วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 08:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




spring+1.jpg
spring+1.jpg [ 60.2 KiB | เปิดดู 6177 ครั้ง ]
ปรัชญา...ต่างๆ ล้วนมีคุณค่า หากไร้การปฏิบัติที่สม่ำเสมอก็ไร้คุณค่า
เป็นได้ก็แค่เพียงบทอาขยาน ท่องจำประดับตัว ให้ดูว่าอ่านออก ความจำดี เท่านั้นเอง

ปรัชญาต่างๆ ที่ผู้รู้เขียนไว้ กว่ามันจะมีคุณค่าขึ้นมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หากไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครนำไปปฏิบัติ ปรัชญานั้นๆ คงไม่มีความหมายใดเลย
ถ้าปรัชญานั้นๆ จะน่าสนใจหรือไม่... ผู้รู้ก็ยังต้องรบกวนคนอ่านแล้วปฏิบัติได้ยอมรับมัน

ผู้รู้เขียนปรัชญาไม่ใช่คนที่เก่ง ถึงต้องรอการยอมรับจากผู้อ่าน
ผู้อ่านจึงไม่ควรคิดมากไปกว่า...หลักปรัชญาต่อของผู้เขียนกล่าวอ้าง
หากเรามัวแต่อ่าน-คิดอยู่อย่างเดียว มิปฏิบัติก็ไร้ค่าเช่นเดิม
เพราะผู้อ่านจะไม่พบปรัชญาใหม่ๆ ในโลกกว้างใบนี้เลย

ความคิดไม่ใช่สิ่งที่ผิด...เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะคิด( แต่ต้องคิดดีๆนะ )
หากเราปฏิบัติได้ด้วย...เหตุและผลที่จะเกิด-จะเป็นเครื่องพิจารณาตัวเราเป็นอย่างดี

ธุลี ของดิน เป็นเพียงส่วนแล็กๆบนโลก แต่เรายังรู้จักเลย
จุลิทรีย์เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เรายังเพียรพยายามนำกล้องจุลทัศท์มาส่องดู
แล้วจิตใต้สำนึกเรา...เราไม่คิดเพียรพยายามขัดเกลามันเชียวหรือ?

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 01 พ.ย. 2009, 22:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2009, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




1214489336.jpg
1214489336.jpg [ 122.84 KiB | เปิดดู 5892 ครั้ง ]
.....พึ่งพระธรรม .......

ไม่เคยคิดว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ หลุดพ้นจากทิฐิมานะที่มี แต่เหมือนกับเราเคยสร้างสมบุญมาบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีอะไรชักนำให้มาเจอสิ่งที่เราคิดว่า ไม่จำเป็นไม่สำคัญ เราเคยคิดเสมอว่า การทำบุญ แค่ตักบาตร ทำทาน ก็คงได้บุญ จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอกนะคะ การทำบุญหากสักแต่ทำ ทำตามกระแสสังคม ทำเพื่อมีหน้า มีตา มีชื่อเสียงในสังคม นั่นเหมือนเราทำบาป บาปเพราะอยากได้บุญ มันไม่หักล้างกันได้ เคยอ่านหนังสือเจอเกี่ยวกับเรื่องการนับคะแนนของการทำบาปทำบุญ เช่น ถ้าฆ่านก 1 ตัว เราจะติดลบเท่าไหร่ ให้เงินคนหนึ่งบาทเราจะได้บุญเท่าไหร่ นั่นเป็นเหมือนอุบายให้เราทำบุญ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำเผยแพร่เพื่อให้คนทำบุญค่ะ
การทำบุญหากเราทำด้วยใจจริง ๆ มันสุขมาก เรามี 1 บาท เราทำบุญ 1 บาท ไม่ฝืนใจ เต็มใจที่จะทำบุญ ไม่คำนึงถึงว่าเงินที่เราทำบุญเค้าจะเอาไปใช้ตรงจุดประสงค์หรือเปล่า เราจะมีสุข สุขก็คือได้บุญ เพราะหากเราเกิดห่วง หรือกังวลตรงนี้ก็เหมือนกับเราไม่สบายใจแล้ว นั่นก็หมายถึงว่า เราไม่ได้บุญ นี่ก็นอกเรื่องมากอะ เข้าเรื่องดีกว่านะคะ
เช้าวันหนึ่ง แม่เรียกให้ไปใส่บาตร ก็อิดออดอยู่นั่น ยังไม่แต่งตัวบ้าง ยังไม่อาบน้ำบ้าง สารพัดที่จะอ้าง เพราะไม่มีใจจะไปใส่บาตร คนเราหากมีเรื่องขุ่นมัวในใจ ให้อย่างไรก็ไม่มีจิตใจจะทำอะไร จริงป่าวคะ
สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้ใส่บาตรเหมือนวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่….ห้าโมงตรง(ห้าโมงเช้านะคะ) ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน แม่ก็จัดการต้อนรับอย่างดี มาทราบที่หลังว่าแม่นิมนต์ท่านมาฉันท์เพลที่บ้าน เพื่อให้ท่านเทศน์ให้ฟัง เราเองตอนนั้นก็ออกนอกห้องมาเพื่อทำธุระชั้นล่าง แม่ก้อเลยจับนั่ง บอกว่าให้เรารอแป๊บหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราอยากได้มันวางอยู่ด้านหลังพระท่าน ให้ท่านฉันเพลเสร็จก่อน ค่อยเข้าไปเอา เราก็นั่งลง ฟังท่านเทศน์ ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยอะ เข้าหูซ้าย ทะลุหัวขวา ออกปากบ้าง (ก็มันออกมากับการหาวของเราน่ะ) เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ในใจคิดรำคาญ เมื่อไหร่ ท่านจะเสร็จเสียที คือตัวต่อต้านมันเยอะค่ะ (ทิฐิมานะ) กว่าท่านจะเทศน์เสร็จก็กินเวลาตั้งเกือบชั่วโมง ท่านค่อยได้ฉันท์เพล ก่อนกลับท่านหันมามองเรา เหมือนกับทราบว่าเราต้องการอะไร ท่านบอกว่า”โยม…ยังอยากจะได้อยู่รึ เข้าไปเอาน๊ะ อาตมา กลับก่อน เนี่ยก็มานั่งเสียนาน เข้าไปหยิบแล้วก็ขึ้นข้างบนเถอะ” คงเห็นเรานั่งกระสับกระส่าย ไร้จิตไร้ใจกระมัง ไม่ได้คิดอะไรมากตอนนั้น หยิบของเสร็จก็เข้าห้อง ตอนที่นั่งเขียนหนังสือ มันแว็บเข้ามา เอ………รู้ได้อย่างไรว่าเราจะเข้าไปหยิบของ ทีนี้เสียงเว้ด ๆ ก็ดังก้องบ้าน แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาา แม่อยู่ไหน แม่จ๋าาาาาาาาาาา คุณแม่เจ้าคะ ไปไหนก็ไม่รู้ เลยไม่ได้คำตอบ เพราะในใจกะจะถามแม่ว่า แม่บอกท่านหรอว่าหนูจะเข้าไปเอาของ
วันรุ่งขึ้นท่านก็มาอีกเหมือนเดิมค่ะ ที่นี้เราสนใจ ถามแม่ไม่ได้ ถามพระนี่แหละ ดูรึจะตอบเราอย่างไร เหมือนเดิม ท่านก้อเทศน์ไปตามเรื่องเราก็ยังไม่มีโอกาสจะถามเพราะญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านนั่งกันเต็มบ้าน ท่านฉันท์เพลเสร็จก่อนจะกลับท่านบอกเราเลยว่า “สิ่งที่จะถาม ไม่ต้องถาม หากอยากจะทราบคำตอบจะมาตอบวันพรุ่งนี้ ยังคงเหลือกิจที่บ้านหลังนี้อีก 1 วัน “ เออแนะท่านทราบอีกแฮะว่าเราจะถาม พระรูปนี้ยังไง ๆ ยังหวา
วันที่สาม แม่มาหาที่ห้องแต่เช้าบอกว่า วันนี้เป็นวันสุดท้าย แม่อยากให้เราตั้งใจฟังซักหน่อย ลูกคงไม่ทราบ ที่แม่นิมนต์ท่านมาที่บ้านเราไม่ใช่เพื่อแม่ เพื่อญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้าน แต่แม่ทำเพื่อเราน๊ะ พรุ่งนี้ท่านจะธุดงค์แล้ว ตั้งใจฟังหน่อยน๊ะลูก เราก็รับปาก เพราะไหน ๆ ก้อแค่วันเดียว
วันนี้ค่อนข้างสนใจเอาใจใส่ เพราะความที่ยังมีเรื่องคั่งค้างในใจอยากจะถามท่าน อยากจะทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องการหยิบของข้างหลังท่าน อยากจะทราบว่า ท่านทราบได้อย่างไรว่าเราจะถามท่านเรื่องวันก่อน ๆ คำที่ท่านเทศน์วันนี้ไม่ทะลุหูขวาอีกแล้ว เข้าหูซ้ายผ่านกระบวนการกลั่นกรอง ผ่านเข้าใปในความคิด ไม่ทะลุปากเพราะไม่ได้หาวเหมือนวันก่อน ๆ เราแค่สุขนิด ๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ท่านบอกว่า “ อดีต เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปคิดถึง จงอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ “ เราได้แต่ถามตัวเราว่า เราเป็นแบบที่ท่านพูดหรือเปล่า คำถามที่ต้องการจะถามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ถามในสิ่งที่อยากรู้ ไม่ได้ถามในสิ่งที่ข้องใจ แต่ถามท่านว่า ท่านมาจากไหน และจะไปที่ใด ท่านตอบว่า หากโยมพอมีเวลาว่าง ไปที่วัดป่าช้า ไปหาหลวงพ่อ....…..น๊ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเอง ตอนนั้นคิดในใจว่า ทำไมท่านพูดนุ่มนัก ทำไมท่านเดินเบานัก ทำไมท่านถึงได้สำรวมกิริยาอาการได้ดีนัก
คำพูดท่านแม้จะเหน่อ ๆ พูดทำนองอีสานเหนือ เรายังพอฟังเข้าใจ
อืมม……..ทุกสิ่งที่ค้างในใจ เราจะลองไป อยากไป ความอยากมันวิ่งพล่านเต็มสมองอะที่นี้
ผ่านมาอีกช่วงหนึ่งแล้วนะคะ นี่เป็นเพียงสาเหตุที่ทำให้เราหันหน้าเข้าหาพระธรรม และตอนต่อไปเราจะเล่าถึงเรื่องที่เราไปปฏิบัติธรรม…ที่วัดป่าช้าให้ฟัง เป็นความรู้สึกจริง ๆ สัมผัสจริง ๆ ที่เกิดขึ้นตอนนั้น แม้จะนานก็ยังจำได้ ไม่ลืม ทุกวันนี้ก็ปฏิบัติบ้างแต่ห่าง ๆ สิ่งแวดล้อมมันค่อย ๆ กลืนเราน่ะ.....

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2009, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




64b8e12a.jpg
64b8e12a.jpg [ 39.36 KiB | เปิดดู 5851 ครั้ง ]
ความรักกับความห่างไกลคืออะไร...
ใครหลายคนคงตามหาอยู่...แต่เชื่อได้ว่ามนุุษย์ เกิดมาต้องมีพื้นฐานของความรัก...เริ่มตั่งแต่เราลืมตาอ้าปากเราก็จะมีคนที่ คอยให้ความรักความอบอุ่นกับเราคือ “ พ่อ แม่” ของเรานั่นเองจนกระทั่งเราได้เรียนรู้ความรักจากคน รอบตัวเรา...เมื่อถึงเวลาที่เราเจริญวัยเต็มที่ เราย่อมปฎิเสธไม่ได้ที่จะหาความรักจากใครสักคน หลายคนอาจพบกับความรักที่หวานชื่น แต่ในเวลาเดียวกันความรัก ย่อมมี จุดบอดในตัวมันเองนั้นคือความผิดหวังซึ่งไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงหรือ เปลี่ยนแปลง มันได้เลย.....
รักคืออะไร แล้วความห่างไกล ล่ะ ? หลายคนอาจมีคำถาม

คุณเป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับคนรักของคุณไหม.? ถ้าคุณเป็นบุคคลดังกล่าวแล้ว
คุณโชคดีมากๆ แต่ตรงกันข้ามกับคนที่ต้องอยู่ห่างจากคนรัก เพราะความจำเป็นหรือภารกิจที่เป็นสาเหตุที่ต้องจากกัน ใครจะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน ช่วงเวลา ที่ห่างกัน เชื่อได้ว่า สิ่งแรกที่ทุกคนต้องเกิดคำถามในใจ นั้นคือ...
คนรักของฉันจะเหมือนเดิมไหมยังรักฉันอยู่หรือเปล่า แล้วเขาจะนอกใจฉันไหมล่ะ? นั้นเป็นคำถามในใจที่ไม่มีใครอาจเลี่ยงมันได้เลย ช่วงเวลานี้เชื่อได้ว่าหลายคนที่เคย สัมผัส และประสบกับตัวเองคงรู้ดีว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายทั้งอารมณ์และความ รู้สึกแค่ไหน.. หลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อที่จะไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งคำว่ารัก..บางคน สมหวัง บ้างก็มีทั้งน้ำตาและ รอยยิ้ม คลุกเคล้ากันไป...

ถ้าความห่างไกล ทำให้คุณไม่เชื่อใจใครคนหนึ่งที่คุณรัก
มันก็จะกลายเป็นความ ระแวง กังวล และหวาดหวั่น
ส่วนอีกคนหนึ่งจะรู้สึกอึดอัดใจ จากนั้นความรักของคุณก็จะมีจุดจบ เมื่อถึงจุด อิ่มตัว...
ฉะนั้นคุณควรคุยกับคนที่คุณรัก อย่ากลัวที่จะพูดคำวิเศษ 3 คำว่า “ ฉันรักเธอ”
อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาดีๆ ผ่านไป ความห่างไกลอาจทำให้คนรักของคุณไม่มั่นใจในความรักที่คุณมีให้เค้า
ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของพรหมลิขิต...........

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




akyacy07.jpg
akyacy07.jpg [ 34.24 KiB | เปิดดู 5831 ครั้ง ]
คุณเคยเดินบนถนน...แต่เหมื่อนไม่มีใครสักคนเดินสวนกับคุณเลยมั้ย
คุณเคยเดินไปบนถนนเส้นที่คุณเดินแล้วมีคนเดินสวนไปมามากมายมั้ยครับ
แล้ววันนึงคุณเดินไปบนถนนเส้นเดิม...
แต่เหมือนไม่มีใครสักคนเดินสวนไปมากับคุณเลยมั้ย

ความรู้สึกมันเป็นเช่นไร

คุณคงตอบได้

ถ้าคุณเคยเจอกับตัว หรือ ลองทำ

บางครั้งมันอาจจะดี กับ เวลาที่เราเบื่อคนมากมาย เบื่อสังคมที่วุ่นวาย
แต่...เราก็เสีย...การมองโลกอีกแบบไป
การมองโลกแบบช้าๆ สังคมที่วุ่นวาย...แต่เรากลับนั่งดูมันเป็นเรื่องตลก

บางครั้งผมเคยเดิน...เดิน...แล้วก็...เดินไปเรื่อยๆ
เหมือนไม่มีใครเดินกับเราหรือสวนทางกับเราเลย
รู้สึกโลกมันมีที่กวางให้เราอีกเยอะมากมาย โลกอาจดูสวยงามขึ้น
เพราะเราไม่ต้องมามองคนที่เห็นคนจนเป็นตัวประหลาด
ไม่ต้องเห็นคนที่ทิ้งขยะ แบบไม่แย่แสโลก ไม่ต้องเห็นคนที่ดูถูกการแต่งตัว

แต่...ก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสียหมด
ถ้าเราทำอย่างนั้น...เราอาจจะไม่ได้เห็นแง่มุมความเป็นไปของสังคมก็ได้ เช่น...

การพึ่งพาอาศัยกัน...อย่างน้อยๆวันข้างหน้าเราตาย เขาอาจเป็นคนช่วงเผาศพเราก็ได้
เราอาจได้เห็นคนที่มีเจตนารมณ์เดียวกับเราก็ได้

โลก...สร้างทุกสิ่ง...เพื่อพึ่งพากัน
คน...พยามแบ่งชั้นชน...จนกลายเป็น...แตกแยก

คนมีทั้งดี...และ...แลว
ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก...หากแต่อยู่...ภายในจิตใต้สำนึก

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2009, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b48: :b16: แวะมาเยี่ยมนะคะ...หอบความคิดถึงกับรอยยิ้มมาฝาก
สบายดีทุกท่านนะคะ


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 01 ธ.ค. 2009, 15:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2009, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




01221_4.jpg
01221_4.jpg [ 69.53 KiB | เปิดดู 5774 ครั้ง ]
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอยางในชีวิตที่เรายังค้นหาไม่พบ
และก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต ที่เราไม่สามารถค้นพบได้ด้วยตนเอง
ชีวิตไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครบางคนคิด บางครั้งชิวิตอยู่ได้ด้วยความเป็นจริง

แต่บางครั้งชีวิตก็อยู่ได้ด้วยความฝัน
ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนแม้แต่ความเป็นตัวตนของตนเอง
กาลเวลาและการกระทำจะเป็นเครื่องพิสูจน์เส้นทางเดินของชีวิตในอนาคต
ความคิดและความรู้สึกชั่วกาลเวลาหนึ่ง จึงไม่ใช่ความคิดและความรู้สึกของทั้งชีวิต

แต่เป็นเพียงดอกไม้ที่เบ่งบานรับแสงอรุณ เฉิดฉายสีสรรอันงามตา
ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนความรู้สึก แต่แล้วก็เหี่ยวเฉาเสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
และแล้วดอกไม้ดอกใหม่ที่สวยงามกว่าก็จะเบ่งบานชูช่อเข้ามาแทนที่
เฉิดสายสีสรรอันงามตาส่งกลิ่นหอมเย้ายวนไปทั่ว

แต่ในที่สุดก็เหี่ยวเฉาเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร เป็นสัจธรรม

ชีวิตมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักรฉันใด
ความ รัก อารมณ์ ความรู้สึก ก็มีเกิด มีหน่าย มีเสื่อม มีสลาย
หมุนเวียนสับเปลี่ยนเป็น วัฏจักร เป็นนิรันดร เป็นสัจธรรม ฉันนั้นเช่นกัน
ทุกชีวิตดั่งน้ำค้างหาว กรรมสิ้น เวรหมด ใจหลุดพ้น

ขอบคุณปลายฟ้า

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แก้ไขล่าสุดโดย COMA! เมื่อ 09 พ.ย. 2009, 19:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




mContent_Image1810255182014.jpg
mContent_Image1810255182014.jpg [ 9.75 KiB | เปิดดู 5748 ครั้ง ]
ฝัน..ถึงบ้าน

ผมอดจะรู้สึกประทับใจในทุกครั้งไม่ได้ ในยามได้ยินใครพูดถึงฝันเรื่อง บ้าน
ฝันถึงบ้านตัวเองในอนาคต ฝันถึงคนที่เขารัก อยากสร้างบ้านให้คนที่เขารัก
สร้างบ้านให้พ่อให้แม่ ทำบ้านให้ญาติพี่น้องมาอยู่รวมกัน
หรือทำบ้านที่เขาไม่เคยมี ให้มีขึ้นในชีวิตของเขา สร้างฝันที่ไม่เป็นจริงให้เป็นจริงขึ้นมา
หลายครั้งที่ผมอดชุ่มช่ำหัวใจไม่ได้ ยามได้ยิน

โดยเฉพาะเรื่องราวความประทับใจส่วนตัว ที่กว่าครอบครัวผมจะมีบ้านก็กินเวลายาวนาน
เนิ่นนานและยาวไกลกว่าจะถึง ผ่านความหวังและความผิดหวังมาหลายครั้ง
จนกว่าที่ครอบครัวจะมีบ้านได้ ผมก็โตจนเป็นวัยรุ่น จากบ้านเช่าหลังเล็กๆ ที่แม้ว่าจะมีรั้วรอบขอบชิด
มีที่ทางอันอบอุ่น แต่ก็เหมือนความฝันที่พ่อและแม่ผมฝังใจ อยากสร้าง และอยากทำฝันให้เป็นจริง

ไม่น่าแปลกใจหากงานวิจัยมากมายที่เกี่ยวกับปัญหาสังคม ปัญหาวัยรุ่นจะระบุปัจจัยเรื่องบ้าน
เป็นส่วนหนึ่งในแนวโน้มสำคัญ ที่จะก่อให้เกิดปัญหา หรือไม่ก่อให้เกิดปัญหา
บ้านที่ไม่ใช่เพียงรูปธรรมของที่อยู่อาศัย แต่เป็นสถานที่เหมาะสม ที่คนในบ้านได้มีส่วนร่วม
มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวของบ้าน มีที่ทางและพื้นที่ของคนแต่ละคนในบ้าน

ไม่ต้องนับรวมคำกล่าวมายาคติ ว่าบ้านอันอบอุ่นแสนสุข มีเพียงความรัก
เพราะ ความจริง ของสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ อยู่ท่ามกลางความกดดันของชีวิต
ภาวะรอบข้างระหว่างยาเสพติด บรรยากาศความรุนแรง การตะโกนด่าทอ การตบตี
การใช้ความรุนแรง ทุกอย่างล้วนเป็นกายภาพอันเลวร้าย
ซึ่งผู้คนที่อยากมีบ้าน ไม่อยากอยู่ในสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น

แต่ความจริงในแต่ละความใฝ่ฝันนั้น ก็ล้วนต้องแลกมาด้วยความพยายาม
ผมเคยคุยกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชอบการอ่านหนังสือ
กว่าที่เขาจะมีชั้นหนังสือชั้นแรกในชีวิตได้ก็เกือบมัธยม
กว่าที่เขาจะทำงานเก็บเงินซื้อหนังสือได้แต่ละเล่มก็ยากลำบาก
ไม่นับความโชคดีว่า ที่โรงเรียนมีห้องสมุดที่ดี และมีหนังสือดีดี ที่เขาไม่ต้องใช้เงินมากมายซื้อหา
นานหลายปี กว่าเด็กคนนี้จะมีบ้าน มีบ้านที่เป็นความใฝ่ฝันของคนในครอบครัว

จนแม้แต่จะเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่ต้องใช้เวลากว่า 20 ปี ถึงจะผ่อนหมดก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง สำหรับสิ่งที่แลกมาด้วยความฝันของใครหลายคนในบ้าน
สำหรับใครที่เคยมีชีวิตในระหว่างข้ามคืน ด้วยความรู้สึกว่า ไม่มีที่ไป

คำตอบของบ้าน น่าจะเป็นสิ่งที่อบอุ่นที่สุดยิ่งใหญ่และอบอุ่นในใจ
จนแทบจะไม่มีคำตอบใดมาให้คุณค่ายิ่งสำหรับข้ามคืนอันเปลี่ยวเหงา ที่ไม่มีที่ไป
ใครหลายคนที่เคยผ่านวัยรุ่น และผ่านวิกฤติของความไม่เข้าใจ
ระหว่างตัวเองกับคนที่ตัวเองรัก ระหว่างตัวเองกับพ่อแม่
พื้นที่ของบ้านที่ไม่มีความเข้าใจ คือ ช่องว่างของการถามหาความจริงในชีวิต
เด็กที่เคยขอไปนอนบ้านเพื่อน เพราะไม่อยากกลับบ้าน คงตอบได้ดีถึงอารมณ์เหล่านั้น
หรือแม้แต่คนที่ไม่มีโอกาสในชีวิต ยังไม่สามารถสร้างที่ทาง คงรับรู้ความเจ็บปวดนี้

เช่น เดียวกับ ข้าราชการทหารคนหนึ่ง ที่กำลังไต่เต้าจากนายทหารชั้นประทวน
ในสายงานข่าวกรอง ซึ่งมีบ้านอยู่ต่างจังหวัด จนต้องมาอาศัยแฟลตทหารของเพื่อนอยู่
บรรยากาศในการอ่านหนังสือ เพื่อเรียนต่อระดับปริญญาโท เรียนและพยายาม เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น
เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขามีโอกาสคุ้นเคยกับ สนามบินนานาชาติดอนเมือง เพื่อนั่งอ่านหนังสือ

ผมเคยนั่งคุยหลังเห็นรอยยิ้มเมื่อเขาพูดถึงบ้าน เขาเล่าให้ฟังถึงกิจวัตรประจำวันของตัวเอง
ถ้าไม่มีงานที่ต้องทำข้ามคืน ในเวลาที่เขาอยากมีพื้นที่ส่วนตัว อยากนั่งอ่านหนังสือ
เขาจะไปอ่านหนังสือที่สนามบินดอนเมือง ในช่วงที่ยังไม่มีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ
เขาบอกถึงความสงบ กับกาแฟที่นั่งกินไปพลาง อ่านหนังสือไปพลาง
จนหลังจากนั้นผมรับทราบว่า
เขาได้เลื่อนเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร พร้อมกับความฝันที่อยากมีบ้าน
ไม่ใช่ใครทุกคน จะฝันเป็นจริง สำหรับบ้านที่เป็นความฝัน และที่ทางของชีวิต

แต่ ทุกคนก็อยากทำฝันนั้น ให้เป็นจริง
ยิ่งในยามที่เคยเผชิญหน้า กับการไม่มีที่ไปในชีวิต ต้องเร่ร่อนไปขอบ้านใครต่อใครนอน
เพียงเพราะไม่มีที่ทางในหัวใจ ในยามข้ามคืนที่ไม่รู้จะไปนั้น
คำตอบเหล่านั้น ล้วนชัดเจนและแหลมคมเพียงพอ ที่จะตอกลิ่มให้ใครต้องมุ่งมั่นมีบ้าน
สำหรับบ้านในยามที่เรามีโอกาสเกลือกกลิ้ง มีโอกาสได้นอนแผ่ ในที่ทางของชีวิต

สิ่ง เหล่านี้ ไม่มีคำอธิบายใดใดที่มากมาย
ไม่มีความหมายในเชิงปรัชญาให้เรานั่งถามหาถกเถียงมากนัก
เพราะใครก็ตาม ที่รู้ว่าที่ทางในชีวิต และสิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นนั้น เป็นเช่นไร
ความฝันในการที่คนไม่มีบ้าน แล้ววันหนึ่งมีบ้านอยู่ ช่างเป็นความยิ่งใหญ่ที่มากมายเพียงใด
ไม่นับเรื่องราวของดาราหลายคน ที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีบ้าน เพื่อให้ญาติพี่น้องอยู่

เพียง เพราะฝังใจ กับคำมากมายที่ตัวเองเคยท่องไว้ในวัยเด็ก
เพียงเพราะรู้ว่า วัยเด็กที่เคยร่อนเร่ไปกับครอบครัว
อยู่เพิงสังกะสีบ้านพักคนงาน อยู่ในเพิงกลางไร่อ้อย
หรือร่อนเร่ตามไซต์งานก่อสร้าง เป็นความเจ็บปวดเพียงใด
กระทั่งวันหนึ่ง ที่เขาและเธอสามารถสร้างบ้านของตัวเองได้
ซึ่งหากนับความเปลี่ยวเหงาของผู้คน ของชีวิตมากมาย

ในยามที่ชีวิตต้องผ่านข้ามคืน
ความฝันในการมีบ้านของตัวเอง
น่าจะเป็นดวงไฟ ที่ทำให้หัวใจผู้คน
ยังคงคุโชนได้ แม้ชีวิตจะเหน็บหนาว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




1a2512168.jpg
1a2512168.jpg [ 36.75 KiB | เปิดดู 5703 ครั้ง ]
ชีวิตนี้มีสุข...เสมอ

เกิดมาหน้าที่นั้น...........ติดตัว
ชีพยังอยู่ยิ้มหัว.............อย่าท้อ
สิ่งเดียวที่ควรกลัว.........คือบาป
ทำถูกถึงโลกล้อ............อย่าได้หวั่นไหว

เวลา ใดที่เรารู้สึกว่า เราท้อแท้ และเบื่อหน่ายชีวิต โคลงบทนี้คงช่วยฉุดกระตุ้นเตือนให้เรามีสติ ลุกขึ้นสู้ต่อไปได้ ในเมื่อเราเองสามารถทำหน้าที่ และเลือกที่จะทำดีละเว้นชั่วได้ เราก็อยู่ไปได้อย่างสบายใจ โดยไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งแปดได้ คือมีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา และมีสุขก็ย่อมมีทุกข์นั่นเอง

แหละ ยามใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะมอบความสุข มอบกำลังใจให้แก่คนอื่นๆ เราก็จะสามารถนำบทเรียนจากชีวิตที่รู้จักในโลกธรรมเหล่านั้น เป็นเครื่องปลุกปลอบคนอื่นได้เช่นกัน ด้วยเพราะธรรมชาติเหล่านั้นย่อมมีเกิดขึ้นกับชีวิตของคนทุกคนเสมอๆ บางครั้งการเราอาจพลาดที่จะคิดไป จนทำให้เสมือนกับว่าโชคชะตาช่างโหดร้ายยิ่งนักสำหรับชีวิตเรา

ความผิดที่ร้ายแรงที่สุดคือ " การยอมแพ้ " แต่ถึงแม้เราไม่อยากยอมแพ้ ด้วยสภาพของสังคมและกรรมเวรทำให้เราต้องยอมแพ้ที่สิ่งที่เกิดขึ้น ใจไม่นิ่ง ทำให้ทุกอย่างล้มเหลว ย่อท้อ หมดกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคมากมาย จนบางครั้งคิดว่าอยู่ไม่ได้แล้วในโลกนี้ ถึงสู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมีแต่จะเลวลง แม้จะทำความดีสักเพียงไร ไม่เห็นผลกรรมดีจะช่วยส่งผลให้ชีวิตของเราดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็จงทำแต่ความดีไปเรื่อย ๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงในสิ่งเหล่านี้ และทรงประกาศสั่งสอนให้คนเรามาเดินตามทางที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ก็เพื่อหยุดระงับ และดับทุกข์ให้หมดไปจากชีวิต ด้วยการเรียนให้รู้ว่า

ทุกข์ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกำหนดรู้
สมุทัย เป็นสิ่งที่ทุกคนควรละ
นิโรธ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำให้แจ้ง
มรรค เป็นสิ่งทุกคนควรทำให้เจริญ

แต่จงเตือนตนเองเสมอว่า...
ความผิดที่ร้ายแรงที่สุดของเราก็คือ...การยอมแพ้
สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายและมีความสุขคือ...การมีงานทำ
งานที่ดีมีค่าต้องชีวิตที่สุดก็คือ.....งานละกิเลส

และมั่นใจตนเองด้วยว่า.
การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นเรื่องของคนกล้าหาญ
คนที่กล้าหาญเท่านั้นรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ควรเผชิญหน้า
การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นเรื่องของคนที่รักความก้าวหน้า
และเป็นทางเดินที่สำคัญที่จะทำให้เราสำเร็จและสมหวัง.

ความสุขเป็นของขวัญแห่งชีวิตที่เราทุกคนต้องการ
หากแต่คนเราไม่ค่อยลงทุนส่งของขวัญให้แก่ตนเอง...
กลับมัวรอรับจากผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องยาก
และได้มาก็ไม่ถูกใจนัก ถ้าเทียบกับการมีโอกาสซื้อหามาเอง
หันมาใส่ใจกับชีวิตละคิดให้ตัวเอง...ด้วยการทำบุญ

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b44: ไม่มีที่ใดรักษาศาสนาได้ดีเท่าใจของเรา...หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช :b44:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2009, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




33_20088.jpg
33_20088.jpg [ 34.6 KiB | เปิดดู 5628 ครั้ง ]
สภาวะนี้ ... ไหลไปในกระแสนที
มีอะไรตรงใหนที่เป็นเรา
เราต่างไม่รู้เนิ่นนาน
เผลอยึดมั่นว่าเรามี

ขณะที่ทุกสิ่งไหลเลยไล่คว้าสิ่งที่คงที่
เหมือนคว้ายึดเกลียวคลื่นในสายนที
ก็มีแต่ต้องถูกกระแทกกระทั้นสั่นสะเทือน

ยิ่งกอดไว้อยากให้มั่นคง
ละอองค่อย ๆ โปรยปลิวลง
เพราะทุกสิ่งกำลังเคลื่อน
ใจจึงหวั่นไหวสั่นสะเทือน
เหมือนถูกเชือดเฉือนทิ้ง
เพราะยึดติดกระแส...ในอุ้มมือ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




kkhcaecbckafkf8fe5eif.jpg
kkhcaecbckafkf8fe5eif.jpg [ 32.71 KiB | เปิดดู 5613 ครั้ง ]
ความดี...ไม่มีที่สิ้นสุด

เคยสังเกตุกันหรือเป่ลาว่า....
ในบางครั้ง...เราคิดว่าเราทำดีแทบตาย...แต่เราทำผิดเพียงเรื่องเล็กน้อย
มันกับทำให้เราดูเหมือน...เราเป็นคนที่เลวร้ายมากมาย

ก็คงเพราะเหตุผลประมาณนี้มั้ง...
ที่ทำให้คนดีเริ่มท้อแท้ในหัวใจ แล้วคิดว่า ทำไมคนที่ทำดีถึงไม่เคยได้ดี

อันความดีของคนเรา มันไม่มีที่สิ้นสุด หรือที่หยุดที่ดีที่สุดหรอกนะ
เพราะต่อให้เราทำดีเพียงไหน มันก็ยังต้องมีคนว่าเราผิด
แต่...มันก็อยู่ที่ตัวเรา ว่าเราจะเป็นเช่นไร....ต่างหาก

ถ้าทุกคนที่ท้อแท้กับการทำเรื่องดีๆ
ไม่อยากทำความดีอีกแล้ว.....โลกก็คงมีแต่เรื่องเลวร้ายมากมาย
แต่ถ้าเรารู้จักที่จะเอาชนะตัวเอง...และหัวใจของเรา
มันจะสร้างความแข็งแรงครั้งใหม่ให้มีภูมิกับตัวเราเอง

อย่ามองโลกในแง่ร้าย เมื่อเราท้อ
วันที่ความดีจะสิ้นสุดคงเป็น...วันที่เราหมดลมหายใจมากกว่า...

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 30 พ.ย. 2009, 09:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




normal_0-231.jpg
normal_0-231.jpg [ 22.94 KiB | เปิดดู 5590 ครั้ง ]
เรื่องราวต่าง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต..
บางเรื่องดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย..สั้น..
ง่ายต่อการดำเนินชีวิต..
แต่บางเรื่อง..ดูเป็นเรื่องยึดยาว..เข้าใจยาก..

ในชีวิตจริง..
เรื่องบางเรื่องก็จบเพียงวันนี้..
แต่บางเรื่องในชีวิต..ก็ยึดยาว..
ที่ไม่วันจบสิ้น..

มุมความสุขของชีวิตเรา..
เราก็อยากให้เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น...อยู่กับเรานาน ๆ..
แต่ในมุมของความทุกข์ในชีวิตเรา..
เราอยากให้มันจบเร็ว ๆ

เปรียบกับการเขียนบทละครในชีวิตของเรา..
บางช่วงบางเหตุการณ์..
เราไม่อยากให้ความรู้สึกผ่านไป..
อยากหยุดเวลาไว้ ณ วินาทีแห่งความสุขนั้น
ให้ยาวนานที่สุด ..เท่าที่จะนานได้..

แต่บางช่วงเวลาแห่งความทุกข์..
ไม่มีใครที่อยากจะให้ชีวิตตนเองจมอยู่ในกองทุกข์..

เพราะฉะนั้น..
เรื่องของความสุข..
ที่อาจดูว่า “ยึดยาว” แต่กลับเป็นเรื่องสั้นในชีวิต..

เรื่องของความทุกข์..
ที่อาจดูว่า “สั้น” แต่กลับเป็นเรื่องยาวในชีวิต..

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 14:08 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้ที่ยังคงมีคุณค่าประโยชน์ยิ่ง สาธุๆค่ะ :b39:
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร