วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 14:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดี..ครับคุณลุง..
..ชื่อ..รูปส่วนตัว..เนื้อหา...สุดยอดครับ smiley

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 15:28
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากค่ะ ลุงมะตูม
:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




167-20060708132435.jpg
167-20060708132435.jpg [ 63.7 KiB | เปิดดู 5558 ครั้ง ]
บุหลัน..เลื่อนลอย เขียน:
หวัดดีคับ..คุณลุง
ผมหามุมของผมเจอแล้ว...สัญญาณคงที่...อยู่ใกล้คุณลุงเนี้ยแหละ...สนใจโทรหานะ
เดี๋ยวไปรับ..ที่นี้สวยมากๆ คับขอบอก

:b38: รับทราบครับคุณลอย..ดีเลยครับ...ออกพรรษา..รับกฐินแล้วจะพาพระอาจารย์ไปเที่ยวด้วย...
คุณ..จะอยู่นานมั้ยล่ะ..ลุงยังอยู่น้ำหนาวน่ะ...
ขอบคุณครับที่ส่งข่าว...

:b38: ขอบคุณ...คุณฟ้าจำรัส..คุณเพลิง...ขอบคุณครับ

:b38: ขอบคุณ...หนูน้ำ..คุณป้าฯ..มากคับที่มาช่วยโพสต์สร้างสีสรรให้ต่อเนื่อง...
ฝากด้วยเลยนะครับทุกๆ ท่าน

ขอบคุณครับ...ที่ช่วยกันดูแลลุง.....

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

"แชมเปญ"

แชมเปญ เป็นชื่อจังหวัดหรือเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส
อยู่ห่างจากกรุงปารีส 90ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแต่โดยทั่วไป โดยเฉพาะพูดถึงเหล้า องุ่น) แชมเปญ ก็คือ เหล้าองุ่นมีฟองที่มีราคาแพงและมีชื่อเสียงที่สุดChampagne เป็น "King of Wine" ได้ รับการควบคุมการผลิตโดยกฎหมายบังคับอย่างเข้มงวด เช่น พื้นที่การ ปลูกและพันธุ์องุ่นรวมถึงขั้นตอนในการผลิต ถ้าเปรียบเทียบกับไวน์ หรือเหล้าองุ่นทั่วไปซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถหา

ประวัติความเป็นมาได้แชมแปญเป็นเหล้าองุ่นใหม่ซึ่งถูกคันพบและผลิตเป็นครั้งแรกในศตวรรษ ที่ 17 โดยพระนิกายเบเนดิกทีน ชื่อ ดอมเพอริยอง (Dom Perignon) ผู้พบวิธีการนำจุกคอร์ก (Cork) มาควบคุมการหมักเหล้าองุ่น ครั้งที่ 2 ในขวดทำให้เกิดฟองอากาศโดย ธรรมชาติซึ่งต่อมาได้มีการ นิยมนำไปดิ่มในพิธีการฉลองหต่าง ๆ และแพร่หลายไปทั่วโลก

ลักษณะเฉพาะของแชมเปญ
ดิน ที่ใช้ในการปลูกองุ่นเป็นดินชอล์กสีขวา ทำให้เกิดรส, กลิ่น ในเหล้าองุ่นแตกต่างจากเขตองุ่นอื่น ๆ พันธุ์องุ่นในเขตมี 3 ชนิดเท่านั้น Pinot Noir (พินอง นัวร์), Pinot Meunier (พินอง เมนูเออร์) ซึ่งเป็น องุ่นดำและ Chardonnay (ชาโดเน่) เป็นองุ่นขาว โดยทั่วไปแชมเปญจะทำจาก Pinot (องุ่นดำ) ในปริมาณ 2/3 และ Chatdonnay (ชาโดเน่) อีก 1/3 การเก็บองุ่นต้องทำในปลายเดือนกันยายน หรือ 100 วันหลังจากองุ่นผลิดอกองุ่นถูกเก็บและบีบน้ำในไร่ บีบครั้งที่ 1 ได้น้ำองุ่นชั้นเลิศ, บีบครั้งที่ 2-3 ยังใช้ทำแชมเปญได้ ส่วนการบีบครั้งที่ 4 จะเป็นน้ำองุ่นที่ไปใช้ทำไวน์ราคาถูก ๆ บริษัทผู้ผลิตแชมเปญจะนำเอาน้ำองุ่นจากไร่ต่าง ๆ ไปหมักเป็นเหล้าองุ่นในถังใบใหญ่โดยผสมผสานน้ำองุ่นจากไร่ต่าง ๆ ถ้ามีปีระบุต้องนำเหล้าองุ่นเฉพาะปีมาผสมกัน เท่านั้น) เพื่อที่ว่ารสชาติจะได้ไม่แตกต่างกัน เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน จากนั้นนำเหล้าองุ่นไปบรรจุขวด และเติมยีสต์เพื่อให้เกิดปฎิกริยาครั้งที่ 2 ในขวด โดยทุกขวดจะถูกนำไปเก็บไว้นห้องใต้ดินที่มี อุณหภูมิคงที่ เป็นเวลา 3-5 ปี ในระหว่างการเก็บไวน์จะมีการทำ Remuage โดยที่ขวดจะได้รับการหมุนขยับจากแนวนอนจนถึงแนวตั้งคอขวดลง เพื่อให้ตะกอนที่เกิดขี้นระหว่างการหมัก มารวมตัว กันที่คอขวด Degorgement คือขั้นตอนการนำเอาตะกอนออกจากขวดโดยแช่คอขวดให้ส่วนที่มีตะกอนแข็งตัว แล้วเปิดขวดความดันจากแก๊สที่เกิดขึ้นจากการหมักจะดันตะกอน ออกจากขวด (ในอดีตไม่มีเทคนิคอันนี้ การนำตะกอนออกแต่ละครั้งจะเปลืองไวน์ประมาณ 1/4 ขวดเติมน้ำเหล้าองุ่นหรือน้ำตาลลงในขวดแทนส่วนที่เสียไป แล้วปิดจุคคอร์กและรับดัวลวดเพื่อรักษาความดัน (Corkage) เก็บไว้อย่างต่ำ 6 เดือน ก่อนส่งออกจำหน่ายต่อไป

รสชาติของไวน์มีฟอง (แชมเปญ)
Brut, Natture - ไม่หวานมาก หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) อยู่น้อยประมาณ 0-2 % ของน้ำเหล้า
Extra Dry,Extra Sec,Tres Sec - ไม่หวาน หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 2-3 %
Sec - หวานน้อย หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 4-5 %
Demi Sec - หวานปานกลาง หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 7-9 %
Rich,Doux - หวานมาก หรือมีส่วนผสมความหวาน (Liqueur) 5-10 %

ในอดีตมักนิยมดื่มแชมเปญประเภทหวาน (ประมาณ 30 ปีที่แล้ว) ปัจจุบัน Brut หรือแชมเปญแบบไม่หวานมากเป็นที่นิยมดื่มมาก แชมเปญยังมีหลายแบบ เช่น Vintage, Non-intage,Pink Rose, Blanc de Blancs

การเก็บแชมเปญ
หลังจากใช้เวลานานในกระบวนการผลิต คุณภาพของแชมเปญจะไม่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเก็บในห้องใต้ดินอีกนานเท่าใดก็ตามแต่แชมเปญ อาจเก็บได้นาน 4-5 ปี โดยวางขวดในลักษณะ นอนและรักษา อุณหภูมิที่ประมาณ 10 - 15 องศา C อุณหภูมิที่เหมาะแก่การดื่มแชมเปญและเหล้าองุ่นมีฟองชนิดอื่น จะต้องเย็นจัดประมาณ 5 - 9 องศา C ผู้ชำนาญด้านเหล้าองุ่นแนะนำ ให้แช่แชมเปญในถังน้ำแข็งไม่ควรแช่เย็น ในตู้เย็นเพราะจะเย็นเกินไป

วิธีการเปิดขวดแชมเปญที่ถูกต้อง
หลังจากแกะลวดรัดออกแล้ว ให้จับขวดมือหนึ่งและจับจุกคอร์กอีกมือหนึ่ง ค่อย ๆ หมุนขวดจุกคอร์กจะหลุดออกมาย่างง่ายดาย เช็ด ขวดก่อนเทใส่แก้ว การเปิดขวดแชมเปญแบบ เขย่า ความดันภายในจะดันจุกคอร์กให้ระเบิดออกไปมีผลทำให้น้ำแชมเปญไหลออกมา เสียของไปโดยเปล่าประโยชน์
และเมื่อเปิดขวดแล้วควรดื่ม ให้หมดเพราะแชมเปญ ไม่สามารถเก็บข้ามวันได้

แก้วประเภทมีก้านยาว เหมาะแก่การดื่มแชมเปญทั้งสิ้น
แต่ถ้าเป็นแก้วที่มีด้านบนทรงเรียวเล็ก Flute จะดีที่สุด เพราะจะเก็บฟองแชมเปญได้นาน

สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสสุดพิเศษต่างๆ
"แชมเปญ" ราชาแห่งเครื่องดื่มสุดหรู
ก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการนำมาพัฒนาเป็นส่วนหนึ่ง
ของการปรนนิบัติผิวพรรณให้เนียนนุ่มสดใสเปล่งประกายดั่งไขมุก
ควบคู่ไปกับ "มะม่วง" ผลไม้ไทยที่อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ
ที่ได้รวมมาเป็นชุดบรรณาการผิวสวยในโปรแกรม Champagne Mango

"แชมเปญแมงโก้" ถือเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมความงามที่ "ดีวานาสปา"
ได้หลอมรวมนำเอาคุณประโยชน์จากแชมเปญอย่างดีจาก แคว้นแชมเปญประเทศฝรั่งเศส
มาผสานกับคุณประโยชน์แห่งผลไม้ไทยอย่างมะม่วงสุก
ต้อนรับฤดูแห่งความร้อนแรงให้คลายลง เหลือไว้เพียงแค่ผิวพรรณที่หมดจดสดใส
อ้อ-ลักษณ์สุรีย์ เดชฤกษ์ปาน ผอ.ฝ่ายสื่อสารการตลาด ดีวานาสปา
เล่าถึงสรรพคุณของแชมเปญว่า ไม่ได้มีไว้เพียงแค่ฉลองในวาระพิเศษเท่านั้น

แต่แชมเปญยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
จึงช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส นวลเนียนน่าสัมผัส
ส่วนมะม่วงก็อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และอี ที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
และรักษาความชุ่มชื้นของผิวได้เป็นอย่างดี

ฉะนั้น เมื่อนำทั้งสองสิ่งมารวมกัน
จึงทำให้ผิวเนียนนุ่ม อ่อนละมุน และเปล่งประกายสดใส
โดยผ่าน 4 ขั้นตอนสำคัญการนวดคือ
เริ่มต้นด้วยการล้างทำความสะอาดร่างกาย
ก่อนประคบผิวกายด้วยน้ำนมและชาคาโมมายด์สูตรอ่อนโยนต่อผิว
ซึ่งเป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เพื่อเตรียมพร้อมผิวให้ได้รับการบำรุง อย่าเต็มที่
ตามด้วยการขัดหรือสครับผิว ด้วยผลส้มเทงเจอรีนอย่างดี กับผงขมิ้นสูตรพิเศษ
เพื่อชำระล้างและทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก
รวมทั้งเป็นการเติมวิตามินซีให้กับผิวเพื่อความเปล่งปลั่งสดใส
รูปภาพ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงมะตูม เขียน:
บุหลัน..เลื่อนลอย เขียน:
หวัดดีคับ..คุณลุง
ผมหามุมของผมเจอแล้ว...สัญญาณคงที่...อยู่ใกล้คุณลุงเนี้ยแหละ...สนใจโทรหานะ
เดี๋ยวไปรับ..ที่นี้สวยมากๆ คับขอบอก

:b38: รับทราบครับคุณลอย..ดีเลยครับ...ออกพรรษา..รับกฐินแล้วจะพาพระอาจารย์ไปเที่ยวด้วย...
คุณ..จะอยู่นานมั้ยล่ะ..ลุงยังอยู่น้ำหนาวน่ะ...
ขอบคุณครับที่ส่งข่าว...


ยินดีคับคุณลุง... :b38:

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




57250_53513.jpg
57250_53513.jpg [ 9.55 KiB | เปิดดู 5570 ครั้ง ]
นม - มัจจุราชเงียบ

ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน

แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง
จากข้อสังเกตที่ว่า คนอเมริกันกินนมเยอะที่สุด และมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินพ่วงตามมาด้วย ผู้ชายอ้วน 27% ผู้หญิง 46% ในขณะที่สถิติเรื่องอ้วนในคนไทยมีแค่ประมาณ 20% ทั้งหญิงและชาย

เรื่องเบาหวานในคนอเมริกันก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ขอกระซิบเบาๆ ว่า คนอเมริกันเป็นเบาหวานมากกว่าคนไทย 3 เท่าเชียวนะ สถิติโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ในคนอเมริกันล้วนแล้วแต่สูงกว่าคนไทยทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฝรั่งที่มาสอนให้เราดื่มนมป้องกันกระดูกพรุน กลับมีอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าเราเกือบ 9 เท่า !

จึงมีคนเอะใจว่า การกินอาหารแบบอเมริกันน่าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราเจ็บป่วยเสียแล้ว และเรื่องนมวัวก็ไม่หลุดรอดจากการตรวจสอบไปได้ ผลจากการตรวจสอบเราพบว่าปัญหาจากนมวัวเกิดเพราะสถานการณ์ต่างๆ ในโลกได้เปลี่ยนไป

สุขภาพคนไทยเปลี่ยนจากทุโภชนาการเป็นโภชนาการล้นเกิน

สถานการณ์แรกที่ต้องคิดถึงก็คือ การรณรงค์ให้ดื่มนมวัวเริ่มสมัยหลังสงครามโลกใหม่ๆ สมัยนั้นเป็นสมัยที่คนไทยยังขาดอาหารอยู่ มีภาวะทุโภชนาการอยู่ทั่วไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม คนไทยมีอาหารการกินอย่างเหลือเฟือ จนโรคอ้วนถามหากันเป็นทิวแถว การมาส่งเสริมให้ดื่มนมกลับเป็นการซ้ำเติมโรคอ้วนให้แย่ลงไปอีก

มีวิจัยว่า นมวัวเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจหลอดเลือด แม้ว่าคุณจะดื่มนมพร่องไขมันแล้วก็ตาม แต่คำว่าพร่องไขมันในที่นี้ เป็นการเล่นคำ เพราะพร่องไขมันก็คือยังมีไขมันอยู่ แต่น้อยกว่าปกติเท่านั้นเอง

มีการนำเอาเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในจังหวัดเชียงใหม่มาตรวจหาระดับ ไขมันในเลือดดู พบว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกเลี้ยงดูให้กินนมต่างน้ำ มีไขมันสูง ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีสูงถึง 25% อายุ 6-15 ปีมีถึง 70% และระดับไขมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นั่นหมายความว่าเด็กเหล่านี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เขาก็มีปัญหาไขมันอุดตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ - ไซนัสอักเสบ - หอบหืด

นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และหอบหืดในคนไทยด้วย เพราะว่าพันธุกรรมของคนไทยนั้นมักจะแพ้ต่อนมวัว เคยมีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทยที่ให้ดื่มนมวัวแล้วนำมาส่องดูเยื่อบุโพรง จมูกและเยื่อบุลำไส้ พบว่าคนเหล่านี้มีอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและลำไส้ถึง 100%

ดื่มนมเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

เนื่องจากนมเป็นสาเหตุที่สำคัญของไขมันในเลือดสูง ดังนั้นนมจึงมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย ทั้งนี้นิ่วในถุงน้ำดีบางส่วนเกิดจากการที่มีสมดุลของน้ำดีและไขมันผิดปกติ ทำให้น้ำดีตกตะกอนเป็นนิ่วได้

ดื่มนม...มะเร็งอาจถามหา

นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950-1975 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมเพิ่มขึ้น 15 เท่า กินเนื้อสัตว์เพิ่ม 7.5 เท่า ผลก็คือในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้มากกว่าเดิม 300% ซึ่งตรงกับงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกาที่ว่า อาหารไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม

การประชุมกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (WCRF) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (AICR) ก็มีงานวิจัยการสรุปออกมาเหมือนกันว่านมเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของ มะเร็ง แต่ด้วยความเกรงใจบริษัทที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ก็เลยมีการแก้ไขถ้อยคำให้รุนแรงน้อยลงหน่อยว่า นมอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง

นมไม่ใช่แหล่งอาหารที่ดีที่สุด

การวิจัยว่าการที่ชาวตะวันตกเกิดโรคมากมายมีผลมาจากการดื่มนม 150 ลิตร/ปี หรือเฉลี่ยคือการดื่มนมมากเกิน 1.6 แก้ว/วัน แต่อย่าลืมนะว่าฝรั่งน่ะตัวใหญ่กว่าเรานะ ดังนั้นการออกมารณรงค์ให้คนไทยที่ดื่มนมวันละ 1 แก้วก็นับว่ามากจนเกินไป
จะกินดื่มอะไร ถ้าไม่ให้ดื่มนม(วัว)

มีคนถามว่า ถ้าการดื่มนมวัวน่าจะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเราจะกินดื่มอะไรกันดี

เด็ก นมแม่มีประโยชน์ที่สุด การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นม ทำให้แม่ลดการให้นมลูกเองเหลือเพียง 4 % กรณีที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แม่สามารถกลับมาป้อนนมได้ในตอนเย็นและค่ำ หลังจากนั้นปั๊มน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพื่อให้คนที่บ้านป้อนเด็กในตอนกลางวัน

การให้นมแม่ประหยัดเงินได้มาก ลูกมีภูมิต้านทานดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เด็กที่เติบโตด้วยนมแม่จะอารมณ์ดี

นมวัวมีกรณีให้เลือกสถานเดียว คือกรณีที่แม่ไม่มีน้ำนมพอให้ลูก ก็อาจพิจารณาให้นมวัวที่ปรับสภาพให้ใกล้เคียงนมแม่ ให้ดื่มจนครบ 1 ขวบแล้วให้เลิกเสีย โดยให้กินอาหารอย่างอื่นแทน อีกทางหนึ่งคือ ให้เลี้ยงลูกด้วยนมถั่วเหลือง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้มากขึ้นถ้าให้ดื่มนมวัว

ส่วนเด็กเล็กและเด็กโตกินอาหารธรรมชาติ โดยไม่ต้องดื่มนม แต่ถ้ายังไม่สบายใจ พ่อแม่ก็อาจจะให้ลูกดื่มนมถั่วเหลือง ซึ่งก็มีโปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว ถ้าจะเปรียบเทียบแหล่งโปรตีนแล้ว กินหมูกินไก่ก็ได้โปรตีนทั้งคุณภาพและปริมาณ
- นมวัว 1 แก้ว ให้โปรตีน 8.5 กรัม
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
- น่องไก่ 1 ชิ้น ให้โปรตีน 18.8 กรัม

หญิงมีครรภ์ หญิงมีครรภ์ต้องการแคลอรี โปรตีน กรดไขมันจำเป็น แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินต่างๆ แต่คุณแม่ต้องรู้ว่าไม่ต้องการสารเหล่านี้เป็น 2 เท่า เพราะเด็กในครรภ์ตัวเล็กกว่าแม่ 15 เท่า ถ้าขืนกินเข้าไปแบบยัดทะนาน ก็รังแต่จะไปพอกพูนที่ตัวแม่ การดื่มนมอย่างมากมายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่อ้วนหลังคลอด

แคลอรีที่ดีต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้องซึ่งจะใช้เป็นเรี่ยวแรงได้อย่างหมดจด
โปรตีน ถ้ากินไก่ ไข่ หมู กุ้ง ปลา ก็ได้โปรตีนเพียงพอ สามารถดื่มนมถั่วเหลือง และข้าวกล้องก็ให้โปรตีนด้วย
- เนื้อไก่ส่วนอก 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 11 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้โปรตีน 10 กรัม
- ปลา 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 21 กรัม
- หมูเนื้อแดง 1 ขีด ให้โปรตีน 14 กรัม
- เต้าหู้ 100 กรัม ให้โปรตีน 13.3 กรัม
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
- ข้าวกล้อง 2 ทัพพี ให้โปรตีน 15.6 กรัม

แคลเซียม อาหารไทยมีแคลเซียมมากมายไม่ต้องพึ่งนมวัว เช่น กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ปลากรอบ มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่านม 13-23 เท่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์กินเต้าหู้วันละ 1 แผ่น กับกุ้งชุบแป้งทอดวันละ 1 ชิ้น เท่ากับได้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว

ธาตุเหล็ก ใช้สร้างเม็ดเลือดแดง เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วงอก ผักบุ้ง ผักใบเขียว

กรดโฟลิก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท มีมากในผักใบเขียว แคนตาลูป แครอท ตับ ไข่แดง ฟักทอง ถั่วต่างๆ

วิตามิน เกลือแร่ และสารผัก ช่วยจรรโลงขบวนการเคมีทั้งในแม่และทารก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เป็นฮอร์โมนเสริมสำหรับบำรุงครรภ์ มีในผักสด ผลไม้ต่างๆ ต้องรู้จักกินผักให้หลากหลาย ผักพื้นบ้าน เครื่องแกง เครื่องสมุนไพรต่างๆ

กรดไขมันจำเป็น ช่วยเสริมระบบฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอยู่ในน้ำมันปลา น้ำมันดอกพริมโรส น้ำมันเมล็ดฝ้าย

ถ้าคุณแม่ต้องการดื่มนม ให้ดื่มนมถั่วเหลือง พร้อมโรยงาดำคั่ว วันละ 1-2 แก้ว ก็จะได้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมเพียบพร้อม

สำหรับสตรีวัยทอง และผู้สูงอายุ ที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกผุ เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์นมแคลเซียมสูง สำหรับอาหารไทยเรา มีแคลเซียมอยู่มากมายดังเช่น ปลาร้าผง กุ้งแห้งตัวเล็ก กะปิเคย งาดำคั่ว กุ้งฝอยน้ำจืด ถั่วแดงหลวง ใบชะพลู มะขามฝักสด แคยอดอ่อน ผักกระเฉด สะเดายอดอ่อน เม็ดบัวดิบ ถั่วเน่าแห้ง เต้าหู้ขาวอ่อน ผักคะน้า ถั่วเหลือง ปลาไส้ตัน จะเห็นได้ว่าถ้าขยันกินอาหารไทยๆ จะไม่ขาดแคลเซียมทั้งคนทั่วไป และผู้สูงอายุเลิกดื่มนม(วัว)เสียแต่วันนี้ ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยแน่นอน
ที่มา LadeTip
__________________

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2009, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีครับ..คุณลุง.. :b38:

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2009, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว


เก็บมาฝาก....

รูปภาพ

13 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน

หน้า ร้อนแบบนี้ ยิ่งเป็นบ้างเรา ยิ่งร้อนมากมาย เจ็บป่วยก็ง่ายแสนง่าย
มาดูแลสุขภาพกันหน่อยนะค่ะ

หน้าร้อน, SUMMER, สุขภาพ, เคล็ดลับ, ความรู้, ฮอต, แดด

1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดู ร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม

2. เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้

3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความ ร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

5. อย่างด อาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการ สารอาหาร เพื่อกระตุ้น ระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วย ควบคุมน้ำหนัก ด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยง อาหาร จำพวก แป้งขัดขาว หรือ ของทอด ของมัน หากควบคุมอาหาร แล้วยังรู้สึก ท้องอืด และ อึดอัด อยู่ เม็กซ์ ทอมลินสัน นักโภชนาการ แนะนำให้ดื่ม น้ำชา เปปเปอร์มิ้นต์ ช่วยขับลม จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

6. ดูแลสุขภาพของเด็กโดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และทางเดิน

7. หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อ ป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป

8. บุคคลที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอาย ุผู้ที่มีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น

9. อย่าทา ครีมกันแดด อย่างเร่งรีบ แพทย์ ผิวหนัง แนะนำให้ทาให้ทั่วถึงแม้แต่ ในร่มผ้า ด้วย โดยทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และหลัง ว่ายน้ำ แม้ผลิตภัณฑ์จะเป็นสูตรกันน้ำ ก็ตาม โดยควรเลือกที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier

10. อากาศร้อนจัดมีผลต่อ อารมณ์ หงุดหงิด และ หดหู่ (SAD - Seasonal Affective Disorder) จากสถิติ ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นลองออกไป เดินเล่น ช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงที่คนไม่มาก สิ่งสำคัญคือ พยายาม กระฉับกระเฉง เข้าไว้

11. หากผิวแสบร้อนจาก การโดนแดด แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้กิน ยาแอสไพริน เพื่อ ลด อาการเจ็บปวด แล้วลองแช่ตัว ใน อ่างน้ำ อุณหภูมิร่างกาย โดยใส่ ออยล์ สำหรับ แช่อาบ จากนั้น บำรุงผิว ด้วย โลชัน ที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ หรือ อาฟเตอร์ซันเจล และหลีกเลี่ยงแดด ในวันถัดไป

12. ลองทำ สเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียม อย่างง่าย ๆ คือ น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่ เอสเซ็นเชียลออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ 2 หยด และ สเปียร์มิ้นต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ใน กระบอกฉีด สำหรับพกติดตัว

13. หากต้องออกไปเผชิญ อากาศร้อน ภายนอก ควรใช้ เครื่องสำอาง เนื้อครีม ที่ปัจจุบันมี เนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามัน ปัดทับด้วย บรอนเซอร์ หรือ แป้งชนิดฝุ่น

อ่านกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้ในหน้าร้อนนี้กันด้วยนะจ๊ะ

แหล่งข้อมูล : http://www.sanook.com

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




moso090609_10.gif
moso090609_10.gif [ 64.57 KiB | เปิดดู 5555 ครั้ง ]
10 วิธีทำให้คนอื่นชอบคุณ

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน การได้เป็นที่รัก ที่ชอบพอของคนรอบตัวนั้น
ก็นับเป็นสิ่งประเสริฐที่ทุกคนปรารถนา แต่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องดีงามเป็นพื้นฐานด้วย
ไม่ใช่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนอื่นพอใจรักใคร่ ทั้ง 10 ข้อที่จะนำเสนอต่อไปนี้
เป็นสูตรปรุงเสน่ห์ ซึ่งทำได้ไม่ยาก แต่ท้าทายให้ทุกคนใส่ใจ
และทดลองปฏิบัติ ที่เห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถึงเวลา หากสำรวจเข้าจริงๆ
บางคนก็ขาดไปหลายข้อเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา
ง่ายเสียจนเราละเลย ลืมให้ความสำคัญ ลืมปฏิบัติกันให้เป็นนิสัย

1. จำชื่อเขาให้ได้
ถ้ายังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือจำผิดจำถูก แสดงว่าคุณไม่ใคร่สนใจไยดีหรือให้ความสำคัญในตัวเขานัก คุณรู้ไหมว่า ชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรู้สึกของคนอย่างมากมาย รีบจำชื่อเขาให้ได้ และเรียกให้ถูกนะคะ

2. รู้จักทักทาย
การทักทายใครต่อใครก่อน เป็นความน่ารักอย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นความมีมิตรจิตมิตรใจ ทำให้ผู้ถูกทักทายรู้สึกดีว่าได้รับความใส่ใจ มีคนให้ความสำคัญ เราจะจำชื่อคนให้ได้ไปทำไมกันคะ ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน?

3. วางตัวสบายๆ ได้หรือเปล่า
จงเป็นคนที่วางตัวสบายๆ เสมอ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่รู้สึกเครียดเมื่ออยู่ใกล้ๆ คุณโปรดเป็นกันเอง อย่าถือเนื้อถือตัว อย่าเจ้ายศเจ้าอย่าง เพราะมันจะน่ารำคาญ น่าเกลียดน่ากลัว มากกว่าน่าเข้าใกล้

4. มีนิสัยง่ายๆ
นิสัยง่ายๆ เป็นคนละเรื่องกับมักง่าย หากคุณเป็นคนง่ายๆ มีความยืดหยุ่นสูง และรู้จักผ่อนปรนอารมณ์ของคุณก็มักจะคงที่ ไว้ใจได้ ทำนายได้ ไม่แปรปรวนจนยากแก่การควบคุมหรือไว้ใจ คนง่ายๆ มักยอมรับและเข้าใจได้ แม้กับคนที่น่ารำคาญที่สุด ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้กับคนที่อารมณ์คงที่ ยืดหยุ่น และถือสาใครต่อใครน้อยมาก เพราะอะไรคะ เพราะว่าบางครั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเราเองมีอะไรที่น่ารำคาญบ้าง ง่ายๆ วางใจ ไม่ถือสากันนี่ละ ดีที่สุด

5. อย่าอวดตัวเอง
จงระวัง อย่าแสดงว่าคุณรู้อะไรๆ ไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากจะชอบพอกับคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอก บางเรื่องเขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน ดังนั้นโปรดวางตัวตามธรรมชาติ (คือมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้) ถ่อมตน และสุภาพตามกาลเทศะจะดีกว่า


6. จงมีนิสัยร่าเริง
เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชอบอยู่ใกล้ และ "ติด" ในความร่าเริงที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับความรู้สึกดีๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งดีๆ จากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วย

7. จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด
คุณอาจเคยมองใครในแง่ร้ายๆ ไปบ้าง คุณอาจเคยถือสาการกระทำครั้งโน้นครั้งนี้ของเขา หากคุณมีเวลา จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดหรือความถือสาที่เคยมี รวมทั้งที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป มิตรภาพไม่อาจก่อเกิดหรืองอกงามได้ ท่ามกลางความระแวงแคลงใจ จงขจัดความขุ่นข้องหมองใจ ความไม่ชอบใจ และความเจ็บใจให้หมด แล้วคุณจะเป็นคนน่ารักที่ไม่มีใครผูกใจเจ็บ

8. ทิ้งมันไป...นิสัยเสียๆ
บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า เรามีนิสัยอะไรที่เป็นข้อบกพร่องอยู่ในตัวบ้าง การเงี่ยหูฟังจากคนรอบข้าง จะช่วยให้เรารู้ เมื่อเรารู้แล้ว เรามีหน้าที่ต้องกำจัดนิสัยที่ทำให้คนอื่นตั้งเป็นข้อรังเกียจออกไป แม้ว่านิสัยบางอย่างนั้น อาจมีอยู่หรือทำไปโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวมาตลอดก็ตาม

9. จงหัดชอบคนอื่นบ้าง
น่าประหลาด... คนบางคนเกลียดใครต่อใครได้ไวมาก ลองหัดชอบคนอื่นจนกลายเป็นนิสัยดีไหมคะ ชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น ชอบที่เขาคิดอย่างนี้ ชอบในสิ่งที่เขาพูดจา ฯลฯ พึงท่องคาถาประจำใจเอาไว้ให้ตลอดเภิดว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยพบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกชอบเลย”

10. ชมเชยให้เป็น
อย่าละทิ้งโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชย เมื่อใครคนใดคนหนึ่งใกล้ๆ ตัวคุณ ได้กระทำในสิ่งที่ดี เป็นแบบอยางต่อผู้อื่น หรือทำอะไรได้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรู้จักแสดงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ในความทุกข์ร้อนและความผิดหวังของพวกเขาด้วย พูดง่ายๆ ได้ว่า หัดเป็นคนมีหัวใจซะบ้าง!

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว




m173940.jpg
m173940.jpg [ 49.88 KiB | เปิดดู 5537 ครั้ง ]
:b20: อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณลุงมะตูม

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




01-10-112.jpg
01-10-112.jpg [ 26.24 KiB | เปิดดู 5610 ครั้ง ]
เลือกแว่นให้รับกับรูปหน้า

ไม่ ว่าคุณจะใส่แว่นเพราะปัญหาสายตา หรือเพื่อปกป้องดวงตาจากความร้อนแรงของแสงแดด สิ่งที่สำคัญพอๆ กันก็คือ การเลือกแว่นที่เหมาะกับใบหน้าของคุณ แว่นที่คนอื่นใส่แล้วดูดี อาจไม่ดูดีบนหน้าคุณก็ได้ เพราะฉะนั้น ลองหวีผมเสยขึ้นไปให้พ้นใบหน้าทั้งหมด แล้วส่องกระจกดูว่ารูปหน้าของคุณเป็นแบบไหน ก็เลือกแว่นที่เหมาะกับรูปหน้าแบบนั้นได้เลย

• รูปหน้าเหลี่ยม แว่นที่มีกรอบมนเล็กน้อยจะช่วยทำให้ใบหน้าสี่เหลี่ยมกรามกว้างดูดียิ่งขึ้น และควรให้ส่วนบนสุดของขอบแว่นอยู่สูงพอที่จะลดความชัดของแนวขากรรไกร

• รูปหน้ากลม เพื่อลดความกลมแป้นของใบหน้า ควรเลือกกรอบแว่นที่เป็นแนวตรง หรือเป็นเหลี่ยมมุมเล็กน้อย ยิ่งเลือกกรอบสีเข้ม เช่น สีดำ สีกระ ก็จะยิ่งช่วยลดความเต็มอิ่มของรูปหน้าได้

• รูปหน้าสามเหลี่ยม กรอบควรเล็กบางและมีรูปทรงในแนวตั้ง นอกจากนั้น กรอบไม่ควรอยู่สูงเกินไป เพราะจะเน้นความแคบของคางและความกว้างของหน้าผากยิ่งขึ้น ควรเลี่ยงกรอบใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม แกนหนา หรือสีสด

• รูปหน้าแคบยาว ควรเลือกรอบขนาดใหญ่ ที่สามารถปิดช่องกลางของใบหน้ามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความยาวของใบหน้า

• หน้ารูปไข่ สามารถเลือกกรอบแว่นได้หลายทรง แต่ควรสังเกตเพิ่มเติมที่จมูก ถ้าจมูกโตควรเลือกกรอบโตสักหน่อย จมูกยาวควรเลือกกรอบที่มีก้าน 2 เส้นบนจมูก และมีขาแว่นสูงหรือสะดุดตาหน่อย จมูกเล็กควรเลือกกรอบที่มีก้านระหว่างจมูกสูงและสีอ่อน

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 17 ก.ย. 2009, 19:20, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ขอบคุณเรื่องราวดีดี มิตรภาพที่งดงาม
ขอบคุณที่เราได้รู้จักกัน...รักษาสุขภาพนะคะ
...ณ แ่ห่งนี้มีธรรมะและกัลยาณมิตร...ธรรมจักร

:b48: ระลึกถึงนะคะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitledz.bmp
untitledz.bmp [ 445.08 KiB | เปิดดู 5618 ครั้ง ]
ปลอกแอ๊ปเปิ้ลไม่ให้ดำ

คุณอาจพบว่า แอ๊ปเปิ้ลที่ปอกทิ้งไว้นานมันมีสีดำคล้ำแลดูไม่น่ารับประทาน เคล็ดวิธีง่าย ๆ
ในการถนอมแอ๊ปเปิ้ลให้น่ารับประทานคือ หลังปอกเปลือกให้แช่ในน้ำเย็นจัดโดยใส่น้ำแข็งลงไปด้วย
สักสองนาที นำขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำ แอ๊ปเปิ้ลจะดูเกลี้ยงเกลา ไม่ดำ แม้ว่าจะเก็บไว้นานเพียงใด

หั่นปลาเค็มได้ง่ายขึ้น

เราจะตากปลาเค็มให้แห้งสนิทเพื่อป้องกันการเน่าเสียและกลิ่นเหม็นตุ ดังนั้นลักษณะปลาเค็มจึงแห้งแข็ง และเหนียว ตัดหรือหั่นให้ขาดได้ยากต้องออกแรงมาก บางคนอาจถึงกับปวดแขนไปหลายวัน เผลอ ๆ บางคนอาจถูกคมมีดที่แฉลบจากเนื้อปลาที่แข็งเกินไป เคล็ดไม่ลับนการหั่นปลาเค็มชนิดที่ไม่ต้อง
เสียแรงมากหรือเสี่ยงอันตรายก็คือ ใช้น้ำมันงาทาใบมีดให้ลื่นก่อนหั่น


เทคนิคหั่นไข่สุก

เทคนิคง่าย ๆ คือ จุ่มมีดในน้ำทุกครั้งที่หั่นน้ำจะช่วยทำให้ไข่แดงไม่ติดมีด สำหรับไข่ที่ปอกเปลือกแล้ว ให้ใช้เส้นด้ายที่เราเย็บผ้านำมาผูกปลายด้านหนึ่งไว้กับอุปกรณ์อะไรก็ได้ จากนั้นดึงเส้นด้ายให้ตึงแล้วกดไข่กับเส้นด้าย ผิวไข่ที่ได้จะดูจะเรียบคมเสมอกัน

ต้มถั่วให้สุกเร็ว

เรามีเคล็ดลับการต้มถั่วให้สุกหรือเปื่อยเร็วเพื่อให้สามารถรับประทานได้ทันที ให้นำถั่วแช่นน้ำร้อนทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง จากนั้นนำไปต้ม ขณะต้มไม่ควรใส่น้ำตาลลงไปในคราวเดียวกัน แต่ให้ใส่ตอนถั่วใกล้สุก และผสมเกลือป่นลงไปด้วยเล็กน้อย เท่านี้ก็จะได้ถั่วต้มเป็นมื้อของหวานที่วิเศษมาก

วิธีเลือกซื้อปลา

ปลาเป็นอาหารคู่ชีวิตของคนไทยมาช้านาน จนเรามักพูดกันติดปากว่า “กินข้าวกินปลา” ปลาเป็นอาหารที่หาได้ง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โปรตีนในเนื้อปลาช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เมนูที่ทำด้วยปลามีมากมาย ทั้งต้ม ยำ ทอด ผัด สารพัด ราคาก็ไม่แพงที่สำคัญรับประทานอร่อยอีกด้วย แต่จะลิ้มรสชาติความหวานของเนื้อปลาได้อร่อยยิ่งขึ้น หากคุณรู้จักเลือกซื้อปลา วิธีการเลือกซื้อปลาที่สดใหม่ ควรสังเกตดูดวงตาที่สดใส ไม่มีเลือดคั่งหรือฝ้าม้า * ลักษณะของเกล็ดซ้อนทับกันเป็นแผ่นแบบสนิท ไม่หลุดลอกเป็นหย่อม ๆ เหงือกสีแดงสด ไม่เขียวคล้ำ และถ้าใช้นิ้วกดหรือจิ้มลงไปบริเวณท้อง ก็จะมีแรงยืดหยุ่นคืนรูปได้อย่างดี

ต้มลูกบัวให้เปื่อย

ให้นำลูกบัวที่กะเทาะเปลือกออกแล้วใส่น้ำ ต้มด้วยไฟอ่อน ๆ โดยปิดฝาให้สนิทและต้องไม่เปิดดูจนกว่าจะสุก ใช้เวลาต้มประมาณครึ่งชั่วโมง จะได้ลูกบัวที่สุกเปื่อย รับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อย

ใช้เครื่องเทศ ป้องกันกลิ่นเหม็นอับ

เครื่องเทศสมุนไพรมีมาเนิ่นนาน คนไทยสมัยก่อนรู้จักเลือกสรรเครื่องเทศต่าง ๆ มาทำอาหาร ต้มยำทำแกง ปรุงแต่งกลิ่นให้รสชาติอาหารน่ารับประทาน และช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ด้วย ทั้งนี้เพราะในเครื่องเทศมีน้ำมันหอมระเหยนั่นเองเครื่องเทศที่นำมาใช้ประกอบอาหาร ได้แก่ อบเชย ลูกกระวาน โป๊ยกั๊ก กานพลู มีกลิ่นอยู่ในตัว นอกจากนำมาปรุงอาหารได้แล้ว เราสามารถนำเครื่องเทศเหล่านี้มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น ป้องกันกลิ่นเหม็นอับของห้องได้ โดยนำเครื่องเทศเหล่านั้นวางไว้ตามมุมห้อง เมื่อได้รับความร้อน น้ำมันระเหยในเครื่องเทศจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่น

ย่างไส้กรอกให้ดูสดและใหม่

อาหารเช้าแบบอเมริกันมักมีไส้กรอก เบคอน แฮม และไข่ดาวดูน่ารับประทาน ไส้กรอกหรือฮ็อตด็อกนั้นเป็นอาหารยอดฮิตอย่างหนึ่งในโลก และเป็นวัฒนธรรมทางตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทยและนิยมกันแพร่หลาย ไส้กรอกที่มีรสชาติดี ก่อนรับประทานควรอุ่นให้ร้อน ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น ย่าง ทอด หรืออุ่นในน้ำร้อนอย่างที่นิยมทำกันตามร้านอาหารในโรงแรม และรับประทานขณะยังร้อน ๆ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ไส้กรอกจะเหี่ยวและซีดในกรณีที่เป็นไส้กรอกย่าง หากอุ่นบ่อย ๆ ก็จะทำห้ไขมันในไส้กรอกละลายออกไปหมด ฉะนั้นวิธีที่จะทำให้ไส้กรอกแลดูสดเหมือนย่างใหม่ทุกครั้งก็คือ ใช้เนยหรือน้ำมันทาไส้กรอกขณะย่างเสมอ

ล้างปลาหมึกให้มือไม่คัน

หากท่านท่องเที่ยวไปยังจังหวัดชายทะเล คงไม่พลาดที่จะได้ชิมอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา และปลาหมึกหนวดยาว ซึ่งมีอยู่หลายพันธุ์อาทิ ปลาหมึกกล้วย ปลาหมึกกระดอง ปลาหมึกหอม ปลาหมึกสาย ซึ่งสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนูตามชอบ เช่น ซีฟู๊ดต้มยำ ผัดขี้เมา ปลาหมึกย่างสดจิ้มแจ่ว ปลาหมึกยัดไส้ ฯลฯ แต่ครั้นจะนำปลาหมึกมาประกอบอาหารเอง บางคนกลับมีอาการแพ้รู้สึกคันมือยิบ ๆ ทุกครั้งที่ล้าง หากเกิดอาการที่ว่านี้ให้เติมน้ำลงในชาม บีบมะนาวลงไปครึ่งซีก จากนั้นแช่ปลาหมึกไว้สักพักแล้วจึงล้างให้สะอาด มือก็จะไม่คันอีกต่อไป แถมปลาหมึกยังดูน่ารับประทานอีกด้วย

คุณสมบัติมะนาว

คุณสมบัติของมะนาวที่มีรสเปรี้ยว จึงช่วยขับน้ำลาย ทำให้ชุ่มคอ หากมีอาการไอหรือเจ็บคอ ให้ชงน้ำมะนาวกับน้ำร้อนดื่มเพื่อช่วยขับเสมหะ และรักษาอาการไอได้ผลดียิ่งนัก แต่มะนาวลูกเล็ก เมื่อบีบเอาน้ำมักได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เคล็ดวิธีที่จะทำให้น้ำมะนาวในปริมาณที่เพิ่มขึ้นคือ ให้คุณต้มน้ำให้ร้อน ใส่มะนาวลงไปแช่ประมาณ 3 – 5 นาที ตักขึ้น แล้วผ่าบีบเอาน้ำมะนาว ก็จะได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่ถ้าหากเก็บมะนาวไว้นานจนผลค่อนข้างแห้ง ก่อนนำไปใช้ให้แช่น้ำร้อนสักประมาณ 1 ชั่วโมง จะสามารถใช้ได้เหมือนกันมะนาวสด

ขจัดกลิ่นสาบของเนื้อไก่

วิธีขจัดกลิ่นสาบที่ติดมากับเนื้อไก่ ซึ่งทำให้อาหารเสียรสชาติมีหลักปฎิบัติง่าย ๆ ดังนี้
1. เตรียมชามเปล่าใบเล็กใส่น้ำ เติมเบกกิ้งโซดาประมาณ ¼ ช้อนชา คนจนเบกกิ้งโซดาละลายเข้ากับน้ำ
2. นำเนื้อไก่ที่จะปรุงอาหารแช่ลงในชาม แล้วแช่ไว้ในตู้เย็นประมาณครึ่งชั่วโมง
3. นำไก่ออกมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง กลิ่นสาบที่ติดมาก็จะหายไป พร้อมสำหรับนำไปปรุงอาหารได้


ยืดอายุซ๊อสมะเขือเทศ

ซอสมะเขือเทศ ทำมาจากมะเขือเทศสดผสมกับกระเทียมหอม น้ำส้มสายชู น้ำตาล และเกลืออัตราส่วนที่พอเหมาะ เข้าสู่กระบวนการผลิตจนได้เป็นเนื้อเดียวกัน สีแดงข้น น่ารับประทานนิยมนำไปรับประทาน เป็นที่นิยมทั้งครัวตะวันตกและครัวตะวันออก โดยเฉพาะในธุรกิจฟาสต์ฟู้ดซอสมะเขือเทศที่บ้าน เมื่อเปิดขวดใช้ไม่หมดปล่อยทิ้งไว้นานอาจเกิดเชื้อราได้ ควรนำไปนึ่งทั้งขวดประมาณ 20 นาทีเพื่อฆ่าเชื้อราและเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้น หรือนำไปผัดด้วยน้ำมันพืช รอให้เดือดจนทั่ว ก็จะช่วยยืดอายุให้เก็บได้นานและมีรสชาติดียิ่งขึ้น

วิธีเลือกไข่เยี่ยวม้า

ไข่เยี่ยวม้าที่เราเห็นเปลือกสีออกแดงนั้นเป็นกรรมวิธีการถนอมอาหารของชาวจีน เพื่อเก็บไว้รับประทานได้นาน และสะดวกในการส่งไปขายในที่ไกลๆ เนื้อไข่ขาวที่ผ่านกรรมวิธีดังกล่าวจะแข็ง ใส และสีเข้มคล้ายน้ำชาแก่ๆ นำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง ที่นิยมก็ได้แก่ จานออร์เดิร์ฟบนโต๊ะจีน และไข่เยี่ยมม้ากะเพรากรอบ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าไข่เยี่ยวม้าที่มีผิวเปลือกสีชมพูแสนสวยนั้น ข้างในที่ซ่อนไว้จะน่ารับประทานหรือไม่ ก่อนเลือกซื้อ ให้ใช้นิ้วมือดีดแล้วฟังเสียง หากเสียงดังเหมือนลูกยางเด้งไปมา เนื้อไข่ข้างในมีลักษณะดี แต่หากไม่มีเสียง ก็แสดงว่าเป็นไข่ที่เก็บไว้นานเกินไป

เก็บบะหมี่ให้นานและนุ่ม

ให้ห่อบะหมี่ด้วยใบผักกาดเขียวหรือผักกวางตุ้งที่ยังสดอยู่ แล้วห่อด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง แช่ในตู้เย็น น้ำจากผักกาดเขียวหรือผักกวางตุ้งจะระเหยออกมา ทำให้บะหมี่นุ่มอยู่ตลอดเวลา


วิธีทำขนมตาลให้อร่อย

วิธีทำขนมตาลให้อร่อย คือ
1. นำกะทิประมาณ 3 ถ้วยผสมน้ำตาล ตั้งไฟพอเดือดยกลง พักให้อุ่น
2. นำแป้งข้าวเจ้า 4 ถ้วยกับเนื้อลูกตาลที่ยีแล้วตามกรรมวิธีข้างต้นนวดให้เข้ากัน ค่อย ๆ ใส่กะทิที่ต้มลงนวดทีละน้อยจนได้แป้งที่นุ่ม พักทิ้งไว้สัก 3 - 4 ชั่วโมง
3. นำส่วนผสมที่ได้หยอดใส่ถ้วยตะไล โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดผสมเกลือ นึ่งไฟแรง ขนมก็จะสุกรับประทานได้


นึ่งเส้นก๋วยเตี๋ยว ก่อนนำมาใช้

ก๋วยเตี๋ยว อาหารจานเส้นซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งประเภทน้ำและแห้ง อาทิ ราดหน้า ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว รับประทานเมื่อไรก็อร่อยทั้งยังหารับประทานได้ง่าย ที่สำคัญราคาถูกอีกด้วย คนทั่วไปจึงชอบอาหารจานเส้น เมื่อต้องซื้อก๋วยเตี๋ยวมาประกอบอาหารเองที่บ้านควรนำเส้นก๋วยเตี๋ยวไปนึ่งผ่านความร้อนก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันกลิ่นสาบของแป้ง นอกจากนี้การนึ่งยังทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวอ่อนนุ่มและหอมชวนรับประทาน

วิธีเก็บมะเขือเทศ

ผักมหัศจรรย์อย่างมะเขือเทศผลสีแดง ๆ นี้ ความจริงแล้วจัดอยู่ในจำพวกผลไม้ เพราะเป็นผลของต้นไม้ แต่คนเรานิยมกินมะเขือเทศเป็นผักมากกว่า มะเขือเทศสามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ยำชนิดต่าง ๆ แม้กระทั่งอาหารของชาวตะวันตกหลายชนิดก็มักมีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบเสมอ มะเขือเทศจะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้ดียิ่งขึ้น และให้สีส้มสวยงามที่สำคัญ มีวิตามินซีซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่บ่อยครั้งที่มะเขือเทศไว้ในที่แห้งและเย็น เมื่อจะปรุงอาหารจึงนำออกมาล้างในปริมาณที่เพียงพอกับการใช้งาน และใช้ให้หมดทันที หากใช้ไม่หมดก็ไม่ควรนำไปเก็บรวบกับมะเขือเทศที่ยังไม่ได้ล้าง เพราะจะทำให้มะเขือเทศที่มีอยู่เน่าเสียทั้งหมด

นึ่งข้าวเหนียวให้เม็ดใส

ข้าวเหนียว อาหารหลักของคนลาวและคนไทยทางภาคเหนือและอีสาน คนลาวบอกว่ารับประทานข้าวเหนียวนึ่งแล้วอิ่มอยู่ท้องเมื่อได้รับประทานข้าวเหนียวกับส้มตำ ไก่ย่าง ซุบหน่อไม้ ลาบ ช่างเข้ากันได้ดี โดยเฉพาะเมื่อรับประทานกันหลาย ๆ คนที่ยิ่งได้รสชาติร้านอาหารอีสานหน้าปากซอยนึ่งข้าวเหนียวร้อน ๆ ได้เม็ดข้าวใส น่ารับประทานมาก เคล็ดลับนี้ทำได้ไม่ยาก ขอให้เตรียมข้าวเหนียวไว้ จากนั้นนำสารส้มไปแกว่งในน้ำสะอาด เทใส่ในข้าวเหนียวแช่ค้างคืนไว้ แล้วนำไปนึ่ง จะพบว่าข้าวเหนียวนึ่งสุก เม็ดดูใสสวย น่ารับประทาน

ขจัดยางจากกล้วยหอม

กล้วยหอม นิยมรับประทานเป็นผลไม้ ทำขนมเค้กรับประทานคู่กับไอศกรีม หรือเครื่องดื่ม น้ำกล้วยหอมมีวิธีทำง่าย ๆ เพียงปอกเปลือกกล้วยหอม หั่นเป็นท่อนสั้นใส่ในเครื่องปั่น ตามด้วยนมสด น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำต้มสุก น้ำแข็งบด ปั่นให้เข้ากัน ก็จะได้เครื่องดื่มเย็นชื่นใจ นอกจากนี้กล้วยหอมยังเป็นส่วนผสมของอาหารจานสลัดได้แสนอร่อยแต่ปัญหาคือ กล้วยหอมที่ปอกและหั่นทิ้งไว้มักจะดำดูไม่น่ารับประทาน แก้ไขได้โดยนำกล้วยหอมที่ปอกและหั่นไว้แล้วแช่ในน้ำผสมน้ำมะนาวประมาณ 5 นาที จะช่วยให้กล้วยไม่ดำแถมรสชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญอีกอย่างคือ ไม่ควรเก็บไว้นตู้เย็นนานเกินไป เพราะจะทำให้ผิวของกล้วยมีสีดำไม่น่ารับประทาน แต่ถ้าต้องการับประทานแบบเย็น ก็แช่พอให้เย็นแล้วนำออกมารับประทานทันที


อุ่นข้าวที่เหลือค้างคืน

ข้าวที่เหลือค้างคืน เมื่อนำกลับมารับประทานใหม่จะพบว่าข้าวมักแข็ง แห้ง ไม่อ่อนนุ่มเหมือนกับเมื่อหุงมาใหม่ ๆ ให้ผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อยคลุกเคล้ากับข้าวจากนั้นนำกลับไปหุงอุ่นอีกครั้ง น้ำส้มสายชูจะช่วยให้ข้าวคืนรูปได้เร็วและอ่อนนุ่มขึ้น โดยไม่มีรสเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูแต่อย่างใด ส่วนข้าวที่เหลือค้างคืน เมื่อนำมาอุ่นอาจจะไม่อร่อยเหมือนหุงครั้งแรก ก็ให้นำไปทำอาหารอื่น โดยเฉพาะข้าวผัดจะดีมาก เพราะเม็ดข้าวที่แข็ง เมื่อผัด เม็ดจะไม่หัก หรือนำไปทำข้าวต้มก็ได้เช่นกัน เพราะจะได้ข้าวต้มเม็ดสวยน่ารับประทานยิ่งนัก

ขนมฝอยทอง เส้นไม่ขาด

เคยสังเกตไหมว่า ในงานแต่งงานมักมีอาหารสามอย่างที่ขาดไม่ได้นั่นกคือ ขนมฝอยทอง เพราะเหตุว่าเส้นยาว ๆ ทำให้มีเงินมีทองตลอดไป ขนมจีน รักจะได้ยืนยาว แสดงถึงความผาสุกยืนนาน และ บะหมี่หยก เส้นยาว ๆ จะร่ำรวยมีทรัพย์สิน สำหรับฝอยทอง ถือเป็นขนมหวานที่สะท้อนถึงความตั้งใจประณีต ละเอียดลออของคนไทยนั่นเอง ขนมฝอยทองที่เราเห็นในตลาดนั้นมีสีเหลืองอร่ามเป็นแพยาว ชวนรับประทานมาก เคล็ดลับการทำอยู่ที่การใส่น้ำมันพืชลงไปด้วยทุกครั้งโดยมีสูตรดังนี้ คือ น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะต่อไข่เป็ด 10 ฟองเพียงแค่นี้ เส้นฝอยทองของคุณก็จะสวย เป็นแพยาว ไม่ขาดออกจากกัน

ชงกาแฟให้รสเลิศ

จากเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วบดให้หอมกรุ่น มาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ขั้นตอนของการชงกาแฟให้มีกิ่นละมุนและอร่อยติดใจ มีวิธีปฎิบัติง่าย ๆ ดังนี้ต้มน้ำให้เดือด ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีแล้วจึงนำมาชงกาแฟหากเป็นกาแฟผงควรเติมน้ำเย็นเล็กน้อย คนให้เข้ากันจากนั้นจึงรินน้ำร้อนใส่ลงไปในถ้วย การชงกาแฟควรชงครั้งละแก้ว เพื่อจะได้รับรสและกลิ่นที่สดใหม่อยู่เสมอ

คั่วงาให้เหลืองและหอม

งาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย ที่สำคัญคือ ธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยเฉพาะธาตุสองชนิดหลังนี้ มีความสำคัญในการเสริมสร้างกระดูก ฉะนั้นจึงควรให้เด็กๆกินงา เพื่อกระดูกจะได้แข็งแรงและเจริญเติบโต นอกจากนี้งายังอุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งช่วยบำรุงประสาทและทำให้ร่างกายแก่ช้าลงอีกด้วย ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นเล็งเห็นคุณประโยชน์ของงาในข้อนี้ จึงนำมาทำน้ำมันงาสำหรับปรุงอาหาร โรยในข้าวสวยที่เตรียมจะรับประทาน หรือเป็นส่วนประกอบในขนมหวาน การนำเมล็ดงามาทำอาหารมักนิยมคั่วด้วยความร้อน ทั้งนี้เพราะเมื่องาได้รับความร้อน จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทานยิ่งนัก ก่อนคั่วก็จะต้องฝัดเอาฝุ่นผงออกไปให้หมดเสียก่อน จากนั้นนำไปล้างในกระชอน ผึ่งให้แห้งสะเด็ดน้ำ แล้วคั่วด้วยไฟอ่อน ๆ หมั่นคนตลอดเวลา จนกระทั่งงามีสีออกเหลืองไปทั่วและส่งกลิ่นหอม
เมื่อนำไปบุบกลิ่นก็ยังคงหอมเช่นเดิม

เก็บปลาเค็มให้น่ารับประทาน

ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำอย่างปลาเค็ม ถือได้ว่าเป็นสินค้าที่ระลึกยอดนิยมของจังหวัดที่อยู่ติดทะเล นำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิดมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ให้คุณค่าต่อร่างกาย กว่าหลายคนไม่รู้วิธีเก็บปลาเค็ม ทำให้ปลาส่งกลิ่นเหม็นตุได้ง่าย ต่อไปนี้ ให้คุณหั่นปลาเป็นชิ้น เก็บใส่ในขวดโหล แช่น้ำมันพืชให้ท่วม จะช่วยให้เนื้อปลาไม่แห้งแข็งหรือมีกลิ่นเหม็นตุเวลาทอด พอจะนำมาทอดก็ให้ใช้น้ำมันที่แช่ปลาเหล่านั้นได้เลย สังเกตว่าเนื้อปลาจะนุ่มชวนรับประทานเป็นยิ่งนัก เมนูจากปลาเค็มที่หลายคนติดใจ เช่น หลนปลาเค็ม รับประทานกับเครื่องเคียงจำพวกผักสดชนิดต่าง ๆ เป็นเครื่องจิ้มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย


หุงข้าวให้เม็ดสวย

ข้าว จัดเป็นอาหารหลักของคนทุกชาติทุกภาษา เพียงแต่แตกต่างกันออกไปตามชนิดและการแปรรูป เช่น ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวต้ม ขนมปัง ฯลฯ แต่ก็ล้วนให้คุณค่าทางอาหารและพลังานทั้งสิ้น ในบรรดาข้าว ก็ยังมีข้าวที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุและวิตามินอาทิ ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวเสริมวิตามิน ที่ยังมีเยื่อหุ้มเม็ดข้าวและจมูกข้าวอยู่ครบถ้วน ในระยะหลังคนตื่นตัวเรื่อสุขภาพกันมาก จึงนิยมหันมารับประทานข้าวประเภทนี้กัน เทคนิคหุงข้าวให้เม็ดสวยน่ารับประทานนั้นทำไม่ยาก ให้คุณกะปริมาณน้ำที่จะใส่ให้พอดีกับปริมาณข้าว ช่วงที่ข้าวกำลังเดือด ให้บีบน้ำมะนาวลงไปสัก 2 – 3 หยด จะช่วยทำให้ข้าวสวย ไม่เกาะกันแน่นเป็นก้อน ๆ และมีกลิ่นหอมอีกด้วย


ของฝากจากห้องครัวค่ะคุณลุง smiley

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




akyacy-05.jpg
akyacy-05.jpg [ 30.42 KiB | เปิดดู 5433 ครั้ง ]
10 อาการน่าห่วงที่ไม่ควรชะล่าใจ

เจ็บไข้ได้ป่วยบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่หากอาการนั้นรุนแรงหรือเป็นต่อเนื่องนานเกินไปคุณก็ไม่ควรชะล่าใจ รีบไปหาหมอโดยด่วนเถอะ

1.รู้สึกอิ่ม ทั้งที่กินอาหารไม่มาก และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หลังกินอาหาร ต่อเนื่องกันเกิน 1 สัปดาห์
2.หน้ามืดโดยไม่ทราบสาเหตุบ่อยๆ
3.ปวดศีรษะอย่างรุนแรง (โดยเฉพาะถ้าคุณอายุมากกว่า 50 ปี)
4.ท้องเสียอย่างรุนแรงติดต่อกันเกิน 2 วัน
5.เป็นไข้นานกว่า 2 สัปดาห์
6.มีอาการหายใจติดขัด
7.น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
8.ข้ออักเสบ บวม แดง ร้อน
9.สภาวะทางจิตใจเปลี่ยนแปลง เช่น สมาธิสั้นลง ไม่สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้
10.ไม่สามารถควบคุมการมอง พูด หรือเคลื่อนไหวได้

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 24 ก.ย. 2009, 14:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
เชื้อโรค…ในที่ทำงาน

ถ้าคุณเป็นคนที่รักความสะอาดสุดๆ และเข้าใจว่าลูกบิดประตูและปุ่มลิฟต์เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคสำคัญในสำนักงาน มาโดยตลอด ลืมความคิดเดิมๆ ของคุณไปให้หมด แล้ว มาพบกับความจริงที่ว่า แท้ที่จริงแล้วแหล่งเชื้อโรคสำคัญของออฟฟิศของคุณก็คือ โทรศัพท์ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ และอ่างล้างมือ ต่างหาก!

เมื่อไม่นานมานี้ นักจุลชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำสะอาดแห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนากล่าว ว่า โดย ปกติแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องของเชื้อโรคในอากาศมากเกินไปจนละเลย เชื้อโรคที่อยู่บนพื้นผิวสัมผัส ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหวัดและโรคติดต่ออื่นๆ ได้เหมือนกัน

นอก จากจะทำให้ไขว้เขวในเบื้องต้นแล้ว เจ้าเชื้อโรคตัวร้ายก็ยังทำให้เราเข้าใจผิดได้อย่างต่อเนื่องด้วยการซ่อนตัว อยู่ในที่ที่เรามักจะละเลยหรือคิดไม่ถึง เช่น ในหูโทรศัพท์ บนแป้นคีย์บอร์ด และอ่างล้างมือในห้องน้ำ อย่างที่ได้บอกคุณไปแล้วในตอนต้น

และจากการ สำรวจแบคทีเรียในสำนักงานของสำนักข่าวเอพี พบว่า อุปกรณ์สำนักงานซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากที่สุดได้แก่ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ซึ่งคีย์บอร์ด 2 อันจะมีแบคทีเรียมากว่าแบคทีเรียบนปุ่มกดลิฟต์ ปุ่มเตาอบไมโครเวฟ และที่กดน้ำดื่มชนิดใช้ปากรองรวมกัน

ไม่ต่างจากอ่างล้างมือในห้องน้ำชายซึ่งเชื้อโรคจะสามารถเติบโตได้ดี เนื่อง จากความชื้นที่พอเหมาะ โดยเฉพาะหลังการล้างทำความสะอาดมือหลังธุระส่วนตัวของของคุณ และเช่นเดียวกันกับโทรศัพท์สำนักงาน ที่มีความชื้นจากเหงื่อและน้ำลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นแหล่งเจริญเติบโต ของเชื้อโรค

สำหรับ การวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยเปิดเผยว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการให้คุณๆ ที่ทำงานอยู่ในสำนักงาน เกิดความวิตกกังวลแต่อย่างใด ตรงกันข้ามพวกเขาเพียงแค่ต้องการบอกว่า อย่าลืมมีน้ำใจเปิดประตู และกดลิฟต์ให้เพื่อนร่วมงาน ในเวลาเดียวกันก็หันมาดูแลอุปกรณ์สำนักงานของคุณด้วยการเช็ดทำความสะอาด คีย์บอร์ด และโทรศัพท์เป็นประจำเสียบ้าง (ขอร้องให้แม่บ้านประจำสำนักงานช่วยอีกแรงก็ได้ หากไม่มีเวลา)

เช็ด มือให้แห้งหลังจากใช้ห้องน้ำ หรือพกเจลล้างมือแบบพร้อมใช้ติดตัวไปไหนมาไหน สำหรับคนที่ต้องไปติดต่อธุระข้างนอกอยู่เป็นประจำ เพราะผลการวิจัยยังบอกด้วยอีกว่า เจลล้างมือชนิดพกพาก็สามารถใช้ได้ดีทีเดียวในเวลาที่คุณหาห้องน้ำหรืออ่าง ล้างมือไม่เจอ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 24 ก.ย. 2009, 14:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร