแหละ...สนใจโทรหานะ
เดี๋ยวไปรับ..ที่นี้สวยมากๆ คับขอบอก
รูปภาพ
รูปภาพ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 20:20, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร