วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 13:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 15:28
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาด้วยค่ะ
ปกติชอบอ่านกลอน
ดีใจค่ะที่ได้อ่านกลอนดี ๆ แบบนี้
:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




1facd22e1e3.jpg
1facd22e1e3.jpg [ 290.99 KiB | เปิดดู 6006 ครั้ง ]
เมืองไทย..เป็นเมือง “ชุ่มเย็น”
ผู้เฒ่าผู้แก่ทางภาคเหนือจะพูดว่า “ เป็นเมืองจุ้มเมืองเย็น “
เพราะเป็นเมืองพุทธศาสนา ..
พูนสุขไปด้วยสินทรัพย์ในดิน ในน้ำและมีป่าเขาอุดมสมบูรณ์
ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียจึงเรียกประเทศไทยว่า”สุวรรณภูมิ“

วิถีแห่งพุทธ ..เป็นแบบแผนของวัฒนธรรมจารีตประเพณี
สอนให้ทำความดี ละเว้นการทำชั่วเป็นเวลาเกือบ 2,000 ปี มาแล้ว
จึงได้หล่อหลอมจิตใจคนไทยให้มีความรักสงบ ไม่นิยมความรุนแรง
มีความเมตตา โอบอ้อมอารี มีมิตรไมตรีต่อกัน รู้จักให้อภัย
ให้โอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเสมอมา

จิตใจอันชุ่มเย็นของคนไทยนี้ ได้แสดงออกมา คือ รอยยิ้มที่สดใส
และคนทั่วโลกต่างประทับใจ ขนานนามประเทศไทยว่า“ สยามเมืองยิ้ม”

แม้วันนี้วิถีดำเนินชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก
ได้ซึมซับกับวัฒนธรรม ค่านิยมสมัยใหม่
ลักษณะงานที่ซับซ้อน ทุกคนต้องรีบเร่งแข่งกับเวลา
เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีปริมาณมากที่สุด
เพื่อความก้าวหน้า เพื่อมีฐานะที่ดี ต้องแข่งขันกันในทุกทุกด้าน
ทำให้สัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และการดูแลใจตนเองลดน้อยลง

แต่สิ่งเหล่านี้ คือ..เปลือกที่หุ้มไว้ภายนอกเท่านั้น
ส่วนที่เป็นรากฝั่งลึกที่อยู่ข้างในจิตใจของคนไทย
ยังคงมีความ “ชุ่มเย็น” ซ่อนอยู่เพราะนั้นคือ
จิตวิญญาณของความเป็นไทยที่แท้จริง
ขอความชุ่มเย็นนี้ได้กลับมาอยู่ในใจของคนไทยอย่างพร้อมเพรียง
จะได้ทำให้เมืองไทย..สงบ..ร่มเย็น..ตลอดไป :b41:

ขอบคุณครับ คุณวรานนท์ คุณเพลิง คุณลุง คุณป้าโคม่า และทุกท่านที่ร่วมอนุโมทนาครับ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 09 ก.ย. 2009, 15:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




05-09-2008_09.gif
05-09-2008_09.gif [ 42.91 KiB | เปิดดู 5909 ครั้ง ]
แวะมาเยี่ยมค่ะ...cool

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2009, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีครับ...คุณลอย :b38:

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2009, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว




00015_29.jpg
00015_29.jpg [ 50.56 KiB | เปิดดู 5903 ครั้ง ]
เหม่อมองดูสายน้ำวน
เหม่อมองสายชล ช่างไหลริน
เหม่อมองดูนกผกผิน บินลับไป
ยามเหงาเราถอนใจ บินไปไม่กลับมา

เปล่าเปลี่ยวจริงหนอ หัวใจ
อยากจะรักใคร เศร้าใจทุกครา
หมดแรงกำลัง อ่อนล้า และหลงทาง
เจ็บนั้น ยังเจ็บมิจาง อ้างว้างดังสายชล

แม้ใจจะเจ็บ เก็บมาคิดๆ
อดีตยังงามล้ำล้น มิเคยลืม ภาพเราสองคน
มิเคยลืม ยังหลอกลวงตน มิเคยลืม

ว่าเคยรักเธอ สายชล
หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ
เหตุการณ์ผ่านไป ยังเผลอพะวงทุกวัน
อกเอ๋ยขมขื่นตื้นตัน จากกันหรือฝันไป ...

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

มะม่วงออกผลงามในยามนี้
อยากชวนพี่คืนนามาเคียงใกล้
เก็บมะม่วงผลงามตามแนวไพร
มาสับใส่ครกตำยำกินกัน

ไม่ต้องกินของแพงแต่งชื่อหรู
ผักริมคูก็กินได้ให้สุขสันต์
บ้านนาเราไม่ต้องแย่งชอบแบ่งปัน
สุขที่ฝันอยู่ไม่ไกลในบ้านนา

หวัดดีคุณลอย..คุณเพลิง..คุณป้า..หนูฟ้า...ทุกๆท่าน
ลุงแวะมาทักทายช้าบ้าง ต้องขออภัยด้วยนะครับ
entry นี้ เขียนขึ้นมาจาก การนั่งมองมะม่วงริมรั้วบ้าน
ต้นนี้แหละน่ะ ที่เห็นตั้งแต่ ออกดอก ร่วงมั่งติดมั่ง
จนกระทั่งมะม่วง เริ่มโตขึ้นมา คิดต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อไหร่จะสุกว้า อยากหม่ำจังเลย อกร่องซะด้วย
ยินว่า เจ้าของเดิมปลูกมาหลายสิบปี
เพิ่งจะออกดอกออกผลนี่แหละครับ
ปีที่แล้ว เห็นอยู่ไม่กี่ผล ยลโฉมได้ไม่นาน จู่ๆ มันก็หายไปซะ
ปีนี้ จะได้มีโอกาสทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
เพราะเมื่อวานตอนเช้า หายไปแล้วพวงหนึ่ง
สงสัยจริงๆว่า ถูกสอย ไปทำน้ำปลาหวาน
หรือเพราะพายุฝนเมื่อคืนก่อน ทำมันร่วงหรือ?

รูปภาพ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 14 ก.ย. 2009, 20:53, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



คุณลุ๊งงงงค๊า!!!!! .. tongue

มะม่วงน้ำปลาหวานนี่ของโปรดน้ำเลยแหละค่ะ

แค่เห็นภาพ ... น้ำลายก็ฟูมปากแล้วค่ะ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว




1112Friday10.gif
1112Friday10.gif [ 305.92 KiB | เปิดดู 5900 ครั้ง ]
:b8: :b27: :b20:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ยามเช้าหากมองไปยังเบื้องหน้า จะเห็นสายหมอกไล่เลียทิวเขาสวยงามยิ่งนัก
รวมทั้งชมภาพประทับใจ วิถีชีวิตริมน้ำโขงของชาวบ้านที่นี่ที่ยังมีให้เห็นไม่เสื่อมคลาย
ครั้งนี้ จะพาไปชม "แก่งคุดคู้" ดูวิถีริมน้ำโขง ท่านสามารถปั่นจักรยานไปชมแก่งคุดคู้
แก่งหินธรรมชาติ ที่มีลักษณะเป็นแก่งหินใหญ่กลุ่มก้อนสีดำ ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง
ในช่วงโค้งของลำน้ำโขงพอดี

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้เข้ามาทำสงครามและยึดครองดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด ชาวเมืองเชียงคานทั้งหมดจึงได้อพยพหนีภัยไปอยู่ที่ เมืองปากเหือง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำเหือง เรียกถิ่นฐานแห่งใหม่นี้ว่า ‘บ้านปากเหือง’ ที่เรียกเช่นนี้เพราะตัวเมืองตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่แม่น้ำเหืองไหลบรรจบ กับแม่น้ำโขง และเมืองปากเหืองเดิมก็ถูกเรียกว่า ‘บ้านปากเหืองเก่า’ ต่อมาได้เปลี่ยนไปเรียกเมืองแห่งใหม่นี้ว่า ‘บ้านเชียงคานใหม่’ เมื่อฝรั่งเศสรุกคืบมาครอบครองแผ่นดินบริเวณแขวงไซยะบุรีเพิ่มเติม ผู้คนจึงพากันอพยพไปอยู่บ้านท่านาจันทร์ ซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง และอยู่ห่างจากอำเภอเชียงคานในปัจจุบันราว ๒ กิโลเมตร ปัจจุบันเรียกว่า ‘บ้านน้อย’

เมื่อลองไล่เลียงสถานะความเป็นมาของเชียงคานแล้วจะ พบว่า การสร้างบ้านแปงเมืองกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เมืองแห่งนี้ก็ไม่เคยตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำแม้แต่ครั้งเดียว นั่นย่อมย้ำเตือนให้เห็นว่า แม่น้ำสำคัญต่อวิถีชีวิตของผู้คนเพียงใด

ปัจจุบันหากพูดถึงเชียงคาน หลายคนคงอดที่จะคิดถึงเรื่องราวของ แก่งคุดคู้ ไม่ได้ และเมื่อลองไปถามคนเชียงคานว่า สถานที่แห่งไหนที่ทำให้คนภายนอกรู้จักเมืองเชียงคานมากขึ้น หลายคนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า 'แก่งคุดคู้'

'แก่งคุดคู้' มีลักษณะเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่ทอดตัวขวางแม่น้ำโขงเป็น เขื่อนธรรมชาติ ในช่วงหน้าน้ำจะจมอยู่ใต้น้ำ ด้วยความที่แก่งคุดคู้เป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ ในยามที่น้ำไหลกระทบจึงเกิดเสียงดังชวนให้หวาดกลัว ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าเรื่องราวการเกิดขึ้น ของแก่งคุดคู้ให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันมาว่า

นานมาแล้วมีนายพรานบ้านอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงคนหนึ่งชื่อ ตาจึ่งคึ่ง -จึ่งคึ่ง เป็นคำขยายลักษณะของนามเพื่อให้เห็นความแจ่มชัด เช่น แดงจึ่งคึ่ง หมายถึงแดงมาก- นายพรานผู้นี้เป็นคนมีรูปร่างสูงใหญ่มีจมูกสีแดงใหญ่โต รูจมูกทั้งสองกว้างมาก ในยามที่ตาจึ่งคึ่งนอนหลับ เด็กๆ ก็แอบเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูกได้อย่างสบาย ('คนไทเลย' จึงมีคำล้อเลียนคนที่ตัวใหญ่จมูกโตว่า จึ่งคึ่งดังแดงนอนตะแคงจู๋ฟ้า เด็กน้อยเล่นสะบ้าอยู่ในฮูดัง)

'ตาจึ่งคึ่ง' เป็นผู้มีความสามารถในการล่าสัตว์ ทั้งบก และน้ำ ความเก่งกาจของพรานจึ่งคึ่งเป็นที่เลื่องลือไปไกลหลายหมู่บ้าน บ่ายวันหนึ่งขณะตาจึ่งคึ่งกำลังหาปลาอยู่ในแม่น้ำโขงสาย ตาก็มองขึ้นไปบนฝั่งแล้วไปสบสายตากับควายเงินตัวใหญ่ยืนกินน้ำอยู่ฝั่งตรง ข้าม ฉับพลันความปรารถนาในการได้กินเนื้อของควายเงินตัวนั้นก็วิ่งเข้ามาเกาะกุม หัวใจ

ตาจึ่งคึ่งจึงวางเครื่องมือหาปลาลงแล้วมุ่งหน้าไปหา อาวุธในการล่าสัตว์ พอได้อาวุธแกก็มุ่งหน้าสู่อีกฝั่งด้วยใจระทึก เมื่อขึ้นฝั่งได้แกก็แอบซุ่มอยู่ตรงพุ่มไม้พร้อมกับยกปืนขึ้นมาเล็งใส่ควาย เงินตัวนั้น

แต่ขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไกปืน ก็พอดีมีเรือสินค้าลำหนึ่งวิ่งมาจากทางใต้ ควายเงินพอได้ยินเสียงเรือสินค้าก็ตกใจวิ่งหนีเข้าป่า กระสุนของตาจึ่งคึ่งที่ปล่อยออกไปจึงพลาดเป้าหมาย

ด้วยความโมโหพ่อค้าที่เป็นต้นเหตุให้การล่าควายเงินตัว นั้นของแกไม่ประสบผลสำเร็จ แกจึงยกปืนขึ้นประทับบ่าแล้วยิงไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง หวังระบายความโกรธที่เกิดขึ้น ด้วยความรุนแรงของกระสุนปืนทำให้ยอดของหน้าผาของภูเขาขาดหวิ่นลง ในเวลาต่อมาหน้าผาของภูเขาลูกนั้นชาวบ้านก็เรียกกันสืบต่อมาว่า ผาแบ่น และหมู่บ้านที่อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงก็มีชื่อเรียกว่า บ้านผาแบ่น (คำว่า ‘แบ่น’ ในภาษาไทเลยหมายถึงขาดออกนิดหน่อย ส่วนในบางจังหวัดของภาคอีสานเรียกว่า ‘บิ่น’ ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน)

หลังจากจมอยู่กับความผิดหวังได้ไม่นาน 'ตาจึ่งคึ่ง' จึงได้คิดค้นหาวิธีที่จะทำให้เรือสินค้าไม่ผ่านมารบกวนการล่าสัตว์ของตัวเอง ตาจึ่งคึ่งจึงมุ่งหน้าสู่ภูเขา เพื่อลำเลียงก้อนหินจากภูเขามากั้นแม่น้ำ เพื่อไม่ให้เรือผ่าน รอบแล้วรอบเล่าที่ตาจึ่งคึ่งเพียรพยายามถมแม่น้ำด้วยก้อนหินจากภูเขา

การกระทำของ 'ตาจึ่งคึ่ง' หาได้หลุดรอดสายตาของ จั่วน้อย-สามเณรที่เฝ้าดูอยู่ไปได้

เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้น 'จั่วน้อย' ก็คิดว่าถ้าตาจึ่งคึ่งนำหินมากั้นแม่น้ำโขงได้สำเร็จ จะสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งคนและสัตว์ที่พึ่งพาอาศัยแม่น้ำโขงใน การดำรงชีพ จั่วน้อยจึงออกอุบายให้ตาจึ่งคึ่งนำไม้ไผ่มาทำเป็นไม้คาน เพื่อจะได้หาบก้อนหินโดยไม่ต้องแบกมาทีละก้อนอีก เมื่อได้ฟัง ตาจึ่งคึ่งก็เห็นคล้อยตาม จึงไปนำไม้ไผ่มาทำเป็นไม้คานหาบหินจากภูเขาลงมาถมแม่น้ำ

ในระหว่างที่หาบไปหลายรอบ ไม้ไผ่ที่นำมาทำไม้คานเริ่มกรอบแห้ง
และในที่สุดก็รับน้ำหนักหินไม่ไหว แล้วหักลง ความคมของไม้ไผ่ที่นำมาทำเป็นไม้คาน
ซึ่งตอนนี้ได้หักลงได้บาดเข้าที่คอของตาจึ่งคึ่งจนถึงแก่ความตาย
ร่างของตาจึ่งคึ่งนอนตายในลักษณะคุดคู้ เพราะความทรมานก่อนที่จะสิ้นใจตาย
ชาวบ้านชาวเมืองจึงเรียกลักษณะการนอนตายของตา จึ่งคึ่งว่า 'คุดคู้'
และแก่งหินที่ตาจึ่งคึ่งเอาหินมาถมทับลงไปในแม่น้ำนั้นว่า ‘แก่งคุดคู้’

(สามเณร..คนไทเลยเรียกว่าเชียง)..ด้วยอุบายเรื่องคานไม้ไผ่..จึงเรียกว่า..เชียงคาน
เชียงคานเป็นอำเภอชายแดนของจังหวัดเลย เป็นเมืองริมแม่น้ำโขงที่สงบเงียบ
อยู่ห่างจากตัวเมืองเลยราว ๕๐ กิโลเมตร และมีสถาปัตยกรรมทางศาสนาคล้ายคลึงกับทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงไม่ ได้แตกต่างจากอำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายเท่าใดนัก แต่จุดที่แตกต่างกันออกไปคือสำเนียงในการพูด คนทั่วไปได้ให้นิยามสำเนียงการพูดของคนจังหวัดเลยว่า สำเนียงการพูดแบบ 'คนไทเลย'

ช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการชมแก่งคุดคู้ คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม
มีแหล่งที่พักและร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย
แล้วอีกอย่างที่พลาดไม่ได้ ถ้ามาแก่งคุดคู้
อย่าลืมแวะชิมกุ้งเต้นแม่น้ำโขง รสชาติอร่อยเหอะอย่าบอกใคร
ไม่งั้น..เค้าว่ามาไม่ถึงแก่งคุดคู้นะครับ ... ผม
รูปภาพ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 15 ก.ย. 2009, 18:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




20080131-0343352.jpg
20080131-0343352.jpg [ 141.22 KiB | เปิดดู 5839 ครั้ง ]

cool

มีเรื่องมาเล่าแจมๆด้วยค่ะ
พอดีมีเพื่อนอยู่เมืองเลย เพื่อนเคยพาไปเที่ยวที่เมืองเชียงคาน
ที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องผ้าห่วมนวมที่ทอมือจากฝ้าย

เขาพาไปทานกุ้งเต้นที่ริมแม่น้ำ มันยังเป็นๆอยู่เลย
แต่ตัวเองไม่ได้ทานหรอกค่ะ เพราะทานไม่เป็น แล้วที่สำคัญทานไม่ลง
ร้านค้าจะปลูกเป็นกระท่อม อากาศดีมากๆ ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไหร

พอพูกถึงแก่งคุดคู้ ก็น่าจะเอ่ยถึงเจ้าพ่อ กุดปล่องด้วย ถ้าจำไม่ผิดนะคะ
ก้อนหินที่แก่งคุดคู้ เม็ดจะสวยมากๆ เป็นหินก้อนไม่ใหญ่มาก
แต่เขามีเรื่องเล่ามาประมาณว่า ดูแต่ตา แต่ห้ามนำกลับบ้าน
ไม่งั้นเจ้าพ่อกุดป่องจะตามหินของท่านถึงบ้าน
น้ำเองก็หยิบมาด้วยค่ะตอนแรก หินมันจะเนื้อเนียนมากๆ แบบว่าชอบค่ะ
แต่ต้องเอาวางกลับคืนที่เดิม เนื่องจากกลัวเจ้าพ่อกุดป่องท่านจะตามไปเที่ยวที่บ้านด้วย :b32:

แล้วถ้าไปเมืองเลยก็อย่าลืมแวะเที่ยวภูกระดึงด้วยนะคะ
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกเลยค่ะ บรรยากาศข้างบนสวยงามมากๆ
ต้องไปหน้าหนาวดีที่สุด หนาวเข้ากระดูก อาบน้ำได้แค่ตอนเที่ยง
เวลาอื่นๆ อาบไม่ได้เลย เวลาพูดควันจะออกปาก
คุยถึงเรื่องเกี่ยวกับป่าแล้วจะชอบมากเลยค่ะ
คุณลอยโชคดีจังเลยนะคะได้ทำงานใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ :b16:

ส่วนภาพประกอบที่คุณลอยนำมานั้น เป็นภาพที่ชอบนะคะ เพราะเป็นคนชอบภูเขากับป่า
ตรงไหนๆที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับป่า แม่น้ำ น้ำตกนี่จะชอบเป็นพิเศษ
มากกว่าที่จะชอบทะเล ลมทะเลนี่ไม่ไหว นอกจากจะทำให้ตัวเหนียวแล้วยังทำให้ตัวดำได้ด้วยค่ะ
บ้านอยู่ใกล้ทะเลค่ะ :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 16 ก.ย. 2009, 22:36, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โน๊ตบุ๊คที่โบราณที่สุดในโลกกก!!
รูปภาพ
สุดบรรยายกับ โน๊ตบุ๊คยุคเครื่องจักรไอน้ำ ที่ทำออกมาได้แบบว่าโบราณสุดๆเลยครับ
เห็นแล้วอึ้ง แต่ว่ามันกลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้ใครต่อใครหลายคนอยากเห็น อยากชมมัน
แถมดูเหมือนกับว่าเป็นกล่องเพลงโบราณอีกต่างหาก
รูปภาพ
โน๊ต บุ๊คโบราณรุ่นนี้ สร้างจากฝีมือช่างไม้ ด้วยการใช้โน๊ตบุ๊ค HP ZT1000
ฝังลงไปข้างในสามารถรันการทำงานได้ทั้ง Winsdows XP และ Ubuntu Linux
โดยมีฟีเจอร์เด่นอยู่ที่ นาฬิกาด้านหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบกระจก
แถมยังทำให้คีบอร์ดกับเม๊าท์กลายเป็นของโบราณอีกด้วย มีซีดีรอมที่เปิดใช้งานได้จริง
เทห์มากๆ เลยครับ
รูปภาพ
ว่ามันถูกโมดิฟายด์มาให้โบราณได้ขนาดไหน
ที่สำคัญที่สุดคือสามารถใช้งานได้จริงครับ
แบบนี้คงมีโอกาสตะเวนโชว์ตัวทั่วโลกแน่นอนครับ
รูปภาพ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ยอดหญ้าไหวพลิ้วล้อลม
สายลมล่องลอยปล่อยใจไปทายทัก
ดอกไม้ข้างกอหญ้า..ขอสัมผัสสายลมอ่อน ๆ บ้างได้ไหม
สายลมเมินเฉย ล่องลอยไปที่อื่นแสนไกล
เจ้าดอกไม้ร่ำไห้สายลมเฉยชา
เจ้ายอดหญ้าหัวใจ...ก็เจ็บไม่ต่างกับเจ้าดอกไม้...สักนิดเดียว

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b48: cool tongue :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




m164891.jpg
m164891.jpg [ 177.51 KiB | เปิดดู 5761 ครั้ง ]
"กำแพงเมืองจีน" ที่เราอาจไม่รู้

วันนี้จะนำเสนอเรื่องราวความจริง เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน อาจไม่เคยรู้มาฝากกันครับ

กำแพงเมืองจีน (จีนตัวเต็ม: 長城; จีนตัวย่อ: 长城; พินอิน: Chángchéng ฉางเฉิง) กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นกว่า 2000 ปี มาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิ์องค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยกษัตริย์องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่ เคยมีมา

มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนที่หลายๆ คนยังไม่เคยทราบมาก่อน

1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low Earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน

2. กำแพงเมืองจีนไม่ไช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร

3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ไว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้าน คนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง

4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร

5. การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฎภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก

6. กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ300ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ีนี้้ยังมีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง

7. กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขี้น

8. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณ ใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่ากำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน

9. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่า นั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจ ประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 24 ก.ย. 2009, 10:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




32_53.jpg
32_53.jpg [ 126.74 KiB | เปิดดู 5756 ครั้ง ]
ลิงกังเผือก
พิมพ์ไทยออนไลน์ // ชาวสวนยางยะลา ดักลิงกังเผือกได้ ชาวบ้านที่ทราบข่าว แห่ไปดูเป็นจำนวนมาก พบ มีนิสัยดี ไม่ตื่นคน ชอบดื่มนมแทนน้ำ อยู่ระหว่างการหารือ ประสานงานกับผู้ใหญ่ใน จังหวัด เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน ในการถวาย ลิงกังเผือก ดังกล่าว แด่ในหลวง

วันที่ (7 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับแจ้งจาก นายเลาะแม อาบู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 บ้านจะกว๊ะ ต.จะกว๊ะ อ.รามัน ว่า มีชาวบ้านพบ ลิงกัง ลักษณะขนสีขาวเผือกทั้งตัว หลังได้รับแจ้ง จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบที่บ้าน ไม่มีเลขที่ บ้านกาเยาะมาตี หมู่ที่ 2 ต.จะกว๊ะ ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายตอเละ ยาแม อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 1 ต.จะกว๊ะ เจ้าของลิงกังเผือก

ระหว่างทาง ผู้สื่อข่าวต้องขับขี่รถยนต์ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพซอยเล็ก ๆ ภายในหมู่บ้าน ซึ่งเป็น ถนนลาดปูนซิเมนต์ แคบๆ ห่างจาก ถนนสายหลัก ภายในหมู่บ้านประมาณ 100 เมตร เต็มไปด้วยผู้คน ทั้งขี่รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และเดินเท้า มุ่งหน้าไปยังบ้านของ นายตอเละ อย่างเนืองแน่นหลายร้อยคน บางคนก็จูงลูกจูงหลาน เพื่อไปดูและสัมผัสกับ ลิงกังเผือก ด้วยมือตนเอง บางคนเข้าไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่งทุกคนที่ไปดู ได้ช่วยกันบริจาคเงินใส่ลงในปี้บ ที่เจ้าของลิงกัง ได้ตั้งไว้ที่หน้ารั้วไม้ที่ขังลิงไว้ บางคนได้ซื้อกล้วยไปให้บางคนนำนมมาให้

นายตอเละ เจ้าของ ลิงเผือก บอกว่า ตนมีอาชีพรับจ้างกรีดยาง และใช้เวลาว่างวางกับ ดักลิงกัง บนเทือกเขาบูโด ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนยาง โดยได้สร้างกรงวางกับดัก ลิงกัง มาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้สักตัวเดียว และเมื่อ วันที่ 25 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา ตนได้ดูกรงกับดักที่วางไว้ ทำให้ตนตกใจแทบใจจะขาด เมื่อได้เห็นมี ลิงกังตัวใหญ่ มีขนสีเผือกทั้งตัว เมื่อได้สติแล้ว จึงได้นำลิงดังกล่าวออกมา และนำกลับมาบ้าน ปรากฏว่า ลิงมีนิสัยดีมาก ไม่เหมือนกับ ลิงกังป่า ที่ชาวบ้านเคยได้มา ที่มาใหม่จะตื่นคนบ้าง แต่ตัวนี้ ไม่มีอาการตื่นคนแต่อย่างใด

ตนจึงได้ทำรั้วไม้ข้างบ้าน เลี้ยงไว้เป็นอย่างดี นิสัยพิเศษของลิงตัวนี้คือ ไม่ดื่มน้ำ แต่จะดื่มนม และ ไม่กินข้าวที่ชาวบ้านป้อนให้อีกด้วย หลังจากที่มีข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้มีชาวบ้านจากสารทิศทั้งในเขต อำเภอรามัน และ อำเภอใกล้เคียง ต่างได้จูงลูกเด็กเล็กแดง มาดูเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ยแล้ว วันหนึ่งไม่น้อยกว่า 500 – 600 คน ตนจึงได้ตั้งตู้รับบริจาค เพื่อใช้เป็นค่าอาหารลิงด้วย

ด้าน นายหาเส็ง การียา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน "บ้านกาเยาะมาตี" หมู่ที่ 2 ต.จะกว๊ะ เพื่อนบ้านของ นายตอเละ เจ้าของ "ลิงกังเผือก" เปิดเผยว่า หลังจากที่มีข่าวออกไป มีชาวบ้านแห่มาดูเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่มาดู บอกว่า ในชีวิตไม่เคยเห็น ลิงกังเผือก ลักษณะอย่างนี้ นอกจากนี้ ยังมีนิสัยดี น่ารัก ดูขนตามตัวสะอาด นายตอเละ บอกว่า ถ้าเป็นไปได้ ขอถวายแด่ในหลวง ซึ่งขณะนี้ ทางผู้ใหญ่บ้าน กำลังหารือประสานงานกับ ผู้ใหญ่ในจังหวัด เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน ในการจัดถวายแด่พระองค์กันต่อไปแล้ว.

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร