วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 23:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


การเวก ปักษาผู้ขับขานเสียงสวรรค์

การเวก หรือนกกรวิก เป็นนกในป่าหิมพานต์ ที่คุ้นหูกันดีจากวรรณคดีไทยเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” กล่าวกันว่า นกการเวกนั้นมีเสียงร้องที่หวานไพเราะกังวานและเสนาะหูยิ่งนัก ดุจดังเสียงจากสวรรค์ ผู้ใดได้ยินเสียงขับขานต่างเหมือนต้องมนต์กันทีเดียว

ตามตำนานของไทยหลายเล่มยังกล่าวถึงนกการเวกว่าเป็นนกที่บินสูงเหนือเมฆ จึงไม่ใคร่มีใครเห็นตัว ชอบกินลมเป็นอาหาร อันเป็นที่มาของชื่อนามอีกชื่อว่า “วายุภักษ์” นอกจากนี้ ยังเป็นนกที่มีขนงดงาม ว่ากันว่าขนนกการเวกเป็นของวิเศษ ผู้ที่ต้องการขนนกการเวกจะต้องทำร้านไว้บนยอดไม้ เอาขันใส่น้ำไปวางไว้ นกการเวกจะมาอาบน้ำในขันแล้วสลัดขนไว้ให้ เชื่อกันว่าขนของนกการเวกที่เก็บไว้นั้นก็จะกลายเป็นทอง ขนของนกการเวกยังนำมาทำเป็นเครื่องแต่งกาย และใช้เสียบพระมาลาของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยก่อนอีกด้วย

พระยาอนุมานราชธน อธิบายไว้ว่า นกการเวกมีภาพวาดอยู่ในสมุดภาพสัตว์หิมพานต์ที่หอสมุดวชิรญาณว่า เป็นนกที่มีหัว มือ และเท้าเหมือนครุฑ ปีกอยู่ที่สองข้างตะโพก ขนหางยาวอย่างขนนกยูง ลักษณะขนหางคล้ายใบมะขาม แต่บางแห่งวาดเป็นนกคอยาว หัวเหมือนนกกระทุง ขนหางเป็นพวงเหมือนไก่ ขายาวเหมือนนกกระเรียน ลักษณะที่ต่างกันไปก็แล้วแต่ว่าจิตรกรผู้วาดรูปนกจะจินตนาการไปอย่างไร

ยังมีคำอธิบายในคัมภีร์ปัญจสูทนีว่า นกการเวกกินมะม่วงสุกชนิดที่มีรสหวานเป็นอาหาร โดยใช้จะงอยปากเจาะจิบน้ำให้ไหลออกมา นกการเวกถ้าอยู่ลำพังตัวเดียวจะไม่ร้อง ต่อเมื่อเห็นพวกพ้องจึงจะส่งเสียงอันไพเราะขับขานกันอย่างเพลินอุรา

เรื่องของนกการเวกยังมีปรากฏในพระบาลีว่าเสียงของพระพุทธเจ้านั้นเหมือน เสียงพรหม แจ่มใสชัดเจน อ่อนหวาน สำเนียงเสนาะลึกซึ้ง มีกังวานไพเราะเหมือนเช่นเสียงของนกการเวก

และครั้งหนึ่งนกการเวกยังเคยใช้เป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงการคลังที่รู้จักกันในนามของ “ปักษาวายุภักษ์” นั่นเอง

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ตำนานรักนกกระเรียง

ตำนานเจ็ดนางฟ้า บางครั้งก็เรียกว่า ตำนานรักหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า
กล่าวถึงหนุ่มเลี้ยงวัวคนหนึ่งชื่อ หนิวหลาง (จีน: 牛郎; พินอิน: แปล ตรงตัวว่า เด็กเลี้ยงวัว
หมายถึงดาวอัลแทร์) บังเอิญไปพบนางฟ้าเจ็ดองค์เสด็จลงจากสวรรค์เพื่อมาเล่นน้ำในทะเลสาบ
วัวตัวหนึ่งของเขากระซิบบอกวิธี เขาจึงไปขโมยเสื้อผ้าของพวกนางมาแล้วคอยเฝ้าดู
เมื่อนางฟ้าทั้งเจ็ดองค์เล่นน้ำเสร็จแล้วหาเสื้อผ้าของตนไม่พบ จึงให้น้องสาวคนสุดท้องชื่อ จือหนี่
(จีนตัวเต็ม: 織女; จีนตัวย่อ: 织女; พินอิน: แปล ตรงตัวว่า หญิงทอผ้า หมายถึงดาวเวกา)
เพื่อมาเจรจาขอเสื้อผ้าคืน หนิวหลางขอให้นางแต่งงานกับเขา และนางก็ยินยอม
นางฟ้าผู้พี่ทั้งหมดจึงได้กลับคืนสู่สวรรค์
ส่วนจือหนี่ได้อาศัยอยู่กับหนิวหลาง และเป็นภรรยาที่ดียิ่ง หนิวหลางรักนางมาก ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 2 คน
จือหนี่มีฝีมือในการทอผ้า ผ้าที่นางทอจะมีสีสรรสวยงามไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้ พวกเขานำไปขายได้เงินดีและมีชีวิตที่ดี

เง็กเซียนฮองเฮาผู้เป็นมารดาของเหล่านางฟ้า เมื่อได้ทราบว่าบุตรสาวของตนไปแต่งงานกับคนธรรมดาก็กริ้ว
ออกคำสั่งให้จือหนี่กลับสู่สวรรค์ ฝ่ายหนิวหลางเมื่อกลับมาพบภรรยาของตนหายตัวไปก็เศร้าโศกเสียใจ
ทันใดนั้นวัวของเขาก็เอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้ง บอกให้หนิวหลางฆ่าตนเสีย แล้วเอาหนังคลุมร่าง
เพื่อจะได้ไปสวรรค์ตามหาภรรยาได้ หนิวหลางฆ่าวัวด้วยน้ำตา
ครั้นเมื่อเอาหนังมาคลุมร่างเขากับบุตรทั้งสองก็เหาะไปยังแดนสวรรค์ตามหาจือ หนี่
เง็กเซียนฮองเฮาพบพวกเขาขึ้นมาบนสวรรค์ก็โกรธ ดึงปิ่นปักผมของเธอออกมา
แล้วกรีดท้องฟ้าออกกลายเป็นแม่น้ำกว้าง ทำให้คู่รักทั้งสองต้องแยกจากกันตลอดกาล
(แม่น้ำนั้นบนโลกรู้จักในชื่อ ทางช้างเผือก ซึ่งกั้นขวางระหว่างดาวอัลแทร์กับดาวเวกา)
จือหนี่เฝ้าแต่ทอผ้าคอยอยู่ฟากหนึ่งของแม่น้ำอย่างเศร้าสร้อย หนิวหลางดูแลบุตรสองคนของพวกเขา
ทว่ามีเพียงวันเดียวในรอบปี ที่เหล่านกกระเรียนจะมาเรียงตัวกันด้วยความเมตตาสงสารเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ
เพื่อให้คนทั้งสองสามารถข้ามมาพบกัน (สะพานนกกระเรียน) สะพานทอดข้ามดาวเดเน็บในกลุ่มดาวหงส์
ทำให้จือหนี่ หนิวหลาง และลูกๆ มาพบกันได้ในวันที่ 7 เดือน 7 ของปี เพียงวันเดียวเท่านั้น
เล่ากันว่าถ้ามีฝนตกในคืนแห่งเลขเจ็ด
นั่นคือน้ำตาของหนิวหลางและจือหนี่ที่ร่ำไห้กับความรันทดในชีวิตของตน
รูปภาพ

กระเรียน สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
เชื่อกันว่านกกระเรียนมีอายุถึงพันปี ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าถ้าตั้งนกกระเรียนเอาไว้ในบ้าน
จะช่วยส่งผลให้คนสูง อายุในบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรง หากมีคนเจ็บป่วยไข้ก็จะหาย
และคนหนุ่มสาวจะมีหน้าที่การงานที่ดีและราบรื่น ส่วนเด็กๆ ก็จะเรียนหนังสือเก่ง

นอกจากนี้ นกกระเรียนยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีคู่ ที่ตลอดชีวิตจะมีคู่เพียงตัวเดียว
และหากตัวใดตัวหนึ่งเสียชีวิตไปอีกตัวจะตายตาม ซึ่งทางจีนและญี่ปุ่นจะนิยมเลี้ยงนกกระเรียนเอาไว้
ในพระราชวัง และตามบ้าน โดยถือว่าเป็นสัตว์มงคล

ในญี่ปุ่นเองก็มีความเชื่อว่า นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของมวล มนุษย์
และเรื่องของการทำให้คนป่วยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ดั่งตำนานของซาดาโกะกับกระเรียนพันตัว อันเป็นที่มาของการพับนกกระเรียนที่โลกร่ำไห้
ซาดาโกะ ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ชาวญี่ปุ่น
ที่ต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยอันเกิดจากพิษร้ายของสงครามนิวเคลียร์
เด็กหญิงซาดาโกะพยายามใช้มือน้อยๆ ทั้งสองของเธอพับนกกระเรียนกระดาษตัวแล้วตัวเล่า
ด้วยความหวังว่ามันจะสร้าง ปาฏิหาริย์ให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายนี้

แต่แล้วซาดาโกะก็ไม่อาจหลีกพ้นสัจธรรมแห่งชีวิต
เธอหมดลมหายใจในขณะที่พับนกกระเรียนได้เพียง 644 ตัว ในวันฝังศพของเธอ
เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนจึงได้ช่วยกันพับนกกระเรียนใส่ในโลงศพของเธอจนครบ 1 พันตัว

จากเหตุการณ์อันเศร้าสะเทือนใจของเด็กหญิงซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว
ได้ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสร้างอนุสาวรีย์ของเธอ ในลักษณะยืนชูแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้า
โดยมีรูปนกกระเรียนกระดาษอยู่ในอุ้งมือทั้งสอง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ชาวญี่ปุ่นและชาวโลก
ตระหนักถึงพิษภัยของสงคราม และทุกวันที่ 6 ส.ค. ของทุกปี
ซึ่งเป็นวันสันติภาพจะมีผู้คนพับนกกระเรียนมาวางไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ของซาดาโกะ
ที่ตั้งอยู่ภายในสวนสันติภาพ หรือพีช เมมโมเรียล พาร์ก ณ เมืองฮิโรชิมา
เป็นพันเป็นหมื่นตัวเพื่อระลึกถึงเธอ และยังเป็นเครื่องหมายบอกความหวังให้โลกมีสันติภาพ
รูปภาพ
นกกระเรียน เป็นสัตว์ที่ไม่เปลี่ยนคู่ไม่มีการแยกจากกัน
เมื่อตัวใดตัวหนึ่งตายไปมันจะไม่มีการมีคู่ใหม่ จะอยู่แบบโดดเดี่ยวตัวเอง
แต่สำหรับคนบางคนรักกันอยู่ดีๆ ยังไปมีคนใหม่ เราเชื่อกันว่า นกกระเรียนมีอายุถึงพันปี
ดังนั้นถ้าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย พับนกกระเรียนได้พันตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะประทานความหวังให้
ทำให้คนๆนั้นมีสุขภาพ แข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
"นกกระเรียนที่เคยมีให้เห็น เป็นหมื่นตัว ก็กลายเป็น นกหายาก ไปเสียแล้ว ปี พ.ศ. 2488 มีผู้บันทึกว่า
ได้พบนกกระเรียนฝูงหนึ่งจำนวน 8 - 40 ตัว บินผ่านจังหวัดเชียงใหม่ และ เชียงราย ในระหว่างเดือน ธันวาคม ถึง มีนาคม ซึ่งกลายเป็น ข่าวใหญ่สำหรับนักอนุรักษ์ในยุคนั้น หลังจากนั้น
ข่าวการพบนกกระเรียนเป็นฝูงก็ไม่มีอีกเลย นอกจากมีรายงานพบที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย
ที่ทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นครั้งคราว
มาในปี พ.ศ. 2501 ได้มีผู้พบนกกระเรียนจำนวน 4 - 6 ตัวที่จังหวัดพิษณุโลก และ 1 คู่ ที่จังหวัดสระบุรี
ต่อมาปี พ.ศ. 2507 พบอีก 4 ตัวที่วัดไผ่ล้อม จังหวัด ปทุมธานี โดย 1 ใน 4 ตัวนั้นถูกยิงตาย
และ สุดท้ายในปี พ.ศ. 2511 มีผู้พบ ลูกนกกระเรียน 2 ตัว ในเขตติดต่อชายแดนเขมร ในจังหวัดสุรินทร์
โดยตัวหนึ่ง ถูก นายถวัลย์ บุญสิทธิ์ นำไปเลี้ยงดูที่สวนรุกขชาติช่อแฮ จังหวัดแพร่ จนอายุได้ 16 ปีเศษ
ก็ตายลงในวันที่ 27 ตุลาคม 2527
ส่วนอีกตัวไม่มีรายงานที่แน่นอน และ นับแต่นั้นก็ไม่ปรากฎพบนกกระเรียนในธรรมชาติอีกเลย
ถือเป็นการ สิ้นสูญ พันธุ์นกกระเรียนอย่างสมบูรณ์ในประเทศไทย

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 16:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หงส์ นกผู้หยั่งรู้โลกอนาคต

ชาวจีนเรียกหงส์ว่า “เฟิ่งหวง” และยกย่องให้หงส์เป็นดั่งเทพเจ้าสามารถหยั่งรู้ความสุข-ทุกข์ ความวุ่นวายในโลกมนุษย์และโลกในอนาคตได้ แต่จะไม่ให้ใครเห็นได้โดยง่าย จนกระทั่งเมื่อยามใดบ้านเมืองมีสันติสุขอย่างแท้จริง หงส์จึงจะออกมาปรากฏตัวให้เห็น

ตามปกติหงส์จะหากินอยู่บนภูเขาในป่าไกลโพ้น เรียกกันว่า “เขาแดง” คล้ายในป่าหิมพานต์ไม่มีใครไปถึง เป็นนกที่ไม่กินแมลงที่มีชีวิต ไม่จิกกินต้นไม้อ่อนที่ยังเขียวสดอยู่ จะกินอาหารเพียงแต่เมล็ดดอกต้นไผ่ และกินน้ำหวานที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น

หงส์มีเสียงร้องคล้ายกับเสียงสวรรค์ บ้างว่าคล้ายเสียงขลุ่ย ไม่บินเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ อาศัยอยู่แต่เพียงบนต้นไม้ที่มีชื่อว่า ต้นหวู-ถุง ซึ่งจะออกผลแพร่พันธุ์ในช่วงทำขนมไหว้พระจันทร์ หรือเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเดือน 8

ส่วนคุณลักษณะพิเศษของหงส์ตามเทพนิยายของจีนนั้นมีลักษณะแปลกประหลาดมาก เพราะแม้จะมีรูปร่างเป็นนก แต่เป็นนกที่พิเศษสุด เนื่องจากเอาลักษณะบางอย่างมาจากนกเหยี่ยว นกอินทรี ไก่ฟ้า นกยูง นกตะกรุม นกกระสา นกกระยางขาวใหญ่ และนกอื่นๆ อันล้วนเป็นนกวิเศษเหนือนกทั้งปวง ทำให้หงส์เปรียบดั่งราชาแห่งนกที่มีสีสันสวยงามกว่านกทั้งปวง

ชาวจีนยังกล่าวถึงหงส์ในตำนานไว้อีกว่ามีอายุยืนยาวประมาณ 500 ปี จากนั้นก็จะบินตรงไปยังดวงอาทิตย์เพื่อให้ความร้อนแผดเผาร่างกายเป็นเถ้า ถ่าน เป็นการบูชายันต์ตนเอง และหงส์หนุ่มสาวเมื่อเกิดมาได้ 3 วัน มันก็จะบินจากไปอาศัยอยู่ที่อื่นเป็นอิสระโดดเดี่ยวจนกว่าจะมีอายุได้ 500 ปี จึงสิ้นอายุขัย ด้วยเหตุนี้นกหงส์จึงถือว่าเป็นผลิตผลจากดวงอาทิตย์และไฟ เฉกเช่นเดียวกับนกฟีนิกซ์ ชาวตะวันตกจึงมีความคิดว่า หงส์ของจีนน่าจะเป็นนกชนิดเดียวกันกับนกฟีนิกซ์

หงส์ยังเปรียบเป็นสัญลักษณ์แห่งดวงอาทิตย์และความอบอุ่นสำหรับฤดูร้อนและ ฤดูเก็บเกี่ยวพืชไร่ และเป็นเครื่องหมายคุณงามความดีของชาวจีน มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า หงส์มาปรากฏตัวในครั้งที่นักปราชญ์ขงจื๊อเกิดพอดี หงส์จึงได้กลายเป็นส่วนร่วมของการทำพิธีเคารพบูชาระหว่างสมัยราชวงศ์ฮั่น หลังจากนั้นจึงมีการกล่าวอ้างการมาเยือนของหงส์เกิดขึ้นบ่อยๆ เพื่อที่จะป่าวประกาศว่าการปกครองแผ่นดินในแต่ละรัชกาลนั้นประสบผลสำเร็จ ด้วยดี

นอกจากนี้ หงส์ยังเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า คือสัญลักษณ์หงส์ 9 ตัว สำหรับทำลายล้างความสกปรก สัญลักษณ์งานมงคลสมรสคือหงส์คู่มังกร ที่สำคัญหงส์ยังเป็นตราสัญลักษณ์ของราชินีจีนอีกด้วย

รูปภาพ

หงส์ทองคู่ สัญลักษณ์ของมอญ
ความเป็นมาของหงส์ทองคู่ ตัวผู้-ตัวเมีย สัญลักษณ์ของมอญ มีอยู่ในตำนานกำเนิดเมืองหงสาวดี
ตำนาน กำเนิดเมืองหงสาวดี จดจารเป็นอักษรมอญ บนใบลาน มีมาแต่เมื่อไร? ได้มาจากไหน?
ไม่มีบันทึกบอกไว้ แต่พิมพ์รวมอยู่ในหนังสือประชุมพงศาวดาร
มีคำชี้แจงบอกว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ โปรดให้แปลเป็นภาษาไทย
เมื่อ พ.ศ. ๒๔00 มีข้อความต้นเรื่องเป็นพุทธทำนาย ดังนี้

เมื่อจุลศักราชในปฐมปริเฉทได้ ๕๒๒ ปี เดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ วันพุธ
สมเด็จพระโคตมสัมสัมมาพุทธเจ้า ได้ตรัสแล้ว ๘ พรรษา ในพรรษาเป็นที่ครบ ๘ นั้น
เสด็จเที่ยวจารึกมาถึงภูเขาสุทัศนมังสิตซึ่งบัดนี้เป็นที่ตั้งเมืองหงสาวดี ในประเทศรามัญ

ครั้งนั้นประเทศซึ่งจะเป็นที่ตั้งเมืองหงสาวดี ยังเป็นทะเลอยู่แต่ภูเขาสุทัศนนั้นเมื่อน้ำแห้งงวดลงไปผุดขึ้นสูงประมาณ ยี่สิบสามวาแลดูแต่ไกลเหมือนพระเจดีย์ ครั้นน้ำขึ้นเปี่ยมฝั่งเห็นพอกะเพื่อมน้ำอยู่ เพราะเหตุนั้นพวกรามัญจึงเรียกว่าสุทัศนบรรพต

ครั้นกาลล่วงมาภายหลัง ไม้รกฟ้างอกขึ้นบนยอดเขานั้นต้นหนึ่งเรียกว่าเขาสุทัศนมังสิตผุดขึ้นมา คำที่ว่าผุดขึ้นมานั้น ครั้นนานมาก็เปลี่ยนแปลงไป พวกรามัญทั้งหลายเรียกว่ามุตาวจนทุกวันนี้

เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้า เสด็จมาถึงประเทศที่จะตั้งเมืองหงสาวดีนั้น พระองค์ผินพระพักตร์ตรงไปข้างทิศตะวันออกก็ได้ทอดพระเนตรเห็นหงส์ทองสองตัว ลงเล่นน้ำอยู่ พระองค์จึงทรงทำนายว่า กาลสืบไปภายหน้า ประเทศที่หงส์ทองทั้งสองลงเล่นน้ำนั้นจะเป็นมหานครขึ้นชื่อว่าเมืองหงสาวดี และจะเป็นที่ตั้งพระธาตุสถูปเจดีย์ พระศรีมหาโพธิ์ พระศาสนาคำสั่งสอนของเราจะรุ่งเรืองตั้งอยู่ในที่นี้ พระองค์ทรงทำนายไว้ดังนี้

ครั้นสมเด็จพระพุทธเจ้านิพพานล่วงไปแล้ว ได้ ๑000 ปี หาดทรายที่ภูเขาสุทัศนมังสิตนั้น ตื้นขึ้นมาประมาณได้สิบสามวา ข้างทิศใต้นั้นเมื่อน้ำขึ้นเปี่ยมฝั่งแล้วลึกได้แต่สามวา

ตำนานพระ พุทธทำนายที่ยกมา จะเห็นว่าระบุถึง “หงส์ทองสองตัว” เท่านั้น ไม่ได้บอกเพศว่าตัวผู้หรือตัวเมีย และไม่ได้บอกความสัมพันธ์ว่าเป็นอะไรกัน

นานเข้าก็มีผู้ขยายตำนานเป็นนิทานประจำเมือง แล้วเพิ่มรายละเอียดให้ “หงส์ทองสองตัว” ว่าเป็นตัวเมียเกาะหลังตัวผู้ ดังนี้

มี หงส์บินมาเกาะอยู่เหนือพื้นดินผืนเล็กๆในทะเล ผืนแผ่นดินนี้เล็กจนกระทั่งหงส์ตัวเมียไม่มีที่เกาะ และต้องมาเกาะอยู่บนหลังของหงส์ตัวผู้

ต่อมาดินดอนปากแม่น้ำได้ขยาย ออกไป และผืนดินเล็ก ๆ นั้นได้กลายเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ เนินเขานี้ต่อมามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีนามว่า ฮาญ์เปะอะเกิ่ญจ์ (Hinthagone) แปลว่า พะโคสถาน หมายถึงสถานที่ที่เป็น เมืองพระโค ซึ่งต่อมาจะได้ชื่อว่า หงสาวดี เพราะเคยเป็นที่พักของหงส์ทอง ๒ ตัว

ด้วยเหตุจากจากบอกเล่าในรูปตำนานและนิทานดังกล่าวมา ชาวมอญเมืองหงสาวดีเลยเขียนรูปลักษณ์เป็นหงส์ทอง ๒ ตัวเกาะหลังกัน

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 16:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

นกยูง สูงส่ง ทระนง

นกยูงดูจะเป็นสัตว์ที่สร้างความสดใส รื่นเริงช่วยให้โลกเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่ว่าเสียงร้องขับกล่อมอันไพเราะ หรือขนปีกหลากสีสัน มีลวดลายแต่งแต้มจนดูน่าอัศจรรย์ นกยูงจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม เรื่องราวของนกยูง จึงปรากฏอยู่ในภาพเขียน บทกวี และลัทธิความเชื่อของชนหลายประเทศ ทั้งชาวฮินดู จีน อียิปต์ และชนพื้นเมืองแถบเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งไทย

ชาวฮินดูนั้นนับถือนกยูงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีใครล่านกยูงอินเดียเพื่อเป็นอาหาร ประกอบกับความเชื่อที่ว่าถ้าผู้ใดฆ่านกยูงจะทำให้ครอบครัวแตกหักและอยู่ไม่ เป็นสุข ปัจจุบันในประเทศอินเดียจึงยังสามารถพบนกยูงได้ทั่วไปในเขตอนุรักษ์ต่างๆ

ทางประเทศแถบเอเชียยังยกย่องให้นกยูงเป็นสัตว์ที่สูงส่ง มีความหยิ่งทระนง สง่างามกว่านกทั้งปวง และเชื่อกันว่านกยูงเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี สามารถขับไล่ความชั่วร้ายได้ จึงนิยมนำขนนกยูงมาเป็นเครื่องประดับ หรือเครื่องหมายประดับยศของขุนนาง

เหตุที่นกยูงถูกจัดให้เป็นนกที่สูงส่ง จึงมักมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเทพเสมอ อย่างเช่น นกยูงเป็นสัตว์พาหนะของเทพ Kartikeya ในศาสนาฮินดู และเป็นพาหนะให้นางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ คือนางมโหทร

นกยูงยังเป็นสัญลักษณ์ที่มักปรากฏอยู่ทั่วไปทั้งในจิตรกรรม สถาปัตยกรรม และบนผืนผ้า ของชาวล้านนา ในประเทศจีนนกยูงยังเป็นสัญลักษณ์ที่รัฐบาลจีนปัจจุบันได้นำมาใช้เป็น สัญลักษณ์ของมณฑลยูนนาน และได้มีการประดิษฐ์นาฏลีลาสมัยใหม่ ซึ่งใช้แสดงเป็นสัญลักษณ์ของชาวไทลื้อในสิบสองปันนา เรียกว่า ระบำนกยูง ที่สวยงามตระการตาที่สุด


รูปภาพ

ตำนานโมรปริตร (พญานกยูงทอง)

ครั้งเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงภิกษุผู้ตกอยู่ในอารมณ์กระสันรูปหนึ่ง จึงทรงตรัสพระธรรมเทศนา พระปริตรนี้ให้แก่ภิกษุนั้นฟัง มีความว่า

อดีตกาลเนิ่นนานมา มีพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัตต์ ครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เจ้า ได้บังเกิดในครรภ์นางนกยูง อันอาศัยอยู่ในป่าชายแดน กรุงพาราณสี เมื่อพระโพธิสัตว์ ออกจากไข่แล้ว มีผิวพรรณและสีขนเป็นเงางาม เป็นสีทอง พร้อมประกอบด้วยลักษณะอันเลิศกว่านกทั้งปวง เมื่อเติบใหญ่ เจริญวัย ก็ได้เป็นเจ้าแห่งนกยูงทั้งปวง

วันหนึ่งพญานกยูงทอง นั้นได้ไปดื่มในสระแห่งหนึ่ง มองเห็นเงาของตนในน้ำ จึงได้รู้ว่าตนนี้มีรูปงามยิ่งกว่านกยูงทั้งหลาย จึงคิดว่า ถ้าเราขืนอยู่รวมกับหมู่นกยูงทั้งหลายอาจจะนำพาภัยมาถึงหมู่คณะแก่ตัวเอง เห็นทีเราจะต้องหลีกออกเสียจากหมู่ ไปหาที่อยู่ใหม่ คงจะต้องไปให้ไกลจนถึง ป่าหิมพานต์ เราจึงจะพ้นภัย

พญายูงทองนั้นคิดเช่นนี้แล้ว จึงออกบินไปด้วยกำลัง ไม่ช้านักก็ถึงป่าหิมพานต์ นั้น เสาะแสวงหาได้ถ้ำแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน ณ ป่าหิมพานต์นั้น เป็นที่อยู่อาศัย เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งหลาย

ครั้น รุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์จึงได้ออกจากคูหา บินไปจับบนยอดเขา หันหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) แล้วเพ่งมองดวงสุริยะ เมื่อยามเช้า พร้อมกับสาธยายพระปริตร ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า

"อุเทตยัญ จักขุมาเอกะราชา" เป็นต้น เพื่อป้องกันรักษาตนในเวลากลางวัน แล้วจึงเที่ยวออกไปแสวงหาอาหาร

ครั้น ถึงเวลาเย็น เมื่อจะบินกลับเข้าที่อยู่ พญานกยูงทอง ก็ไม่ลืมที่จะบินขึ้นไปจับอยู่บนยอดเขา หันหน้าสู่ทิศตะวันตก แหงนมอง ดวงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงลับขอบฟ้าไป แล้วสาธยายมนต์พระปริตรขึ้นว่า

"อะเปตะยัญ จักขุมาเอกะราชา"เป็นต้น เพื่อที่จะป้องกันภัย รักษาตนในเวลาตลอดราตรี แล้วจึงบินกลับเขาไป อาศัยอยู่ในถ้ำจนตลอดรุ่ง

เช้า ตรู่ของวันใหม่ พญายูงทอง ก็ทำดังนี้ ทุกวันมิได้ขาด พร้อมได้สถิตสถาพรตั้งมั่นอยู่ในความสุขสำราญ ตลอดมา โดยมิมีทุกข์ภัยใด ๆ มากล้ำกรายได้เลย

กาลต่อมา มีพรานป่าผู้หนึ่ง เดินทางหลงป่ามาจนได้พบเห็น พญายูงทองที่เกาะอยู่บนยอดขุนเขานั้น แต่ก็มิได้ทำประการใด เพราะมัวแต่พะวง กับการหาทางออกจากป่า จนพรานผู้นั้นหาทางกลับมาถึงบ้านพักของตน ก็มิได้บอกเรื่องที่ได้พบเห็น

พญา นกยูงทองนั้นแก่ใคร จวบจนเวลาที่นายพรานผู้นั้นแก่ใกล้ตาย จึงได้บอกเรื่องพญายูงทองให้แก่บุตรของตนได้ทราบ แล้วสั่งว่าควรจะนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่พระราชาให้ทรงทราบ สั่งแล้วก็สิ้นลมตาย

ต่อ มาภายหลัง พระมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ทรงพระสุบินนิมิตรไปว่า ขณะที่พระนางทรงประทับอยู่ภายในพระราชอุทยาน ที่ประทับอยู่ ณ ริมสระปทุมชาติ ได้มีนกยูงสีทอง บินมาจากทิศอุดร แล้วร่อนลงจับอยู่ ณ ขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง แล้วนกยูงทองนั้นก็ได้ปราศรัย แสดงธรรมให้แก่พระนางฟัง

กาล ต่อมา พระเทวีทรงฝันต่อไปว่า เมื่อพญายูงทองนั้น แสดงธรรมจบแล้ว นกยูงทองนั้นก็จะบินกลับ ในฝันพระนางได้ตะโกนร้องบอกแก่บริวารว่า ช่วยกันจับนกยูงที ช่วยกันจับนกยูงที พระนางตะโกนจนกระทั้งตื่นบรรทม นับแต่นั้นมา พระเทวีก็ให้อาลัยปรารถนาจักได้นกยูงทองตัวนั้นมา จึงออกอุบายแสร้งทำเป็นทรงพระประชวร ด้วยอาการแพ้พระครรภ์ แล้วทูลขอพระสวามีว่า การแพ้ท้องครั้งนี้จักหายได้ ก็ด้วยได้มีโอกาสเห็นพญายูงทอง และสดับธรรมที่พญานกยูงทองแสดง

พระ ราชาพรหมทัตต์ จึงทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์เหล่าพรานไพรทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี และรอบอาณาเขตพระนคร เมื่อบรรดาพรานไพร มาประชุมพร้อมกันแล้ว พระราชาจึงทรงตรัสถามว่า มีใครรู้จักนกยูงสีทองบ้าง

ขณะ นั้นพรานหนุ่ม ผู้ซึ่งเคยได้รับคำบอกเล่าจากบิดาว่า ได้เคยเห็นนกยูงทอง จึงลุกขึ้นกราบบังคมทูลเนื้อความนั้นแก่พระราชา พร้อมทั้ง กราบทูลแจ้งที่อยู่ของพญานกยูงทองแก่พระราชาด้วย

พระราชาพรหม ทัตต์ จึงทรงมีพระบัญชาว่า ดีหล่ะในเมื่อเจ้าพอจะรู้ถึงถิ่นที่อยู่ ของพญายูงทอง เราก็จะตั้งให้เจ้ามีหน้าที่เป็นพรานหลวง ไปจับนกยูงทองตัวนั้น มาให้เราและพระมเหสี

พรานหนุ่มก็รับพระ บัญชา จากพระราชา แล้วออกเดินทางไปสู่ป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะจับยูงทองตัวนั้นมาถวายพระราชาให้จงได้ จวบจนวันเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี พรานหนุ่มซึ่งบัดนี้แก่ชราลงแล้ว ก็ยังมิสามารถจับพญานกยูงทองนั้นได้ ครั้นจะกลับไปยังบ้านเมืองก็เกรงจะต้องอาญา จึงทนอยู่ในป่าหิมพานต์จนกระทั่งตาย

ส่วนพระเทวี เมื่อเฝ้ารอพญายูงทอง ที่ส่งนายพรานไปจับ ก็ยังไม่เห็นมาจนกระทั่งตรอมพระทัยตายในที่สุด
พระ ราชาพรหมทัตต์ ทรงเสียดายอาลัยรัก พระมเหสีเป็นที่ยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า พระมเหสีของเราต้องมาตายโดยยังมิถึงวัยอันควร เหตุน่าจะมาจากพญานกยูงทองตัวนั้น เป็นแน่ บัดนี้เราก็แก่ชราลงมากแล้ว คงจะไม่มีโอกาสเห็นนายพรานคนใดจับนกยูงทอง ตัวนั้นได้เป็นแน่ ดีหละถ้าเช่นนั้นเราจะผูกเวรแก่นกยูงตัวนี้ ทรงดำริดังนั้นแล้ว พระราชาพรหมทัตต์ มีรับสั่งให้นายช่างทอง สลักข้อความว่า หากผู้ใด ใครได้กินเนื้อของพญานกยูงทอง ที่อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต์ จักมีอายุยืนยาวไม่แก่ ไม่ตาย ลงในแผ่นทอง แล้วเก็บรักษาไว้ในท้องพระคลัง

ต่อ มาไม่นานพระราชาพรหมทัตต์ ก็ถึงกาลทิวงคตลง แผ่นทองจารึกนั้น ก็ตกถึงมือของยุวกษัตริย์องค์ต่อมา เมื่อทรงรู้ข้อความในแผ่นทองจารึกนั้นก็หลงเชื่อ มีรับสั่งให้พรานป่า ออกไปตามจับพญานกยูงทองมาถวาย และแล้วพรานไพรนั้น ก็ต้องไปตายเสียในป่าอีก

เหตุการณ์ได้ดำเนินไปเช่นนี้ จนสิ้นเวลาไป 693 ปี พระราชาในราชวงศ์นี้ ก็ทิวงคตไป 6 พระองค์

แม้ว่าจะสิ้นพรานป่าไป 6 คน พระราชาทิวงคตไป 6 พระองค์ ก็ยังหามีผู้ใดมีความสามารถจับพญายูงทองโพธิสัตว์ได้ไม่

จวบ จนถึงรัชสมัยพระราชาองค์ที่7 ผู้ครองกรุงพาราณสี ได้คัดสรรจัดหาพรานไพร ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นคนละเอียดรู้จักสังเกต รู้กลอุบาย

นาย พรานคนที่7 เมื่อได้รับพระบัญชา แต่พระราชา ให้ออกไปจับนกยูงทอง ณ ป่าหิมพานต์ ก็จัดเตรียมอุปกรณ์พร้อมบ่วงบาศ เพื่อจะไปดักจับพญายูงทอง

พรานนั้นใช้เวลาในการดักจับพญายูงทองสิ้นเวลาไป 7 ปี พญายูงทองก็หาได้ติดบ่วงของนายพรานไม่

นาย พรานจึงมาใคร่ครวญดูว่า เอ..ทำไมบ่วงของเราจึงไม่รูดติดข้อเท้าของพญายูงทอง แต่ก็หาคำตอบได้ไม่ พรานนั้น ก็มิได้ละความพยายาม เฝ้าสังเกตกิริยา และกิจวัตรประจำวันของพญายูงทอง จึงได้รู้ว่าทุกเช้า และทุกเย็นพญานกยูงทอง จักเจริญมนต์พระปริตร โดยช่วงเช้าบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกมองพระอาทิตย์ ตอนเย็นหันหน้าไปทางทิศตะวัน ตกมองพระอาทิตย์ แล้วสาธยายมนต์

พราน นั้นสังเกตต่อไปว่า ในที่นี้หาได้มีนกยูงตัวอื่นอยู่ไม่ แสดงว่าพญานกยูงนี้ยัง รักษาพรหมจรรย์อยู่ คงด้วยอำนาจของการรักษาพรหมจรรย์ และมนต์พระปริตร ทำให้บ่วงของเราไม่ติดเท้านกยูงทอง

ครั้นนายพรานได้ทราบมูล เหตุดังนั้นแล้ว จึงคิดจะขจัดเครื่องคุ้มครอง ของพญานกยูงทองเสีย นายพรานนั้นจึงเดินทางกลับสู่บ้านของตน แล้วออกไปดัก นกยูงตัวเมียที่มีลักษณะดีในป่าใกล้บ้าน ได้มาหนึ่งตัว แล้วจึงทำการฝึกหัดให้นางนกนั้น รู้จักอาณัติสัญญา เช่น ถ้านายพรานดีดนิ้วมือ นางนกยูงก็จะต้องร้องขึ้น ถ้าปรบมือนางนกยูงก็จะทำการฟ้อนรำขึ้น

เมื่อฝึกสอนนางนกยูง จนชำนิชำนาญดีแล้ว พรานนั้นก็พานางนกยูง เดินทางไปยังที่ที่พญานกยูงทองอาศัยอยู่ แล้วทำการวางบ่วงดักเอาไว้ ก่อนที่พญายูงทองจะเจริญมนต์พระปริตร พรานได้วางนางนกยูงลงใกล้ ๆ กับที่ดักบ่วง แล้วดีดมือขึ้น นางนกยูงก็ส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันไพเราะจับใจ จนได้ยินไปถึงหูของพญายูงทองโพธิสัตว์

คราที่นั้น กิเลสกามที่ระงับด้วยอำนาจของตบะ และหลบอยู่ในสันดาน ก็ได้ฟุ้งซ่านขึ้นในทันที เสียงนางยูงทองนั้น ทำให้พญายูงทองโพธิสัตว์ มีจิตกระสันฟุ้งซ่านเร่าร้อนไปด้วยไฟราคะ ครอบงำเสียซึ่งตบะ ไม่สามารถมีจิตคิดจะเจริญมนต์พระปริตรสำหรับป้องกันตนได้เลย

พญา นกยูงทองโพธิสัตว์ จึงได้ออกจากคูหา แล้วโผผินบินไปสู่ที่ที่นางนกยูงยืนส่งเสียงร้องในทันที ขณะที่มัว แต่สนใจแต่รูปโฉมของนางนกยูง พลันเท้านั้น ก็เหยียบยืนเข้าไปในบ่วงบาศของพรานที่วางดักไว้ บ่วงใด ๆ ที่มิได้เคยร้อยรัด พระมหาโพธิสัตว์ยูงทอง ตลอดเวลา ๗๐๐ ปี บัดนี้พญายูงทองโพธิสัตว์ ได้โดนบ่วงทั้ง สองร้อยรัดสิ้นอิสระเสียแล้ว

บ่วงทั้งสองนั่นก็คือ
"บ่วงกาม"
"บ่วงบาศ"

โอ้ หนอ บัดนี้ทุกข์ภัยได้บังเกิดต่อพญานกยูงทองโพธิสัตว์เสียแล้ว เป็นเพราะเผลอสติแท้ ๆ เพราะนางนกยูงตัวนี้เป็นเหตุ จึงทำให้พญายูงทอง มีจิตอันเร่าร้อนไปด้วยกิเลส จนต้องมาติดบ่วงของเรา การที่เรามาทำสัตว์ ผู้มีศีล ให้ลำบากเห็นปานนี้ เป็นการไม่สมควรเลย จำเราจะต้องปล่อยพญานกนี้ไปเสียเถิด แต่ถ้าเราจะเดินเข้าไปปล่อย พญานกยูงทองนั้น ก็จะดิ้นรนจนได้รับความลำบาก เห็นทีเราจะต้องใช้ธนูยิงสายบ่วงนั้นให้ขาด เพื่อพญานกจะได้หลุดจากบ่วง ที่คล้องรัด อยู่ นายพรานคิด

ครั้นนายพรานไพร ผู้มีใจเป็นธรรมคิดดังนั้นแล้ว จึงจัดการนำลูกธนูมาขึ้นพาดสาย แล้วเล็งตรงไปยัง เชือกบ่วงที่ผูกติดกับต้นไม้ เพื่อหมายใจจะให้เชือกขาด

พญานกยูงทองโพธิสัตว์ ครั้นได้แลเห็นนายพรานโก่งคันศร ก็ตกใจกลัว ว่านายพรานจะยิ่งตนตายด้วยลูกศร จึงร้องวิงวอน ขอชีวิตต่อนายพรานว่า

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านจับเราเพราะต้องการทรัพย์แล้วหละก็ ขออย่าได้ฆ่าเราเลย จงจับเราเป็น ๆ เอาไปถวายพระราชาเถิด พระราชาจะปูนบำเหน็จให้ท่านอย่างงามทีเดียวหละ

พรานไพร เมื่อได้ฟังนกยูงทองร้องบอกและขอชีวิตดังนั้น จึงกล่าวว่า เรามิได้มีความประสงค์จะฆ่าท่านหรอก การที่เราเล็งศรไปยังท่าน ก็เพียงเพื่อจะยิงเชือกบ่วงให้ขาด เพื่อปล่อยท่านให้เป็นอิสระ

พญา นกยูงทองโพธิสัตว์ จึงร้องขอบใจต่อนายพราน พร้อมทั้ง แสดงอานิสงฆ์ของการไม่ฆ่าสัตว์ และผลของการฆ่าสัตว์ ว่าจะได้รับโทษทุกข์ทัณฑ กรรมนานา อีกทั้งชี้แจงให้พรานไพรได้รู้ถึงผลของบุคคลผู้มีมิจฉาทิฐิ ว่ามีโทษทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อน ส่วนผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมมีผลที่ให้เกิดสุขทั้งตนและคนอื่น ทั้งยังได้บอกประโยชน์ของการไม่คบคนพาล คบบัณฑิต และที่สุด พญานกยูงทอง ก็ชี้ให้นายพรานได้เห็นทุกข์ภัยของสัตว์นรก ว่าเกิดจากความเมาประมาทขาดสติ

เมื่อ สิ้นสุดธรรมโอวาท พรานนั้นก็ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกโพธิญาณ ส่วนพญายูงทองก็ได้พ้นจากบ่วงทั้งสอง คือ บ่วงกาม และบ่วงบาศ ที่เกิดจากเครื่องดัก จับ ในขณะที่นายพรานตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระ ปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทำการประทักษิณ แก่พญานกยูงทองโพธิสัตว์ แล้วก็เหาะขึ้นไปบนอากาศ ไปสถิตอยู่ ณ คูหาบนยอดเขานันทมูลคีรี

โมรปริตร บทสวดป้องกันภัยจากผู้คิดร้าย

1. อุเทตะยัง จักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะถะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะถะวิปปะภาสัง
ตะยาชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง

พระอาทิตย์ผู้เป็นดวงตาของโลก ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ เสด็จอุทัยขึ้นทรงพระรัศมีสีทองสาดส่องปฐพี ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าขอนมัสการพระอาทิตย์ผู้ทรงรัศมีสีทองสาดส่องปฐพีพระองค์นั้น พระองค์ได้คุ้มครองข้าพระองค์ในวันนี้แล้ว ขอให้ข้าพระองค์มีชีวิตยั่งยืนอยู่ตลอดวัน

2. เย พฺราหฺมะณา เวทะคู สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตฺวา โมโร จะระติ เอสะนา

พระพุทธเจ้าเหล่าใด ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ขอพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จงคุ้มครองข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระพุทธจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรม เมื่อนกยูงนั้นสาธยายพระปริตรอย่างนี้แล้ว จึงออกเสวงหาอาหาร

3. อะเปตะยัง จักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะถะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะถะวิปปะภาสัง
ตะยาชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง

พระอาทิตย์ผู้เป็นดวงตาของโลก ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ เสด็จอัสดงคตทรงพระรัศมีสีทองสาดส่องปฐพี ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าขอนมัสการพระอาทิตย์ผู้ทรงรัศมีสีทองสาดส่องปฐพีพระองค์นั้น พระองค์ได้คุ้มครองข้าพระองค์ในวันนี้แล้ว ขอให้ข้าพระองค์มีชีวิตยั่งยืนอยู่ตลอดราตรี

4. เย พฺราหฺมะณา เวทะคู สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตฺวา โมโร วาสะมะกัปปะยิ

พระพุทธเจ้าเหล่าใด ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ขอพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จงคุ้มครองข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระพุทธจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรม เมื่อนกยูงนั้นสาธยายพระปริตรอย่างนี้แล้ว จึงนอน

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 14:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ดวงดารา....ผูกพันฉันใดกับนภากว้าง....ยามรัตติกาล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ตั้งแต่โลกนี้ยังมีแค่ท้องฟ้ากับดวงจันทร์
วันหนึ่งมีดวงดาวหลงทางมาใกล้โลก
ครั้งแรกที่ดวงดาวเห็นท้องฟ้า ดวงดาวก็หลงรักท้องฟ้าทันที
ดวงดาวได้แต่เฝ้ามองท้องฟ้าอยู่ห่างๆ

หวังว่าสักวันท้องฟ้าจะเหลือบมาเห็นตัวเองบ้าง เหมือนกับที่ท้องฟ้ามองเห็นดวงจันทร์
ดวงดาวได้แต่น้อยใจและอิจฉาดวงจันทร์ ที่ทั้งสวย
และส่องแสงสว่างไสว ทำให้ท้องฟ้ามองเห็นแต่ดวงจันทร์

ดวงดาวน้อยใจที่ตัวเองมีเพียงแสงสีเงินริบหรี่ เทียบกับดวงจันทร์ไม่ได้เลย
แม้แต่วันที่ดวงจันทร์มีเพียงเสี้ยวเล็กๆเท่านั้น

วันนี้ดวงดาวเห็นท้องฟ้าทำหน้าเศร้า จึงเข้าไปถามด้วยความห่วงใย
แต่คำตอบของท้องฟ้าทำให้ดวงดาวเจ็บ เจ็บที่ตรงหัวใจ…

ท้องฟ้าบอกว่า
" ที่ท้องฟ้าเศร้าเพราะท้องฟ้ามองไม่เห็นดวงจันทร์ ท้องฟ้าหลงรักดวงจันทร์
ท้องฟ้ารักดวงจันทร์ ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนท้องฟ้าที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในคืนที่มืดมิด

แต่ว่าวันนี้ท้องฟ้ามองไม่เห็นดวงจันทร์ ท้องฟ้าไม่รู้ว่าดวงจันทร์หายไปไหน
ท้องฟ้าเลยเหงา แล้วก็เศร้า
เพราะท้องฟ้าคิดว่าดวงจันทร์คงจะรำคาญท้องฟ้า ดวงจันทร์จึงหนีท้องฟ้าไป"

คำพูดของท้องฟ้าทำให้ดวงดาวร้องไห้เพราะสงสารท้องฟ้า
ร้องไห้ที่ตัวเองช่วยอะไรท้องฟ้าไม่ได้เลย
แล้วก็ร้องไห้ที่ได้รู้ว่าหัวใจของท้องฟ้าไม่เหลือที่ว่างไว้ให้ใครอีกแล้ว ดวงดาวร้องไห้
ร้องไห้จนตัวเองต้องแตกสลาย เหลือไว้เพียงเศษดาวดวงน้อยนับแสน
นับล้านดวง กับถ้อยคำสุดท้ายที่
ดวงดาวอยากจะบอกกับท้องฟ้า ท้องฟ้าที่ดวงดาวรักหมดหัวใจ

"ดวงดาวจะขออยู่กับท้องฟ้า
ขอเป็นดาวดวงน้อยที่คอยส่องแสงระยิบระยับอยู่กับท้องฟ้า
วันไหนที่ท้องฟ้ามองเห็นดวงจันทร์
ท้องฟ้าจะมองไม่เห็นดวงดาว แต่ถ้าวันไหนที่ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่กับท้องฟ้า
ท้องฟ้ายังมีดวงดาวอยู่เป็นเพื่อนกับท้องฟ้า ดวงดาวที่จะขอรักท้องฟ้าชั่วนิจนิรันดร์"

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เรามองเห็นดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า
วันไหนที่มีดวงจันทร์ ดวงดาวจะอ่อนแสง
เพื่อที่จะให้ท้องฟ้ามองเห็นดวงจันทร์ได้ชัดเต็มตา แต่ถ้าวันใดที่ดวงจันทร์หายไป
ดวงดาวก็จะส่องแสงระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้า เพื่อที่จะบอกกับท้องฟ้าว่า ไม่ว่าที่ไหน
เมื่อไหร่ท้องฟ้าก็ยังมีดวงดาวอีกล้านดวงอยู่เป็นเพื่อนท้องฟ้าเสมอ
ถึงท้องฟ้าจะไม่ได้รักดวงดาว แต่ดวงดาวก็มีความสุขที่ได้อยู่กับท้องฟ้าตลอดไป…

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 16 ต.ค. 2009, 22:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




0021-vahk1.jpg
0021-vahk1.jpg [ 23.22 KiB | เปิดดู 11112 ครั้ง ]
เม็ดทรายสีม่วง...

กาลครั้ง หนึ่งนานมาแล้ว…เมื่อครั้งที่ท้องทะเลยังไม่มีคลื่น ทรายเม็ดน้อยหลายต่อหลายเม็ด
นอนเรียงรายอยู่ใต้น้ำอย่างมีความสุข พวกมันรู้ดีว่า ไม่มีที่ไหนเหมาะสำหรับพวกมันเท่ากับที่นี่
เม็ดทรายเกิดมาเพื่อคู่กับท้องทะเล ทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างนั้น
และเม็ดทรายทุกเม็ดก็ยินดีให้เป็นเช่นนั้น เว้นแต่เม็ดทรายสีม่วง
มันไม่มีความสุขกับการเป็นทรายในท้องทะเลแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว

"ฉันอยากเป็นดาว" ทรายสีม่วงรำพึง "ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะนอนอยู่ใต้ท้องทะเลตลอดกาล"

เม็ดทรายสีม่วงมองผ่านผิวน้ำไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่ บนนั้นมีดาวนับร้อยกะพริบ พราวแสงแวววาว

" ดวงดาวมีค่าต่อทุกสิ่งบนโลก เป็นแสงส่องทิศทางให้กับนักเดินทาง เป็นดวงตาของคน
รักยามห่างไกล เป็นวิญญาณของคนสำคัญที่จากไป และเป็นสิ่งมีค่าของจักรวาล"

"นอนเสียเถิดทรายสีม่วง อย่าเพ้อเจ้อนักเลย" เม็ดทรายสีน้ำตาลอ่อนเอ่ย

"ถึงอย่างไรเม็ดทรายก็เป็นเม็ดทราย พวกเราเหมาะกับท้องทะเลเท่านั้น"

"เธอพูดอย่างเม็ดทรายที่ไม่มีความฝัน" เม็ดทรายสีม่วงตัดพ้อ "แต่ฉันมีความฝัน"

" ฉันไม่เห็นว่าความฝันจะทำให้เรามีความสุขตรงไหน เราเกิดมาเป็นเม็ดทราย
ความสุข ของเราคือการนอนอยู่นิ่ง ๆ ภายใต้ท้องทะเล ไม่ใช้การล่องลอยอย่างไร้จุดหมายบน ท้องฟ้า"

"เธออ่อนแอ เกินไป" เม็ดทรายสีม่วงเอ่ย " เธอไม่มีวันกล้าหาญมากขึ้นกว่านี้แน่
แต่ฉันจะไม่มีวันเป็นแบบเธอ ลาก่อนนะเม็ด ทรายสีน้ำตาลอ่อน ฉันอยากเป็นดาว และฉันก็ต้องได้เป็น"

เม็ดทรายสีม่วงค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากท้องทะเลลอยล่องขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างแผ่วเบา

"เธอกำลังจะไปไหนหรือ เม็ดทรายสีม่วง" ท้องทะเลผู้โอบอุ้มเม็ดทรายสีม่วงมาตลอดชีวิตเอ่ยถาม

"ท้องฟ้า" เม็ดทรายสีม่วงตอบ "ฉันจะไปเป็นดาว"

ท้องทะเลนิ่งงัน แต่หัวใจของมันเต้นไหวอย่างรุนแรง
"ฉันทำผิดพลาดหรือเม็ดทรายสีม่วง หรือว่าฉันอ่อนโยนต่อเธอไม่พอ" ท้องทะเลสะอื้น

" ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เธออ่อนโยนที่สุดในชีวิตฉัน แต่ฉันมีความฝัน ฉันอยากยิ่งใหญ่
และมีค่าเหมือนดวงดาว ถ้าเธอรักฉัน เธอต้องช่วยฉันนะ" เม็ดทรายสีม่วงอ้อนวอน

ท้อง ทะเลยังคงสะอื้นเบา ๆ ตลอดเวลา มันโอบอุ้มเม็ดทรายสีม่วงมาด้วยความรัก
มันมีความสุขจนลืมว่า วันหนึ่งเม็ดทรายสีม่วงอาจต้องจากมันไป
แต่ในที่สุด…ท้องทะเลก็ตัดสินใจทอดตัวยาวไปไกลแสนไกล
จนปรากฏเส้นยาวสีขาวซึ่งจรดท้องฟ้าและผืนน้ำเข้าด้วยกัน

"ที่เส้นขอบ ฟ้า…เธอจะไปถึงท้องฟ้าได้" มันเอ่ย "ลาก่อนนะเม็ดทรายสีม่วง
ฉันอาจดูแลเธอไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ฉันก็จะรักเธอตลอดชีวิต" "ขอบคุณมากนะ ฉันก็รักเธอ"

เม็ดทรายสี ม่วงเอ่ยและเคลื่อนตัวลอยไปเรื่อย ๆ ผ่านวัน ผ่านคืน
จนในที่สุดมันก็ไปถึงเส้นขอบฟ้า แล้วเม็ดทรายสีม่วงล่วงลอยไปบนท้องฟ้า ลอยไปจนถึงหมู่ดาวสว่างไสว

"สวัสดีดวงดาว" เม็ดทรายสีม่วงเอ่ยทักทาย
"สวัสดีจ้ะ เธอเป็นใครหรือ?" ดาวดวงหนึ่งเอ่ยถาม
"ฉันคือเม็ดทรายสีม่วง ขอฉันเป็นดวงดาวกับเธอนะ" เม็ดทรายเอ่ย
"แต่เธอไม่มีแสงสว่าง…" ดาวกระซิบ
"แค่ให้ฉันได้เป็นดาวก็พอ ฉันยินดีเป็นดาวที่มืดมนที่สุดบนท้องฟ้า" มันยังคง อ้อนวอน

ดวง ดาวไม่พูดอะไรต่อไป เพียงแต่กะพริบแสงอีกครั้ง เม็ดทรายสีม่วงจึงเคลื่อนตัวไปอยู่ข้าง ๆ ดวงดาว
มันพยายามกะพริบแสงให้เหมือนดวงดาว รอฟังเสียงอธิษฐานจากผู้คน รอที่จะชี้นำทางให้แก่นักเดินทาง
รอที่จะเป็นดวงตาคนรักของใครสักคนหนึ่ง และรอเป็นดวงวิญญาณให้ใครสักคนคิดถึง

แต่เม็ดทรายก็คือเม็ดทราย มันมืดมนจนเกินไป ไม่มีใครใส่ใจ หรือแม้แต่มองเห็นมัน

"ฉันเป็นดาวไม่ได้จริง ๆ" เม็ดทรายสีม่วงร้องไห้ "ฉันเป็นได้แค่เม็ดทรายที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น"
"เธอ ได้เป็นดวงดาวแล้ว เม็ดทรายสีม่วง" ดวงดาวปลอบโยน "ความฝันของฉันไร้ค่า"
เม็ดทรายสีม่วงยังคงสะอื้นต่อไป "ฉันดั้นด้นเดินทางมาไกล แต่ฉันกลับผิดหวัง
ฉันเพียงอยากเป็นดวงดาวที่มีค่าต่อผู้คนเท่านั้น"

"ถ้าเพียงเพื่อมีค่า" ดวงดาวเอ่ยอย่างแผ่วเบา "เธอก็ไม่จำเป็นต้องอยู่บนฟ้า"

"เธอหมายความว่าอย่างไร" เม็ดทรายสีม่วงไม่เข้าใจ

" ไม่มีใครกำหนดว่า สิ่งมีค่าต้องอยู่ข้างบน และสิ่งไร้ค่าต้องอยู่ข้างล่าง เช่นเดียวกัน
ดวงดาวไม่เคยมีค่าเพราะอยู่บนฟ้า แต่มีค่าเพราะสามารถสร้างความสุขให้กับผู้คนได้
ซึ่งแน่นอนว่าเธอย่อมทำได้" ดวงดาวเอ่ย

"อาจจะจริงของเธอ แต่ฉันฝันอยากเป็นดวงดาวมาตลอดนะ"

"เธอ อาจเคยฝันอยากเป็นดาว แต่นั่นไม่ใช่ความฝันที่ทำให้เธอมีความสุขได้หรอก
เธอไม่จำเป็นต้องเป็นดาวเพื่อจะมีค่ายิ่งใหญ่
ถ้าวันหนึ่งเธอมีค่าในขณะที่เธอเป็นเม็ดทราย นั่นล่ะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว"
ดวงดาวกะพริบแสงอีกครั้งอย่างอ่อนโยน

"ถ้าอย่างนั้น…ฉันคงไม่อาจเป็นดวงดาว ฉันอาจเหมาะที่จะเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งเท่านั้น"

"เธอเป็นถึงเม็ดทรายต่างหาก เม็ดทรายซึ่งจะสร้างความสุขให้กับผู้คนในวันหนึ่ง" ดวงดาวยิ้ม

"ขอบ ใจนะดวงดาว แล้วสักวันฉันจะเป็นเม็ดทรายที่มีค่า" เม็ดทรายสีม่วงสัญญาแล้ว เงียบนิ่ง
"ฉันคงต้องกลับไปสู่ท้องทะเล" มันตัดสินใจในที่สุด "ลาก่อนนะดวงดาว"

"ลาก่อนจ้ะ เม็ดทรายสีม่วง" ดวงดาวกะพริบแสงอำลา

ทราย สีม่วงค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า แม้ว่าแสงของมันจะมืดมน
แต่มันเป็นดาวตกที่งดงาม เด็กหญิงคนหนึ่งอธิษฐานขอความสุขจากมันอยู่บนผืนดิน
เป็นคำอธิษฐานที่มีค่าต่อมันมากมาย

"เธอเป็นดวงดาวที่สวยงามมากนะเม็ดทรายสีม่วง"
ท้องทะเลเอ่ย เมื่อได้พบกับเม็ดทรายสีม่วงอีกครั้ง

"ฉัน เป็นเม็ดทรายต่างหาก" เม็ด ทรายสีม่วงยิ้ม พลางเคลื่อนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของท้องทะเล
มันเรียนรู้แล้วว่า แท้จริงแล้วความฝันของมันไม่ใช่การเป็นดวงดาว
แต่คือการเป็นเม็ดทรายที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก

ท้อง ทะเลรับรู้การกลับมาของเม็ดทรายสีม่วงด้วยความสุข
บรรเลงเสียงเพลงคลื่นทะเลอย่างไพเราะและอ่อนหวาน ผู้คนมากมายหลงรักเสียงเพลงนั้น
และพวกเขาก็มีความสุข เมื่อได้เหยียบ ย่างมายังท้องทะเลอันอ่อนโยนแห่งนี้
และแน่นอนว่าเม็ดทรายสีม่วง ซึ่งเต้นระบำอยู่ในคลื่นทะเล ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลก
ก็กำลังมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลอันกว้างใหญ่
ที่สร้างรอยยิ้มให้บังเกิดบนใบหน้าของใครต่อใครบนโลก
รวมถึงรอยยิ้มของฉันและเธอด้วย… :b41:

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 16 ต.ค. 2009, 22:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 22:21
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบจังเลยค่ะ :b18:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled199be7.png
untitled199be7.png [ 79.78 KiB | เปิดดู 11155 ครั้ง ]
ตำนานของดวงจันทร์

นานแสนนานมาแล้ว ก่อนนั้น โลกของเรามีพระจันทร์อยู่ถึง 2 ดวง
ดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย และอีกดวงก็เป็นผู้หญิง ดวงจันทร์ทั้งสองต่างรักกันมาก ไม่เคยแยกห่างจากกัน
ทุกๆคืน เมื่อมองท้องฟ้า ก็จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเสมอ

จนวันหนึ่ง...ดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์ ทำให้เธอหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัตามดวงอาทิตย์ไป ทีละน้อย-ทีละน้อย...แล้วแยกจากดวงจันทร์อีกดวงในที่สุด

เมื่อค่ำคืนมาถึง จึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว...
ดวงจันทร์ผู้ชายเที่ยว ตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง คืนแล้ว...คืนเล่า เวลาผ่านไป
เขาก็ไม่สามารถตามหาเธอพบ ด้วยความคิดถึง และอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงให้เร็วที่สุด
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า หากมัวแต่ตามหาอยู่แบบนี้ คงไม่ได้เจอแน่ๆ
จึงตัดสินใจระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้งจักรวาล
เพียงเพื่อ หวังให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์ที่ตนรัก

เมื่อเวลาผ่านไปดวงจันทร์ผู้หญิงเริ่มจะเห็นความจริงว่า
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าและสวยงามเพียงไร ก็ไม่ได้มีไว้ให้เธอเพียงผู้เดียว
ยังส่องแสงให้ดาวดวงอื่นอีกมากมาย เธอจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง...
แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ต่อมาจึงได้รู้ว่า เขายอมระเบิดตัวเองเพียงเพื่อตามหาตน
จนกระจักระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันได้พบดวงจันทรืผู้ชายอีกแล้ว
จึงได้แต่โศกเศร้า และเสียใจ... แต่ด้วยความรักอันยื่งใหญ่ที่เขามีต่อเธอ

ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตนส่งให้ถึง เธอ
เกิดเป็นแสงพร่างพราวเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์ผู้หญิง
ทำให้เห็นเป็นดวงจันทร์ และดวงดาวเช่นทุกวันนี้

หากเรามองฟ้าในยามค่ำคืนวันไหนที่เห็นดวงจันทร์สวยสด
วันนั้นก็จะไม่เห็นดวงดาวที่ส่องแสง
หรือวันไหนที่เห็นดวงดาวเปล่งประกายเต็มฟ้ามืด วันนั้นเราจะไม่พบควงจันทร์...
ขาและเธอไม่อาจพบวันตลอดกาล

ขอบคุณ...นาฬิกาทราย

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ขาวนากับลาแก่

ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พา เจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ
มันร้องครวญคราง เป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา

ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า
เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ
ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาว
บ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ

ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
ครั้งแรกเมื่อดินไป ถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตา
กรรมของตนทันที มันร้องโหยหวนทันที
สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบ
หลังจากที่ชาวนาตัก ดินใส่ไปในบ่อได้สัก
สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า...

ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น
ยิ่งทุกคนพยายาม
เร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น

ในไม่ช้าทุก คนต่างประหลาดใจที่เจ้าลา
ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆ
ที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้า มาหาเรา
จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน
เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 21:27, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
รูปภาพ

เจงกิสข่าน จักรพรรดิโลกไม่ลืม

ถ้า จะพูดถึงนักรบที่เก่งกล้าและมากความสามารถ ผมคิดว่าชื่อที่หลายคนไม่ควรมองข้ามก็คือ เจงกิสข่าน จักรพรรดิแห่งมองโกเลีย กล่าวกันไว้ว่าตะวันตกมีพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ตะวันออกก็มีเจงกิสข่าน เดิมในวัยเด็กมีชื่อว่าเตมูจิน เจงกิสข่านมีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างแตกต่างกับกษัตริย์องค์อื่น เพราะส่วนใหญ่กษัตริย์องค์อื่นมักจะมีเบื้องหลังที่ดี และมีคนสนับสนุนพร้อม แต่เจงกิสข่านนั้นเรียกได้เลยว่าเริ่มจากศูนย์ จากสามัญชนธรรมดาทั่วไป โตขึ้นมาบนหลังมาและก็นอนกลางดินหรือตามทุ่งหญ้าทั่วไป จนในที่สุดก็กลายเป็น มหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง

พ่อ ของเจงกิสข่านเสียไปตั้งแต่เขายังอายุเพียง 9 ขวบ แม่ของเจงกิสข่านได้สอนวิธีการดำรงชีพบนพื้นที่แห้งแล้งและการเอาตัวรอดบน ผืนแผ่นดินที่กันดารนี้ให้กับเขา การสู้รบ และการฆ่ากันตายเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเจงกิสข่านเพราะในสมัยนั้นมีคน ต่อสู้ และรบกันอยู่เป็นประจำ เจ งกิสข่านเริ่มจับดาบสู้รบตั้งแต่ยังเด็ก และสามารถรวบรวมเผ่าต่างๆเข้ามารวมตัวกันได้ด้วยวิธีทูตตั้งแต่อายุยังไม่ ถึง 20 ปี และกลายเป็นกษัตริย์ในที่สุด

เจ งกิสข่าน ได้ขยายอาณาจักรของเขาไปไกลมาก เรียกได้ว่าเป็นนักรบที่สามารถยึดครองแผ่นดินได้มากที่สุดเลยก็ว่าได้ กองทัพของเจงกิสข่านสามารถรบชนะเมืองต่างๆได้เกือบทุกเมืองไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย เกาหลี อิหร่าน เจงกิสข่านจัดเป็นผู้นำที่มีความสามารถสูงมาก ทุกครั้งที่รบชนะ เขาจะรวบรวมคนเก่งที่มีความสามารถในด้านต่างๆ แล้วส่งกลับไปที่ประเทศเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป และเมื่อเขาชนะศึกเขาจะให้ประเทศที่พ่ายแพ้สงครามส่งทหารมาเข้าร่วมกองทัพ ของเขา กองทัพของเขาจะมีทหารประมาณ 10 กอง ในแต่ละกองจะประกอบไปด้วย ทหาร 10,000 นาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทหารม้า ทหารของเจงกิสข่านเวลาออกรบจะเคลื่อนไหวรวดเร็วเหมือนกับสายฟ้า ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับแทบไม่ทันเลยทีเดียว

วีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของเจงกิสข่านนั้นมีมากมายแต่ผมขอยกเรื่องที่เด่นๆให้ทราบกันแล้วกันนะครับ นั่นคือการบุกตะลุยเข้าตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิง ซามาร์ คาน เป็นนครหลวงระดับ มหานคร ของจักรพรรดิ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งมหาจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ซามาร์คานต้องเรียกว่ามหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน และครองครองพื้นที่ปัจจุบันกว่า 10 ประเทศ รวม ทั้งอัฟกานิสถานและอิหร่าน พรมแดนด้านตะวันตก จดทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้จดมหาสมุทรอินเดียภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจำการพร้อมรบอยู่ถึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคลื่อนพล 8 หมื่น บุกเข้าตีจนแตกพ่าย

นักประวัติศาสตร์หลายคนที่มีความคิดเห็นเดียวกันว่า หากรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่าน จะได้ ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรก และองค์เดียวที่ครองโลกได้ (โลก ในยุคนั้นมีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แถวเมืองจีนไล่ไปถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรมกัน) กองทัพเจงกิสข่านตะลุยยึดได้รัสเซียกว่าค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางและเยอรมันเตรียมบุกยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากเดินทัพต่อไปจริงๆ ก็คงยึดได้ไม่ยาก

แน่นอนครับว่าในความยิ่งใหญ่ของเจงกิสข่านก็สร้างความเสียหายทิ้งไว้ให้กับ ประเทศอื่นๆอยู่เยอะ เช่นการเผาสิ่งก่อสร้างทางวัฒนธรรม และการฆ่าเด็กและคนชรา ซึ่งในด้านนี้เราไม่ควรที่จะนำมาเป็นแบบอย่าง แต่ผมอยากให้ทุกๆคนมองในสิ่งที่ดีของคนๆนั้นแล้วนำสิ่งที่ดีของเขามาเป็นแรง บันดาลใจ หรือเป็นข้อคิดให้กับตัวเราเองดูนะครับ เจงกิสข่านเป็นบุรุษธรรมดาผู้หนึ่ง ที่ได้จารึกประวัติศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไว้บนโลกใบนี้ แล้วพวกเราทุกคนล่ะ ถ้าร่วมมือ ร่วมแรงกัน ประเทศไทย ก็อาจจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ไม่แพ้กันก็ได้ครับ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 17:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




215822~A-Steaming-Cup-of-Coffee-on-Coffee-Beans-Posters.jpg
215822~A-Steaming-Cup-of-Coffee-on-Coffee-Beans-Posters.jpg [ 29.61 KiB | เปิดดู 11606 ครั้ง ]
กาแฟที่หอมกรุ่น......

วันหนึ่งลูกสาวพร่ำบนถึงชีวิตอันแสนลำเค็ญให้พ่อฟังว่า
เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย
ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน
ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น
อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว
จัดแจงต้มน้ำในหม้อสามใบด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด
เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก
วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง
และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย
แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคำอธิบายเลย
ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและหมดความอดทน
ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร

ยี่สิบนาทีผ่านไป เขาก็ปิดเตาแก๊ส
ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม
นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง
และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย
แล้วหันไปถามลูกว่า ลูกเห็นอะไรบ้าง

แครอท ไข่ กาแฟ เธอตอบ

เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัสแครอท เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม

แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่นั้นได้ต้มจนสุก
แล้วท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบกาแฟดูเธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น
แล้วค่อยๆถามว่า นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ
พ่ออธิบายว่า เราได้กระทำต่อสามสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน
นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน
จากเดิมแครอทดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม

พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก
ไข่ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆคอยห่อหุ้มของเหลวภายใน
แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น
ขณะที่กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล
เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป
แล้วลูกล่ะเป็นอะไร ...พ่อถามลูกสาว
เมื่อความทุกข์มาเยือนลูกจะเตรียมรับมืออย่างไร
ลูกเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ

แล้วคุณล่ะ?

แครอทนั้นดูแข็งโป๊กแต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานา
ก็จะเฉาอ่อนแอ และสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังไป
หรือจะเป็นไข่ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรก

จิตใจอันอ่อนไหวของคุณจะเป็นอย่างไรหลังจาก
ที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการเลย์ออฟ
หัวใจของคุณหยาบกร้าน และแข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า
แม้เปลือกภายนอกของคุณยังคงเดิมหากหัวใจและจิตวิญญาณของคุณเล่า
มันปวดร้าวและได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง
หรือคุณเหมือนเมล็ดกาแฟ ...

เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด
แต่ณ.อุณหภูมิสูงสุด 100 องศาเซลเซียส
กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น
หากคุณเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด
นอกจากคุณจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว
คุณยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 22:34, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

นางผมหอม...

นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง แต่งงานอยู่กินกันมาตั้งนาน แต่ก็ยังไม่มีลูกสักกะที
จึงไปบนบานขอต่อเทวดาและในที่สุดก็ตั้งครรภ์ และคลอดลูกเป็นเด็กหญิง น่ารักคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่า เทวี
เด็กหญิงนั้น ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ด้วยความรัก จากพ่อแม่ทั้งสอง จนเติบใหญ่เป็นสาว

อยู่มาวันหนึ่ง นางสาวเทวี ได้เข้าป่าไปหาของป่าและอาหาร วันนั้น เข้าไปในป่าลึกกว่าปกติ น้ำที่เตรียมมา
ได้หมดลง นางกระหายน้ำมาก ขณะที่เดินหาแหล่งน้ำอยู่ บังเอิญเหลือบไปเห็นน้ำที่ขังอยู่ในรอยเท้าโค
จึงก้มลงดูดกินน้ำนั้น ก็ให้รู้สึกหอแห้งกระหายยิ่งขึ้น คือ กินแล้วยิ่งไม่อิ่ม จากนั้น นางก็มองเห็นน้ำที่ขังอยู่ใน
รอยเท้าช้างดูใสสะอาดก้มลงดื่มกินน้ำนั้น ก็ให้รู้สึกชุ่มฉ่ำคอยิ่งนัก จึงดื่มกินจนอิ่ม ความหิวกระหายนั้นก็หายไป

นางกลับมาถึงบ้าน จากนั้นไม่นาน ก็ตั้งครรภ์ โดยที่ไม่รู้ว่า ใครเป็นพ่อเด็กในท้อง พ่อแม่ก็พยายามถามไถ่
หาความจริงนางก็เล่าให้ฟังตามที่เป็นจริง และบอกว่าสงสัยเด็กคงเป็นลูกของพญาช้าง หรือไม่ก็พญาโค พ่อแม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ขอให้ได้หลานก็พอใจแล้ว ครบเก้าเดือน นางคลอดลูกเป็นเด็กหญิงแฝดสองคน
คนพี่ให้ชื่อว่า นางผมหอมเพราะผมของนางมีกลิ่นหอมตั้งแต่แรกเกิด คนน้อง ให้ชื่อว่า นางลุนเพราะเป็นน้อง

นางผมหอม เป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ผิดกับนางลุน ซึ่งเป็นคนขี้อิจฉาใจร้ายชอบรังแกคนอื่นรวมถึงชอบรังแกและแกล้งนางผมหอมอยู่เสมอ นางผมหอมและนางลุน ค่อย ๆ เติบโต ตามวัย เมื่อยังเป็นเด็ก ไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ก็จะถูกล้ออยู่เสมอว่าเป็นเด็กไม่มี

กระทั่งโตเป็นสาว ก็ยังถูกล้ออยู่ ในที่สุดทนไม่ไหวนางทั้งสอง จึงตัดสินใจไปถามความจริงกับแม่นางเทวี
เล่าความจริงให้ฟังว่าได้ไปดื่มน้ำในรอยเท้าโค และรอยเท้าช้างในกลางป่า กลับมาก็ตั้งครรภ์ พ่อของพวกเจ้า
ก็คือ พญาช้างและพญาโค แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกโค ใครเป็นลูกช้าง

นางผมหอมและนางลุน จึงขออนุญาตมารดาออกตามหาบิดาในป่า รบเร้าบ่อย ๆ เมื่อมารดาอนุญาต
ทั้งสองจึงออกเดินทางเข้าป่าตามทางที่มารดาบอกเดินทางมาหลายวัน ในที่สุด ทั้งสองก็ต้องเผชิญหน้ากับ
พญาช้างใหญ่เชือกหนึ่ง พญาช้างเห็นทั้งสองเข้า คิดว่าเป็นพวกมนุษย์ที่บุกรุกเข้ามาจึงจะฆ่าเสีย
นางผมหอมผู้เป็นพี่จึงร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต พญาช้างเกิดความสงสัยว่าเหตุใด หญิงทั้งสองจึงเข้ามาในป่า
ผิดวิสัยหญิงยิ่งนัก

นางผมหอมจึงเล่าให้ฟังว่า พวกนางเป็นลูกของแม่เทวีกับพญาช้างและพญาโค นางลุนก็ชิงพูดว่า
ตนเองเป็นลูกของ พญาช้าง ส่วนนางผมหอมเป็นลูกของพญาโคหากจะฆ่าก็จงฆ่านางผมหอมเถิด
นางผมหอมพูดว่าตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นลูกช้าง ใครเป็นลูกโค พวกนางเพียงแต่อยากพบพ่อ
จึงอุตสาห์ดั้นด้นเข้าสู่ป่าใหญ่ ก่อนจะฆ่านาง ขอให้นางได้พิสูจน์ตัวเองก่อน
ถ้านางไม่ใช่ลูกช้างจริงจะฆ่าก็ยอม

พญาช้างจึงกล่าวว่า ยินยอมให้พิสูจน์ โดยหากใครปีนงวงขึ้นขี่คอได้ คนนั้นนั่นแหละคือลูก ว่าแล้วพญาช้าง
ก็ตั้งจิตอธิษฐานตามนั้น แล้วยืนนิ่ง ๆ

นางลุน มั่นใจนักว่าตัวเองเป็นลูกช้าง รีบปีนขึ้นงวงหมายจะขึ้นหลังช้างให้ได้ เพราะนางเป็นลูกโค
แม้พยายามอย่างไรก็ไม่อาจจะปีนขึ้นได้ มีแต่ลื่นตกลงมาดังเดิม พญาช้างจึงบอกให้พอก่อน

นางผมหอม กลับปีนขึ้นได้อย่างง่ายดาย และนั่งอยู่บนคอช้างได้สำเร็จ ส่วนนางลุนเห็นว่านางผมหอมปีนขึ้นได้อย่างง่ายดาย จึงอยากลองดูใหม่ แม้พญาช้างห้ามก็ไม่ฟัง นางลุนก็ยังปีนขึ้นไม่ได้ ในที่สุดพญาช้างจึงใช้เท้ากระทืบนางลุนตาย และนำนางผมหอมผู้เป็นลูกไปยังที่อยู่ของตน ให้บริวารนำหินมาสร้างปราสาทหิน ให้เป็นเรือนที่อยู่ของนางผมหอม เรียกว่าปราสาทนางผมหอม

นางผมหอม แม้จะดีใจที่ได้พบพ่อแต่ก็สงสารนางลุนผู้น้องสาว ร้องไห้มาตลอดทาง แต่ก็ไม่กล้าต่อว่าอะไร พญาช้างผู้บิดา ได้แต่ติดตามไปอยู่กับพญาช้างนั้น พญาช้างดูแลปรนนิบัตินางผมหอมเป็นอย่างดี
ด้วยความรักในธิดา

เมื่อนางผมหอมต้องการไปไหน ก็ให้ขี่คอไป นางผมหอมอาศัยอยู่ ในป่ากับพญาช้างเป็นเวลาหลายปี
นางเป็นมนุษย์อยู่คนเดียวรู้สึกเหงามาก ทั้งตนเองก็เป็นสาวแล้วอยากมีผู้ชายใครสักคน เป็นเพื่อนใจ
จึงออกอุบายเพื่อให้ได้ชายผู้เป็นเนื้อคู่ตน

วันนั้น นางผมหอม ไปอาบน้ำที่แม่น้ำเช่นเคย เตรียมผอบไปด้วย นางถอนผมตัวเองออกมา 1 เส้น
บรรจงม้วนใส่ลงไปในผอบนั้น ผมของนางยาวจนถึงประมาณสะโพกทีเดียวและ ด้วยบุญเก่าของนาง
นางจึงมีผมที่หอมอยู่เป็นนิจ เมื่อใส่ผมลงในผอบปิดฝาเรียบร้อยแล้ว นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ผอบนี้ จงลอยน้ำไป ขอกลิ่นหอมของเส้นผมอย่าได้จางหาย ขอให้ชายที่เป็นเนื้อคู่เท่านั้นสามารถที่จะเก็บผอบนี้ได้คนอื่น ๆ แม้พบเห็นหากไม่ใช่เนื้อคู่แล้วไซร้ ขอให้เก็บเอาไม่ได้เถิด หากชายที่เป็นเนื้อคู่เก็บได้แล้ว ขอให้มีใจมั่นที่จะออกตามหาตัวเราจนได้พบกันเถิด"

เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ปล่อยวางผอบลงแม่น้ำ ผอบนั้นได้ลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ จนไปถึงเมืองรัตนาก็ลอยวนเวียนไปมาอยู่แถว ๆ ท่าน้ำ ด้านหน้าพระราชวัง เมืองรัตนา มีกษัตริย์หนุ่มรูปงามคนหนึ่งปกครองต่อจากบิดาของตน นามว่าพระเจ้ารัตนะ ยังไม่มีพระมเหสี วันนั้นพระองค์กับเหล่าบริพารเสด็จไปเล่นน้ำอยู่ท่าน้ำนั้นพอดี
เมื่อผอบนั้นลอยมาถึง กลิ่นหอมแห่งผมก็กำจรจายไปทั่วบริเวณ ทั้งพระราชาและเหล่าบริพารต่างได้กลิ่นหอมประหลาดนั้นซึ่งแตกต่างจากกลิ่นหอมที่เคยสูดดมอยู่ทุกวัน พอดีเหล่าบริพารแลเห็นผอบน้อยนั้นลอยอยู่กลางน้ำ สงสัยว่ามันคืออะไร จึงต่างว่ายน้ำเข้าไปเพื่อที่จะเก็บเอา แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะเก็บเอาได้ สร้างความประหลาดใจแก่พวกเขายิ่งนัก จึงมากราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระองค์จึงทรงใคร่ลองด้วยพระองค์เองบ้าง จึงว่ายน้ำเข้าไป และเก็บได้อย่างง่ายดายสร้างความอัศจรรย์ใจ แก่เหล่าบริพารยิ่งนัก

พระเจ้ารัตนะ ทราบว่ากลิ่นหอมต้องมาจากของในผอบนี้เป็นแน่แท้ ขึ้นฝั่งมาเปิดผอบออกดู จึงพบเห็นเพียงเส้นผมยาว ๆ สีดำขลับเงางามเส้นหนึ่ง เส้นผมยิ่งส่งกรุ่นกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว พระองค์คิดว่า เส้นผมนี้ คงเป็นผมของเทพธิดากระมัง ถึงได้หอมปานนี้ หรือหากเป็นของมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น ต้องเป็นคนมีบุญมากเป็นแน่แท้ เอาเถิดเราจะออกตามหานางให้พบ นำมาเป็นพระมเหสีให้จงได้

พอดีวันนั้น พระยาช้างพร้อมบริวาร ออกหากิน นางผมหอมอยู่คนเดียว พระเจ้ารัตนะเดินทางตามกลิ่นแห่งเส้นผมมาเรื่อย ๆ จนมาถึงท่าอาบน้ำนางผมหอม ขณะนั้นล่องลอยลงมา เมื่อทั้งสองยังไม่ลืมที่อำนาจบุญที่เคยทำร่วมกันไว้ให้เป็นเนื้อคู่กัน ทั้งคู่ก็เกิดความรักแรกพบทันทีอยู่ในใจ เมื่อพูดคุยถามไถ่จนได้ความจริงของกันและกันแล้ว นางผมหอมจึงพาพระเจ้ารัตนะไปบนปราสาทหิน ร่วมทานอาหาร แ้นผมต้องอาศัยอยู่บริเวณนมา โดยมีข้อแม้ว่า ห้ามพระเจ้ารัตนะลงจากปราสาทโดยเด็ดขาด เพราะกลัวพญาช้างจะทราบเรื่อง
แล้วฆ่าเสีย แม้พระยาช้างจะได้กลิ่นมนุษย์คนอื่นที่ไม่เหมือนกลิ่นนางผมหอม แต่ด้วยเกรงใจลูกจึงไม่ได้ถามและขอค้นดูในปราสาท เป็นแต่แบกความสงสัยไว้และคอยจับจ้องดูอยู่ภายนอก

ทั้งสองครองรักกันจนมีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ คนพี่เป็นชายนามว่า "สีลา" คนน้องเป็นหญิงนามว่า "ชาดา"
ต่อมาทั้งสองได้พาบุตรธิดาหนีพญาช้างสารไป ฝ่ายพญาช้างสารได้ออกตามหาลูก และหลานจนพบด้วยความ เสียใจที่ถูกลูกและหลานทิ้งไปอยู่เมืองอื่น จึงขาดใจตาย ก่อนตายได้ได้มอบงาของตนให้ พระเจ้ารัตนะไว้เป็นอาวุธ เพื่อป้องกันตนเอง

ขณะที่กำลังเดินทางและพักแรมจนกว่าจะถึงเมืองนั้น ปรากฏว่าเส้นทางนั้นมีนางผีป่าเฝ้าอยู่และเกิดความเสน่หาในพระเจ้ารัตนะ เมื่อนางผมหอมอาบน้ำจึงถูกนางผีป่าผลักตกน้ำไปและนางผีป่าก็แปลงตนเองเป็นนางผมหอมแทน

เมื่อถึงพระนครนางผีป่าก็เข้าอยู่ในวังด้วยในช่วงระยะ เวลาหนึ่ง แต่เนื่องจากพฤติกรรมของนางผีป่าแปลง
แตกต่างกันกับนางผมหอมจริง เมื่อพระเจ้ารัตนะทราบความจริง จึงหาทางกำจัดนางผีป่าและไปรับนางผมหอมมาอยู่ด้วยกัน และได้แต่งตั้งนางผมหอมเป็นพระอัครมเหสี และอยู่ครองรักกันอย่างมีความสุขสืบมา

ขอขอบคุณ คุณสมบัติ ศรีสิงห์ ที่เรื่องย่อนี้ไว้....


รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ครั้งพระพุทธเจ้า เสด็จไปยังวัดป่าเลไล
เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งในประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาในป่าโดยลำพังพระองค์ ไม่มีพระภิกษุใดหรือใครอื่นตามเสด็จไปจำพรรษาอยู่ด้วยเลย ป่าที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา
ครั้งนี้ เป็นป่าใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของช้างโทนเชือกหนึ่ง ชื่อว่า "ปาลิไลยกะ" หรือ "ปาลิไลยก์" ป่าแห่งนี้
จึงได้นามตามช้างนี้ว่า "ป่าปาลิไลยก์" คนไทยเราเรียกว่า "ป่าปาเลไล" อันเดียวกันนั่นเอง

มูล เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าแห่งนี้ เพราะทรงรำคาญพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีสองคณะ พิพาทและแตกสามัคคีกัน ถึงกับไม่ยอมลงโบสถ์ร่วมกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า ได้เสด็จมาทรงระงับให้ปรองดองกัน แต่พระภิกษุทั้งสองคณะก็ไม่เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าจึงทรงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ในป่าดังกล่าว

ด้วย อำนาจพุทธบารมีและพระเมตตาของพระพุทธเจ้า ช้างปาลิไลยก์ก็ได้เข้ามาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เช้าขึ้นหาผลไม้ป่ามาถวาย ตอนเย็นต้มน้ำร้อนถวายพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีกลิ้งก้อนหินที่เผาไฟให้ร้อนลงในแอ่งน้ำ

ลิงตัวหนึ่งเห็น ช้างปรนนิบัติถวายพระพุทธเจ้า ก็ได้นำรังผึ้งมาถวายพระพุทธเจ้าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงรับแต่ไม่ทรงฉัน ลิงจึงได้เข้าไปนำรวงผึ้งกลับมาพิจารณาดู เมื่อเห็นตัวอ่อนของผึ้ง จึงนำตัวอ่อนออกหมด แล้วจึงนำแต่น้ำผึ้งหวานไปถวายใหม่ คราวนี้พระพุทธองค์ทรงรับแล้วฉัน ลิงแอบดูอยู่บนต้นไม้ เห็นพระพุทธเจ้าทรงฉันรวงผึ้งของตน ก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นบนกิ่งไม้ จนพลัดตกลงมา ถูกไม้แหลมเสียบท้องทะลุตาย

เมื่อ ออกพรรษา พระภิกษุที่แตกกันเป็นสองฝ่ายยอมสามัคคีกัน เพราะชาวบ้านไม่ยอมทำบุญใส่บาตรให้ ได้ส่งผู้แทนไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเสด็จกลับเข้าเมือง ช้างปาลิไลยก์อาลัยพระพุทธเจ้านักหนา เดินตามพระพุทธเจ้าออกจากป่า ทำท่าจะตามเข้าไปในเมืองด้วย พระพุทธเจ้าจึงทรงหันไปตรัสบอกช้างว่า "ปาลิไลยก์ ถิ่นของเธอหมดแค่นี้ แต่นี้ต่อไปเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์เดรัจฉานเช่นเธอ เธอไปด้วยไม่ได้หรอก"

ช้าง ปาลิไลยก์ก็ยืนร้องไห้เสียใจ ไม่กล้าเดินตามพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าลับสายตา ก็เลยอกแตกตายอยู่ ณ ที่นั้น คัมภีร์บอกว่า ทั้งลิงและช้างตายแล้ว ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ที่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.intania8x.com

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย เพลิง. เมื่อ 29 ต.ค. 2009, 11:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ชายชรากับลังเหล็ก

กาล ครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำมีรายได้ดี มาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลยมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดีใครมาหยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการทำงาน ปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากชีวิตการทำงานอันยาวนาน

คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน

วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น "ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ"

วัน อังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น "รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง" เป็นเช่นนี้ตลอด

คุณลุงก็เปลี่ยนไป อยู่บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้าง พูดจาถากถางอยู่ตลอด แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า "พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไป ช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ" ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป

เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่า "ลังอะไร" คุณลุงตอบว่า "เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด" ปรากฏว่า ลูกๆ พากันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่

วัน จันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดีๆ มาให้ แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด

เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพ ลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า
รูปภาพ
นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

ได้ ฟังนิทานเรื่องนี้ทีไรให้รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้ง และไม่เคยคิดว่าเป็นเพียงนิทาน เพราะเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่เตรียมเก็บออมเงินเสีย ตั้งแต่เนิ่นๆ...พึ่งพาใครไหนเล่า...จะดีเท่าพึ่งพาตัวเราเอง

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ตำนานขนมครก (ขนมคน-รัก-กัน)

ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน

แต่แล้วความฝัน ของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง

คืนนั้นเป็นคืน เดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!…ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง และก็อารามดีใจเหมือนกันสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว...

รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้าน สั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า...

“พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย”

ตั้งแต่ นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม 6 ค่ำ เดือน 6 ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า “จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป”

ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม “ขนมแห่งความรัก” หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า “ขนม ค-ร-ก” นั่นเอง

แล้วก็จบลงด้วย ประ...กา...ระ...ฉะ...นี้...

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร