วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 146 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b41: :b51: :b53: ความสุขที่เลือนหายไป :b53: :b51: :b41:

:b46: ศิษย์ “อาจารย์ครับทำไมทุกวันนี้ดูเหมือนความสุขของเราจะมีน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่ เมื่อก่อนดูเหมือนอะไรมันดูไม่วุ่นวายความสุขก็ดูจะหาไม่ยาก ไม่เหมือนทุกวันนี้เลยครับ”

:b48: อาจารย์ “ก็เพราะ เราไม่รู้จักความสุขเราจึงหาความสุขไม่พบน่ะซิ”

:b46: ศิษย์ “ทำไมจะไม่รู้จักละครับ ทุกคนก็ดิ้นรนแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งนั้น”

:b48: อาจารย์ “ สิ่งที่เราแสวงหากัน มันเป็นความสุขที่ต้องแสวงหามาและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เราต้องลงทุนสร้างความทุกข์จากความอยากขึ้นมาก่อน แล้วเราจึงจะได้ความสุขมาตอบสนอง

เราต้องลงแรงกายแรงใจ ทำงานหาเงินมาเพื่อใช้แสวงหาความสุข แต่เรากลับได้ความสุขมาครอบครองได้ไม่นาน แล้วความสุขก็กลับเลือนหายไป สิ่งต่างๆที่เราได้มาอาจจะยังอยู่แต่ความสุขนั้นกลับจืดจางลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนๆจะได้มาแต่ไม่เคยได้มาจริงสักที จิตใจที่คอยแต่จะหิว จะอยาก จึงดิ้นรนตลอดเวลา

อีกประการหนึ่งก็คือ ความสุขของเราไม่เคยอยู่ในปัจจุบัน มันอยู่ในเงื่อนไข อยู่ในความหวัง อยู่ในอนาคต ถ้าเราทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วเราจะมีความสุข”

:b46: ศิษย์ “อาจารย์ช่วยอธิบาย สักน่อยครับ”

:b48: อาจารย์ “ลองคิดย้อนดูตอนเด็กๆ เราคิดว่าเราเรียนหนังสือจบ ถ้ามีงานทำ เราจะมีความสุข สักพักถ้าเรามีแฟน เราจะมีความสุข ต่อมาถ้าเรามีลูก เราจะมีความสุข ต่อมาก็มีต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บพอสมควรเราจะมีความสุข พอแก่มากๆมีโรคประจำตัวรุมเร้าทุกข์ทรมาน ก็คิดว่า ถ้าเราตายไวๆแล้วเราคงจะมีความสุข ความสุขไม่เคยอยู่ในปัจจุบันเลย มันมีแต่ข้อแม้ตลอดเวลา เราวิ่งหาความสุข จนเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต”

:b46: ศิษย์ “แหมอาจารย์พูด จนผมหมดแรงเลย แล้วตัวความสุขมันเป็นอย่างไร เผื่อผมจะหาความสุขได้ง่ายขึ้นสักหน่อย”

:b48: อาจารย์ “จงจำไว้สุขและทุกข์คือสิ่งเดียวกัน มันเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เสมือนเหรียญที่ย่อมมีสองด้าน เสมือนต้นไม้และผลไม้ เราต้องลงทุนปลูกต้นไม้แห่งความทุกข์ อันได้แก่ความอยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ลงในใจของเราก่อน เราทำกรรมต่างๆเปรียบเสมือนให้ปุ๋ยและน้ำ เฝ้ารออย่างทรมานใจ แล้วต้นไม้จึงจะมีดอกและผลออกมา

ความสุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวแต่เราต้องทุกข์ทรมานอยู่เนิ่นนาน ครั้นเราได้กินผลไม้จนหมดแล้ว เราก็ต้องบำรุงต้นความทุกข์อีก ต้องให้รากเจาะชอนไชหัวใจอันบอบช้ำของเราจนอิ่มหนำ แล้วก็จะได้ผลแห่งความสุขมาสักผลสองผลกันได้ มันช่างไม่คุ้มกับการลงทุนเสียจริงหัวใจเราจึงไม่เคยอิ่มไม่เคยพอ

ปกติทุกข์นั้นเกิดตลอดเวลา ทั้งทางกายและทางใจ ทางกายก็ได้แต่ความปวดเมื่อย โรคภัย ความแก่ชราของร่างกาย

ทางใจเราก็ต้องการอารมณ์ดีๆเข้ามา เราจึงเที่ยวหาการเปลี่ยนแปลงเพื่อมาดับทุกข์ เราต้องการคนมาพูดด้วย มาเอาใจ แต่ก็ไม่มีใครจะดีกับเราตลอดเวลา ถ้าเรากินอาหารที่เราชอบที่สุด แต่ให้เรากินทุกวัน เราก็จะเบื่อจนกินไม่ลง เราดูหนังเรื่อง ฟังเพลงเพลงเดียวทุกวันก็ทนไม่ได้ ที่เราอยู่กันได้เพราะมีการเปลี่ยนแปลงพอจะทำใจให้เพลิดเพลินไปแค่นั้นเอง”

:b46: ศิษย์ “อาจารย์พูดแล้วทำให้ผมรู้สึกว่าดูๆไปแล้วทุกข์จะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ส่วนสุขก็เป็นแค่การแก้อาการของความทุกข์เป็นคราวๆไปแค่นั้นเอง
ถ้าอย่างนั้นถ้าเราอยากมีความสุขจริงๆเราต้องทำอย่างไรครับ”

:b48: อาจารย์ “เราต้องรู้จักความสุขแบบที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นหรือผู้อื่นบ้าง เช่นความสุขจากการไม่ทำชั่วต่อตนเองและผู้อื่น ความสุขที่ได้จากการพักผ่อนนอนหลับเต็มที่ ความสุขจาการใช้ชีวิตเหมาะสมกับฐานะและรายได้ ความสุขจากการทำทานรักษาศีล ความสุขจากการนั่งสมาธิทำใจให้สงบ เพื่อให้ใจได้พักผ่อนบ้าง

ที่สำคัญคือความสุขจากการมีสติในชีวิตประจำวัน การมีสติจะทำให้ชีวิตกลับมาสู่ปัจจุบัน ไม่ฝากความหวังไว้กับเงื่อนไขและความอยาก เมื่อมีสติตื่นขึ้นมา จิตใจก็จะเป็นกุศลจะมีความสุขเนื่องจากการไม่เผลอปล่อยใจให้ต้องเป็นทุกข์กับความคิดที่เกิดขึ้นมา การรับรู้ด้วยความรู้สึกที่เป็นกลาง จิตใจก็จะมีความสุขได้เองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

จิตโดยแท้จริงก็มีความสุขอยู่แล้วตามธรรมชาติ ยิ่งเมื่อมีปัญญาเห็นความจริงว่ากายและใจนี้เราควบคุมไม่ได้จริง เรามีสติรู้ที่กายและใจอยู่เสมอ สติจะตั้งมั่นกลายเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่เฉยๆ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป โดยเราไม่เป็นทุกข์ด้วย นี่แหละคือปัญญา บางครั้งที่มีความอยากเกิดขึ้น ถ้าเรามีสติ เราก็จะเห็นความทุกข์เกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มอยากทั้งร้อนทั้งแน่นในอก เราก็จะไม่พยายามสร้างความอยากเพราะเห็นทุกข์อย่างรวดเร็ว เป็นการคุ้มครองตัวจากตัณหา ราคะ ที่จะเข้ามาทางตา หู ทางความคิด

เมื่อมีปัญญาถอนความยึดมั่นในตัวเราเพราะเห็นว่ากายและใจนี่แหละเป็นความทุกข์ เราก็ไม่ต้องคอยแสวงหาความสุขให้กายและใจอีกต่อไป จิตใจก็มีความสุขเต็มขึ้นมาได้เอง นี่แหละเป็นความสุขที่เกิดในใจของผู้ที่รู้จักการเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นความสุขที่เป็นเป้าหมายของศาสนาพุทธเลยทีเดียว”

:b46: ศิษย์ “ฟังแล้วค่อยมีกำลังใจหน่อย เพราะความสุขอย่างหลังนี้ดูจะไม่ไกลตัวของเราเลย ความสุขที่แท้จริงก็มีอยู่แล้วในใจของเรานี่เอง เพียงแค่เราเรารู้จักมัน ทำในสิ่งที่เป็นกุศล และคอยมีสติในปัจจุบันอยู่เสมอๆขอบพระคุณอาจารย์มากครับ”

รูปภาพรูปภาพ

ที่มา :variety.teenee.com

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จูฬกเศรษฐีกับคนใช้

รูปภาพ


วันหนึ่งจูฬกเศรษฐี แห่งเมืองพาราณสี เดินทางไปพระราชสำนัก เพื่อเข้าเฝ้าพระราชา ติดตามด้วยคนรับใช้คนหนึ่ง ระหว่างทางพบหนูตายตัวหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า...

"คนที่มีสายตายาวไกล เอาหนูตายตัวนี้ไป อาจหาเงินได้พอเลี้ยงครอบครัวและรับใช้ประเทศชาติได้"

เพียงหนูตายตัวเดียวนี่นะ จะบันดาลผลไพศาลอะไรปานนั้น คนรับใช้คิด พอดีเศรษฐีพูดต่อว่า ข้าตรวจดูฤกษ์ยามแล้วเวลาที่ข้าพบหนูตายเป็นฤกษ์งามยามดี ใครก็ได้ที่เอาหนูตัวนี้ไปจะเจริญรุ่งเรือง

อัศจรรย์ปานนี้ ใครมันจะไม่เอา คนรับใช้คิด เขาจึงเอาหนูตายตัวนั้นติดตัวไป ได้มาแล้วก็มานั่งคิดว่า เอ จะเอาไปทำอะไร เอาละวะ เอาไปขายดีกว่า ว่าแล้วเขาก็นำไปขายในตลาดเพื่อเป็นอาหารแมว คนเลี้ยงแมวให้เงินมากากณิกหนึ่ง แกก็เอาเงินนั้นไปซื้อน้ำอ้อยหม้อหนึ่ง เอาไปแจกจ่ายให้ช่างทำดอกไม้ซึ่งไปเก็บดอกไม้ในสวนกลับมาให้ดื่มฟรีคนละจอกสองจอก พวกช่างดอกไม้ก็เห็นในความมีน้ำใจ จึงแบ่งดอกไม้ให้เขาส่วนหนึ่ง

เขาขายดอกไม้เหล่านั้นได้เงินมา 8 กหาปณะ กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาเงินนี้ไป "ต่อทุน" อย่างไร บังเอิญคืนหนึ่งมีพายุฝนกระหน่ำต้นไม้โค่นล้มระเนระนาด โดยเฉพาะพระราชอุทยาน ต้นไม้โดนพายุพัดโค่นล้มจำนวนมาก คนเฝ้าอุทยานไม่อาจขนไม้ไปทิ้งได้

บุรุษหนุ่มจึงไปเสนอตัวขอขนต้นไม้ให้ แต่ขอแบ่งเศษไม้ไปทำฟืนบ้าง คนเฝ้าอุทยานบอกว่า ท่านเอาไปหมดเลย ขอแต่ให้ขนออกจากสวนให้หมด

เขาไปซื้อน้ำอ้อยมาแจกเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ ขอแรงให้ช่วยขนไม้มาตัดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย มัดเป็นมัดๆ ขนไปกองไว้ที่ประตูอุทยาน ช่างหม้อหลวงซื้อฟืนเหล่านั้นด้วยเงิน 16 กหาปณะ และแถมตุ่มน้ำให้หลายใบ

เขาตั้งตุ่มน้ำไว้ที่ประตูพระนคร บริการคนขนหญ้า 500 คนด้วยน้ำเป็นประจำ จนพวกคนขนหญ้าพูดกับเขาว่า "ท่านมีอุปการคุณแก่พวกเรามาก จะให้พวกเราช่วยอะไรได้บ้าง" เขากล่าวว่า เอาไว้ก่อน ถ้าข้าพเจ้ามีธุระจะไหว้วานท่านแล้วจะบอก

บุรุษหนุ่มวิสัยทัศน์กว้างไกลรายนี้ ไปตีสนิทกับพ่อค้าผู้ประกอบการทั้งทางน้ำและทางบก จนรู้จักสนิทสนมกันดี วันหนึ่งพวกพ่อค้าทางบกมาบอกข่าวว่า พรุ่งนี้พ่อค้าม้า 500 ตัว จะนำม้าเข้าเมือง เขาได้ยินดังนั้นจึงรีบไปหาพวกคนขนหญ้า ขอหญ้าจากพวกเขาคนละฟ่อน แล้วขอร้องพวกเขาว่า เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ได้ขายหญ้า ขอพวกท่านอย่าเพิ่งขาย พวกคนขนหญ้าเขาก็ยินยอม เพราะบุรุษนี้มีบุญคุณต่อเขา เขาขายหญ้าให้พ่อค้าม้าเหล่านั้นได้เงินมา 500 กหาปณะ

จากนั้นมาไม่นาน เขาก็หันไปติดต่อประสานงานค้าขายกับพวกพ่อค้าเรือ ด้วยความชาญฉลาดและไหวพริบของเขา ทำให้เขาได้เงินมามากถึง 200,000 กหาปณะ มีฐานะร่ำรวยขึ้นชั่วเวลาไม่นาน

เขานึกถึงบุญคุณของจูฬกเศรษฐี จึงนำเงินหนึ่งแสนบาทไปให้ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เศรษฐีไม่รับเงินนั้น คิดว่า "หนุ่มคนนี้ไม่ควรเป็นคนรับใช้เราอีกต่อไป" จึงยกธิดาให้แต่งงานกับเขา

เป็นอันว่า เด็กหนุ่มผู้ขยัน มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้เป็นทั้งเศรษฐี และลูกเขยเศรษฐี ด้วยประการฉะนี้แล....



พุทธศาสนสุภาษิต

อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

การงานไม่คั่งค้างสับสน เป็นมงคลอย่างสูงสุด



อติสีตํ อติอุณฺหํ อติสายมิทํ อหุ

อติ วิสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว

ประโยชน์ทั้งหลายย่อมล่วงเลยคนผู้ทอดทิ้งการงาน

ด้วยอ้างว่าหนาวนัก ร้อนนัก เย็นเสียแล้ว

รูปภาพรูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b53: :b51: :b53: :b51: :b53: :b51: :b53: :b51: :b53: :b53:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

การตำหนิติเตียนผู้อื่น...ไม่ดีเลย
: คำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริง
ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง...ให้ขุ่นมัวไปด้วย

ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่น...จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น
นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม...ไม่มีดีเลย
จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนา...มาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง
เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน
งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย

ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว
แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง


คัดลอกจาก...
http://www.84000.org/
ที่มา : คัดจากหนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ
รูปภาพรูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b48: เรื่อง : ธรรมะ เสมือนลมหายใจ :b48:


:b55: "อาจารย์ครับ ผมก็ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว ทำไมผมรู้สึกไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ธรรมเลย ผมรู้สึกท้อแท้ครับอาจารย์"

:b39: "ก่อนที่ครูจะสอนเธอต่อไป ในความคิดของเธอ เธอคิดว่าการปฏิบัติธรรมนี้เปรียบเสมือนการกระทำอะไร ดังต่อไปนี้ ?"

"เสมือนการเรียนในโรงเรียน
เสมือนการรักษาโรคทางใจ
เสมือนการสั่งสมบุญ
เสมือนการได้พักใต้ร่มเงาไม้ใหญ่หรือ ศาลาริมทาง
เสมือนการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้

:b39: ถ้าเธอเปรียบเสมือนการเรียนในโรงเรียน เธอ จะต้องการเรียนให้ได้คะแนนสูงๆ เกรดดีๆ ไม่น้อยหน้าใคร เธออยากจบไวๆ เธอจะมีแต่ความโลภ นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

:b39: ถ้าเธอมองว่าเป็นยารักษาโรคทางใจ เธอจะเฝ้าเพียรถามหมอว่าเมื่อไหร่โรคจะหายเสียที ฉันเสียเงิน เสียเวลามามากแล้วนะ เธอจะมีแต่ความโกรธ นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

:b39: เสมือนการสั่งสมบุญ เธอจะมีเวลาให้การปฏิบัติน้อย แต่มุ่งแต่จะสั่งสมบุญเพื่อเป็นเสบียงเพื่อเดินทางในภพหน้า เพราะมิใช่เป้าหมายที่เธอหวัง นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

:b39: เสมือนการได้หยุดพักใต้ร่มเงาไม้ใหญ่หรือศาลาริมทาง เธอจะพอใจที่จะพักใจคลายทุกข์ชั่วคราว หรือเธออาจจะภูมิใจในความสุขอันเนื่องจากสมาธิ จะทำให้ไม่ก้าวหน้า เพราะทำให้การเดินทางยาวนานยิ่งขึ้น นี่คือโทษของการคิดแบบนี้

:b39: เสมือนการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ เธอจะจ้องแต่เป้าหมายด้วยจิตใจที่รุ่มร้อน อยากให้ถึงเส้นชัยเร็วๆ เธอจะไม่ใช้ชีวิตในปัจจุบัน เธอจะขาดสติ นี่คือโทษของความคิดแบบนี้"

:b55: "แล้วผมควรคิดอย่างไรดีครับ ?" ลูกศิษย์ใจร้อนถาม

:b44: "เธอควรคิดว่า ธรรมะนี้เปรียบเสมือนลมหายใจของเธอ เธอจะขาดเขาไม่ได้ และเขาจะอยู่กับเธอจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าเธอจะสนใจเขาหรือไม่ เขาก็จะอยู่กับเธอ เป็นเพื่อนเธอ เพียงแต่เธอใส่ใจกับเขา เรียนรู้ที่จะมีสติระลึกถึงเขาเสมอๆ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอมีชีวิตในปัจจุบัน ไม่มุ่งหวังอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่อาลัยอดีตที่ล่วงไปแล้ว เขาจะทำให้เธอกลับมารู้กายและใจในปัจจุบัน

:b44: เธอย่อมไม่ทวงถามเขาว่าเมื่อไหร่ ฉันจึงจะจบหลักสูตรการปฏิบัติธรรมเสียที อย่างเนรคุณ เพราะไม่ว่าอย่างไร เธอก็ยังต้องหายใจอยู่ ตลอดชีวิต

:b44: เธอย่อมไม่ทวงถามว่าเมื่อไหร่ฉันจะหายจากโรคทางใจเสียที เพราะเขาจะยังอยู่เป็นเพื่อนเธอต่อไปแม้เธอจะหายจากโรคคือกิเลสและความทุกข์ อย่างไรเธอก็ยังต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรมตลอดไป

:b44: เธอย่อมไม่มัวหลงในบุญ ที่สุด เพราะการกำหนดลมหายใจนี้ เลยขั้นทานและศีลแต่เลยไปถึงขั้นภาวนา เธอย่อมได้รับผลบุญอันคือความ ปีติในปัจจุบันนี่เอง

:b44: เพราะการกำหนดลมหายใจ จะพาเธอสู่การปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุดอยู่แล้ว เธอไม่ต้องกลัวว่า วิถีทางนี้จะเนิ่นช้าแต่อย่างไร

:b44: ถ้าจะสรุปสั้นๆ ให้จำง่ายๆ ก็คือ ธรรมะเสมือนลมหายใจของเรา การปฏิบัติธรรมก็คือ การหายใจอยู่ในปัจจุบัน นั่นเอง

:b44: เธออาจคิดว่าสิ่งนี้ยากเกินไปที่จะทำได้ อยากถามว่า เธอเสียลมหายใจไปเท่าไหร่แล้วในชาตินี้ และ เสียมาแล้วกี่ชาติ ทำไมเธอไม่สำนึกถึงคุณค่าของเขา เรียนรู้และมีสติกับเขาเพื่อที่เขาจะได้เป็นเพื่อนที่ดีกับเธอไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต "


:b55: "ครับอาจารย์ " ลูกศิษย์จ้องมองใบหน้าของอาจารย์ ดวงตาฉายแววนักสู้ อิ่มเอิบด้วยกำลังใจ ก่อนเดินจากไปด้วยกิริยานอบน้อม

..:b42: ธรรมะเสมือนลมหายใจของเรา การปฏิบัติธรรมก็คือ การหายใจอยู่ในปัจจุบัน :b42:..



รูปภาพรูปภาพ

ที่มา:เวป http://www.satabun.com

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 24 ก.ย. 2009, 10:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง
.
แก่นสารของพุทธศาสนาคืออะไร
ปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร
ปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากความยึดมั่น
เลิกเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นตัวเป็นตน
.
คนเราพากันหวงทุกข์ไว้ กอดทุกข์ไว้แนบอก
แบกทุกข์ไว้หลังแอ่นยังไม่รู้ตัว
มีคนบอกให้ทิ้งยังร้องอีกว่าเรื่องอะไรจะทิ้ง.
.
........ทุกข์นี้ของใคร ใช่ของเรา หรือของเขา........
.
ทิ้งทุกข์ ทิ้งสัมภาระพะรุงพะรังทั้งปวง เมื่อใด
.
เมื่อนั้นจึงพบสุขที่แท้จริง


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: หัดมองในแง่ดี ชีวิตจะมีสุข :b39:

* วันนี้มีเรื่องราวดี ๆเพื่อมาช่วยเติมคุณค่า ให้ข้อคิดแก่ชีวิต เขียนโดย
ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากหนังสือ ชีวิตงาม เล่มที่ 8 หน้าที่ 41*

รูปภาพ

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทุกๆ เช้า
ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบนบ้าน
และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
“เพื่อนบ้านเรานี่ ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน
ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร
หรือใช้วิธีซักอย่างไร”

สามีก็ตอบว่า “อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน”
แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้า และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า
“ เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว...”

ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี ด้วยความแปลกประหลาดใจ
“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด
อยากรู้เหลือเกินว่า
เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือทำอย่างไร..”

สามีหัวเราะและกล่าวว่า “นี่..ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน
เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด ไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด.. ก่อนหน้านี้
กระจกมันสกปรก
เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความ สกปรก ! ...”

มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป
เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆ ตัว
แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก
เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบๆ ตัวเรา
เราต้องเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว... สิ่งที่เราเห็น
มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
และจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว
จิตใจก็ไม่สงบ
เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความทุกข์

ดังนั้น ให้เราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี
จิตใจก็จะเบิกบานและมีความสุข...
รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 06:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:: คืนนั้นเมื่อไฟดับ ::
:b46: :b51: :b53: :b51: :b53: :b51: :b53: :b51: :b46:

มันเป็นคืนที่หนาวเหน็บ ท้องฟ้ามืดมองไม่เห็นแม้แต่แสงดาว แล้วก็มีพายุแรงจัด......
:b53: กรุณาอ่านให้จบก่อน แล้วดูภาพ :b53:

มันเป็นคืนที่หนาวเหน็บ ท้องฟ้ามืดมองไม่เห็นแม้แต่แสงดาว
แล้วก็มีพายุแรงจัด......
ไฟฟ้าดับทุกอย่างมืดสนิท.... แล้วเราทั้งสองก็เกิด
อารมณ์แบบว่าห้ามใจตัวเองไม่อยู่..............
และเวลานั้นเราทั้งสองก็รู้ว่า
เราทั้งสองต้องอยู่ด้วยกัน.............
เรารู้ ว่าสิ่งที่มันกำลังจะเกิดมันผิด............
แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่เราทั้งสองฝ่ายอยากให้เป็น....................
เราห้ามอารมณ์ไม่ไหว.............
ทันใดนั้นไฟฟ้าก็มา...................
สว่างพรึบขึ้นมาทันที !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ภาพของเราทั้ง 2 ก็ปรากฏขึ้น

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.
:b48: >>>>>> นั่นแน่...รุน๊าาา คุณกำลังคิดอะไรอยู่ :b28: :b13: :b49: :b50: :b49:
รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 06:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: แก้ปัญหาปวดหัว อย่างไม่ต้องพึ่งยา :b43:

รูปภาพ

คงไม่มีใครเกิดมาไม่เคยปวดหัว ทั้งปวดหัวจี๊ด ปวดหัวตุ้บๆ
ปวดหัวมึนงง และอีกสารพัดรูปแบบ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนี้ก็มีสาเหตุ
หลากหลาย ทั้งจากความเครียด ใช้สายตามากๆ ทานช็อกโกแล็ต
-ดื่มกาแฟมากเกินไป หรือแม้แต่จ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆก็ทำ
ให้เราปวดหัวได้เหมือนกัน

วิธีแก้ปัญหาเบสิคที่ใครๆก็ใช้กัน คือปวดหัวปุ๊บก็คว้ายา
แก้ปวดมาทานปั๊บ แต่การทานยาก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา
ที่ดีที่สุดเสมอไป ทานไปนานๆ อาจเจอะปัญหาดื้อยาหรือติด
ยาตามมาให้ปวดหัวหนักกว่าเดิมซะอีก วันนี้เลยมีวิธีธรรมชาติ
ที่สามารถบำบัดอาการปวดหัวมาฝากกัน…

:b48: อโรมาเธอราพี กลิ่นคลายปวด
น้ำหอมระเหยช่วยบรรเทาอาการปวดได้ หากปวดหัว
เพราะความเครียด ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมาร์จอแรม
(marjoram) ประมาณ 5 หยด(30 มิลลิลิตร) มานวดกล้าม
เนื้อคอหรือเติมในอ่างอาบน้ำ จะช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย
หรือถ้าปวดหัวไซนัส ลองสูดดมไอระเหยจากชามน้ำร้อนที่หยด
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นสะระแหน่ 2 หยด เพื่อบรรเทาปวด

:b47: นวดบำบัด
การนวดบริเวณจุดที่เชื่อมโยงกับศีรษะก็ช่วยแก้อา
การปวดหัวได้เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการนวดให้คำแนะนำว่า
ให้ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือข้างหนึ่งยึดแต่ละนิ้วของมืออีกข้าง
แล้วหมุนนิ้วไปตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา ทำแบบนี้ซัก 3-4
ครั้งใน 2-3 ชั่วโมงสำหรับใครที่ปวดหัวเล็กน้อย หรือสำหรับคน
ที่ปวดหัวไมเกรนเพิ่มเป็นชั่วโมงละ 2 ครั้งก็จะบรรเทาอาการปวดได้

:b48: กดจุด Shiatsu
Shiatsu เป็นศาสตร์การกดจุดที่ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดหัว
หากปวดหัวเพราะความเครียดให้ใช้นิ้วกดลงบนร่องระหว่างนิ้วโป้งก
ับนิ้วชี้จะช่วยทำให้ผ่อนคลาย หรือถ้าปวดหัวไมเกรน ลองใช้นิ้ว
โป้งหรือนิ้วกลางกดลงที่สันกระดูกระหว่างฐานกระโหลกกับช่วง
บนสุดของไขสันหลัง ประมาณ 1 นาที ก็จะช่วยให้การปวดลดน้อยลง

:b47: สมุนไพรพิชิตปวด
สมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์คลายปวดได้ เช่น การรับประทาน
สมุนไพรฟีเวอร์ฟิว (feverfew) วัน 200 มิลลิกรัมจะช่วยป้อง
กันอาการปวดไมเกรน เพราะฟีเวอร์ฟิวมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดบวม
, รับประทานขิง 100 มิลลิกรัมเมื่อเริ่มปวดหัว เพราะขิงมีสรรพคุณ
เหมือนยาแก้ปวด แถมยังบรรเทาอาการคลื่นเหียนเพราะไมเกรน
ได้อีกด้วย หรือแม้แต่ใบแปะก๊วยก็ช่วยให้ปวดหัวน้อยลง เพราะแปะ
ก๊วยจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนผ่านศีรษะและต้นคอได้ดี

:b48: อาหารเสริมช่วยได้
วิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิดก็สามารถบรรเทาอาการ
ปวดหัวบางแบบได ้ เช่น ถ้าคุณกำลังปวดหัวเพราะความเครียด
การเติมแมกนีเซียมให้กับร่างกายซักวันละ 200 มิลลิกรัมจะช่วย
ให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ยิ่งถ้าบวกกับวิตามินบี 2 อีกวันละ 400
มิลลิกรัม ยิ่งเห็นผลเร็วทันตาเลยทีเดียว หรือสำหรับผู้ป่วยไมเกรน
การได้รับสารอาหารจำพวก 5-HTP เป็นประจำจะช่วยบรรเทาปวดหั ว
เพราะเจ้า 5-HTP จะช่วยปรับระดับเซโรโตนินของร่างกายให้คงที่

:b47: Homeopathy เพิ่มภูมิต้านทาน
วิธี Homeopathy เป็นการรักษาโรคอีกรูปแบบที่กำลังฮิตในยุโรป
และอเมริกา โดยใช้สมุนไพร เกลือแร่ หรือสารเคมีมากระตุ้นระบบ
ภูมิต้านทานของร่างกาย อย่าง สมุนไพรที่ชื่อ “bryonia” สามารถ
บรรเทาอาการปวดหัวตุ้บๆ, เกลือ “nut mor” เหมาะสำหรับผู้ป่วย
ไมเกรนที่มีอาการคลื่นเหียนหรือตาลายร่วมด้วย, “pulsatilla”
เหมาะสำหรับสาวๆที่มักจะปวดหัวก่อนมีประจำเดือน และ “nux
vomica” ใช้ได้ดีกับนักดื่มที่ปวดหัวเพราะเมาค้าง

:b48: เทคนิค Naturopathy
Naturopathy คือเทคนิคการรักษาอาการปวดที่การผสมผสาน
ระหว่างอากาศบริสุทธิ์และการออกกำลังกายเบาๆ ซึ่งผู้เชี่ยว
ชาญได้แนะนำว่าการออกกำลังกายโดยการเดินเป็นประจำ
อย่างน้อยวันละ 20 นาที จะสามารถบรรเทาอาการปวดและคลายเครียด

แต่หากใช้มาแล้วหลายเทคนิคแต่อาการปวดก็ยังไม่ทุเลา
หรือมีอาการอื่นๆที่ไม่น่าไว้ใจร่วมด้วย อย่าง คอแข็ง อาเจียน
ตาไม่สู้แสง ชาหรือเจ็บบริเวณขาหรือแขน ก็แนะนำให้ไปปรึกษา
แพทย์ดีกว่า เพราะอาการที่ว่าอาจจะอันตรายกว่าที่คิดก็ได้ ใครจะรู้!
รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 06:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ลักษณะของ ...คู่สร้างคู่สม
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


สามีภรรยาที่ครองรักครองเรือนกันยาวนาน และมีความสุขตามประสาผู้อยู่ในโลกียวิสัย นอกจากเรื่องความสมดุลทางกามารมณ์ที่ผู้รู้สมัยนี้ให้ความสำคัญมากนั้น ยังต้องมีคุณสมบัติภายในซึ่งนับว่าเป็น ...ความดีภายใน... ประกอบด้วย สามีภรรยาที่ต่างก็มี ...ความดีภายใน... เหมาะสมกลมกลืนกันเรียกว่า ...คู่สร้างคู่สม... มีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

1. มีศรัทธาสมกัน คือ มีความเชื่อในลัทธิศาสนาอย่างเดียวกัน
หรือถ้านับถือศาสนาต่างกัน ก็ต้องรู้จักให้เกียรติ
และเคารพลัทธิความเชื่อของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
ไม่ก้าวก่ายดูถูกเหยียดหยาม ความเชื่อถือของอีกฝ่ายหนึ่ง
อีกความหมายหนึ่ง การมีศรัทธาสมกัน
หมายถึง มีแนวคิด ความเชื่อในเรื่องทั่วๆ ไปลงรอยกันได้
มีค่านิยม มีเจตคติไปในทางเดียวกัน หรือปรับเข้าหากันได้ ไม่ดึงดันเอาแต่ความคิดความเชื่อของตนว่าถูกต้องฝ่ายเดียว

2. มีศีลสมกัน คือ มีความประพฤติ มีศีลธรรมจรรยาไม่ลักลั่นกัน ถึงขนาดคนหนึ่งเป็นคนไร้ศีลไร้ธรรม อีกคนก็มีศีลธรรม อีกความหมายหนึ่ง การมีศีลสมกัน หมายเอาเพียงการปรับความประพฤติให้เข้ากันได้ในเรื่องดี เช่น ฝ่ายหนึ่งชอบเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญตักบาตรประจำ อีกฝ่ายก็ทำด้วยหรือไม่ทำก็ไม่ถึงกับขัดขวาง ส่วนในเรื่องไม่ดีเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างต้อง ...ปรับปรุงตัวเอง... ให้ดีขึ้น

เช่น สามีเคยเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ดื่มเหล้าเมายา ก็ปรับให้ลดลงบ้าง ไม่ใช่เห็นฝ่ายหนึ่งไม่ดีแล้วปรับตนให้เลวตาม อย่างเช่น สามีเล่นม้า ภรรยาก็เล่นตาม อย่างนี้เรียกว่าปรับความประพฤติให้ชั่วเหมือนกัน ถึงจะไปกันได้ดี แต่ก็จะพากันลงนรก ไม่ถือว่าเป็น ...คู่สร้างคู่สม

3. มีน้ำใจสมกัน คือ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เสียสละเหมือนๆ กัน ถ้าฝ่ายหนึ่งงกเห็นแก่ได้ อีกฝ่ายใจกว้างเป็นมหาสมุทร เรียกว่าน้ำใจยังไม่สมกัน ควรปรับให้พอเหมาะพอสมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งคิดเล็กคิดน้อย ไม่เคยให้อะไรใครเปล่าๆ ทุกอย่างจะต้องได้คืนหรือมีผลตอบแทนหมด แม้กระทั่งกับคนในครอบครัว อย่างนี้ก็ยากที่จะอยู่กันยืด

4. มีปัญญาสมกัน คือ มีความรู้ความเข้าใจไปกันได้ในเรื่องหลักๆ ไม่ใช่ต่างกันหรือสวนทางกันชนิดขาวกับดำ ความรู้ในที่นี้เน้นความมีเหตุมีผล ยอมรับฟังกันมากกว่า...ปริญญาบัตร...โดยนัยนี้ คนที่จบแค่มัธยมศึกษา ถ้ามีความรู้ มีเหตุมีผลเข้ากันได้ทางด้านความคิดกับคนระดับปริญญาเอก ก็สามารถเป็น ...คู่สร้างคู่สม...กันทางความรู้ได้

สามีภรรยาที่ปรับศรัทธา-ความประพฤติ-น้ำใจ และปัญญาให้กลมกลืน ชีวิตคู่ก็จะราบรื่นชั่วกาลนาน

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


5 เคล็ดลับ ขจัดเครียด
รูปภาพรูปภาพรูปภาพ รูปภาพรูปภาพ

รูปภาพ

บทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดเพื่อป้องกัน โรค ช่วงนี้ใครมีปัญหาให้ขบคิดจนเกิดอาการเครียดๆ ไม่ต้องกังวล เพราะเรานำ บทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดมาฝากกันค่ะ เอาเป็นว่าไปอ่าน บทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดเพื่อป้องกัน โรค กันนะคะ

:b45: ฝึกหายใจ: นั่งลงและเอนหลังกับพนักเก้าอี้ในท่าสบาย สูดหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ วิธีนี้จะสามารถขจัดความเครียดออกไปได้

:b45: นวดฝ่าเท้า : ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนฝ่าเท้า แล้วนวดคลึงเบาๆ เพื่อคลายเส้นที่ปวดตึง โดยไล่จากส้นเท้าไปจนถึงปุ่มโคนหัวแม่เท้า แล้วจึงค่อยนวดวนออกไปด้านนอกฝ่าเท้า

:b45: น้ำช่วยได้ : แค่น้ำเปล่าเย็นๆ หรือน้ำส้มคั้นสดๆ จากตู้เย็นเพียงหนึ่งแก้ว ก็สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายในยามเครียดได้อย่างประหลาด

:b45: กลิ่นหอมขจัดเครียด : น้ำมันหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นที่เรารู้จักคุ้นหูกันดีในนามของ Aromatherapy สามารถช่วยคลายเครียดได้ เพียงเทน้ำมันหอมลงบนฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับ ก็จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง

:b45: ขจัดความเมื่อยขบให้ลำตัว : เมื่อความเครียดรุมเร้าจะปวดไหล่ หลังและคอ ลองเปลี่ยนอิริยาบทง่ายๆ โดยขยับตัวออกมานั่งตรงส่วนปลายของเก้าอี้ วางเท้าลงที่พื้นในท่าสบาย

จากนั้นวางมือขวาที่ต้นขาซ้าย แล้วเอื้อมมือซ้ายไปจับที่พนักเก้าอี้เหนือไหล่ขวา บิดตัวไปทางซ้ายช้าๆ จนสุด พร้อมเป่าลมออกจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหมุนตัวกลับไปในท่าตรง แล้วค่อยๆ ปล่อยลมออกทางปาก จนกลับมาอยู่ในท่าตรง สลับทำแบบเดียวกันด้านขวาและทำหลายๆ รอบ
รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


:b48: คนเราอายุเฉลี่ย 60 :b48:

ปี1 ปี เท่ากับ 365

วันแสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน

คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที

ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

อุแม่เจ้า........แสดงว่า

เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง

คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา

แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน

เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...

เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย

และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ

แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข

ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน

เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง

หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู

ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก

พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย.....กลุ้ม

สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน

น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ

ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน

นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ

อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ !
อุแม่เจ้าเทค 2

คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง

สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!

คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู

กางปฏิทินออกกว้าง ๆ

เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้

นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว

นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่

เราไม่ค่อยได้มองมันเอาล่ะ

งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี

แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน

และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น

คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่

ผลลัพธ์ที่ได้

เราจะทำยังไงกับมันดี .....

แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ

นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้

เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆที่

ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ

ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน

เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า

กูจะเป็นอะไรดีบางคนแอบรักเขา

ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้นปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอย

ไปหาคนอื่นแต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่

แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร

เก๊กใส่กันไปวัน ๆ

ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่

งอนการกุศลประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....

ไอ้บ้าและอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา '

ชีวิตมันว่างจัดขนาดต้องฆ่าเวลากันเลยบอกตรง ๆ

เห็นแล้วอยากตบกบาล


เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี

อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ......

แล้วนะลองคิดแบบนี้บ้างใช่แล้ว ....

เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้าน

ที่เรายังไม่ได้ทำตายได้ไง

หากฝันไม่สำเร็จไม่ได้หมายความว่าเรา

จะไม่ยอมตายแต่ให้รีบทำทุกอย่าง

ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้

และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...

มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า

เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็

จะได้นอนตายตาหลับใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....

พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้วทำงานในสิ่งที่เรารัก

เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก

ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...

ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...

เตือนแล้วไงรักให้หมดใจ

บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี

ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ...

เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว

ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกัน ไว้กอดกันเหมือนว่า

นี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรานุ่มนวลที่สุด

เท่าที่จะทำได้เพราะอย่างน้อย ๆ

เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล.......

คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี

ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน

ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ดลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น

แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง

เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........

หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......

แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน

ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ

ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด

และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ

ที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน ....แล้วนะ

อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก

รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ

เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่


โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..:b38: "Cookies Story" :b38:..

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 12:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b46: 4 ข้อทายนิสัย :b46: .. (ลองดูนะว่าตรงรึเปล่า ???)

:b36: 1. สัตว์ชนิดใดต่อไปนี้ที่คุณเกลียดมากที่สุด


:b37: 1. แมงมุม 2. แมลงสาบ 3. ตุ๊กแก 4. ตะขาบ


:b36: 2. ขณะที่คุณกำลังเดินอยู่บนสะพานลอยเพื่อที่จะข้ามถนนไปห้างสรรพสินค้า คุณเจอขอทานบริเวณบันไดทางลง และคุณให้เงินแก่ขอทาน(ใจบุญมากๆ ) คุณคิดว่าขอทานคนนั้นมีลักษณะอย่างไร


:b37: 1. ตาบอด 2. พิการ 3. คนแก่ 4. เด็ก


:b36: 3. คุณนัดกะเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเล และแวะกินอาหารทะเลด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย ทุกคนทานอาหารเหมือนๆ กัน เมื่อไปถึงที่พัก ปรากฎว่า คุณเกิดท้องเสีย แต่เพื่อนๆ ไม่เป็นอะไรเลย (กระเพาะหนามากๆ) คุณคิดว่าอาหารทะเลชนิดใดเป็นสาเหตุให้คุณท้องเสีย


:b37: 1. กุ้ง 2. หอย 3. ปู 4. ปลา 5. ปลาหมึก


:b36: 4. ในวันหยุด คุณเดินทางโดยเครื่องบินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณอยากไปพักผ่อน ขณะนี้คุณนั่งเครื่องมาได้ครึ่งทางแล้ว คุณคิดว่าด้านล่างของเครื่องบินเป็นอะไร


:b37: 1. อาคารบ้านเรือน 2. ทะเล 3. ป่าไม้ 4. ทุ่งหญ้า




:b48: เฉลยจ้า ... มาดูกันสิว่าตรงใจคุณแค่ไหน :b48:


:b38: 1. สัตว์ที่คุณเกลียด สื่อถึง นิสัยบางอย่างที่เมื่อคุณพบในตัวคนรักหรือคนที่คุณกำลังให้ความสนใจ คุณจะเลิกคบและเลิกให้ความสนใจคนๆ นั้นทันที 1. แมงมุม สื่อถึง ความลึกลับน่ากลัว 2. แมงสาบ สื่อถึง ความไม่แน่นอน ลังเลใจ ไม่มีความเป็นผู้นำ 3. ตุ๊กแก สื่อถึง ความเจ้าเล่ห์ไม่จริงใจ 4. ตะขาบ สื่อถึง ความสนิทสนมเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง

:b38: 2. ลักษณะของขอทาน สื่อถึง บุคคลที่มีความสำคัญหรือจำเป็นต่อชีวิตของคุณ ซึ่งจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่คุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนๆ นั้น 1. คนตาบอด สื่อถึง คนรัก หรือเพื่อน 2. คนพิการ สื่อถึง ญาติพี่น้อง 3. คนแก่ สื่อถึง พ่อแม่ 4. เด็ก สื่อถึง ตัวของคุณเอง

:b38: 3. อาหารทะเลที่ทำให้คุณท้องเสีย สื่อถึง ข้อบกพร่องของคุณที่ควรระมัดระวังเพราะอาจทำให้เพื่อนๆ รู้สึกไม่ดีกับคุณ 1. กุ้ง สื่อถึง ความไม่มั่นใจในตัวเอง ลังเลตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได ้ต้องขอคำปรึกษาจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลา 2. หอย สื่อถึง ความขี้เกรงใจ จนบางครั้งมากเกินไป 3. ปู สื่อถึง ความเป็นคนไม่แน่นแน เจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย 4. ปลา สื่อถึง ความเป็นคนไม่รู้จักพอเอาแต่ใจตัวเองต้องการความสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลาทำใ ห้บางครั้งคุณอาจแสดงกิริยาเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆ 5. ปลาหมึก สื่อถึง การเอาเรื่องส่วนตัวของเพื่อนๆมาพูดในที่สาธารณะ

:b38: 4. สิ่งที่คุณเห็นอยู่ด้านล่าง สื่อถึง ปัญหาในชีวิตที่คุณอยากจะหนีไปให้พ้น 1. อาคารบ้านเรือน สื่อถึง ปัญหาที่เกิดจากที่ทำงาน การเรียนหรือความ สัมพันธ์ของคุณกับ เพื่อนร่วมงาน 2. ทะเล สื่อถึง ปัญหาเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นจากตัวคุณเอง 3. ป่าไม้ สื่อถึง ปัญหาภายในครอบครัว หรือเรื่องราวความรักของคุณ 4. ทุ่งหญ้า สื่อถึงปัญหาที่เกิดจากเพื่อนหรือความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 146 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร