วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




008-251.jpg
008-251.jpg [ 194.1 KiB | เปิดดู 5693 ครั้ง ]
พิกซี่ /แฟรี่

พิกซี (Pixie หรือ Piskie หรือ Pigsie) หนึ่งในเชื้อสายเผ่าพันธ์แฟรี่ มีลักษณะเป็นภูตตัวเล็กๆ มีปีกแบบแมลง สูงไม่เกิน1ฟุต(ตามปกติ) และสามารถขยายหรือลดขนาดของตัวเองได้ ในความเชื่อเรื่องพิกซี่นั้นเป็นที่แพร่หลายในเดวอน และคอร์นวอลล์ซึ่งทำให้เชื่อว่าน่าจะมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมเคลต์

พิกซี่ เป็นภูตนิทานพื้นบ้านของอังกฤษ เป็นภูตขนาดจิ๋ว พิกซี่มีความซุกซนมาก
และชอบกลั่นแกล้งหญิงสาวและนำนักเดินทางให้หลงทาง
ภูตตัวเล็กๆมีปีกบินได้ ถูกนำมาเสนอ ในเรื่องปีเตอร์แพน ชื่อว่า ทิงเกอร์เบลล์
ยังมีนิทานพื้นบ้านอีกที่กล่าวถึงพวกพิกซี่มาช่วยทำงานให้ชาวนาหรือมาอาศัยอยู่ในบ้าน

บางตำนานกล่าวว่า

พวกพิกซี่ เอลฟ์ฯ ในนิทานพื้นบ้านแถบยุโรป สัตว์วิเศษพวกนี้เรียกอีกอย่างว่าแฟรี่
ในนิทานพื้นบ้าน แฟรี่ หรือชาวฟ้า เป็นพวกที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ มีเวทมนตร์หรือมนตรา
ในวรรณกรรมพื้นบ้านทั่วโลก จะมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับแฟรี่และความใกล้ชิดกับมนุษย์
โดยมีชื่อเรียกและรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ รวมทั้งนิสัยดีหรือร้ายคละกัน
ซึ่งตามหนังสือได้แบ่งประเภทของแฟรี่ หรือชาวฟ้า หรือเรียกง่ายๆว่าภูตนี้ไว้ดังต่อไปนี้ค่ะ

รูปภาพ

สไปร์ท - แฟรี่ตัวเล็กมีปีก คล้ายเอลฟ์หรือ พิกซี่ สไปร์ทมีหน้าที่สำคัญมากอย่างเดียวคือ เลี่ยนสีของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง มีกระป๋องสีสดใสทุกเฉดในเฉดสีแดงและเหลือง สไปร์ทเป็นพวกสร้างสรรค์ ร่าเริง เป็นศิลปินและกวี บางตนมีความผูกพันกับมนุษย์ หรือเอลฟ์ ถึงขั้นแต่งงาน อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต

ลักษณะของแฟรี่
แฟรี่ มีรูปร่างคล้ายคนตัวเล็กๆ (มีทั้งชายและหญิง) และมีปีกเหมือนแมลง
คำว่า Fairy (หรือบางทีเค้าก็ใช้ Faery) มาจากคำว่า Fer-Sidhe (อ่านว่า ฟาร์ ชีห์) อันแปลว่า ชายแห่งเนินเขา หรือเป็นคำเรียกที่หมายถึง เทพของชาวเคลติค ซึ่งเทพเจ้าของชาวเคลติคเรียกว่า Aes Sidhe หมายถึง คนแห่งเนินเขา (ส่วนเทพีเรียกว่า Bean Sidhe หมายถึง หญิงแห่งเนินเขา เพราะเทพของเคลติคนั้น เป็นผู้ปกครองเนินเขาต่างๆ ที่เรียกว่า Sidhe) ซึ่งหลังจากศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท เหล่าเทพเจ้าก็ถูกลืม และคำว่า ฟาร์ ชีห์ นี้ก็ได้กลายมาเป็นคำว่า Fairy
แต่ความเชื่อเกี่ยวกับภูตน้อยแฟรี่นั้นมีมานานแล้ว ก่อนคริสตศาสนาจะเข้ามา นั่นคือ พิกซี่(Pixie) แต่เท่าที่รู้มา แฟรี่กับพิกซี่รูปร่างเหมือนกัน แต่พิกซี่จะป่าเถื่อนกว่าหรือไม่นั้น มิอาจบอกได้ ในเมื่อคำว่าแฟรี่นี้มีหลังจากคริสตศาสนา แต่ตัวแฟรี่เองกลับมีมาก่อน ก็เข้าใจว่าทั้งสองอาจจะเป็นพวกเดียวกัน (แต่แฟรี่ไม่ใช่นางฟ้า ก็เพราะการเห็นแฟรี่เป็นเป็นนางฟ้านี่แหละ ทำให้ยศของพิกซี่ต้องต้อยต่ำลง) แฟรี่เป็นดวงวิญญาณที่กำเนิดแต่ธรรมชาติ พวกเค้ามีอยู่ทั่วโลก และอยู่มาก่อนเรานานแล้ว
บางครั้ง แฟรี่ก็มาอาศัยอยู่ในบ้านคนในชนบทของยุโรป แฟรี่มักมีนิสัยที่ออกจะซุกซน แต่บางตำนานกับดูโหดเหี้ยม โดยเฉพาะตำนานบางเรื่องที่ถ่ายทอดจากความเชื่อแบบคริสต์ (ตามความเป็นจริง) เพราะแฟรี่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของเวทมนตร์อยู่เอามากๆ และยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่มด (อันนี้โดนประจำว่าชั่วร้ายทั้งที่ไม่ค่อยจริงเลย) โดยภูตพวกนี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ และไม่เคยที่จะเกี่ยวข้องศาสนาใดๆ จึงถูกนักบวชคริสเตียนในยุคกลาง ตราหน้าว่าเป็นความป่าเถื่อนในธรรมชาติและพวกนอกรีต
เวทมนตร์ของแฟรี่นั้น ได้แก่ เวทย์มนตร์ด้านธรรมชาติ และสามารถสาปหรืออวยพรได้ผลดีอีกด้วย แฟรี่มักจะอวยพรให้กับเด็กทารกเกิดใหม่ หรือผู้ที่ให้เกียรติแฟรี่ก็จะได้รับพรเช่นเดียวกัน แต่ถ้าดูถูกพวกเขาล่ะก็โดนสาปให้ได้โชคร้ายเหมือนกัน (อาจซวยไปตลอดชาติเลยเชียว) หัวหน้าของพวกแฟรี่คือ ราชาหรือราชินีแฟรี่ (ที่มีบทบาทและได้ยินกันมากที่สุดคือ ราชาแฟรี่ที่ชื่อ โอเบรอน และ ราชินี่แฟรี่ที่ชื่อ ไททาเนีย) ซึ่งมีรูปร่างงดงาม และทรงอำนาจมาก เหล่าแฟรี่จะรักในความสนุกสนานรื่นเริง และดูเป็นมิตรอย่างมาก (ถึงแม้จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกมนุษย์) แฟรี่มีแพร่หลายในหลายๆตำนาน เช่นเคลติค (ตัวเริ่ม) กรีกก็มีบ้าง แต่ไม่ได้เป็นแบบดั้งเดิม กล่าวคือ มักนำไปเกี่ยวกับภูตอื่นๆเช่น ฟอน หรือเทพแพน ครึ่งคน ครึ่งแพะ ซึ่งถูกคริสเตียนตราหน้าว่าเป็นเกี่ยวข้องกับปีศาจ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของซาตานด้วย (แพะกลับหัว โดยจริงๆคือ มังกร) และที่ควรรู้คือ แฟรี่มีเวทมนตร์กำบังตนจากสายตาของมนุษย์ (แต่ไม่ได้เป็นการล่องหนด้วยการเบียงเบนแสง) ที่จริงเป็นเพราะมนุษย์ส่วนมากไม่มีความเชื่อในเรื่องแฟร์รี่ ก็จะไม่ได้เห็นกัน แม้จะเชื่อก็ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายๆนะ
วิธีการมองเห็นแฟรี่ก็คือ นำหินที่มีรูตรงกลางที่สามารถมองลอดผ่านได้ จากกลางลำธาร (ต้องเป็นหินที่เป็นโดนน้ำกัดเซาะเป็นรูโดยธรรมชาติเท่านั้น จึงสามารถใช้ได้ หากทำขึ้นโดยตั้งใจ จะใช้ไม่ได้) แต่ถึงจะเห็นพวกเธอเข้าก็อย่าให้พวกเธอรู้เป็นอันขาดว่าเราแอบดูพวกเธออยู่ อาจโดนสาปก็ได้นะ
พวกเขาอาศัยอยู่ในป่า หรือสร้างพื้นที่และอาณาจักรขึ้นเอง เป็นมิติย่อยที่แทรกอยู่ในบนมิติของเรา (เป็นภพซ้อน) แต่มีพื้นที่จำกัด ระยะเวลาบนโลกเรากับดินแดนของแฟรี่ จะไม่เท่ากัน แฟรี่อาจมีมิติที่อยู่แยกเป็นเอกเทศจากโลกของเรา ที่เรียกว่า Other World ในความเชื่อของชาวเคลต์ เวลาบนดินแดนแฟรี่แค่ไม่กี่นาที แต่ในโลกของเราอาจเป็นปีๆเลยก็ได้
ภูตน้อยเหล่านี้ปรากฏกายโดยมีแสงเรืองเป็นประกายออกมาจากตัว แฟรี่นั้นไม่มีวัยชรา รูปร่างหน้าตาจะเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

โดยแท้จริงแล้ว แฟรี่มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า หรือแฟรี่จะเป็นเทพเผ่าพันธ์หนึ่ง ที่กำเนิดแต่ธรรมชาติ
เรารู้จักแฟรี่ ในลักษณะที่เป็นภูตน้อยตัวจิ๋ว แต่พวกเขาก็สามารถขยายร่างจนขนาดเท่ากับมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน แต่ร่างที่ขยายขึ้นนั้นเป็นร่างของพราย ไม่มีปีก ตามภาพศิลป์นิยมวาดแฟรี่ออกมาในรูปแบบของภูติตัวจิ๋วมากกว่า

ในโลกของบรรดาภูติน้อย เช่น แฟรี่ พิคซี่ โคโรบ็อคเคิล เลพรีชาวน์ และโนห์ม เป็นต้น พวกภูตที่มนุษย์พบเห็นเข้าเป็นเพียงส่วนน้อยที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้น โลกของภูติพรายถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Minor Elf เป็นดินแดนที่ติดกับโลกมนุษย์ หรือเป็นภพซ้อนบนโลกมนุษย์ ซึ่งถ้ามนุษย์พบเห็นภูติพราย นั่นหมายถึงบริเวณนั้นมีบริเวณที่เชื่อกันระหว่างโลกของมนุษย์กับโลกภูติ พรายในส่วนของ Minor Elf นั่นเอง ดินแดน Minor Elf จะเป็นด่านแรกที่จะเชื่อมไปยังดินแดนส่วนที่สอง นั่นคือ Major Elf ซึ่งเป็นดินแดนหลัก เป็นสถานที่อยู่ของพวกภูติพราย จนถึงทวยเทพบางเผ่าที่อยู่บนพื้นพิภพ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2009, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พักเล่าเรื่องไว้ก่อนนะค่ะ..ขอสอบก่อนค่ะ.... tongue

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




forum.sanook.com3321ขจจต.gif
forum.sanook.com3321ขจจต.gif [ 111.58 KiB | เปิดดู 5635 ครั้ง ]
:b31: :b34: :b31: :b34: :b31: :b34:

แม้นมีร้อยเส้นทางถึงฝั่งฝัน
จงเลือกมันเพียงหนึ่งสร้างความหมาย
ทุ่มขยันหมั่นฝึกฝนจนวันตาย
สู่เส้นชัยไม่ยากหากเอาจริง

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 12:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 22:31
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




66737-4.jpg
66737-4.jpg [ 32.13 KiB | เปิดดู 5584 ครั้ง ]
เจอแล้ว...ชอบแนวเนี้ย...ขอเป็นกัลยาณมิตรด้วยนะ

.....................................................
รูปภาพ"..ทุกๆ วันเป็นการเริ่มต้นใหม่..และเป็นโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในวันวาน..เสมอ.."
"Every day is a new start and a chance to make right what went wrong yesterday."
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีจ้า............ tongue

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว และ เจ้าชายแห่งความขี้เหงา

เนิ่นนานมาแล้ว
มีเจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว ผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขาแห่งดอกไม้ อยู่คนหนึ่ง
เธอมีนัยน์ตาที่อ่อนโยนคู่นั้นมีแววของความโศกเศร้าอยู่เบื้องลึก
ที่ถูกกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เธออาศัยอยู่บนภูเขาแห่งดอนไม้นั้น เพียงลำพัง

จนกระทั่ง ………….
มีเจ้าชายแห่งความเหงา เดินทางมาพบภูเขาลูกนี้โดยบังเอิญ
สีสันของดอกไม้หลาย ๆ ดอก ที่ทำให้เจ้าชายหยุดอยู่ที่นี่ ราวกับถูกมนต์สะกด
เจ้าชายมองเห็นเจ้าหญิง ผ่านดอกไม้กลีบใส ๆ
ทันทีที่พบกับเจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว เจ้าชายรู้สึกรักเธอตั้งแต่แรกพบ
หากแต่เจ้าหญิง มิได้รู้สึกเฉกเช่นเดียวกับเจ้าชาย
เธอกลับรู้สึกว่า เขาเป็นใคร เหตุใดจึงมาพบภูเขาแห่งนี้ได้
และด้วยสายตาคู่นั้น ยิ่งทำให้เจ้าหญิง ไม่คิดจะไว้ใจชายคนนี้เลย

เจ้าชายแห่งความเหงา ตะโกนบอกเจ้าหญิงว่า “เราจะไม่มาทำความรู้จักกันหน่อยหรือ”
เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหวเมื่อได้ยินคำดังกล่าว จึงเดินตามเสียงตะโกนนั้นไป
หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว ………….
เจ้าชายแห่งความเหงา ตัดสินใจได้ทันทีว่า เขาพร้อมที่จะหยุดการเดินทางที่ภูเขาแห่งนี้
การสนทนาของคนทั้งคู่ทำให้พวกเขาผูกพันกันมาขึ้น
เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว เริ่มมีใจให้กับเจ้าชาย
จนกระทั่งเธอลืมดูแลดอกไม้ทั้งมวล ดอกไม้บนภูเขาพากันล้มตาย
เจ้าหญิงเอาใจใส่เพียงแต่ เจ้าชายคนรัก

เจ้าชายแห่งความเหงา เริ่มเฉยชากับเจ้าหญิง
เมื่อหล่อนไม่คิดจะทำอะไรนอกเสียจากการได้พูดคุย หรือการได้รักตน
เจ้าชายแห่งความเหงา จึงรู้สึกได้ถึงความอึดอัด
“ความเหงา” ได้แผ่ซ่านขึ้นมาในใจของเจ้าชายอีกครั้ง ………….

เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว รู้เพียงแต่ว่า ผู้ชายคนนี้คือ คนที่พร้อมจะดูแลเธอ
พูดคุยกับเธอ และอยู่กับเธอบนภูเขาแห่งนี้
คนสองคน ใจสองใจ เป็นความต่างที่ไม่ลงตัว

ความรักของเจ้าชายที่เคยเต็มเปี่ยมในใจ …………. วันนี้เหลือแต่ความรำคาญ อึดอัดใจ
ความรักของเจ้าหญิงที่ไม่เคยมีในใจ …………. วันนี้กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก

เจ้าชายแห่งความเหงา เฉยชากับ เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว
ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการมองตา ไม่มีการจับมือเหมือนเคย
เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว แอบร้องไห้เพียงลำพัง ทางด้านหนึ่งของภูเขา
เจ้าชายยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเช่นกัน

ความเงียบ ความแห้งแล้งเดียวดาย สายลมร้อน ได้พัดผ่านภูเขาลูกนี้
ราวกับจะกลั่นแกล้ง เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว ให้ชาชินกับความรู้สึกเดียวดาย

วันนี้ ………….
เจ้าชายแห่งความเหงา ตัดสินใจเดินทางจากไป ไม่มีแม้คำอำลา

เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว ไม่พบแม้ใครบนภูเขาแห่งนี้
เธอร่ำไห้อย่างน่าอาดูร น้ำตาของเธอไหลรินมากมายเหลือเกิน
จนทำให้มวลดอกไม้ที่ล้มตาย ฟื้นกลับคืนมายืนต้นอีกครั้ง

เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว จึงดำเนินชีวิตอย่างเช่นเคย
ทำเหมือนไม่เคยมีใครเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหล่อน
แต่ความเศร้า ก็พร้อมที่จะทำร้ายหล่อนได้เสมอ เมื่อคิดถึงหรือนึกถึง “เจ้าชายแห่งความเหงา”
เธอพึมพำกับมวลดอกไม้เบา ๆ ว่า “ความรักของฉันอยู่ไหน”
เจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว ยังคงคิดถึง เจ้าชายแห่งความเหงาอยู่เสมอ
หากแต่เธอก็ไม่โทษว่าเขาผิด เฝ้าโทษตัวเองว่า เหตุใดเราจึงไม่รักเขาอย่างพอเหมาะ

เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายขี้เหงาคนหนึ่ง ที่วันหนึ่งเขาผ่านเข้ามาทำให้เราได้รู้จักรัก ได้รักให้เป็น
เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชาย ผู้ชายไม่รักผู้หญิง เอาแต่ใจเฉกเช่นหล่อนนักหลอก
การเฝ้าปลอบใจตัวเองของเจ้าหญิงแห่งความอ่อนไหว คือบทเรียนของความรัก

เพียงอยากให้ผู้หญิงทุกคนรู้ว่า ………….
ผู้ชายก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ขี้เหงา มีเพียงความเหงาในหัวใจ ความรักของเขาไม่เคยจีรัง
อย่าไปให้หัวใจของเราทั้งหมดแก่เขา เพราะเขาอาจดูแลได้ไม่ดีเท่าเราดูแลได้ไม่ดีเท่าเราดูแล
จงดำเนินชีวิตอย่างปกติ อยู่ร่วมกับความด้วยความพอดี
อย่าลืมดูแลดอกไม้ของเราด้วย (นิยามมันให้เป็นตัวตนของผู้หญิงทุกคน)
จงมีความสุขกับความรักและพร้อมที่จะยอมรับความจริงว่า เขาพร้อมที่จะจากเราไปทุกเมื่อ จงเป็นปกติ

รักด้วยความพอเหมาะ รักให้เป็น
ใครเคยกล่าวไว้ว่า การเริ่มต้นรักของผู้ชายมากมายนักด้วยรัก การเริ่มต้นรักของผู้หญิงน้อยค่านัก
หากเมื่อเวลาผ่านไป ค่าของความรักในใจก็เปลี่ยนไป
รักของผู้หญิงมาขึ้น แต่กลับกัน รักของเธอมันไม่เหลือเลย
คงเป็นเพราะ ผู้หญิงอ่อนไหว และ ผู้ชายขี้เหงา
การเริ่มต้นและการสิ้นสุดของความรักนั้นจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ฉันก็แค่ผู้หญิงอ่อนไหว เธอก็แค่ผู้ชายขี้เหงา
ความรัก แค่ลมร้อนวูบหนึ่งที่ผ่านมา………..
ทำให้ใจอ่อนไหวอบอุ่น…………
บางคราว มันก็กรีดหัวใจเราให้ด้านชา และแห้งผาก…

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 08 ต.ค. 2009, 19:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




4095295_1.jpg
4095295_1.jpg [ 95.37 KiB | เปิดดู 5637 ครั้ง ]
เจ้าหญิงดอกโมก กับ เจ้าชายดินปั้น

กาลครั้งหนึ่งในสวนเล็กๆ
มีอาณาจักรโมกซ่อนตัวอยู่ริมรั้ว
ใบสีเขียวเป็นเหล่าทหารและพลเมือง
ดอกโมกสีขาวพราวเต็มต้น
เป็นหญิงสาวชาวเมืองโมก ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆฝากไปกับสายลมผู้มาเยือน
ในบรรดาดอกโมกทั้งหมด มีอยู่ดอกหนึ่งที่สวยที่สุด
มีกลิ่นหอมกว่าดอกโมกทุกดอก เธอคือ "เจ้าหญิงดอกโมก" เธอถูกห้อมล้อม
ด้วยใบโมกสีเขียวแข็งแรงห้าใบ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง
กิ่งของเจ้าหญิงดอกโมกอยู่ใกล้กับบ่อน้ำเล็กๆ
ก่อด้วยอิฐ มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง

ขอบบ่อด้านที่ติดกับอาณาจักรโมกตั้งตุ๊กตาดินปั้นหน้าตายิ้มแย้ม
เขาคือ "เจ้าชายดินปั้น"
ผู้ครอบครองอาณาจักรริมบ่อแห่งนี้ เจ้าชายดินปั้นอยู่ในอาณาจักรนี้มาแสนนาน
ถึงใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มรื่นเริง
แต่ในใจกลับเงียบเหงาเดียวดาย

เจ้าหญิงดอกโมกลืมตาขึ้นมาครั้งแรกก็สบตากับเจ้าชายดินปั้น
ทั้งคู่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันทันที
เจ้าชายดินปั้นบอกกับเจ้าหญิงดอกโมกว่า
"ฉันรอคอยเธอมาตลอด...มีดอกโมกเกิดใหม่ทุกวัน
แต่ฉันรู้ว่าเธอคือดอกไม้ที่ฉันรอคอย ถึงดอกโมกจะดูคล้ายๆกันแต่เธอกลับ
แตกต่างออกไป กลิ่นหอมของเธอทำให้ฉันมีความสุข"
และเฝ้ารอวันที่เธอจะเบ่งบาน"

เจ้าหญิงดอกโมกมีกลิ่นหอมที่สุดในบรรดาดอกโมกทั้งหมด
นั่นเพราะเธอมีความรัก
กลิ่นหอมที่เธอฝากสายลมไปทักทาย ทำให้เจ้าชายที่โดดเดี่ยวมีความสุข
ใบหน้าอ้วนกลมที่ยิ้มแย้มดูเหมือนแย้มยิ้มยิ่งขึ้น
เมื่อสายลมพัดกลิ่นหอมของเจ้าหญิงโชยมา
ทุกๆเช้าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ทั้งคู่จะมองเห็นกันและกันก่อนสิ่งอื่นใด
นั่นเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับเจ้าหญิงดอกโมกและเจ้าชายดินปั้น

เวลาผ่านไปใบโมกในอาณาจักรเริ่มร่วงหล่น เจ้าหญิงรู้สึกเศร้า
"ฉันไม่อยากจากเธอไปเลย แต่เวลาของฉันใกล้จะมาถึงแล้ว
ดอกไม้มีเวลาไม่นานนักในโลกใบนี้
แต่เวลาของฉันแสนมีค่าเมื่อฉันพบเธอ"
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าชายดินปั้นดูแข็งกระด้าง
ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป
เขาเฝ้าอ้อนวอนเจ้าหญิงดอกโมกทุกวัน
"อยู่ต่ออีกวันหนึ่งเถอะ แค่นาทีเดียวที่มีเธอมีค่ากว่าทั้งชีวิตที่ฉันอยู่มา"

เจ้าหญิงดอกโมกพยายามอยู่ต่อเพื่อเจ้าชายดินปั้น
กลีบดอกอันบอบบางของเธอเริ่มเหี่ยวเฉา ใบโมกและดอกโมกในอาณาจักร
เริ่มร่วงหล่นไปทีละดอก...ทีละใบ
จนกระทั่งเหลือเพียงเจ้าหญิงดอกโมกที่บัดนี้กลายเป็นดอกไม้สีนำตาลน่าเกลียด
และใบไม้องครักษ์สีเหลืองจัดทั้งห้าผู้ภักดี
"อย่ามองฉันอีกเลย ตอนนี้ฉันน่าเกลียดเหลือเกิน
กลิ่นหอมที่เคยทำให้เธอมีความสุขก็ไม่เหลืออีกแล้ว"
"สำหรับฉันเธอสวยเสมออยู่ต่อเถอะนะ...อย่าจากฉันไปเลย"

ใบไม้องครักษ์ของเจ้าหญิงเริ่มร่วงหล่นไปทีละใบ จนเหลือใบสุดท้าย
"เจ้าหญิง...เราไม่อาจฝืนธรรมชาติหรอก ถ้าเราไม่จากไป ใบและดอกโมก
รุ่นใหม่ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ อาณาจักรของพระองค์ก็จะสูญสลายไป
นั่นคงไม่ทำให้เจ้าหญิงมีความสุข"
"ฉันอาจไม่มีความสุข"
เจ้าหญิงพึมพำกับตัวเองเธอเหลือบดูเจ้าชายดินปั้น
"แต่ทำให้เขามีความสุข"
คืนนั้นองครักษ์ใบสุดท้ายปลิดปลิวไปกับสายลม
เจ้าหญิงดอกโมกเฝ้ามององครักษ์จากไป...อย่างอาลัย
เธอกระซิบขอสัญญาจากสายลม

วันรุ่งขึ้นเจ้าชายตื่นขึ้นมาเขาดีใจที่เห็นเจ้าหญิงดอกโมกยังคงอยู่
เขาอยากให้เธออยู่กับเขาตลอดไป
"อยู่กับฉันเถอะนะ...อย่าจากฉันไปเลย"
เขาขอร้องเธอเหมือนเช่นทุกวัน
"ความรักของฉันจะยังคงอยู่กับเธอเสมอแม้เมื่อฉันจากไป"
เจ้าหญิงยิ้มเศร้าๆ
ทันใดนั้นสายลมพัดมาพาเอาเจ้าหญิงดอกโมกลอยไป
น้ำพุกลางบ่อกระเซ็นมาถูกหางตาเจ้าชาย
คล้ายน้ำตาของเขาที่กระจายไปกับสายลม
หยดน้ำเล็กๆหยดหนึ่ง
หยดลงไปสัมผัสกับดอกโมกสีน้ำตาลในมือเจ้าชาย
สายลมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหญิงแล้ว

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 22:31
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

"เจ้าชายน้อยกับเจ้าสุนัขจิ้งจอก"

ท่ามกลางความเงียบเหงา

ฉันก็คิดถึงเจ้าสุนัขจิ้งจอกเดียวดายตัวนั้น

"ชีวิตฉันซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย ฉันวิ่งล่าไก่ แล้วคนก็ล่าฉันอีกที

"ไก่เหมือนกันหมดทุกตัว และคนก็เหมือนกันหมดทุกคน

ฉันเลยเริ่มจะเบื่อบ้างแล้ว"

เมื่อคนเราเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตซ้ำซาก ความเปล่าเปลี่ยวในส่วนลึกของหัวใจ

จะเรียกร้องให้เราแสวงหาความผูกพัน เพื่อจะมาเติมเต็มชีวิตที่ว่างเปล่า

"ฝึกให้เชื่อง แปลว่าอะไร"เจ้าชายน้อยถาม

"มันเป็นสิ่งซึ่งมักถูกหลงลืมมันคือการ สร้างความผูกพัน"สุนัขจิ้งจอกตอบ

"สร้างความผูกพันหรือ"

"ใช่แล้ว สำหรับฉันเธอก็เป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ เหมือนเด็กอื่นๆเป็นร้อยเป็นพัน

ฉันไม่ต้องการเธอ เธอก็ไม่ต้องการฉันเหมือนกัน

และสำหรับเธอ ฉันก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกอื่นๆนับร้อยนับพันนั่น

แต่ถ้าเธอฝึกให้ฉันเชื่อง เราก็จะต้องการกันและกัน

เธอจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับเธอ"
รูปภาพ
ในสังคมเมืองที่เปลี่ยวเหงามีสุนัขจิ้งจอกเดียวดายเดินสวนกันมากมาย

สุนัขจิ้งจอกที่ยังไม่ได้ถูกฝึกให้เชื่อง

ไม่สร้างความผูกพันกับใคร หรือเป็นเพียงความสัมพันธ์ฉาบฉวย

เราหวั่นเกรงที่จะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับใคร...

หรือบางทีเราเองก็ไม่แน่ใจว่า จะมีคนที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับเรา

"ผู้คนในโลกของคุณ ปลูกกุหลาบห้าพันต้นในสวนเดียวกัน

แต่เขากลับไม่เคยพบสิ่งที่เขาค้นหา...เจ้าชายน้อยกล่าว

ทั้งๆที่สิ่งที่เขาค้นหา อาจจะพบได้ในกุหลาบเพียงดอกเดียว

หรือน้ำเพียงไม่กี่มากน้อย

พวกเขาเหมือนคนตาบอด เขาควรค้นหามันด้วยหัวใจ"

"ค้นหามันด้วยหัวใจ"

ฉันพึมพำเบาๆ หัวใจที่บอบช้ำและเหนื่อยล้าจะค้นหาอะไรเจอ

ฉันยังไม่ถูกฝึกให้เชื่อง เบื่อหน่ายกับโลกของการไล่ล่า

และกลายร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกเดียวดายในวันพระจันทร์เต็มดวง

ฉันจึงเสียน้ำตาทุกครั้ง เมื่อสร้างความผูกพันกับใครแล้วการจากลามาถึง

แม้จะเป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ ฉันก็ยังเชื่อมั่นในความลับของสุนัขจิ้งจอก

"ลาก่อน และนี่คือความลับของฉัน

มันเป็นเรื่องธรรมดามาก เราจะเห็นอะไรได้เพียงด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา"

หนังสือ เจ้าชายน้อย

.....................................................
รูปภาพ"..ทุกๆ วันเป็นการเริ่มต้นใหม่..และเป็นโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในวันวาน..เสมอ.."
"Every day is a new start and a chance to make right what went wrong yesterday."


แก้ไขล่าสุดโดย ผักบุ้ง เมื่อ 08 ต.ค. 2009, 22:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 22:31
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

นิทานแห่งสายลม

ในคืนอันเหน็บหนาวบนหุบเขาแห่งความเดียวดาย มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ที่มาและที่ไป
เขาจะรอเวลาที่ราตรีมืดมิดแผ่ขยายปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนเห็น แต่เพียงแสงจันทร์สว่างเด่นอยู่เพียงดวงเดียว
เขาจะมานั่งมองท้องฟ้าที่ใต้ต้นไม้ต้นเล็กๆ บนยอดเขาเล็กๆแต่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในหมู่บ้านทุกคืน

ชาวบ้านจะพบเห็นเขาเฉพาะยามที่ความมืดมิดแห่งรัตติกาลมาเยือน จนเมื่อยามอรุณรุ่งแห่งวันใหม่ผ่านวน
เข้ามาอีกรอบ ทุกคนก็จะไม่เห็นเขาอีกแล้ว ข่าวคราวของชายหนุ่มผู้ไม่มีพิษมีภัยคนนี้เล่าลือกันมานาน
จนชาวบ้านมองว่าเขาประหนึ่งแขกพิเศษคนหนึ่งของหมู่บ้าน มีคนเคยสงสัยและระแวงกับชายหนุ่มผู้นี้

แต่แทบทุกครั้ง ผู้เฒ่าแห่งหุบเขาแห่งความเดียวดาย ที่อาศัยอยู่ปลายยอดเขานั้นจะปรามไว้
และโบกมือห้ามไม่ให้ยุ่งกับคนผู้นั้น และเอ่ยกล่าวเพียงว่าชายผู้นี้ไม่มีพิษมีภัยกับใคร
ทุกคนจงอย่าสงสัยในเจตนาของเขาเถิด ไม่ว่าใครจะสอดรู้อยากเห็นซักเพียงใด
ผู้เฒ่าก็ตอบได้เพียงประโยคที่กล่าวซ้ำเดิมเช่นเคย
จนเป็นที่รู้กันว่าผู้เฒ่าอาจจะรู้จักกับชายผู้นั้น
และคงเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่เข้าใจเหตุผลที่ชายนิรนามทำตัวลึกลับเช่นนี้

เวลาล่วงเลยผ่านไปนานหลายปี
จนชาวบ้านต่างก็เริ่มเบื่อที่ซักถามความเป็นจริง จนมองเห็นกิจวัตรของชายหนุ่มเป็นเรื่องปกติ
แต่ทว่าชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นที่จะปรากฎตัวเฉพาะ ยามที่ความมืดเข้ามาเยือน
และจากไปก่อนแสงแรกของวันใหม่จะเริ่มต้น เขาทำอย่างนี้อยู่ทุกๆวัน
ถึงคนวัยเก่าที่ได้เห็นความเป็นมาว่าเป็นอย่างไร จากอยากรู้จนเฉยชิน

แต่คนรุ่นหลังที่เกิดใหม่ มองเห็นกิจวัตรของคนคนนี้แปลกอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
จนทำให้เด็กรุ่นใหม่ในหมู่บ้านเก็บความสงสัยนี้มานานจนทนไม่ไหว

วันหนึ่งหลังจากสิ้นสุดการประชุมลับของบรรดาแก๊งเด็กรุ่นใหม่ในหมู่บ้าน
หัวโจกผู้ที่แสดงออกถึงความเป็นผู้นำที่สุดในกลุ่ม เสนอตัวกล้าที่จะลอบเข้าไปดูชายหนุ่มใกล้ๆ
และสืบให้รู้ว่าเขาขึ้นมาทำอะไรอยู่ได้ทุกวัน

ค่ำคืนหนึ่งในคืนเดือนมืด ท้องฟ้าปิดไร้แม้แสงดาวบนฟากฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน
กลุ่มเด็กอยากรู้ค่อยๆลัดเลาะจากตีนเขาห่างจากอีกฟากของทางขึ้นเขา
เพื่อรอดูผลงานจากผู้กล้าที่อาจหาญขึ้นไปตามล่าหาความจริง
ไม่ทันที่หัวโจกแห่งกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ จะทันคลานย่องไปถึงตัวชายหนุ่มลึกลับ
เสียงทักเรียกเด็กน้อยให้ออกมาจากพงหญ้าที่สูงท่วมหัว ให้ออกมาจากที่ซ่อนนั้นดังขึ้น
เด็กน้อยลุกขึ้นด้วยความกลัว มองตรงไปยังบุคคลหนึ่งที่นั่งตรงจุดสูงสุดบนยอดเขา
ใต้ต้นไม้ต้นเดิมที่ทุกคนเห็นชายหนุ่มคนนี้มานั่งจนชินตา
"เอาล่ะสิ!!!! นี่เราอาจจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นชายหนุ่มคนนั้นเสียที"

เด็กน้อยหัวโจกคิดอยู่ในใจทั้งที่ในใจนั้นแสนกลัว
"มาเถอะเด็กน้อยมานั่งเป็นเพื่อนเรา 5 ปีมาแล้วได้กระมังที่ไม่มีใครกล้ามาหาเราเช่นนี้"
"นานแล้วสินะ "

เสียงกระแอมแสดงความเอ็นดูเจือออกมาจากน้ำเสียงของชายหนุ่ม ที่เล็ดลอดออกมาภาพที่เด็กน้อยเห็น
เมื่อเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มจนความมืดไม่อาจปกปิดได้ นี่หรือชายหนุ่มที่ทุกคนในหมู่บ้านได้ยินข่าว
และร่ำลือกันมานานหลายปี รอยเหี่ยวย่นและรอยตีนกาที่มากมาย
เหมือนดังเช่นวงปีของต้นไม้ บ่งบอกถึงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร
เด็กน้อยคิดว่าชายหนุ่มในคำร่ำลือกลับชรากว่าที่คิดไว้เยอะ เราคงเรียกเช่นเดิมไม่ได้แล้วสินะ
"มามะ เจ้าหนูมานั่งตรงนี้สิ"
"เราคงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว....มันน่าจะถึงเวลาที่เราจะไม่ต้องมานั่งคอยอยู่เช่นนี้อีกแล้ว"

ชายหนุ่มที่ชรากว่าที่เคยได้ยินคำร่ำลือมาเริ่มเอ่ยปาก
"คืนนี้แล้วล่ะที่เป็นคืนสุดท้ายที่พวกเจ้าจะเห็นเราเป็นครั้งสุดท้าย"

เด็กน้อยใจหายวาบ
แว่บแรกเด็กน้อยรู้สึกคลายความกลัวเพราะเสียงอันอ่อนโยนจากชายชรา ทำให้เด็กน้อยรู้สึกผ่อนคลายลงได้
แว่บที่สอง เมื่อเด็กน้อยได้ฟังคำกล่าวของชายชราเด็กน้อยเริ่มรู้สึกผิด ว่าเขาอาจจะเป็นต้นเหตุ
ทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ ที่เด็กน้อยเข้ามาวุ่นวายก่อความรำคาญให้ชายชรา
จนเขาอาจจะไม่ขึ้นมานั่งมองท้องฟ้าบนยอดเขาอีกแล้ว
"เรานั่งอยู่บนยอดเขานี้เป็นเวลาสิบปีแล้วและวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะครบสิบปีพอดี"

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาโดยที่เด็กน้อยได้ย้ายตัวเองนั่งอยู่ใกล้ๆซักพักแล้ว
"เจ้าหนู...เจ้าไม่ต้องกลัวเราไปหรอก"
"เราจะเล่าให้เจ้าฟังว่าทำไมเราถึงมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานขนาดนี้"

ความอยากรู้ทำให้เด็กน้อยลืมความกลัว
"โอ้!วันนี้คงเป็นวันที่พิเศษสุด
สำหรับเราก็ได้ที่จะได้รู้ความลับของชายผู้เป็นปริศนาแห่งหมู่บ้าน"เด็กน้อยคิด
"มา!เจ้าหนูเรานั่งเงียบคนเดียว ท่ามกลางความหนาวเย็นอยู่ตรงนี้มานานเกินไปแล้วล่ะ"
"เจ้าจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่เราจะเล่าเรื่องต่อไปนี้ให้เจ้าฟัง"
"เราน่ะไม่ใช่คนจากที่อื่นหรอก...เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้นี่แหล่ะ"
"เพียงแต่ที่ไม่มีใครรู้จักเรามากเพราะเราเิกิดที่นี่แต่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น"
"ผู้เฒ่าปลายเขาที่ห้ามคนในหมู่บ้านมาวุ่นวายกับเราที่พวกเจ้ารู้จักนั้นเป็นน้าชายของเราเองล่ะ"
"และที่เขาต้องทำอย่างนั้นเพราะเขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจในสิ่งที่เราทำเป็นเวลาตลอดมาสิบปี"
"เอาล่ะ...เจ้าคงอยากรู้ล่ะสิว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง"
"เจ้าพร้อมฟังรึยังล่ะเจ้าเด็กน้อย............."

ชายชราหลับตาลง แล้วเริ่มระลึกถึงความหลังครั้งย่างเข้าในวัยที่เรียกว่าแรกรุ่น
เขาค่อยๆลืมตาขึ้นเล็กน้อย แล้วสะกดความรู้สึก ถอนหายใจเบาๆ

แล้วชายชราก็เริ่มเล่าให้เด็กทั้งสองฟังว่า
ที่ข้ามารอที่นี่ในยามรัตติกาลนั้น เป็นเพราะข้าสัญญากับหญิงอันเป็นที่รักของข้าว่า ไม่ว่า นางจะอยู่ที่ใด
หรืออยู่กับใคร เมือไหร่ที่นางรู้สึกว่า นางไม่มีใคร ไม่เหลือใคร ให้มาหาข้าที่ยอดเขาในยามรัตติกาลนี้
ไม่ว่านางจะมาวันไหน เชื่อเถอะว่า นางจะเจอข้า ซึ่งนั่นหมายความว่า ข้าจะมารอนางทุกๆ รัตติกาล

สิ้นคำถาม เด็กน้อยพยักเป็นการตอบรับคำถามนั้น
ชายชารเริ่มเริ่มยิ้ม แล้วก้มลงไปมองดูเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยน
เด็กน้อยมองกัลบไป ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มยิ่งขับให้ริ้วรอยแห่งกาลเวลา
บนใบหน้าชายชราแจ่มชัดยิ่งขึ้นภายใต้แสงจันทร์ แววตาที่ฉาบเคลือบด้วยความเอ็นดู
ซุกซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกไว้มากมายภายใน

"ครั้งหนึ่งเราเองก็เป็นคนของหมู่บ้านนี้ ก่อนจะลาจากไปด้วยด้วยเหตุอันใด
แม้เราเองก็ยังไม่แจ่มชัดชัดนัก เพราะเมื่อยากที่เราจากไปนั้น
เรายังเยาว์นัก อาจจะเยาว์วัยกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำเด็กน้อย"

ชายชราเงียบไปชั่วขณะนึง ก่อนจะทอดถอนลมหายใจแผ่วเบาราวกับเกรงว่า
หากทำเสียงดังไปกว่านี้ จะเป็นการรบกวนสิ่งต่างๆ ในรัตติกาลนี้มากเกินไป

แววตาของชายชราค้ลายคนหลุดเข้าไปในห้วงขอความฝัน เหม่อไป
คล้ายไปเจาะจงพูดกับผู้ใด ก่อนจะดำเนินเรื่องราวต่อไป

"เราจากที่นี่มาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
เมื่อครั้งโตจนเริ่มจดจำเรื่องราวได้ ผู้เดียวที่ข้าเห็นคือแม่ของเรา แม่ผู้เป็นหญิงสาวสวย
แต่กลับมีแผลเป็นอัปลักษณ์บนใบหน้าแสนงามนั้น แววตาหม่นเศร้าและเสียงสะอึกสะอื้นยามดึก"

"อาจด้วยเพราะเราสองแม่ลูกเป็นผู้มาจากที่อื่น เราจึงต้องอยู่กันอย่างเรียกได้ว่าโดดเดี่ยว
แม่ผู้อยู่อย่างสันโดษและไม่ยอมเปิดรับมิตรภาพเท่าใดนัก
จึงทำให้เราสองแม่ลูกดูคล้ายเป็นตัวประหลาดในเมืองแห่งนั้น"

"เจ้ามีพ่อหรือไม่ เจ้าหนู" จู่ๆ ชายชราก็ถามขึ้นมา
"ก็ต้องมีซิ ใครละจะไม่มีพ่อ" เด็กน้อยตอบด้วยความงุนงงเป็นที่สุด
"นั่นซินะ เราก็ถามอะไรโง่ๆ ดีแท้ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าใครเป็นพ่อของเจ้า" ชายชราถามอีกครั้ง
"แน่ล่ะ ข้าต้องรู้ซิ พ่อของข้าเป็นพ่อค้าในเมืองนี้" เด็กชายตอบกลับไป
"อืม งั้นรึ ดีจริงนะ" ชายชราตอบ
"ครั้งนึงเราเคยถามแม่ของข้าว่า พ่อของข้าเป็นใคร แม่ของข้าไม่มีคำตอบใดๆ ให้
นอกเสียจากน้ำตา ความเงียบงัน และแววตาที่แสดงออกถึความปวดร้าวจากก้นบึ้งของจิตใจ"

นางยังคงเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา หญิงที่ดูหม่นหมอง
ราวกับมีเมฆหมอกของความทุกข์ใจห่อหุ้มตัวของนางไว้ตลอดเวลา
ตราบจนกระทั่งเมื่อนางชราเหลือเกิน และเราเติบโตพอที่จะเดินทางไกลได้ด้วยตนเองลำพัง
นางจึงบอกเล่าเรื่องราวในอดีต ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่แสนเคร่งครัดด้วยธรรมเนียมมากมาย
หมู่บ้านที่นางเกิดและเติบโตมา"
"แม่ของเราจัดได้ว่าเป็นสาวสวยในยามนั้น
สาวเสริฟที่สวยที่สุดในร้านอาหารที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ มาพักผ่อนอยู่เสมอ"

"ที่นั่นเอง นางได้พบนักท่องเที่ยวหนุ่มรายหนึ่ง ชายผู้มีผมสีทอง
นัยตาสีฟ้าที่ราวกับว่าจะสะกดทุกสิ่งได้ สะกดได้กระทั่งใจของสาวน้อยที่ไม่ประสาต่อโลกใบนี้เสียเลย"

"ข้ายังจำได้ถึงแววตาที่ทอประกายของความสุขที่มากล้นใจ
นัยตาที่เปล่งประกายบนใบหน้าซีดขาวราวกระดาษขอนางในยามนั้น
ประกายของความสุขนั้นแทบทำให้เราลืมไปว่า ที่ผ่านมานั้นแม่ของข้าอยู่มาอย่างตรมทุกข์เพียงใด"

"ชายหนุ่มและหญิงสาวนัดพบกันในที่สุดที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งบนยอกเขาลูก หนึ่ง
ในยามรัตติกาล แน่นอนเมื่อมีครั้งแรก ครั้วต่อๆ มาก็เกิดขึ้นในสถานที่เดิมๆ"

"เจ้ายังเด็กนัก เจ้าหนู เจ้าอาจไม่เข้าใจว่หากเพียงแค่พบเจอกัน มันจะแปลกอะไร
แต่่ชายหนุ่มหญิงสาว เข้าใกล้กันเยี่ยงนั้นก็เหมือนไฟกับน้ำมัน ในที่สุดก็เกิดเรื่องราวที่น่าเศร้าตามมา"

"ชายหนุ่มนักท่องเที่ยวผู้นั้นจากไป โดยให้คำสัญญาว่าจะมาพบเจอกันอีกในที่เดิม
ในปีถัดมาเพื่อรับไปอยู่ด้วยกัน ในดินแดนแห่งใหม่"

"แต่หลังจากนักท่องเที่ยวจากไป เขาไม่เพียงจากไปเท่านั้น
เขายังเอาหัวใจของสาวน้อยคนนึงไปด้วย และได้ทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้กับกับนางเช่นกัน"

เด็กน้อยทำตาโตด้วยความคล้ายตกใจ ก่อนที่ชายชราจะพยักหน้ารับ
"ใช่แล้ว นักท่องเที่ยวคนนั้นทิ้งเราไว้ในท้องของแม่เรา สาวน้อยคนนั้นกำลังตั้งครรภ์"

"การตั้งครรภ์โดยยังไม่แต่งงานถือว่าผิดธรรมเนียมอย่างร้ายกาจ
แน่นอนว่านางพยายามปกปิดอย่างที่สุด แต่ที่สุดแล้วเรื่องก็ปรากฎเป็นที่รู้โดยทั่ว ในขณะนั้นเอง
ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ปรึกษาหารือกันว่า จะทำเช่นไรกับหญิงที่ถูกประนามว่าไร้ยางอายผู้นี้"

"ทุกคนลงความเห็นให้ขับนางออกไป แต่น้อชายของนาขอร้องไว้
ขอร้องให้นางคลอดและเริ่งฟื้นตัวจนเดินทางไกลๆ ได้เสียก่อน
แต่ทุกคนในยามนั้น ไม่มีใครอยากเห็นนางอีก"

"น้องชายของนางจึงยื่นขอเสนอมาว่า "ข้าจะทำกระท่อมที่สุดหมู่บ้าน ให้นางไปอยู่ที่นั่นกับข้า
ข้าจะดูแลนาง และเมื่อถึงเวลาที่ควร ข้าจะเป็นผู้ขับนางออกไปเอง" "

"วันเวลาผ่านไป ข้าถือกำเนิดขึ้นมา นางเฝ้าเลี้ยงดูข้าด้วยใจที่แตกสลาย
เพราะวันเวลาที่นางใกล้ต้องจากไปนั้นใกล้เข้ามาทุกที"

เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ ชราถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ราวกับว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยหย่อนความหนักอึ้งในใจให้หมดสิ้นไปได้

"เมื่อถึงวันที่นางต้องจากไปนั้น ผู้คนขับไล่ไสส่งนางราวกับเป็นิส่งของน่ารังเกียจ
ผู้คนพากันขว้างปาข้าวของหวังเพื่อทำร้ายนาง
และเราว่านี่เองที่เป็นสาเหตุของแผลเป็นอัปลักษณ์บนใบหน้าของนาง"

"ชายผู้นั้นได้ให้สัญญา ว่าเมื่อครบหนึ่งปีจะมาหานาง
หากแม้ไม่พอเจอจะเฝ้ารอ ณ ที่แห่งเดิมในทุกวันของรัตติกาลจวบจนกว่าจะได้พบกัยอีกครั้ง
เพื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป แต่คงไม่มีวันเป็นจริงเสียแล้ว
เมื่อยังไม่ทันจะครบหนึ่งปี นางก็ต้องออกไปจากหมู่บ้าน"

"ที่นี่เจ้ารู้รึยังล่ะว่า ชายหนุ่มผู้นั้น นัดหญิงสาวผู้เป็นดวงใจของเขาไว้ที่ใด"

"ที่แห่งนี้แหละ เด็กน้อย ที่ที่เจ้าและเรานั่งอยู่นี่"

"แม่ของเรา นางเพียงปรารถนาให้ชายผู้นั้นได้พบเรา
ผู้เป็นหลักฐานแสดงถึงความรักความผูกพันแต่ครั้งเก่าก่อน
แต่อนิิจจา กว่าข้าจะเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ ก็ใช้เวลายาวนานเหลือเกิน"

"ยังโชคดีที่เมื่อเรามาถึง เราได้พบเจอผู้เฒ่าก่อนผู้อื่นผู้ใดในหมู่บ้าน
เราจึงสามารถแจ้งความประสงค์ขอข้าได้อย่างไม่ต้อตะขิดตะขวงใจใดๆ เพราะเขาเป็นน้าของเรานิ่"

"เราสานต่อสัญญาที่แม่ของเรามีให้ชายผู้นั้นมาครบสิบปีแล้ว
สิบปีนั้นข้าคิดว่ามันน่าจะนานเพียงพอแล้ว กับการใช้ชีวิตที่มีเพื่อรอคอยอดีต ให้กลับมา
สิบปีที่เราไม่เคยมองหาอนาคต สิบปีที่เราทำตามสัญญาแทนแม่ของเรา"

"เรามิได้ดูถูกความรักของทั้งคู่ แต่จนป่านนี้แล้วเราเองไม่แน่ใจว่า
ชายผู้นั้นจะยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตัวเองยังแก่เฒ่าถึงเพียงนี้
บางทีเขาอาจจะไปอยู่ร่วมกับแม่ของขเราเสียแล้วก็เป็นไป"

"เราจึงคิดว่า พอเสียทีกับการเฝ้ารออดีตให้วิ่งมาหา
เราควรเดินไปตามทางและมองอนาคตไว้บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะเริ่มเหลือน้อยเต็มทีแล้วก็ตาม"

"เอาล่ะเด็กน้อย เจ้ารู้เรื่องราวของเราหมดสิ้นแล้ว เจ้าควรกลับไปบ้าน
และเดินไปตามเส้นทางสู่อนาคตของเจ้า เจ้ายังมีอนาคตอีกไกลนัก
แต่แน่นอน เจ้าคงไม่มีอดีตมากมายเท่าไหร่นักหรอก จริงไหม"

เด็กน้อยพยักหน้า ก่อนจะลุกเดินจากไป แต่เพียงแค่ก้าวเดินไปสองก้าว
ก็หันกลับมาถามชายชราผู้นั้นว่า "ท่านมีชื่อว่าอะไร ข้าจะได้จดจำมัน"

ชายชรายิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบไปว่า "ไม่มีประโยชน์อันใดที่จักยึดติดกับอดีต
เจ้าหนู เจ้าควรเดินไปหาอนาคตที่รอคอยเจ้าได้แล้ว"

สิ้นเสียงฝีเท้าของเด็กน้อย ชายชราเงยหน้ามองท้องฟ้าในยามค่ำคืน
คืนนี้จันทร์กระจ่างนัก จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ในคืนที่พ่อและแม่ได้พบกันนั้น
จันทร์กระจ่างเช่นนี้หรือไม่ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วลุกขึ้นยืน

"จักมีประโยชน์อันเล่า ที่จะยึดติดกับอดีต" ชายชราพูดกับตัวเองก่อนจะเริ่มก้าวเดินจากไป

จากไปจากอดีต และก้าวหาอนาคตที่แม้จะเหลือน้อยแล้วก็ตามที"

ชายคนนั้น แท้จริงแล้วเป็นชายพิการ สูญเสียมือทั้งสองข้างไปในอุบัติเหตุตั้งแต่ยังหนุ่ม
เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้ภรรยาที่ทนดูแลสามีที่พิการไม่ไหวหอบเอาลูกหนีไป
การที่ต้องสูญเสียครอบครัวที่ให้เค้าเสียใจมากก็จริง
แต่ก็ไม่มากมายเท่าการที่เค้าไม่สามารถที่จะทำความฝันในวัยเยาว์ให้เป็น จริงได้อีกแล้ว
ความฝันของเค้าก็คือการเป็นนักดนตรี ..จะเล่นดนตรีได้อย่างไร ถ้าไม่มีมือ!!?
เค้าคิดทอดถอนใจและเฝ้าครุ่นคิดถึงความสำคัญของการมีอยู่ของชีวิต
ทุกคืนทุกวันเค้าจึงมานั่งมองพระจันทร์และแสงดาว
เสียงลมและเสียงใบไม้ไหวบรรเลงเพลงธรรมชาติอย่างซื่อตรง
เป็นเช่นนั้นทุกวันทุกคืน วันแล้ววันเล่า วันนี้ครบรอบ10ปี
เค้าชรามากแล้ว เค้าค้นพบความหมายของการมีอยู่ของชีวิต
นั่นไม่ใช่การมีคนรัก หรือการทำตามความฝัน แต่เป็น..การใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า
เสียแขนยังใช้ปากแทนได้ เมียทิ้งไปยังหาเมียใหม่ได้
แต่เวลา..ครั้นเมื่อปล่อยให้มันผ่านเลยไปแล้ว มันจะไม่มีวันย้อนกลับมา
เค้านั่งทุกข์ท้อปล่อยให้วันคืนผ่านไปอย่างไร้ค่า..
หลังจากเล่าเรื่องราวของ ตัวเองจบ เค้าลุกจากไป
โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องราวของเค้า
ได้ปลุกไฟแห่งความมุ่งมั่นในตัวของเด็กชาย ให้ลุกโชนขึ้น อย่างไม่ตั้งใจ

.....................................................
รูปภาพ"..ทุกๆ วันเป็นการเริ่มต้นใหม่..และเป็นโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในวันวาน..เสมอ.."
"Every day is a new start and a chance to make right what went wrong yesterday."


แก้ไขล่าสุดโดย ผักบุ้ง เมื่อ 08 ต.ค. 2009, 23:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b35: :b35: :b35: :b35: :b35:

:b35: :b35: :b35: :b35: :b35:

:b35: :b35: :b35: :b35: :b35:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้อ..เนี้ยลุงตาไม่ดีแน่นเลย..ไม่เคยเห็นกระทู้นี้ของป่าอ้อ...อายจัง.... :b12: :b12:

ขอบใจนะที่แต่งลุคในบอร์ดให้ลุงกับพี่ๆใหม่...ถูกใจจ๊ะ...ของป้าฯ ลุงว่าจืดไปลองใหม่นะ :b35: :b35:

เมื่อวานคุณลอยทานของอร่อยเผื่อป่าอ้อ...ด้วย...ถ้าไม่ดึกคุณป้าฯก็จะไปรับแล้ว... :b12: :b12:

รอคุณเพลิงกลับจากไปส่งพระอาจารย์ที่น้ำหนาวก่อน...จะไปดอนหวาย...จูงผักบุ้งมาด้วยล่ะ.. :b27: :b27:

คุณเพลิงตื่นหรือยัง..ถึง-ตีอะไรรายงานด่วน..... :b12: :b12:

คุณลอย.....ลุงลืมโน๊ตบุ๊คไว้ใต้เบาะหลังรถครับ....ลุงรอที่บ้านเน้อ... :b31: :b31:

เดี๋ยว...จะต้มยำไก่บ้านไว้....รอ :b38: :b38:

รูปภาพ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 09 ต.ค. 2009, 13:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




49226.jpg
49226.jpg [ 32.48 KiB | เปิดดู 5570 ครั้ง ]
ตำนาน..ดอกไม้กับใบไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ดอกไม้และใบไม้ยังไม่ได้รวมอยู่บนต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้ มันต่างก็แยกกันอยู่ อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีแต่สีเขียวหากแต่มีหลากหลายสีสัน งดงามนัก

...แต่ ดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวเท่านั้น ใบไม้รวมอยู่กับหมู่ใบไม้ด้วยกัน มีแต่ความร่าเริง มีนิสัยรักสนุก ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่าง เงียบเหงา เดียวดาย แม้จะอยู่รวมกันคุยกันกับหมู่ดอกไม้ด้วยกัน แต่ดอกไม้แต่ละดอกต่าง มีความคิด และวาดฝันเป็นของตัวเอง เธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร บ่อยครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้ แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้าง แต่ดอกไม้ ดอกเล็กและเสียงเบาเกินกว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมา

กระทั่งวันหนึ่ง ... ใบไม้เกิดรู้สึกเบื่อสีสันของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้น้อยสีขาวบริสุทธิ์ดอก หนึ่งเข้า ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน เขาไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไร เพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไมของดอกไม้น้อยในทันที แต่ในความอ่อนหวานนั้นดูเหมือนจะมีความเหงาแฝงอยู่ด้วย ใบไม้จึงเข้าไปถามดอกไม้ว่า "ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกินแต่ทำไมเธอจึงดูเงียบเหงาอย่างนี้เล่า" ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่ แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า
สีขาวซีด อย่างนี้หรือสวย ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก" ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วย เหลือ ดูแล และปกป้องดอกไม้น้อยดอกนี้ เขาจึงบอกเธอไปว่า "มาซิดอกไม้ ฉันช่วยเธอได้นะ ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะทำให้เธอมี ชีวิตชีวาขึ้นเอง" ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันที

เมื่อ ดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้ว ใบไม้ก็ให้การดูแลเธออย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ ถ่ายทอดออกมาเป็นสีสันสวยงามให้กับดอกไม้ แล้ววันหนึ่งเมื่อดอกไม้น้อยมองลงไปในลำธาร เธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสวยที่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อหันไปมองที่ใบไม้ เขากลับกลาย เป็นสีเขียวที่ดูอบอุ่นนัก ดอกไม้น้อยถามใบไม้ว่า " ใบไม้ นี่ฉันแย่งสีสันในชีวิตเธอมารึเปล่านะ " ใบไม้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า " ไม่หรอก ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว

ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้เห็นเธอ มีความสุข " จากนั้นมา ดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่ร่วมกันเป็นต้นไม้ที่อบอุ่น บนรากของความรัก ที่หยั่งลึกลงไปในผืนดินของหัวใจ

ด้วยเหตุนี้ ใบไม้จึงมีสีเขียว สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา เพราะเมื่อเรามองดูสีเขียว

เมื่อไร เราจะรับรู้ได้ถึงความสบายใจของใบไม้ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความสุข ส่วนดอกไม้ ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวาน ละมุนละไมนั้น ดอกไม้คงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน ...

ขอบคุณค่ะ...ป้าโคม่าถามแล้ว...ที่บ้านมีลีมิด..ให้แค่สองทุ่ม
ที่แรกกะว่าจะไปกับพี่ชาย..แต่พี่บอกว่าดึกเกิน..เช้าเค้ามีประชุม..เลยแห้ว :b20:
แต่ก็ขอบคุณนะค่ะ...พ่อกับแม่บอกว่ายินดีต้อนรับค่ะถ้าจะมาดอนหวาย....
บ้านคุณลุงอยู่ท่าตำหนัก..ไม่ไกลกันหรอกค่ะ...

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 18:45, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สนุกมากเลยคะ คุณป่าอ้อ ให้แง่คิดและสอนเราได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว ขอบคุณนะคะ ><


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ป่าอ้อ เขียน:
ขอบคุณค่ะ...ป้าโคม่าถามแล้ว...ที่บ้านมีลีมิด..ให้แค่สองทุ่ม
ที่แรกกะว่าจะไปกับพี่ชาย..แต่พี่บอกว่าดึกเกิน..เช้าเค้ามีประชุม..เลยแห้ว :b20:
แต่ก็ขอบคุณนะค่ะ...พ่อกับแม่บอกว่ายินดีต้อนรับค่ะถ้าจะมาดอนหวาย....
บ้านคุณลุงอยู่ท่าตำหนัก..ไม่ไกลกันหรอกค่ะ...

กลับจากทองผาภูมิ..เราจะไปบุกดอนหวาย.... :b12: :b12:
ตอนนี้พวกขอถล่มครัวลุงมะตูมก่อน...... :b19: :b19:
อ้อ!ป๋าเราทำข้อมูลเก่าคุณฟ้าหายไปแล้ว... :b31: :b31:
...พรุ่งเข้าบอร์ดให้ด้วยนะน้องสาว... :b33: :b33:
กลับมาจะเอาขนมมาแลกข้าวเย็น.... :b22: :b22:
อย่านอนดึกนักล่ะ....ไปนอนได้แล้ว... :b30: :b30:

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุหลัน..เลื่อนลอย เขียน:
ป่าอ้อ เขียน:
ขอบคุณค่ะ...ป้าโคม่าถามแล้ว...ที่บ้านมีลีมิด..ให้แค่สองทุ่ม
ที่แรกกะว่าจะไปกับพี่ชาย..แต่พี่บอกว่าดึกเกิน..เช้าเค้ามีประชุม..เลยแห้ว :b20:
แต่ก็ขอบคุณนะค่ะ...พ่อกับแม่บอกว่ายินดีต้อนรับค่ะถ้าจะมาดอนหวาย....
บ้านคุณลุงอยู่ท่าตำหนัก..ไม่ไกลกันหรอกค่ะ...

กลับจากทองผาภูมิ..เราจะไปบุกดอนหวาย.... :b12: :b12:
ตอนนี้พวกขอถล่มครัวลุงมะตูมก่อน...... :b19: :b19:
อ้อ!ป๋าเราทำข้อมูลเก่าคุณฟ้าหายไปแล้ว... :b31: :b31:
...พรุ่งเข้าบอร์ดให้ด้วยนะน้องสาว... :b33: :b33:
กลับมาจะเอาขนมมาแลกข้าวเย็น.... :b22: :b22:
อย่านอนดึกนักล่ะ....ไปนอนได้แล้ว... :b30: :b30:


ป๋ากดลบไปแล้วแก้ไม่ได้หรอกค่ะ....อย่าลืมหนมนะค่ะ..... :b37: :b37:

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร