วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 03:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1-01-02.jpg
1-01-02.jpg [ 97.34 KiB | เปิดดู 6533 ครั้ง ]
ทุกค่ำคืน..มองขึ้นไปบนท้องฟ้า..

จะเห็นดวงดาวล้านล้านดวงทอแสงระยิบระยับเหมือนเพชรพลอยที่งดงาม

ดวงดาวเหล่านั้น คือความลี้ลับ คือปริศนา..

หลายคนต่างต้องการคำตอบที่ซ่อนอยู่ในนั้นว่าคืออะไร?

เคยมีคนบอกฉันว่า..ทุกชีวิตจะมีดาวประจำตัวของตนเอง

มีอิทธิพลต่อชะตาชีวิต..ที่คอยช่วยเหลือเราในเวลาหลงทาง

และโลกนี้คือ...โรงเรียนแห่งชีวิตที่สอนให้ได้เรียนรู้..

และผจญภัยในกฎแห่งกรรม

เราต่างคือพี่น้อง เพื่อนผ่อง แห่งสายธรรมเดียวกัน

หากมีใครหลุดพ้นเป็นอิสรภาพจากกระแสแห่งกรรมได้

ดวงดาวจะนำพาเรากลับบ้าน

ทั้งหมดนี้จะเป็นจริงดั่งกล่าวขานหรือเปล่า?

คงเป็นปริศนาที่ต้องค้นหาคำตอบต่อไป

นักดาราศาสตร์ให้คำจำกัดความของดวงดาวว่า

“คือลูกไฟสุกสว่างที่มีชีวิตอันปัจเจก รุนแรง และเป็นพลวัต

การจบชีวิตของดาวบางดวงมีการระเบิด

ทำให้ดาวเพียงดวงเดียวเปล่งแสงสว่างโชติช่วงกว่าดาวนับแสนล้านดวง”

มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเอกภพนี้ในทุกเรื่อง

ดั่งสุภาษิตที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”

ในการเดินทางของคนโบราณดวงดาวคือเข็มทิศที่บอกทิศทาง

และดวงดาวได้สื่อถึงความฝัน ความรัก ความหวัง ความศรัทธา ..

คือเป้าหมาย คุณค่าที่สูงส่งที่จะก้าวไปถึงปลายฟ้า

ร่วมทั้งความมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี....

ดวงดาวจะมีหน้าที่ทอประกายบนฟากฟ้า ทุกวัน ทุกราตรี

แม้กลางวันวานจะถูกกลบแสงด้วยดวงอาทิตย์..เมฆฝน และไอหมอก

ตอนกลางคืนจะถูกปิดบังแสงให้ด้อยค่ากว่าดวงจันทร์

ดาวยังคงทอแสงประกาย...ให้ความหวัง และความฝัน

เป็นกำลังใจต่อนักเดินทางที่ก้าวสู่ทางฝันเสมอมา

ดวงดาวทอแสงอิสระ ณ กลางห้าว

ในบางคราวถูกบดบัง..มิแลเห็น

ดาวดวงน้อยยังเป็น..อย่างที่เป็น

กระพริบเด่น..ให้เห็นทุกราตรี..

ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุข ความเจริญ มีความสดชื่นแจ่มใสตลอดไป...ครับ :b38:

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 15 ต.ค. 2009, 23:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตติดตามอ่านด้วยคนนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




welcomeani.gif
welcomeani.gif [ 3.19 KiB | เปิดดู 6489 ครั้ง ]
เจ้านาง เขียน:
ขออนุญาตติดตามอ่านด้วยคนนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพรูปภาพ

หมู่เกาะสิมิลัน ดินแดนมหัศจรรย์ แห่งทะเลอันดามัน

ร้อน... ร้อน... ร้อน... นับวันอากาศบ้านเราดูเหมือนจะร้อนขึ้นทุกวันๆ แถมอุณหภูมิก็ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้เราต้องหาวิธีคลายร้อนกันหน่อยแล้ว งั้น... ไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า!!

วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลดับร้อนกันที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน"
หมู่เกาะกลางทะเลอันดามันที่เป็นเลิศในด้านความงามของปะการังใต้ท้องทะเล อยู่ที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ครอบคลุมพื้นที่ 80,000 ไร่ ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2525

สำหรับ คำว่า "สิมิลัน" เป็นภาษายาวีหรือมลายู แปลว่า เก้าหรือหมู่เกาะเก้า ทั้งนี้ หมู่เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลอันดามัน มีทั้งหมด 9 เกาะ เรียงลำดับจากเหนือมาใต้ ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน เกาะเมี่ยง (มี 2 เกาะติดกัน) เกาะปายู เกาะหัวกระโหลก ( เกาะบอน) เกาะสิมิลัน และเกาะบางู มีที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ที่เกาะเมี่ยงเพราะเป็นเกาะที่มีน้ำจืด หมู่เกาะเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่า
เป็นหมู่เกาะที่มีความงามทั้งบนบกและใต้ น้ำที่ยังคงความสมบูรณ์ของท้องทะเล สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้น
และน้ำลึก มีปะการังที่มีสีสันสวยงามหลายชนิด ปลาหลากสีสันและหายาก เช่น กระเบนราหู ปลาวาฬ
ปลาโลมา ปลาไหลมอนเร่ ปลาการ์ตูน

หากใครคิดจะไปเที่ยวที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน
เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน เป็นฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
มีคลื่นลมแรงเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติ จะประกาศปิดเกาะในเดือนพฤษภาคม
เพื่อเป็นการฟื้นฟูธรรมชาติทุกปี

เอาล่ะ!! ได้เวลามาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันกันแล้ว

เริ่ม กันที่ "เกาะสิมิลัน" ก่อนเลยแล้วกัน... เพื่อนๆ รู้ไหมว่า จริงๆ แล้ว "เกาะสิมิลัน" เนี่ย มีชื่อเรียกอีก
ชื่อหนึ่งว่า "เกาะแปด" เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน ลักษณะอ่าวเป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้า
มีหาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่ม น้ำทะเลสีใสน่าเล่น แถมใต้ท้องทะเลยังมีปะการังสวยงามหลากหลายชนิด ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังใบไม้ ปะการังสมอง ปะการังดอกเห็ดขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ กัลปังหา
พัดทะเล กุ้งมังกร และปลาประเภทต่างๆ ที่มีสีสันสวยงามมากมาย เป็นเกาะที่สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำลึก
และน้ำตื้น ส่วนทางด้านเหนือของเกาะนั้นก็มีก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาชวนให้แปลกใจ เช่น
หินรูปรองเท้าบู๊ท หรือรูปหัวเป็ดโดนัลด์ดั๊ก ตอนบนที่ตรงกับแนวหาดมีหินรูปเรือใบ
ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นความสวยงามของท้องทะเลได้กว้างไกล (ว้าว...)

ต่อ กันที่ "เกาะบางู" หรือ "เกาะเก้า" เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีโขดหินรูปลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะที่จุดดำน้ำ
"กองหินคริสมาสพอยต์" เป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามสลับซับซ้อนกันเป็นบริเวณกว้าง
จะมีแนวปะการัง และกัลปังหาที่สมบูรณ์ และยังเป็นที่อยู่ของปลาหลากชนิด เช่น
ปลาไหลริบบิ้น ฉลามครีบเงิน ปลาเก๋า ปลาบู่ กั้งตั๊กแตน... ถูกใจนัก (ชอบ) ดำน้ำนักแหละ

"เกาะหัวกะโหลก-หินปูซา" หรือ "เกาะเจ็ด" เป็นเกาะที่มีลักษณะเหมือนรูปหัวกะโหลก สภาพใต้น้ำสวยงาม
เหมือนหุบเขาใต้ทะเลที่เต็มไปด้วยปะการังอ่อน กัลปังหารูปพัดหลากสีสัน ฝูงปลานานาพันธุ์
และยังสามารถพบปลากระเบนราหู หรือฉลามวาฬได้มากที่สุดแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสิมิลัน

"เกาะหูยง" หรือ "เกาะหนึ่ง" เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีหาดทรายขาวสะอาด และยาวมากที่สุดในเก้าเกาะ
มักจะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เห็นร่องรอยของเต่าที่ขึ้นมา
วางไข่บนชายหาดคล้ายกับรอยตีนตะขาบเล็กๆ

"เกาะ เมี่ยง" หรือ "เกาะสี่" เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่รองจากสิมิลัน เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เพราะมีแหล่งน้ำจืด ชายหาดที่เกาะสี่จะมีสีขาวละเอียดเนียนสวยงามน่าสัมผัส น้ำทะเลใส
บนเกาะสี่จะมีสัตว์ที่หาดูได้ยาก เช่น ปูไก่ ที่มีลำตัวเป็นสีแดงสด มีก้ามสีดำเหลือบน้ำเงิน
เวลาร้องจะมีเสียงคล้ายไก่ จะเห็นได้ในช่วงหัวค่ำที่มันออกหากิน นกชาปีไหน เป็นนกประจำถิ่นขนาดใหญ่
ตระกูลเดียวกับนกพิราบป่า มีสีสันและลวดลายบนตัวที่งดงาม จะพบได้ตามริมชายหาด
หรือร้านอาหารหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และ ปูเสฉวน ที่มีมากมายหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่

อย่างไรก็ตาม บริเวณรอบๆ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ยังมีบริเวณดำน้ำที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งจุดดำน้ำลึกอย่าง "เกาะตาชัย" ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของอุทยาน คุณจะได้พบกับปลาสาก ปลาค้างคาว ปลากระเบนราหู ฉลามวาฬ "เกาะบอน" อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่เกาะสิมิลัน
คุณจะได้พบกับฉลามครีบขาว ปลากระเบนราหู ฉลามกบ "กองหินคริสต์มาสพอยต์" จะพบปลาไหลริบบิ้นสีฟ้า กั้งตั๊กแตน "กองหินแฟนตาซี" อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะแปด เป็นจุดรวมของหินดอกไม้ ปะการัง กัลปังหา สัตว์น้ำหลากชนิด ส่วนจุดดำน้ำตื้น ได้แก่ อ่าวลึก อ่าวกวางเอง เป็นต้น
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจกิจกรรมดำน้ำ สามารถติดต่อบริษัทดำน้ำในจังหวัดภูเก็ตและพังงาได้เลยล่ะ

การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
ท่าเรือทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 70 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายพังงา - ตะกั่วป่า และเป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้อุทยานฯ ที่สุด ประมาณ 40 กิโลเมตร จากท่าเรือทับละมุใช้เวลาในการเดินทางไป
หมู่เกาะสิมิลันประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง มีเรือให้เช่าหลายขนาด สำหรับ 30 คน ราคาประมาณ 10,000 บาท และ 40 คน ราคาประมาณ 12,000 บาท และใกล้ๆ บริเวณท่าเรือทับละมุมีที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลัน มีเรือขนาด 80 คน ราคา 2,300 บาท/คน
(ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)

ท่า เรือคุระบุรี อำเภอคุระบุรี อยู่ห่างจากหมู่เกาะสิมิลัน 70 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 3 ชั่วโมง สามารถติดต่อเช่าเรือได้ที่ คุระบุรี กรีนวิว รีสอร์ท

ท่าเรือหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ก็สามารถเดินทางไปอุทยานฯได้ ระยะทาง 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัทนำเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต หรือเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวของบริษัทเอกชน

ที่พัก
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีบ้านพักเป็นเรือนแถว พักได้ห้องละ 4 คน 10 ห้อง ราคา 600 บาท
พักได้ 2 คน จำนวน 5 ห้อง ราคา 1,000 บาท มีบริการเต็นท์ให้เช่า หลังละ 100 – 300 บาท
สำหรับนักท่องเที่ยวที่นำเต็นท์มาเองเสียค่าพื้นที่กางเต็นท์คนละ 40 บาท/คืน
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต้องเสียค่าขึ้นเกาะ นักท่องเที่ยว ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน โทร.0-7642-1365
สำนักงานบนฝั่ง โทร.0-7659-5045
หรือสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช โทร.0-2562-0760

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 00:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




Untitled-1.jpg
Untitled-1.jpg [ 298.42 KiB | เปิดดู 6420 ครั้ง ]
ครั้งหนึ่ง เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อว่า “ยัยซื่อบื้อ”
เหตุที่เธอถูกเรียกอย่างนี้น่ะหรอ ก็เพราะว่าเธอน่ะ ซื่อบื้อจริงๆอ่ะดิ ยัยซื่อบื้อไม่เคยเข้าใจ และรู้ทันใคร
เธอมักจะชอบอยู่ในโลกของตัวเอง และมักอยู่อย่างโดดเดี่ยวเสมอ

ที่ผ่านมา เธอเคยคิดจะรัก และแอบรักใครตั้งหลายคน แต่ยัยซื่อบื้อก็ไม่รู้เลยว่านั่นไม่ใช่ความรัก
จนเธอได้มาเจอกับ “นายมองไกล” เค้าเป็นเพื่อนของเพื่อนเธอ นายมองไกลเป็นคนอัธยาศัยดี

ส่วนยัยซื่อบื้อก็ติงต๊องดี จึงพอๆเข้ากันได้ ตอนที่เธอเจอเค้า เธอไม่คิดอะไรมากมาย
ไม่นึกจะชอบเค้าด้วยซ้ำไป แต่ในช่วงเวลาเพียงไม่นาน ยัยซื่อบื้อก็รู้สึกชอบในความเป็นนายมองไกล
ภาพของเค้าดูจะยิ่งชัดเจนในใจเธอขึ้นทุกที โดยที่เธอไม่รู้ตัว(ก็ยัยเนี่ย ซื่อบื้อยังไงเล่า...)

ด้วย ความซื่อบื้อจนหาที่เปรียบไม่ได้อ่ะนะ ทำให้สิ่งที่ไม่น่าจะเกิด ก็เกิดขึ้น
ขณะที่ความผูกพันเริ่มผูกมัดยัยซื่อบื้อกับนายมองไกล (she มโน เอง)เพื่อนของเจ้าหล่อน
จู่ๆก็มาบอกหล่อนว่า เค้าชอบนายมองไกล ชอบมานานแล้วด้วย มันนานมาก
ก่อนที่เธอจะรู้จักยัยซื่อบื้อซะด้วยซ้ำ แล้วทายซิว่ายัยซื่อบื้อของเรา she ทำไง อ่ะนะ เดาไม่ยากอ่ะดิ Sheเลือก เล่นบทนางเอกหนังไทยแบบต้นตำรับ เธอเลือกเพื่อน
และยอมปล่อยความรู้สึกที่มีต่อนายมองไกลให้ผ่านไป
เพราะเธอรู้ว่าจะทำให้เพื่อนคนนั้นเจ็บแค่ไหนที่รู้ว่ายัยซื่อบื้อก็ชอบนาย มองไกลมากๆเช่นกัน ด้วย

เหตุนี้จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนายมองไกล มันก็ยิ่งไกลห่างออกไป
เธอยอมรับว่าชอบเค้ามาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากกว่าคนอื่นๆที่เธอมโนมาตลอด
จนเมื่อความเปลี่ยนแปลงได้เข้ามาชนกับเธออีกครั้ง วันนึงที่เค้าโทรมาหาเธอ
เค้าไม่รู้หรอกว่าเธอแอบดีใจแค่ไหน แต่เธอก็ต้องอึกอัก ที่เค้าคุยกับเธอเรื่องของผู้หญิงอีกคน
จะใครซะอีกล่ะ ก็คนที่เค้าชอบน่ะสิ ทั้งๆที่เค้าดูอ่อนแอ และเริ่มหมดหวังกับเธอคนนั้น
แต่ก็เป็นยัยซื่อบื้ออีกนั่นแหละ ที่ซื่อบื้อดันไปเป็นศิราณีให้เค้า “ทำไมไม่ยุให้เลิกซะนะ”
เธอถามตัวเอง แต่คงเพราะความเสียใจที่จะทำให้เค้าเจ็บปวด ถ้าอย่างนั้นเธอจะยอมได้ไงล่ะ

จากวันนั้น เค้าคุยเรื่องคนๆนั้นบ่อยขึ้น และต่อมาก็คุยแต่เรื่องคนๆนั้น เค้าดูมีความสุขดีนะ
ซึ่งเธอก็น่าจะดีใจ แต่เปล่าเลย ยิ่งเป็นอย่างนั้น นั่นแหละที่เจ็บปวด และความเจ็บปวดมันก็ยิ่งตอกย้ำเธอ

เมื่อวันนึงที่เธอหาเรื่องเจ็บตัว ด้วยการชวนเค้าไปอ่านหนังสือด้วยกันที่ห้องสมุด
แต่ใครจะรู้ว่าโต๊ะที่พวกเค้านั่งกะคนๆนั้น(คนที่เค้าชอบน่ะ)มันติดกัน จะเกิดอะไรขึ้นได้อีกล่ะ
เมื่อเค้ามานั่งกะยัยซื่อบื้อ แล้วเห็นว่าคนๆนั้นนั่งอยู่ข้างหลังยัยซื่อบื้อ เค้ารีบบอกศิราณีประจำตัว
แล้วเธอก็ไม่แคล้วยุส่งเค้าให้ไปนั่งกับเธอคนนั้น...จนได้

ตอนนั้นเองที่ทำให้เธอรู้ว่าศัพท์บัญญัติของ “ใจชาๆ”
คืออะไร มันรู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก หัวมันตื้อๆ กระวนกระวาย มันบอกไม่ถูก นี่ล่ะสินะ
ที่เค้าบอกว่าไม่เจอก็ไม่รู้หรอก เป็นความรู้สึกที่ต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้ถึงจะเข้าใจ

หลังจากวันนั้น
เค้าติดต่อเธอน้อยลง และหายไป แล้วเธอล่ะ ก็แห้วอ่ะดิ เธอเฝ้ารอว่าสักวันเค้าจะโทรมา
ถึงไม่โทรมาก็โชว์เบอร์ก็ยังดี เธอ เฝ้ารอว่าสักวันความบังเอิญจะทำให้เธอได้พบกับเค้า
เธอมักจะไปโรงอาหารของมหาวิทยาลัยบ่อยๆ เพียงหวังว่าจะได้เจอเค้าโดยบังเอิญ แม้จริงๆแล้ว
เธอจะตั้งใจมารอเค้าก็ตาม เธอทำตัวให้ดูดีขึ้น เพียงหวังให้เค้าได้เห็นเธอในสายตาอย่างคนอื่นๆบ้าง

แต่เปล่าเลย ทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น เค้าหายไป หายไปจริงๆ แต่เวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง...
เธอพร่ำบอกอย่างนั้น ที่ไหนล่ะ เวลาผ่านไป 1 เดือน..2 เดือน...ครึ่งปี...1 ปี...แล้วนี่ก็ 2 ปีแล้ว
แต่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเค้ายังเท่าเดิม มันไม่ได้ลดน้อยลง แม้เค้าจะรักคนอื่น
แม้เค้าจะมองไม่เห็นเธอ แต่คนที่เธอรักคือเค้า คนที่เธอเห็นก็มีแต่เค้า

ยัยซื่อบื้อก็ยังคงซื่อบื้อไม่เสื่อมคลาย เธอพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะตัดใจ แต่มันก็ล้มเหลว
แต่ครั้งนี้ เธอจะทำให้ได้ เพราะว่ามันถึงเวลาสักทีที่จะจบความรักที่ไม่มีทางไหนที่จะสมหวัง
รักที่ต้องแอบร้องไห้คนเดียว รักที่ต้องเจ็บปวด รักทั้งที่เค้าไม่เคยรับรู้
ถ้านายมองไกลได้มาอ่านก็ดีสินะ เค้าจะได้รู้ว่ายังมียัยซื่อบื้อคนนี้อีกคน...ที่รักเธอ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาพติดตาจากเขาใหญ่
รูปภาพ

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย เพลิง. เมื่อ 27 ต.ค. 2009, 15:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

สนลู่ีลม

เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้ขึ้นไปเก็บข้อมูลวิจัยบนภูเรือ
มองไปยังต้นสนต้นหนึ่ง ที่ถูกลมตอนเย็นพัดผ่าน
ไม่นานความคิดผมก็ผุดขึ้นมา ลมหนาวมาแล้วซินะ
จริงๆ แล้วธรรมชาติก็สอนให้เรารู้จักปรัชญาการใช้ชีวิตได้เหมือนกัน
ไม่จำเป็นเสมอไปที่เราจะรับรู้ปรัชญา จากสิ่งมีชีวิตที่สามรถพูดเป็นเพียงอย่างเดียว

ต้นไม้ก็เหมือนชีวิตของคนเรานั้นล่ะ แย่งกันเจริญ แย่งกันเติบโต
มีทั้งก้านที่รู้ตัว และ ทั้งก้านที่ไม่รู้ตัว ชะตาตัวเอง
แต่จุดหมายของน้องใหม่ก็คือยอดสูงสุดของปลายต้นไม้
แต่บางก้านไม่สามารถทานแรงลมได้
ก็พัดล่วงหล่นลงมาก่อนที่ตัวเองจะถึงวัยเหมาะสมก็มี
แต่ในระหว่างที่น้องๆ กิ่งใหม่ๆ กำลังดีใจกับสิ่งที่ท้าทายกับตัวเอง
ก้านด้านล่างได้แต่พยายมแข็งขืนแรงลมนิ่งๆ
น้องใหม่หลงอยู่ในวังวนของความหลงระเริงเริงรื่นอยู่บนยอดสูงสุด
แต่หารู้ไม่ว่าในที่สุดตัวน้องใหม่ๆ ก็จะมาแทนที่ก้านด้านล่าง อีกเสมอ
ส่วนด้านล่างก็จะล่วงหล่นลงมาปกป้องหน้าดินให้โค่นต้นใหญ่มั่นคงแข็งแรง
เมื่อถึงเวลาอันสมควรก็จะย่อยสะลายเป็นปุ๋ยดินบำรุงกำลังให้ลำต้นกิ่งก้านสาขาต่อไป

คนเราเหมือนต้นไม้
บางคนอยากอยู่ที่สูง แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเราอยู่ได้แค่ไหน
พอถึงยอดก็ตกลงมา เพราะโดนลมพัดจนทนไม่ไหว
เมื่อลมพัดผ่านส่วนที่อยู่ยอดสุดจะอ่อนตัวเสมอ
บางครั้งทานแรงลมไม่ไหวก็ร่วง
ถ้าก้านไหนอ่อนน้อมไปตามลมก็รอด

บางคนคิดว่าการอยู่ที่สูงสุดคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่
แต่หารู้ไม่ว่าสุดท้ายตัวเองก็ต้องลงมาอยู่ข้างล่าง
เพื่อรอดูคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ตนเอง

เหมือนเพลงๆหนึ่งครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาว
ยิ่งเราคิดที่จะอยู่ที่สูงเท่าไร โอกาสที่เราจะร่วงลงมามีมาก
และโอกาสที่เราจะเจ็บกว่าต้นล่างๆก็มีมาก
คนที่อยู่แบบล่างๆอาจมีความสุข ความสบายในการดำรงชีวิตมากกว่าด้วยซ้ำ

เกิดเป็นคน เราต้องรู้ว่าเราทำได้แค่ไหน ความสุขที่แท้จริงนั้น..คืออะไร?
ต้องการแค่ไหน ดิ้นรนอย่างไรถึงไม่เจ็บตัว
รู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ต้องการได้แค่ไหน
ผมว่าถ้าคนเราทำได้ชีวิตทั้งชีวิตก็สบายได้ครับ
สุขแบบไม่ต้องร่ำรวย ไม่ต้องอดอยาก ก็พอเพียงสำหรับผมแล้วล่ะครับ

ด้วยเราต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการตามภาระกิจให้ลุล่วง
เป็นช่วงเวลาที่ห่างหาย เป้นช่วงเวลาที่เฝ้ามองทิศทางกลับบ้านเสมอ

หากผมจะเป็นสนต้องลม
ใบสนย่อมประสานเสียงเชิงบวก
ไม่คิดว่าก็แค่สนลู่ลม...ยังมิล้มครืน...สักหน่อย!
ลองมองทุกสรรพสิ่งในด้านบวกอยู่เสมอ
แล้วคุณจะมีความสุขมากขึ้น มากขึ้น วันละหน่อย ในทุกๆ วัน ครับ

เพื่อน ๆ...มองภาพ...สนลู่ลม หรือต้นไม้ที่โดนลมพัด จะอธิบายตัวเองคงจะเข้าใจมากกว่าผม..
ที่ไม่อาจหาคำบรรยายให้ใครๆได้....เพราะผมมันคนขวางโลกครับ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




fisherxn10.jpg
fisherxn10.jpg [ 51.81 KiB | เปิดดู 6268 ครั้ง ]
คนเรามักหาที่ไปเที่ยวไกลๆ เพื่อเป็นการพักผ่อน
แต่ผมกับมานั่งคิดว่า คุณไปเที่ยวแต่คุณกลับมาถึงบ้าน คุณบอกเหนื่อยจัง...
นี่หรือคือความสุข...ความสบายที่คุณกำลังแสวงหา

สำหรับผม เที่ยว คือ เที่ยว
ส่วนการพักผ่อนเวลาที่เราต้องรับภาระมากๆคือ...

การอยู่นิ่งๆนั่งฟังเพลงคนเดียวเงีบยๆ...
ทำเหมือนเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้ และ ไม่ได้ยินเสียงใครทั้งสิ้น
ทั้งๆที่คนมากมายก็เดินผ่านไปมาต่อหน้าเรา จริงอยู่ที่ดูเหมือนหลอกตัวเอง
แต่ถ้าหัวใจเราสงบ พอใจกับมัน ที่ๆมีเสียงดังอะไรก็ตาม เราอาจไม่ได้ยินมันเลยก็ได้
ผมอาจจะดูบ้าๆแต่มันก็คือความสุขในรูปแบบผม
นี่คือการพักผ่อนอย่างดีชนิดหนึ่ง แต่ก็หาเวลาทำได้น้อยเต็มที

ความสุข อยู่ในตัวเรา...ความทุกข์ อยู่ในตัวเรา
เราจะสุข หรือ เราจะทุข์
มันก็อยู่ที่หัวใจเรา

ความทุกข์...ดับได้ด้วยตัวเอง...ไม่ต้องแสวงหา
ความสุข...ก็คงเช่นกัน

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 05 พ.ย. 2009, 11:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




712716.jpg
712716.jpg [ 39.06 KiB | เปิดดู 6194 ครั้ง ]
ขยันแต่โง่

ต้องขออภัยกลัยณมิตรไว้เบื้องต้น อย่าพึ่งขรึมให้ผมก่อนอ่านนะครับ
ผมว่าพอมีเกล็ด..ให้สะกิด..นิดๆ ครับผม

สำหรับ คำที่ดูจะรุนแรง ในนัยยะของคำว่า "ขยันแต่โง่"
สำหรับช่วงวัยและวันคืนที่ผมเติบโตขึ้นมา ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เล่นกีฬา
การทำงาน หรือมีชีวิตอยู่กับเพื่อนฝูง อยู่กับสังคม ชุมชน และผู้คนที่แวดล้อมตัวเอง
ผมมักจะจดจำคำกล่าวนี้อยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนขยัน

แต่ผมเป็นค่อนข้างเฉื่อย ที่ชอบนึกชอบคิด
และ ชอบมองสิ่งที่ผ่านมาผ่านไปในชีวิต ชอบคิดว่า
ถ้าจะทำต้องทำอย่างไร วิธีการ กระบวนการ รูปแบบ ระยะเวลา
และใครบ้างที่จะมาช่วยเรา หรือมาทำร่วมกัน
หรือแม้กระทั่งนั่งคิด ถึงจุดอ่อนจุดพร่อง จุดเด่นจุดดี
โอกาสความสามารถของเรา ว่ามากน้อยเพียงใด
หากจะกระทำผมคิดก่อนเสมอ
เพราะผมเป็นคนแรงไม่เยอะ ตัวไม่ใหญ่ไหล่ไม่กว้างในยามเด็ก

พอ โตขึ้นมา ก็ต้องคิดว่า ถ้าหากอยากตัวใหญ่ต้องทำอย่างไร
เช่น ต้องเป็นหัวหน้าเขา ต้องรู้มากกว่าเขา ต้องรู้ว่าจะยืนอยู่ที่ไหน
ให้ถูกที่ถูกเวลาในสนาม ไม่นับความจริงว่า
เวลาที่ลูกฟุตบอลไม่มา ต้องวิ่งไปที่ไหน ยืนอยู่อย่างไร
และต้องช่วยอะไรใครบ้างในสนาม ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเกตบอล
หรือการชกมวยต่อยตี ทุกทีล้วนต้องคิด จะปะทะกับเขาดีไหม

ถ้ารู้ว่าเราแรงน้อยกว่า จะหันไหล่คอยเบียดคอยเบี่ยงอย่างไร
จึงจะทำเขาเสียศูนย์ จะชิงตัดหน้าเขาก่อนได้ไหม
หรือปล่อยให้เขาเล่นจังหวะแรกก่อน ก่อนที่เราจะเก็บจังหวะสอง
กระทั่งคิดว่า หากจังหวะสามเขาช้าลง เราจะทำอย่างไร
ไม่นับรวมถึงการออกหมัดก่อน หรือคอยเก็บอาการ
ก่อนจะจี้จุดอ่อนเขา หรือย้ำในจุดบอดของคู่ต่อสู้

คิดครับ เพราะแรงน้อยและอ่อนแอ และต้องคิดครับ เพราะผมมีชีวิตเดียว
เวลา ที่เจ็บแข้งเจ็บขา หรือพลาดพลั้งโดนปลายคาง ผมนึกเสมอครับ
และนึกขึ้นได้ตลอดเวลาที่เจ็บกรามและเจ็บใจ
หรือแม้แต่คิดว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้
คิดแล้ววนกลับไปทบทวนใหม่ บ่อยครั้งก็ยืนบ่นกับตัวเอง
เหมือนทบทวนในแต่ละครั้งว่า ต้องคิด
แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งไป ที่ชีวิตจะคิดได้
หลายครั้งผมก็คิดไม่ได้ หรือไม่ยอมคิด

เพราะบางทีความโกรธก็มาแทนที่ความรอบคอบ
ความเจ็บอายก็มาแทนที่ความรอบคอบ
กระทั่งความปรารถนาในชัยชนะ ก็ครอบงำความคิดที่ควรมีสติ
หรือควรละเอียด เพื่อทบทวนถึงสิ่งที่พึงกระทำและไม่พึงกระทำ
หลายครั้งผมก็วิ่งพล่าน ออกแรงเพียงเพราะไม่คิด
บ่อยครั้งเขาก็รู้ว่า เจ็บ อ่อนล้า เหนื่อย โง่ ล้มเหลว หรือพ่ายแพ้

ไม่ว่าใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ระหว่างคำที่ว่า "ขยันแต่โง่" กับ "ฉลาดแต่ขี้เกียจ"
ผม ก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่า ความล้มเหลวและเสียหายที่เกิดขึ้น จากมุมมองของคำสองคำนี้
ล้วนแตกต่างกัน สำหรับโมงยามและช่วงเวลาที่ต้องคิด ที่ต้องใส่ใจ
และทำความเข้าใจว่า สิ่งใดควรกระทำไม่ควรกระทำ สิ่งใดก่อนสิ่งใดหลัง
ใครเป็นมิตรเป็นศัตรู หรือคิดว่าเราจะทำเช่นไร

ในยามที่คิด ก็ต้องใคร่ครวญ เพื่อหยั่งรู้ถึงผลได้ผลเสีย จากการทำและไม่ทำ
ใครหลายคนที่เป็นครูในชีวิต ล้วนบอกสอนให้ขยันขันแข็ง อดทน พยายาม และอย่างย่อท้อ
พร้อมทั้งสอนว่า ให้คิดเสมอในยามจะทำสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นการคิด การพูด การกระทำใดใด
ก็คิดไว้เป็นเบื้องต้น ซึ่งหากไม่คิดก็ต้องเรียนรู้ด้วยว่า ผลลัพย์จะเป็นเช่นไร

บางทีผมก็อดนึกไม่ได้ว่าช่างเป็นคำด่าที่แสบสันต์
ใน ยามที่ใครสักคน จะกล่าวคำประชดประชัน ในยามเห็นความวิบัติเบื้องหน้า
หรือเห็นว่าชีวิตที่ดำรงอยู่ ใยไม่คิดไม่ทบทวน ไม่ใคร่ครวญ
หรือคัดสรรให้เพียงพอ พร้อมกับอารมณ์ความรู้สึก พร้อมการรับรู้ ไม่รับรู้
กระทั่งปิดกั้นตัวเอง ว่าเมื่อไรที่ควรจะทำ และเมื่อทำแล้ว ควรจะทำอย่างไร
จึงจะไปถึงบั้นปลายของการกระทำ หรือรู้ว่า ผลเสียหายเป็นเช่นไร

เหล่านี้ ล้วนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผมได้รับบทเรียนทั้งสิ้น หลังจากเจ็บปวด
เมื่อ เจ็บแล้ว ผมก็จดจำ และจำได้ขึ้นใจว่า บาดแผลอันเจ็บปวดเหล่านั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร
เกิดขึ้นเพราะความไม่มีสติของเรา ความไม่มีเหตุผล ความที่เรารู้สึกมากไป เราเหนื่อยเกินไป
เราคิดน้อยไป เราโกรธเราเกลียด เราไม่มีสมาธิ เราอยากได้ชัยชนะในเร็วไว หรือเพียงเพราะไม่คิด

จริงๆ แล้วผมคิดครับ คิดเสมอ ยิ่งในยามที่เรื่องราวเดิมเดิม วนกลับคืนสู่ความสูญเสียเช่นเคย
ซึ่ง สำหรับใครก็ตาม ที่เคยผ่านวันวัยยามเด็ก เติบโตผ่านความแข็งแรงของวัยรุ่น
กระทั่งล่วงผ่านวัยกลางคน หรือจนสุดท้ายก็เฒ่าชะแลแก่ชราลงแล้ว คงรู้ดีถึงที่ทางแห่งชีวิต
หลายครั้งคิดได้แต่ทำไม่ได้ หลายครั้งต้องรู้ว่า แรงมีเพียงจำกัด เงื่อนไขในชีวิตไม่อำนวย
กระทั่งคอยทบทวนความคิดว่า จะทำอย่างไร จึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีอะไรยากครับ เพราะสุดท้ายก็ต้องคิด

วันในชีวิตมากขึ้น แต่ปัจจัยลดลง ชีวิตต้องคิด และ ทบทวน

ใคร่ครวญว่าจะทำเช่นไร หากยังมีโอกาสคิด

หรือวันในชีวิตเหลือน้อยลง ก็ต้องรู้ว่าผลลัพย์ของการคิดน้อยไปนั้นเป็นเช่นไร

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 14 พ.ย. 2009, 16:10, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




2007-10-08_151725_chipmunklove.jpg
2007-10-08_151725_chipmunklove.jpg [ 16.4 KiB | เปิดดู 6192 ครั้ง ]
ต้นทุนแห่งชีวิต และมิตรภาพ

จำได้ในวัยเด็ก มักมีเพื่อนมานั่งล้อกัน ถึงความยากไร้และด้อยค่า
โดยเฉพาะที่มาจากความรวยจน ความไม่มีเงิน หรือกระทั่งไม่มีของอวดอ้าง
เพื่อนวัยเด็กมีล้อกันไปล้อกันมาตามประสาเด็ก คิดบ้างไม่คิดบ้างตามหัวใจเด็กจะนำพา
แต่สุดท้ายเมื่อชีวิตเติบโต หัวใจและคำล้อเหล่านั้น กลับติดไปกับตัวตนของเด็กแต่ละคน
ตามชีวิตและตามทิศทาง

ผมมีเพื่อนในแวดล้อมทั้งสองกลุ่ม ทั้งกลุ่มคนที่มีและไม่มี
บางครั้งก็ผสมปนเปกันไประหว่างความมีและความไม่มี ความยากไร้และไม่ยากไร้
หากนับความจริงในวัยเด็ก ผมเชื่อว่าเด็กโดยส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจว่าความรวยจนเป็นอย่างไร
จนกระทั่งวันหนึ่งมีของเล่นมาอวดกัน มีข้าวกล่องใบสวย กล่องดินสอใบใหม่ ดินสอแท่งนั้นกดได้

กระทั่งมาเปรียบเทียบในชีวิต
เด็กถูกเปรียบจากคำเทียบของผู้ใหญ่
ขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังเริ่มต้นในความจริงของชีวิตลูกชนชั้นกลาง
สำหรับเรื่องจริงที่ชีวิตมีบ้างไม่มีบ้าง บางอย่างฟุ่มเฟือยก็ไม่มี
เพราะไม่อาจหว่านล้อมพ่อกับแม่ซื้อให้ได้ ต่อให้ลงไปนอนกองดิ้นหน้าร้าน ก็ไม่มีใครสนใจ
ผมจึงไม่รู้สึกอัดอัดใจในทุกครั้ง กับความมีหรือไม่มีในคำล้อเลียน อาจมีบ้างถ้าตัวต้องถูกเปรียบ

เพราะบางครั้งเราก็แอบแกล้งคนไม่มี บางครั้งเราก็ถูกแกล้งเอง
บางครั้งเราก็เข้าใจในสังคมของเด็ก ชีวิตและการเติบโตล้วนเป็นสิ่งสำคัญ
ภาวะแวดล้อมจากคำล้อเลียนของเพื่อน และย่างก้าวเพื่อผ่านความรวยจน และความไม่มี
จนกระทั่งไปสู่สังคมของเพื่อน ที่เข้าใจและไม่สนใจในความรวยจน ถือเป็นหนึ่งในความจริงอันงดงาม
ในขณะที่ผมมีเพื่อนทั้งสองกลุ่ม

เพื่อนที่ไม่สนใจ และเพื่อนที่สนใจความร่ำรวย มีเพื่อนที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน
ที่ไม่เคยล้อเลียนล้อเล่น และเอาคำประณามหยามหยันในความไม่มีของเพื่อน
เพียงเพื่อทำให้ให้เพื่อนเจ็บช้ำน้ำใจ และเพื่อนกลุ่มประหลาด ที่ชอบดูถูกผู้คนที่ต่ำต้อยกว่า
ผมจึงเห็นความมีความไม่มี อยู่ในน้ำใจของเพื่อนแต่ละคน
และเพื่อนแต่ละกลุ่ม ที่ต่างเรียนรู้จะคบหาด้วยแกนของหัวใจ

ครั้งหนึ่งผมเคยแอบเห็นเพื่อนผู้ชายร้องไห้ เพราะถูกล้อจากเพื่อนว่าจน
กระทั่งไปแอบร้องไห้ นั่งฟุบลงกับโต๊ะก่อนสะอื้นร้องไห้
แม้จะเคยแกล้งกันมา แม้จะเคยล้อกันมา
แต่ความเป็นเด็กประถม และความรู้สึกบางอย่าง ทำให้ผมเข้าไปตบไหล่ปลอบเพื่อน
จำได้เพียงว่า ตัวเองพูดไปว่าไม่ต้องสนใจ หรืออย่าไปสนใจกับคำล้อเลียน และเสียงล้อแบบนั้น
จำได้ว่าตัวเองให้ทางออกในชีวิต กับเพื่อนที่เสียใจกับความไม่มีว่า
"มึงก็ไม่ต้องไปสนใจมันสิวะ มึงก็อย่าไปคบมัน"

ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าในความร่ำรวยและยากจน จะเป็นอย่างไร
หรือกระทบสิ่งใดในชีวิตผู้คนผมก็ยังคงคิดอยู่เสมอ ในท่ามกลางความจริง
และการเปรียบเทียบของชีวิต ในท่ามกลางมิตรภาพและเพื่อนฝูง
เพื่อนกลุ่มไหนรวยจัด และอยากคบกับคนรวยเท่านั้น เราก็ไม่ได้สนใจและไม่มีปัญหาอะไร
เพราะผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนที่ไม่ได้สนใจความรวยจน

ผมก้าวผ่านชีวิต ด้วยมิตรภาพของเพื่อนฝูง ด้วยความเชื่อมั่นว่ามิตรภาพมีอยู่จริง
นอกเหนือจากเป็นถนนสายหนึ่ง สาย..มิตรภาพ ยังเป็นองค์ประกอบของชีวิต
เป็นบทเรียนคอยบอกกล่าวตักเตือน และบอกสอนให้รู้ว่า ชีวิตเราที่ไม่อาจกำหนดนั้น
ในความรวยจนที่ครอบครัวเครือญาติและคนรอบข้างชีวิตเราได้ทำไว้นั้น
บ่อยครั้งอาจไม่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเรา หลายครั้งที่เพื่อนได้สอนความจริงเหล่านี้

เพื่อนบางคนถอดสร้อยคอทองคำให้เพื่อน
เพียง เพื่อให้เพื่อนอีกคนลงทะเบียน ไม่รู้ว่าเป็นน้ำใจหรือสิ่งใดในใจ
สำหรับสิ่งที่มอบให้กันระหว่างเพื่อน ในเมื่อเพื่อนขาดและจำเป็นต้องใช้
การจำนำทองหรือขายทอง เพื่อลงทะเบียนเรียนรู้ชีวิตของเพื่อน เป็นหนึ่งในบทเรียนชีวิต
เหมือนที่เพื่อนผมหลายคน มีปมด้อยในความยากจน
จนแม้กระทั่งวันนี้ เขาบางคนก็ยังก้าวไม่พ้น แม้จะร่ำรวยเพียงใดก็ยังข้ามไม่พ้นปมยากจนในใจ

เพื่อนหลายคน สามารถทำได้หลายอย่าง เพียงเพื่อคำตอบว่าได้เงินมา แต่เขาก็เริ่มพบคำตอบ
ในความห่างหายของมิตรภาพและเพื่อนฝูง หลายคนยังเหมือนเดิม
หลายคนละเอียดอ่อนกับชีวิตเพิ่มมากขึ้น บางคนให้เพื่อนได้ทุกอย่าง
หากเป็นความจำเป็นในชีวิต ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจะเดือดร้อนเพียงใด
ขอเพียงอย่างเดียวอย่าโกหก และอย่าให้รู้ถึงวาระซ่อนเร้นในความเหลวไหล

เพื่อนหลายคนตัดขาดความสัมพันธ์กันไปเพียงเพราะเงิน
เพียงเพราะคำโกหก จากเงินไม่เท่าไรในมิตรภาพ
กับความจริงของชีวิต ที่ต่างคนต่างมีคำล้อเลียนในใจ หลายคนมีปมในคำล้อของเพื่อนวัยเด็ก
มองชีวิตด้วยความยากลำบาก และตั้งใจกับตัวเองว่าจะเย้ยหยันชีวิตเมื่อวันหนึ่งตัวเองรวย
แม้เพื่อนหลายคนจะบอกกล่าวว่า ความรวยจนไม่ใช่ปัญหา สำหรับมิตรภาพและน้ำใจของเพื่อน

หลายคนใช้ปมเหล่านั้น เดินทางเพื่อแก้ความช้ำใจ
หลายคนไม่มองเห็นทุนแห่งชีวิต ซึ่งมากมายในหัวใจ
สำหรับผมและมิตรภาพของเพื่อนที่มอบให้กัน
บางครั้งเราค้นพบได้จากแววตา และน้ำใจที่เพื่อนมอบให้กัน
จะเอาสิ่งใดต้องการอะไร ให้บอกให้พูดออกมา
แต่ไม่ใช่การโกหก และทำร้ายทำลายน้ำใจเพื่อนด้วยคำโกหก จะมากมายของไม่มี
สุดท้ายเราก็รับรู้ร่วมกันได้ สำหรับมิตรภาพและความจริงเหล่านี้

ทุนในชีวิต อาจมากมายด้วยเรื่องราว
อาจ เป็นสายสัมพันธ์ เป็นความเชื่อใจ เป็นความมั่นใจระหว่างกัน เป็นวุฒิการศึกษา
เป็นความรักความผูกพันของครอบครัว ความเอื้ออารีของญาติมิตร เป็นการเติบโตของความรู้ปัญญา
หรือกระทั่งเป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูง ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นทุนสำหรับ ในทุนชีวิตที่ไม่ใช่แค่เงินทอง

สำหรับมิตรภาพ และต้นทุนแห่งชีวิต
สำหรับ ความร่ำรวยและคำเพื่อน
ผมเคยได้ยินได้ฟัง เพื่อนที่ร่ำรวยในชีวิตบางคน
เปรยออกมาเบาเบาว่าทำไมเพื่อนถึงไม่อยากมากินเหล้าด้วย ทำไมแต่ก่อนในวันที่เราไม่มีเงิน
จนกระทั่งต้องควักเงินมากองรวมกัน ว่ามีกันเท่าไร และมีเงินเหลือขึ้นพอกลับบ้านไหม
หรือวันที่หาเงินมากองรวมกัน เพื่อซื้อข้าวกินด้วยกันหลายคน ทำไมถึงสุขใจ

แต่วันนี้เมื่อมีเงิน ทำไมเพื่อนฝูงหลายคน
จึงห่างหายจากชีวิตในท่ามกลางความร่ำรวย
สำหรับ ผม ในคำตอบที่ผมตอบบ้างและไม่ตอบบ้าง
ในท่ามกลางความร่ำรวยและยากดีมีจน
ผมเชื่อมั่นเสมอถึงการมองชีวิต คิดและมอง
กระทั่งเข้าใจว่าจะยืนอยู่และใช้ชีวิตอย่างไรต่างหาก
หัวใจสำคัญ ในการดูถูกเหยียดหยามหรือให้เกียรติตนเอง
ในท่ามกลางความจริงของ ต้นทุนแห่งมิตรภาพ และต้นทุนชีวิต

สำหรับเพื่อนฝูง มิตรภาพ ความรักและความผูกพัน

ผมเชื่อเสมอว่า ทุนชีวิต ไม่ใช่มีแค่เงินทอง

และเชื่อมั่นเสมอว่า ทุนชีวิตอันยิ่งใหญ่

คือมิตรภาพและความรัก

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




185986-122.jpg
185986-122.jpg [ 28.82 KiB | เปิดดู 6170 ครั้ง ]
ความทรงจำราคาถูก

1 ชีวิตที่เราเกิดมามีเวลาให้เราได้เดินผ่านมันไปแค่ 1 ครั้ง = 1 วินาที
และก็มีเรื่องราวมากมายให้เราได้จดจำทั้งดีและร้าย

บางครั้งบางเรื่องในชีวิตเราไม่จำเป็นต้องจำด้วยซ้ำถ้ามันทำให้เราเจ็บ ...
แต่บางครั้งมันก็น่าจะจำ ถ้ามันเป็นความเจ็บที่น่าจดจำ

ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้นาน
ความสุขมาเป็นแพคคู่กับความทุกข์เสมอ
เมื่อเรารู้จักความสุขเราก็ต้องเตรียมใจรับมือกับความทุกข์ไว้ด้วย
แต่อย่าคิดมากจนลืมความสุขเกินไปล่ะ
สักวันเมื่อเราเจอกับมัน
เราได้ไม่เจ็บจนเกินไป
และชีวิตเราจะต้องเดินต่อไป

อะไรจะดีเท่ากับ ความทรงจำของเราเอง
ของใช้ รูป ยังมีวันสูญเสียไปจากเรา...
แต่ความทรงจำของเราจะอยู่กับเราเสมอไป
ถ้าเรายังไม่เบื่อและทิ้งมันไปเสียก่อน
เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก ว่าเราจะจำ หรือ ลืม ได้เสมอ
ถ้าหัวใจมันยังบวกกับสมองเราอยู่

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




09-monk.jpg
09-monk.jpg [ 51.45 KiB | เปิดดู 6134 ครั้ง ]
ฉันเฝ้าค้นหา ให้รู้ว่า ณ ขอบใจ
ทอดวางอยู่ห่างไหม จากที่ใจฉันหยั่งยืน
คืนแล้ววันพรุ่ง ยังคงมุ่งแสวงหา
แต่ก็กลับดูคล้ายว่า เส้นขอบฟ้าไม่สิ้นลง
ทอโค้งโอบอุ้มโลก อับโชคหรือดวงชะตา
หอบใจวางไว้เบือนหน้า สู่ฟ้ามิเห็นสิ้นสุด
พาฝัน ตามมันไม่หยุดยั้ง ชั่งใจ ยิ่งไกลกว่าไกลโพ้น
คืนแล้วคืนเล่า รุ่งแล้วราตรี
ผ่านผันมานานนับปี ยังมีที่ให้เสาะหา
แต่ในบางครั้ง ไม่หวังวาดไป ไกลจากตัวตน
จนใจรู้นิ่ง ความจริงสว่าง สุดทางยัง ขอบใจ

จำปาขาว เวียงละโว้

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 17 ธ.ค. 2009, 11:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2015, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร