วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 22:09
โพสต์: 59

ชื่อเล่น: นุ่น
อายุ: 17
ที่อยู่: นนทบุรี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




daydream.jpg
daydream.jpg [ 201.31 KiB | เปิดดู 7521 ครั้ง ]
มหัศจรรย์แห่งน้ำ

น้ำ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ายิ่งแก่มวลมนุษย์ น้ำมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยสืบต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย และมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลกใบนี้ น้ำเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น การดำรงอยู่ และการสิ้นสุดของสรรพสิ่ง โดยปรากฎในรูปแบบของพิธีกรรม วัฒนธรรมและประเพณี เป็นเป็นเครื่องหมายของความสะอาดบริสุทธิ์ ความชุ่มฉ่ำ ร่มเย็น ไม่ว่าเราจะทำให้น้ำร้อนขึ้นด้วยวิธีใด ชั่วระยะเวลาหนึ่งน้ำก็จะกลับมาเย็นดังเดิม

นอกจากนี้น้ำยังมีความหมายถึงการประสานสมัคคีอีกด้วย ทั้งนี้เพราะน้ำเป็นสิ่งที่ไม่แยกจากกัน แม้จะใช้สิ่งอื่นคั่นไว้ เมื่อเอาสิ่งนั้นออก น้ำก็จะหลอมรวมกันเหมือนเดิมอย่างแนบสนิท ไม่มีรอยร้าวใดๆทั้งสิ้น ฉะนั้นมนุษย์ชาติจึงใช้น้ำทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ประสานความศรัทธาของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ และนั่นเองคือความมหัศจรรย์ของน้ำ ที่ปรากฎอยู่บนพื้นพิภพ ทั้งเรื่องราว ความเชื่อ และความเป็นจริง

น้ำจากมวยผมพระแม่ธรณี
ใน สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์กำลังตรัสรู้นั้น พญามารได้ยกทัพมาขัดขวาง ข่มขู่ แต่ด้วยบุญบารมี พระแม่ธรณีได้ปรากฎกายขึ้นบิดมวยผม ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่พัดพากองทัพมารแตกพ่ายไป ครั้นวันรุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ก็ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ น้ำจากมวยผมพระแม่ธรณี จึงเป็นความมหัศจรรย์ของน้ำที่ทรงคุณค่าต่อพุทธศาสนา

น้ำเสี่ยงทาย
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตล้วนเป็นสิ่งไม่แน่นอน ดังนั้นเพื่อความสบายใจ มนุษย์เราจึงมีความเชื่อเรื่องโชคชะตาและการเสี่ยงทาย การใช้น้ำในการเสี่ยงทาย นับเป็นความเชื่อที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล ก่อนตรัสรู้ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้มีการลอยถาดข้าวมธุปายยาสของ นางสุชาดา เพื่อเป็นการเสี่ยงทาย ว่าจะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณหรือไม่ หรือกระทั่งในวรรณคดีอย่างลิลิตพระลอ ก็มีความเชื่อเรื่องการเสี่ยงทายกับแม่น้ำกาหลง เป็นต้น

น้ำอมฤต
เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาและอสูรใช้พญานาคพันรอบเขาพระสุเมธุ เพื่อกวนเกษียรสมุทธนั้น ได้เกิดของ 14 สิ่งผุดขึ้นมาด้วย และน้ำอมฤตหรือน้ำทิพย์ ก็เป็นหนึ่งในของวิเศษที่เกิดจากพิธีนั้น ครั้นเมื่อเกิดอมฤต พระราหูจึงแอบคว้าไปดื่ม แต่พระจันทร์เห็น จึงบอกพระนารายณ์ พระองค์จึงขว้างจักรไปตัดคอพระราหูขาดเป็น 2 ท่อน แต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำอมฤต จึงทำให้พระราหูไม่ตาย และตามล้างแค้นพระจันทร์ ดังนั้นเมื่อพระราหูเห็นพระจันทร์ จึงตรงเข้ากัดกินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

น้ำอบ น้ำปรุง
เป็น น้ำที่ผ่านการอบด้วยดอกไม้และเทียนหอม เพื่อให้ทีความหอมเย็น ใช้ในการประกอบพิธีในงานมงคล
ตามประเพณีของไทย โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ หรือเทศกาลขึ้นปีใหม่ไทย จะใช้ในการสรงน้ำพระ
รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และประพรมกันเพื่อเป็นการมอบสิ่งดีๆ และส่งความสุขร่มเย็นให้แก่กัน

น้ำมนต์
น้ำมนต์ เป็นน้ำอันเป็นมงคล ที่ผ่านการเข้าพิธีบริกรรมคาถา ปลุกเสก ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ
ของชาวพุทธ ใช้ประกอบในพิธีมงคลต่างๆ เพื่อให้เป็นสิริมงคล และให้มีโชคลาภ ใช้ประพรม ดื่ม อาบ สะเดาะเคราะห์ และปัดเป่าภูตผีและสิ่งชั่วร้าย

น้ำกระสายยา
น้ำกระสายยา เป็นเครื่องแทรกในตัวยา เพื่อให้ยานั้นมีผลตามต้องการ ตรงกับโรค ทั้งยังสามารถช่วยเสริมฤทธิ์ของตัวยาด้วย น้ำกระสายยาหลายชนิดมักมีสรรพคุณเป็นยา เช่นเดียวกับเครื่องยาหลักต่างๆ ดังนั้นจึงนับได้ว่าน้ำกระสายยาเป็นสิ่งแสดงถึง ความมหัศจรรย์ของน้ำที่สามารถผสมผสาน รวมกับสรรพสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและช่วยเสริม หรือดึงเอาคุณสมบัติ รวมถึงคุณค่าในสิ่งนั้นๆออกมาให้เป็นประโยชน์ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

น้ำฝน
ฝน ที่ตกลงมาบนโลกเรานั้น นับว่าเป็นวัฎจักรอันน่ามหัศจรรย์ ของวงจรน้ำที่หทุนเวียนอยู่ในโลกนี้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มจากน้ำบนผิวโลกได้รับความร้อน จนระเหยและกลายเป็นไอ ลอยขึ้นไปรวมตัวกับไอน้ำที่พืชคายออกมา แล้วกลายเป็นเมฆ เมื่อเมฆลอยไปกระทบความเย็น ก็จะกลั่นตัวกลายเป็นน้ำฝนตกลงมาสู่โลก เพื่อสร้างคุณประโยชน์ อันเอนกอนันต์แก่มวลมนุษย์ และสรรพสัตว์


น้ำประปา
เป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีผลิตจนสะอาด ได้มาตรฐาน และเป็นปัจจัยหลักในชีวิตประจำวัน ทั้งด้านอุปโภคบริโภค ของคนไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีพระราชดำริ จัดตั้งการประปาขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2457

พลังน้ำผลิตไฟฟ้า
หยด น้ำแต่ละหยาดเมื่อรวมตัวกันกลับมีพลังมหาศาล สามารถใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสำคัญ
ในปัจจุบันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้ ความสว่างไสวยามค่ำคืน และความสะดวกสบายจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มนุษย์ใช้อยู่นั้น จึงล้วนเป็นพลังงาน อันเกิดจากความมหัศจรรย์ของน้ำ

น้ำพุร้อน
น้ำพุร้อนเป็นความมหัศจรรย์ของน้ำ ที่พวยพุ่งออกมาจากใต้พื้นโลก นำพาเอาความร้อนและแร่ธาตุต่างๆขึ้นมา ให้มวลมนุษย์ได้ใช้อาบ และใช้ดื่มเพื่อรักษาโรค รวมทั้งใช้บำรุงสุขภาพให้แข็งแรง และเพื่อความงาม ตลอดจนการใช้พลังงานจากน้ำพุร้อนนี้อีกด้วย

น้ำสังข์มงคล
ประเพณี มงคลสมรสของไทย ใช้สังข์อันเป็นภาชนะมงคลใส่น้ำมนต์ รดคู่บ่าวสาวเพื่ออวยพรให้ทั้งคู่อยู่กันยั่งยืน มีความสุข ในตำนานกล่าวไว้ว่า สังข์อสูรลักเอาพระเวทไปซ่อนไว้ในหอยสังข์ จนพระนารายณ์ต้องอวตารไปปราบ แล้วล้วงเอาพระเวทออกมา ดังนั้นที่ปากสังข์จึงมีรอยพระหัตถ์ของพระนารายณ์อยู่ สังข์จึงถือเป็นสิ่งมงคล เพราะเคยรองรับพระเวทไว้

น้ำส้มป่อย
ส้มป่อย พืชสมุนไพรที่สมัยโบราณใช้แทนสบู่สำหรับสระผม ชำระล้างร่างกาย และใช้ในพิธีรดน้ำดำหัว
โดยเฉพาะในภาคเหนือ ในประเพณีปีใหม่ ชาวเหนือจะใช้น้ำส้มป่อยประพรมศีรษะของผู้ใหญ่ พอเป็นพิธี
นอกจากนี้ยังมีการใช้น้ำส้มป่อยในพิธีต่างๆอีกด้วย เพราะมีความเชื่อว่าน้ำส้มป่อยสามารถขับไล่ ภูตผี
และสิ่งอัปมงคลออกไปได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www. tooktee.com

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2009, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




16สาธุ.jpg
16สาธุ.jpg [ 44.45 KiB | เปิดดู 7043 ครั้ง ]
****อานิสงส์การถวายดอกบัวด้วยใจอันเลื่อมใส*****

ครั้งหนึ่งพระมาลัยได้ทรงจีวร กรถือบาตรเข้าสู่บ้านอันเป็นที่โคจรบิณฑบาต ในบ้านนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งปฏิบัติมารดา วันนั้นออกจากบ้านไปสระเพื่อจะอาบน้ำชำระกายที่สระโบกขรณี นั้นดาษดาไปด้วยอุบลชาติ ครั้นอาบน้ำเสร็จแล้วเห็นดอกบัวแปดดอก จึงเก็บดอกบัวทั้งแปดดอกแล้วขึ้นจากสระแล้วก็เดินกลับ ในขณะนั้นเองมรรคาบุรุษผู้นั้น ได้แลเห็นพระมาลัยมีสังวรอินทรีย์อันงามท่าทางสงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใส เดินถือบาตรบทจรมาทางนั้นพอดี บุรุษผู้นั้นก็ได้บังเกิดโสมนัสปีติยินดีเป็นอันมาก ได้เข้าไปไกล้พระเถระ แล้วกระทำนมัสการ แล้วได้ถวายบัวแปดดอกต่อพระหัตถ์พระเถระ ด้วยกำลังศรัทธาและเลื่อมใสอันไม่มีประมาณ เมื่อจะกระทำความปราถนา จึงกล่าวเป็นคาถาว่า"อิมฺานิ ปุปฺผา นิทาเนน"เดชะที่ข้าพเจ้า ได้กระทำการถวายดอกบัวนี้ ก็ด้วยบุญนี้แลแม้จะบังเกิด ณ ภพใดๆในชาติทั้งหลายประมาณหมื่นชาตืแสนชาติ "มา ทลิทฺโท" ชื่อว่าความยากจนเช่นนี้ อย่าได้บังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าอีกเลย

ครั้นพระมาลัยได้รับดอกบัวแล้ว เมื่อจะอนุโมทนาจึงแสดงเป็นคาถาว่า "ยํ ยํ ลูขํ วา ปณีตํ วา เทติ ปสนฺนมานโส" ดูกรอุบาสก บุคคลผุ้มีจิตเลื่อมใส เชื่อมั่นในพุทธาธิคุณ ได้ถวายทานเป็นสิ่งที่เศร้าหมองก็ดี ประณีตก็ดี ผลทานของบุคคลผู้นั้นคงสำเร็จตามความปราถนาเป็นแน่แท้ เหตุไทยทานเป็นของบริสุทธิ์ ทายกน้อมนำมาถวายด้วยศรัทธาและเลื่อมใสเป็นเบื้องหน้าและเหตุทายกนั้น ปราศจากบาปธรรม มีโลภะและมัจฉริยะเป็นต้น คือบุคคลยังศรัทธาจิตให้ผ่องใสในกาลทั้งสามนั้น คือ บุพพเจตนา มุญจนเจตนา และอปราปรเจตนา บังเกิดศรัทธาโสมนัสทั้งสามกาลดังนั้นแล้วถวายทาน ผลทานย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จตามปราถนา ท่านประสงค์สิ่งใด ก็จะได้ในสิ่งนั้นสมตามความปราถนาทุกประการ
ครั้นพระเถระได้ดอกบัวมาแล้ว จึงปราถนานำขึ้นไปถวายสักการะบูชาที่พระมหาจุฬามณีอันเป็นที่ประดิษฐ์สถาน พระเกศีของพระผู้มีพระภาคเจ้าในชั้นดาวดึงส์ จึงใช้อภิญญาอันมีจตุตถฌาณเป็นบาทฐานเหาะจากโลกมนุษย์ไปสู่พระมหาจุฬามณี แล้วเอาดอกบัวแปดดอกบูชาพระมหาจุฬามณี แล้วกระทำประทักษิณ เสร็จแล้วก็กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์

ฝ่ายบุรุษเข็ญใจผู้ถวายดอกบัวแปดดอกผู้นั้น ครั้นใกล้สิ้นชีวิตได้ระลึกถึงทานการถวายดอกบัวที่ได้ทำไว้ดีแล้ว เมื่อตายแล้วได้บังเกิดในชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพบุตรอุบลในปราสาท ณ ดาวดึงส์ มีเทพอัปสร พันหนึ่งเป็นบริวาร เทพบตุรผู้นั้นมีกลิ่นพระโอษฐ์ดังกลิ่นดอกอุบล และที่สำคัญ เมื่อเทพบุตรจะก้าวท้าวไปที่ใด ดอกอุบลทิพย์เบญจพรรณก็ผุดขึ้นรองรับบาทบาทาทุกครั้งไป ก็เพราะด้วยอานิสงส์การถวายดอกบัวอันมีศรัทธาอันไม่มีประมาณในครั้งยังเป็น มนุษย์ครั้งนั้นแล

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2009, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




ART117903~The-Broken-String-Posters.jpg
ART117903~The-Broken-String-Posters.jpg [ 48.49 KiB | เปิดดู 7029 ครั้ง ]
เด็กน้อยกับลูกหมาตัวเล็กๆ

เจ้าของร้านตอกป้ายติดไว้เหนือประตู มีข้อความว่า มีลูกสุนัขขาย
นี่เป็นวิธีดึงดูดเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างดี

เด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวใต้ป้ายแผ่นนั้น และถามว่า
ลูกหมาที่ขายราคาเท่าไรครับ
"มีหลายราคา ตั้งแต่ 30 ไปจนถึง 50 เหรียญ" เจ้าของร้านตอบ

หนูน้อยล้วงเข้าไปในกระเป๋าและควักสตางค์ออกมา ผมมีอยู่ 2.37 เหรียญเอง
ขอผมดูพวกมันหน่อยได้ไหมครับ

เจ้าของร้านยิ้มแล้วผิวปาก

เจ้าเลดี้วิ่งออกมาจากเฉลียงข้างร้านพร้อมกับลูกสุนัขขนฟูอีก 5 ตัว
หนึ่งในนั้นเดินตามมาช้า ๆ หนูน้อยสนใจลูกหมาตัวนี้ทันที

เห็นได้ชัดว่ามันเดินลากขาเหมือนเป็นหมาพิการ หมาตัวเล็ก ๆ นั่นเป็นอะไรครับ
เจ้าของร้านบอกว่าสัตวแพทย์ตรวจตรวจเจ้าลูกหมาตัวนี้แล้วพบว่ามันไม่มีสะโพก
มันจะต้องเดินขากะเผลกและจะพิการไปตลอดชีวิต

เด็กชายตื่นเต้นขึ้นมาทันที "ผมขอซื้อลูกหมาตัวนี้ได้ไหมฮะ"
เจ้าของร้านตอบว่า อย่าเลย หนูคงไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอก
แต่ถ้าหนูอยากได้จริง ๆ ล่ะก็ ฉันจะยกให้
หนูน้อยเริ่มไม่พอใจ

เขาจ้องหน้าเจ้าของร้านพร้อมกับชี้นิ้วพูดว่า

"ผมไม่ต้องการให้คุณยกมันให้ผมฟรี ๆ หมาตัวนี้มีค่ามากเท่ากับตัวอื่น ๆ
ทั้งหมด และผมก็จะจ่ายให้คุณเต็มราคาด้วย แต่ผมจะให้คุณไปก่อน 2.37 เหรียญ
และจะผ่อนให้เดือนละ 50 เซ็นต์จนกว่าจะครบ

เจ้าของร้านยังค้านอีกว่า หนูไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอก มันวิ่งไม่ได้
กระโดดก็ไม่ได้ และเล่นกับหนูเหมือนกับลูกหมาตัวอื่น ๆ ก็ไม่ได้

ถึงตอนนี้

หนูน้อยจึงนั่งลงและถกขากางเกงให้เจ้าของร้านเห็นขาข้างซ้ายที่ลีบเล็ก
และมีเหล็กแท่งใหญ่พยุงเอาไว้
เขาเงยหน้ามองเจ้าของร้านและพูดนุ่ม ๆว่า นี่ไง ผมเองก็วิ่งไม่ได้เหมือนกัน
และลูกหมาตัวนี้ก็คงต้องการใครสักคนที่เข้าใจมัน

เจ้าของร้าน......................!

บทความเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

บางครั้งสิ่งที่เราพูดออกไป อาจทำร้ายจิตใจของใครคนหนึ่ง โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ....

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 03 พ.ย. 2009, 19:49, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2009, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หิ่งห้อย “ตำนานรักแห่งต้นลำพู”

หิ่งห้อย (Lightning bug)
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Luciola substriata (Gorh)
จัดเป็นแมลงพวก “ด้วง” ทั่วโลกมีประมาณ 2,000 ชนิด
พบตามบริเวณแหล่งน้ำนิ่งทั่วไปในประเทศไทย...ในตอนกลางคืนที่มืดสนิท
เราสามารถมองเห็นแสงของหิ่งห้อยได้ไกลถึงหลายเมตร
และจะมองเห็นอย่างสวยงามมากขึ้นเมื่อ มองเห็นแสงจากฝูงหิ่งห้อย

หิ่งห้อยนั้นมีลำตัวยาว ตั้งแต่ 2-25 มิลิเมตร ลำตัวของมันเป็นรูปทรงกระบอก
อวัยวะที่มามารถเปล่งแสงได้ของมัน อยู่ที่ส่วนล่างตอนท้ายของลำตัว
หิ่งห้อยจักเป็นแมลงในวงศ์ Lampyridae อันดับ Coleptera
หิ่งห้อยสามารถกะพริบแสงได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
หิ่งห้อยขยายพันธ์ โดยการว่างไข่เป็นฟองเดียวหรือเป็นกลุ่มก็ได้
เมื่อไข่ฝักเป็นตัว 4-5 วัน จึงเข้าเป็นดักแด้ แล้วออกมาเป็นตัวเต็มวัย
วงจรชีวิตของ หิ่งห้อยใช้เวลาทั้งสิ้น 3-12 เดือนแล้วแต่ชนิดของหิ่งห้อย
นักชีววิทยาประมาณว่า โลกนี้มีหิ่งห้อยราว 2,000 ชนิด ยกตัวอย่างเช่น
โพทูรัสไพราลิส และพีเฟนชิลวานิคัสเป็นแมลงที่พบ ทั่วไปทั่ว เอเชีย ยุโรป และอเมริกา

หิ่งห้อยเป็นแมลงที่ ชอบออกหากินในเวลากลางคืน และหลบซ้อนตัวในเวลากลางวัน เหมือนค้างคาว
ดังนั้นเราจึงเห็นหิ่งห้อยกะพริบแสง ในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่
ส่วนใหญ่หิ่งห้อยอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ หรือตามพื้นที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือลำธารที่มีน้ำใสสะอาด
และที่สำคัญตรงนั้นต้องเป็นน้ำนิ่ง ตลอดจนบริเวณป่าโกงกาง ชายฝั่งทะเล
ในระยะตัวเต็มวัยหิ่งห้อยมักเกาะอยู่ตามต้นลำพู และต้นลำแพนโพทะเล ต้นฝาก ต้นแสม ต้นสาคู และต้นเหงือกปลาหมอ โดยเฉพะป่าชายเลน ที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ ชาวบ้านมักจะเรียกต้นไม้ที่มีหิ่งห้อยเกาะว่า " โกงกางหิ่งห้อย '' หิ่งห้อยที่เราเห็นบินวอนตามพุ่มไม้ส่วนใหญ่มักเป็นตัวผู้ ส่วนหิ่งห้อยตัวเมียนั้น ชอบเกาะนิ่งตามกิ่งไม้ จากการที่หิ่งห้อย ชอบอาศัยตามแหล่งน้ำที่สะอาด ในช่วงวัยที่เป็นหนอนหิ่งห้อย
ทำให้หิ่งห้อยเป็นตัวที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หรือ เสื่อมโทรมของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี

หิ่งห้อสายพันธุ์ ลูซิโอลา อควอติลิส (Luciola aquatilis) จะมีความพิเศษกว่าชนิดอื่นคือ
ในระยะตัวหนอนจะมีรูปร่างและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ถึงสามแบบ มันยังกะพริบแสงมีทั้งสีเหลือง เหลืองอำพัน และสีเขียว ขณะที่หิ่งห้อยชนิดอื่นมีรูปร่างเพียงแบบเดียวเท่านั้น
การที่พวกมันกะพริบแสงในยามค่ำคืน ก็เพื่อส่งสัญญาณ “ถ่ายทอดภาษารัก” ที่มีด้วยกันถึงสี่แบบ
ขณะที่สายพันธุ์ในแถบยุโรปและอเมริกา จะกะพริบแสงเพียงแบบเดียว
สำหรับพฤติกรรมการจับคู่ผสมพันธุ์ แบ่งออกเป็น ช่วงแต่งตัว โดยที่ตัวผู้ ซึ่งมีปล้องเรืองแสง 2 ปล้อง
จะทำความสะอาดร่างกาย ด้วยการกระพือปีก บิดก้นไปมาเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
พร้อมกะพริบแสงถี่เป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องเร็วและถี่มากขึ้น เพื่อเรียกร้องความสนใจและรอให้
หิ่งห้อยเพศเมียที่มีเพียงปล้องเดียวกะพริบตอบ จากนั้น...จะเข้าใกล้และขี่หลังตัวเมียเพื่อจับจอง
พร้อมทั้งเริ่มกะพริบแสงช้าลง ซึ่งเป็น ช่วงที่เกี้ยวพาราสี ท้ายสุดก็คือ ช่วงผสมพันธุ์ เป็นระยะที่มีการกะพริบแสงสว่างมาก และ จังหวะมืดนานเพื่อเตือนภัย เพราะในช่วงผสมพันธุ์ หิ่งห้อยจะหยุดกะพริบแสง
และจะกะพริบแสงขึ้นต่อเมื่อมีสิ่งภายนอกมารบกวน หรือมีหิ่งห้อยตัวผู้ตัวอื่นอยู่บริเวณใกล้เคียง
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ตัวเมียจะเริ่มบินหาผืนน้ำที่เงียบสงบ เพื่อออกไข่ครั้งละ 470-640 ฟอง
ใช้ เวลาเพียงไม่กี่วัน จะเข้าสู่วัยที่เป็นตัวหนอน ในช่วงนี้จะอาศัยอยู่ใต้น้ำกินหอยเป็นอาหาร
กระทั่งเข้าสู่ตัวหนอนระยะสุดท้ายจึงคืบคลานขึ้นบก มาเป็นระยะดักแด้ใต้พื้นดิน และเจริญเป็นตัวเต็มวัย
ซึ่งทั้งหมดจะใช้เวลา 3-5 เดือน และกลับมาสู่วงจรชีวิตเจ้าแมลงที่สร้างมนต์เสน่ห์แห่งท้องน้ำต่อไป.

นักชีววิทยาเรียกแสงของหิ่งห้อยว่าแสงเย็น (cold light) ทั้งนี้เพราะ กระบวนการปล่อยแสงจากตัวหิ่งห้อย
ให้ความร้อนไม่มากตามปกติหลอดไฟทั่วไป เวลลารับกระแสไฟมันจะแปลงไฟฟ้า 90% ของพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับเป็นพลังงานความร้อน และแปลงพลังงาน 10% ที่เหลือเป็นแสงสว่าง
ดังนั้น เวลาที่เราเปิดไฟทิ้งไว้เป็นเวลานาน ๆ หลอดไฟจึงร้อน
แต่ในกรณีหิ่งห้อยมันแปลง 90% ของพลังงานเคมีในร่างกายเป็นแสง
แสงพลังงานอีก 10% ที่เหมือนเป็นพลังงานความร้อนดังนั้นอุณหภูมิของหิ่งห้อยจึงไม่สูง
มนุษย์ต้องประดิษฐ์หลอดไฟให้แสงสว่าง แต่หิ่งห้อยนั้นสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวมันเอง

คุณสมบัติของหิ่งห้อย

1. แสงของหิ่งห้อยนั้น มีระดับแสงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ และมีลักษณะเป็นแสงเย็น ซึ่งมีพลังงาน
ความร้อนเกิดขึ้นเพียง 10% จึงต่างจากหลอดไฟทั่วไปที่ปล่อยพลังงานความร้อนออกมาถึง 95%
จึงได้มีผู้ที่พยายามศึกษาปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในหิ่งห้อย เพื่อออกแบบการผลิตแสง ที่ไม่สิ้นเปลืองขึ้นมาใช้ในอนาคต

2. หิ่งห้อยจะมีการกะพริบแสงทุก ๆ 24 ชั่วโมง เหมือนมันมีนาฬิกาใจในตัว เพราะเวลาที่เรานำหิ่งห้อยมาขังไว้ในห้องมืดที่ไม่มีแสงเลยก็จะเห็นว่า ในทุก ๆ 24 ชั่วโมงมันจะกะพริบแสง ทั้ง ๆ ที่มันไม่รู้เลยว่า ขนาดนั้นเป็นเวลาอะไร

3. หิ่งห้อยมีเซลล์ สองเซลล์ที่ใช้ในการสื่อสารซึ่งมีสองเซลล์คือ เซลล์ประสาท (octopamine)
และเซลล์แสง (phtocyte) ซึ่งสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันด้วยแก๊ส No ซึ่งในตัวหิ่งห้อยก็มีอยู่เช่นเดียวกันเพื่อจะได้ติดต่อสื่อสารกับตัวอื่น ๆได้

4. แสงจากหิ่งห้อยสามารถใช้เป็นตะเกียง ให้แสงสว่างได้ เพราะในอดีตคนจีนโบราณ
และคนบราซิลที่ยากจน มักจะจับหิ่งห้อยใส่ในขวดแก้ว เพื่อใช้เป็นตะเกียง
พบว่าหิ่งห้อยที่โตเต็มที่ประมาณ 6 ตัว สามารถให้แสงสว่างที่เพียงพอ
เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือในเวลากลางคืนได้คนญี่ปุ่นในสมัยก่อนก็นิยมใช้
ตะเกียงหิ่งห้อยเช่นเดียวกัน

5. นอกจากจะนำมาใช้เป็นตะเกียงแล้ว ชาวบ้านที่ยากจน ก็นิยมจับหิ่งห้อยมาใส่กรงกระดาษเล็ก ๆ
เพื่อนำมาติดเป็นตุ้มหู

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย เพลิง. เมื่อ 05 พ.ย. 2009, 11:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2009, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาพสวยงามมากครับ
:b45: :b45: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




butterflyfairy.gif
butterflyfairy.gif [ 42.62 KiB | เปิดดู 6969 ครั้ง ]
นิทานพระจันทร์

เรื่องมีอยู่ว่า…นานมาแล้ว...สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
มีพระจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง...กับ...อีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย
และพระจันทร์สองดวงนี้...ต่างก็รักกันมาก ดวงจันทร์ทั้ง 2
ไม่เคยแยกห่างจากกัน

ทุกๆคืนเมื่อมองไปบนฟ้า...จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกัน...เสมอ
แต่แล้ววันหนึ่งดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์
ทำให้ดวงจันทร์หลงใหลในแสงเจิดจ้า...ของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไป...ทีละน้อยๆ
จนแยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด

เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว
ดวงจันทร์ดวงนั้นจึงได้แต่...ตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไปดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์
ผู้หญิงได้พบ...ด้วยความคิดถึง...และ...อยากพบให้เร็วที่สุด
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า...หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้คงไม่ได้
เจอแน่ๆ” จึงตัดสินใจ…ระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้ง
จักรวาล...เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น...ออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น

เมื่อเวลาผ่านไปทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักปานใด
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้านั้นแต่เพียงตนเท่านั้น
ยังส่องแสงไปยังดวงอื่นๆอีกมากมาย ดวงจันทร์จึงกลับ
มาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง…แต่หาเท่าไหร่ก็หาดวงจันทร์
ผู้ชายไม่พบ

ต่อมาจึงได้รู้ว่า… ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพียง
เพื่อตามหาตนจนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ

ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงดาวผู้ชาย
อีกต่อไปแล้ว...จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ

แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ดวงจันทร์ผู้ชายมีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง…
ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
ของตนส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง

เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้

สังเกตมั้ยว่า... คืนใดที่ดวงจันทร์เต็มดวงจรัสแสงประกายเจิดจ้า
มากที่สุด คืนนั้นท้องฟ้าไร้ดวงดาว แต่หากคืนใดที่เมฆน้อยบดบัง
ดวงจันทร์ไปหมดสิ้น ค่ำคืนนั้นเรากลับได้เห็นดวงดาวทอแสงเต็มท้องฟ้า
จบสมบูรณ์

ถึงบันทึกนี้จะไม่ได้เขียนเอง...แต่มันก็โดนใจ...ลองสังเกตดูดวงจันทร์นะครับ
นิทานเรื่องนี้...ได้คัดมาจากเว็บนิทานจากฟากฟ้าหนึ่ง ซึ่งนานแล้ว
...แต่เป็นนิทานที่อ่านแล้ว ผมว่าดี เอาความคิดตัวเองตั่งสะงั้น อิอิ แต่มันก็จริงนะ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

" ปริศนาแห่งสายลมหนาว "

ท่ามกลางฤดูหนาวอันเยือกเย็น
ชายหนุ่มหญิงสาวหลายคู่ต่างนั่งโอบกอดกันอย่างอบอุ่นในสวนสาธารณะ
ชายหญิงคู่หนึ่งต่างปรารภกันเรื่องอากาศ และสายลมอันเหน็บหนาว
ชายชราซึ่งเผอิญนั่งอยู่ในระยะใกล้ได้ยินที่ชายหญิงคู่นั้นปรารภ
จึงกล่าวขึ้นว่า
“มันเป็นปริศนาแห่งสายลมหนาว”
ชายหญิงได้ยินดังนั้น ก็แปลกใจ
หญิงสาวจึงถาม “อะไรนะค่ะ”
“มันเป็นปริศนาแห่งสายลมหนาว”
ชายชรายังคงย้ำ
ชายหนุ่มจึงถามบ้างว่า “ทำไมละครับ”
ชายชรายิ้ม
“เธอทั้งสองลองมองออกไปรอบๆดูซิ
สิ่งที่เธอเห็นคือ ชายหญิงหลายคู่ ต่างนั่งตะกองกอดกันไว้ในอ้อมแขนของความอบอุ่น
นั่นแหละคือหน้าที่ของสายลมหนาว”
“เหรอค่ะ” หญิงสาวทำหน้างง
ชายชราจึงเอ่ยต่อ
“มีคนหลายคนที่ต้องทนกับสายลมหนาวเพียงลำพัง
แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคู่ที่รู้สึกอบอุ่น
แม้จะเจอกับความเหน็บหนาว
สายลมหนาวช่วยเร่งให้คนที่โดดเดี่ยวไร้คู่แสวงหาใครซักคน
เพื่อที่ตนจะไม่ต้องทนกับความหนาว
แต่ก็ช่วยให้คนสองคนได้ร่วมแบ่งปันความรัก
ความอบอุ่นให้แก่กันและกันอย่างมีความสุข “

“คนเราถ้าลองมีความรัก จะกลัวอะไรกับสายลมหนาว”

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




01_159.jpg
01_159.jpg [ 84.35 KiB | เปิดดู 6863 ครั้ง ]
สิ่งที่พ่อ-แม่สมัยใหม่..มอบให้..ลูกรัก

.. ลองอ่านให้จบ
เป็นอุทาหรณ์จากการยัดเยียดการเรียนให้เด็กมากเกินไป

หวัด ดีค่ะ... ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ...
เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา...
และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย...
เพื่อนแต่งงานกับวิศกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะ
และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศค่ะ
โทรไปหาเพื่อนถามไถ่สาระทุกข์-สุขค่ะ พอถามเรื่องลูก เพื่อนก็การปล่อยโฮอย่างแรง
ร้องไห้จะเป็นจะตายเดียวนั้น เราก็ตกใจ เฮ้ย แกเป็นไรว่า เป็นไร....

มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้ว ปรึกษาใครก็ไม่ได้
ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด... “ผิดอย่างร้ายกาจ” จากครอบครัวสามี
และ แม่ตัวเอง มันปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพราะพื้นฐานคือ...
ทั้งสามีและเพื่อน เป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้
ดังนั้นมันจึงไม่ปรึกษาใครเลย เพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน

เรื่องคือ... ลูกชายเข้าเรียนตอน 7 ขวบกว่านิดๆ ได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย
ค่าเทอมเป็นแสน คอมพร้อม เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามักมาก ...
ที่นี้โรงเรียนดัง ก็พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์(มันบอกอย่างนี้ค่ะ) เงินพร้อมซะอย่าง
ก็คุยกันต้องติวอย่างนั้น ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนนี้เสริม เจ๋งค่ะ เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น
และมันบอกว่าก็มีการเม้มที่เด็ดๆ ไว้ไม่บอกใครก็มี........ฮื่อ....

ที่นี้... ลูกเรียนวันจันทร์ – ศุกร์ ยัน 6 โมงเย็น
และเป็นอย่างงี้ มาตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3... เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม
เพราะต้องตื่นเช้าไปส่ง ตื่นตอน... ตี 5 ครึ่ง
เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง
ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก
ออกจากบ้านไม่เกิน 6 โมงเช้าเท่านั้น
และไปถึงโรงเรียน ประมาณเกือบ 7 โมง
วันเสาร์... เรียนพิเศษเสริม เริ่ม 8 โมงเช้าถึง บ่ายโมง
และ ตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ จึงได้กลับบ้าน

ส่วนวันอาทิตย์... ครึ่งวันเช้าเรียนที่สถาบันคุมองต์ เสริม ครึ่งวันหลังผักผ่อน...
ตอน 1 ทุ่มวันอาทิตย์ ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อมเพื่อไปเรียนวันจันทร์
และแนะนำจากพ่อและแม่ ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน

และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลัง
คือ ....ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...
เพราะไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว สังคมเมืองของแท้
ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น
วันนั้น...วันอาทิตย์ ลูกก็ปั่นจักยานไม่ยอมเข้าบ้าน
แม่ก็เรียกให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว
เตรียมกินข้าว และทบทวนการบ้าน... ลูกก็ไม่ฟัง
จนเพื่อนและสามีโมโห บอกว่า เสียงดังนะคะ ....
เข้าบ้านเดียวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้
ยิ่งโตยิ่งดื้อ (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป
ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และแม่มาจับลูกเข้าบ้าน
สามีบอกว่า... ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะ ถ้าทำอย่างนี้อีก
ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ... และยกมือไหว้...ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน
จักรยานคือ เพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น... ป๋าอย่าทำนะ
ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจอะไร เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น

และต่อมา....กว่าจะจับใจความได้มันร้องไห้ไม่หยุด...เพื่อนร้องไห้เหมือนจุดพลุเลย...
ลูกกลับจากบ้าน คุยกับพ่อและแม่ อยากดู อุลตร้าแมน มดเอ๊กช์ บ้าง
เพื่อนๆ คุยกันที่โรงเรียน... เค้าไม่รู้เรื่องเลย
เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง (เด็กอนุบาลนะค่ะ)
ทำให้เค้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ... เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้
เช่น ถ้าดู UBC ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู ประมาณนี้...

สามีและเพื่อนบอกว่า ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า
ตอนนี้เพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป
การ์ตูนมีแต่ความรุนแรงไม่เสริมความรู้อะไรเลย
เราได้เปรียบ... เราใช้เวลาทบทวนและเรียน...
ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ... ลูกลองคิดดู...
โตขึ้นลูกก็จะเป็นนายของคนพวกนี้
และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด การสอนจะประมาณนี้ตลอด...

แต่เพื่อนบอกว่าเค้าและสามีทำดีที่สุดและให้ในสิ่งที่ดีที่สุด
ที่คนทั่วไปบางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป...

ที่นี้หนักสุด... ต้องติว เข้า ป. 1 ที่นี้เวลาเล่นแทบน้อยมาก...
แต่ก็ได้ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้ แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม... ฯลฯ
จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้... จนลูกโกรธจนตัวสั่น...
และพูดว่า เค้าจะไม่เป็นคนดี... เค้าเบื่อที่สุดแล้ว...
เค้าอยากเล่นฟุตบอล... เค้าอยากวิ่งเล่น... อยากดูการ์ตูน...
อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อนุญาตอ่านให้ฟัง...
เค้าเกลียดพ่อและแม่... ทำไมต้องบังคับ...
ทำไมต้องอาย... ทำไม เค้าจะเป็นคนชั่ว...
(เพื่อนมันบอกว่า ลูกพูดจนลิ้นพันกัน ตัวสั่นไปหมด
จับลำดับคำพูดยาก (ป 1) อะไรก็พูดๆๆๆๆ ออกมา
ร้องไห้ หน้าแดง กำหมัด ขว้างข้าวของ เสียงดัง

ในระหว่างนั้น สามีและเพื่อนก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม
แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม คงสะสมมานาน

พอผ่านไปสักระยะ... จนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบ
พอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า... ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอย... ไม่มองกระดาน...
และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว...
ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำไปอย่างให้จบไป ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย
บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ... แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะ และพูดน้อยลง
ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น....ฯลฯ

เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ๆ จึงไปพบหมอที่สมิติเวช
หมอแจ้งว่า... น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง
บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน...
จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า... หรือพิการทางสมอง...

แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง... ไม่รับเอง... ไม่เอาเอง...
ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือ แล้วเมื่อไรเค้าจะรับ
และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง...
เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า...
ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ... คงต้องใช้เวลามาก
เพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น... เรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาวน์... เรารู้วิธี
แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด...
ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต

ทุกวันนี้ผลคือ... สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มโทษภรรยา มากกว่าโทษตัวเอง
ตอนนี้มันรับกรรมเต็มๆ ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ ... ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง

ถึงตรงนี้ มันบอกว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ มันเศร้ามากค่ะ

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 24 พ.ย. 2009, 22:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ รูปภาพ


" อูร์กี้ "

เป็นเรื่องของความรักที่หมาตัวหนึ่งได้รับหลังจากที่ชีวิตของมัน
เหมือนกับตกนรกที่ทารุณโหดร้ายจนไม่ทราบว่าจะเปรียบกับอะใรได้
อูร์กี้ เป็นหมาที่โชคร้ายกลายเป็นหมาที่โชคดี แม้จะเหลือหูอยู่หนึ่งข้าง
ทั้งตัวจองอูว์กี้มีเหล็ก มีสกรูยึดอยู่ในร่างกายหลายแห่ง ใช้เวลาผ่าตัดตั้งแต่ปี ๒๐๐๕- ๒๐๐๘
มีคนสมทบทุนในการดูแลตอนอยู่รพ. สัตว์มากมาย แต่หมอทำการรักษาให้ฟรี

ความรักมาได้และเกิดได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเกิดระหว่างคนกับคนเท่านั้นนี่เป็นเรื่องของความรัก
ของนายลาร์รี่และครอบครัวที่ได้ให้กับหมาโชคร้ายตัวหนึ่งชื่อว่า อูว์กี้

เมื่ออูว์กี้เป็นเด็กหรือยังเป็นลูกหมาอยู่ เจ้านายของมันใช้อูว์กี้เป็น" เป้าฝึกซ้อม"ให้หมาพันธุ์ดุร้าย
เช่น พิตบุล กัด ค่ะมันอาศัยอยู่กับคนโฉดที่เป็นเจ้าของคอกสุนัขที่ฝึกให้สู้กันในสนาม
มันจะถูกผูกติดกับสนามแข่งเป็นเป้าล่อให้กับพิตบุลที่จะลงสู้กับหมาพิตบุลตัวอื่น
เพื่อเป็นกันยั่วยุให้พิตบุลมีอารมณ์โกรธโมโหจะได้สู้ให้เต็มที่เวลาลงแข่ง
การใช้หมาสู้กันมักจะใช้พิตบุล และจะกัดจนตายไปข้างหนึ่งหรือบาดเจ็บสาหัส
แบบที่พอตัวที่แพ้เสร็จต้องฆ่าทิ้งเลย การทารุณแบบนี้หรือการทำแบบนี้
ผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา แต่มักจะลักลอบจัดกันเสมอ

สมาคมผู้พิทักษ์สัตว์ช่วยอูว์กี้ได้ทันเวลาพอดี
ตอนนั้นใบหน้าด้านข้างของอูว์กี้ไม่มีเหลือแล้ว หูหายไปแล้วหนึ่งข้าง ผิวหนังที่หน้าก็หายไป
แพทย์ต้องใช้วิธีผ่าตัดดึงหนังมาคลุม กรามก็ถูกกัดจนกระดูกแหลก กะโหลกของอูว์กี้ก็แตกร้าว
การผ่าตัดของอูว์กี้ใช้เวลาหลายปีรวมทั้งใช้จิตแพทย์สัตว์และคนที่เรียกว่าผู้เยียวยาสุนัข
หรือ ด็อกวิสเปอร์เรอร์ มาช่วยเหลือมันสัตว์แพทย์เล่าแต่มันยังโชคดีที่ยังมีชีวิตรอดมาได้

วันที่นายลาร์รี่กับลูกชายฝาแฝดไปเจอ เพราะครอบครัวนี้เอาแมวไปหาหมอเบียงโก้ (Bianco) นี่แหละ
เจออูว์กี้เข้าและได้ฟังเรื่องของอูว์กี้ก็สงสารอย่างจับใจเขาบอกว่าเมื่อเห็นเจ้าตัวนี้เข้า
เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจอ่อนปวกเปียกด้วยความรู้สึกที่สมเพชเวทนาในความเคราะห์ร้าย
เหมือนอูว์กี้เองก็จะสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ มันเดินมาจูบนายลาร์รี่

นายลาร์รี่กับลูกแฝดทราบว่าอูว์กี้ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของ ครอบครัวนี้เลยขอรับอุปการะอูว์กี้
เขาว่าเขาโชตดีมากที่รับอูว์กี้ไว้ ตอนนี้มันได้อยู่ในบ้านที่คนในครอบครัวที่รักเห็นใจมัน
แต่มันยังจะต้องได้รับ การผ่าตัดใหญ่อีกหลายครั้งเพื่อประกอบใบหน้าให้มันใหม่
และรักษาอาการเจ็บปวดเรื้อที่ทรมาณมันอย่างมาก

ลาร์รี่ว่าเขานึกไม่ออกว่าสิ่งเลวร้าย ที่อูว์กี้ได้รับเป็นอย่างไร
มันคงจะร้ายกาจมากแต่อูว์กี้ทำให้เขารู้สึกว่าโชคดี
เพราะมันแสดงอาการรักพวกเขาอย่างล้นเหลือ ซึ่งมันไม่เคยได้รับมาก่อน
และครอบครัวของเขาก็รักและทุ่มเทให้กับอูว์กี้ อย่างที่สุดเหมือนกัน

ส่วนลูกชายฝาแฝดของลาร์รี่ ชื่อโนอาห์กับแดนบอกว่า เขาทั้งสองเป็นเด็กที่ลาร์รี่ขอรับอุปการะเช่นกัน
เขาเล่าว่าเมื่อลาร์รี่รับเขาทั้งสองเป็นลูกบุญธรรม เด็กคนเดียวก็หาคนมารับเลี้ยงลำบากอยู่แล้ว
นี่ต้องรับทั้งคู่เพราะนายลาร์รี่ไม่ต้องการให้แฝดคู่นี้แยกกัน
วันนั้นพวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และโชคดีที่สุดในชีวิต

และตอนนี้เมื่อครอบครัวของเขารับอูว์กี้เข้ามาในครอบครัว
แดนว่าจากประสบการณ์ของการเป็นเด็กกำพร้าฝาแฝด เขาเข้าใจอูว์กี้ได้ดี
วันที่รับอูว์กี้เข้ามาอุปการะ ถือว่าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาวันหนึ่ง
ส่วนนายลาร์รี่ว่าอีกไม่นานลูกชายฝาแฝดกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย
เขาจะมีเวลาให้กับอูว์กี้ได้อย่างเต็มที่

เรื่องและภาพของ อูว์กี้ ได้อ่านมาจากบล็อกของ Wandering souls/

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2009, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

" กอไผ่ "

วันนี้ป่าอ้อ..จะเล่าเรื่องต้นไผ่กับวัฒนธรรมของเอเชียค่ะ
ใครจะไปนึกว่าต้นไผ่จะเป็นพืชล้มลุกและจัดเป็นพวกหญ้าเสียด้วย
ป่าอ้อชอบอ่านบล็อกไปเรื่อยเปื่อยเมื่อมีเวลาว่างพอดีได้อ่าน
ในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องต้นไผ่รักษาสิ่งแวดล้อมในโลกได้ด้วย
ถือว่าเป็นพืชที่มีคุณต่อโลกใบน้อยใบเดียวของเรา น่าสนใจดีค่ะ
ด็อกสตาร์เลยค้นคว้าเรื่องไผ่มาให้อ่านกันยามที่เบื่อสีแดง สีเหลือง
สีน้ำเงินและขอพักเรื่องการบ้านการเมืองกันสักวัน

ต้นไผ่มีอยู่ทั่วไปทั้งเอเชียตะวันออก อเมริกา ออสเตรเลีย
แม้แต่แถวทะเลทรายซาฮาร่าก็ยังมี (เหลือเชื่อนะคะ)
เรารุ้จักหน้าตาของต้นไผ่กันดี เป็นปล้องยาวเนื้อแข็ง ข้างในกลวง
บางทีเป็นปล้องกลมๆก็มี ปล้องผอมๆยาว ปล้องใหญ่ขนาดเส้นผ่า
ศุนย์กลางขนาด๑๐ นิ้วก็มี ปล้องไผ่มีสีเขียวดำ เขียวสด
ปล้องสีเหลืองก็มีชนิดนี้ทางบ้านเราเรียกว่า ไผ่สีสุก เอาหน่ออ่อนๆ
เอาไปทำแกงจืดใส่หมูสามชั้น กระดูกหมูอ่อน ตอนเคี่ยวน้ำกระดูกหมู
ก้อใส่ ปลาหมึกแห้งกับกุ้งแห้ง แกงจืดแบบนี้อร่อยมาก
น้ำแกงจืดจะหวานอร่อยค่ะ บางทีเบื่อแกงจืดหน่อไม้
ก้อจะเอาน้ำพริกหนุ่มละลายในน้ำซุปจนเข้ากันดีแล้ว
จะใส่พริกเม็ดสีเหลืองกับชะอมเป็นแกงหน่อไม้ที่อร่อยไปอีกแบบค่ะ

ไผ่เติบโตได้ในหลายพื้นที่หลายสภาพอากาศเขตศูนย์สูตรเขตร้อน
ลาดเขาหิมาลัยก็มี ต้นไผ่เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชีย
ถ้าพบในยุโรบ อเมริกานั่นหมายถึง สมัยที่ตื่นทองในอเมริกาหรือ
สมัยที่มีการสร้างทางรถไฟในอเมริกาสมัยคาวบอยโน่นคนจีน
อพยพไปเป็นกรรมกรสร้างทางรถไฟ ไปรับจ้างซักรีด ที่ออสเตรเลีย
ก็มีคนจีนพาครอบครัวหนีความยากไร้และการกดขี่ไปอยุ่ต่างประเทศ
เอาต้นไผ่ไปด้วยเพราะเป็นต้นไม้มงคล และเป็นระลึกถึงบ้านเกิด

ไผ่มีชีวิตในโลกนี้ตั้งแต่หลายล้านปีก่อนไดโนเสาร์เสียอีก
ไดโนเสาร์จากโลกนี้ไปแล้วแต่ ต้นไผ่ยังอยู่เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดใน
บรรดาพืชหญ้าบนโลกใบนี้อาจเป็นเพราะระบบรากในดินของมัน
นั่นเองที่แตกแขนงเป็นรากฝอยเล็กๆมากมายได้อย่างรวดเร็ว

การใช้ไม้ไผ่มีมานานตั้งแต่โบราณ ไผ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคน
อย่างมากมายในแถบเอเชียใช้ทำเครื่องใช้ต่างๆในชีวิตประจำวัน
ทำอาหาร ปล้องไผ่อ่อนๆใช้ทำข้าวหลาม เป็นภาชนะต่างๆ สร้างบ้าน
เครื่องเรือน เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ใช้บ่มใบชา ใช้หมักเหล้าที่เรียกว่า
อูลานซี่ไผ่นำไปใช้ประโยชน์ได้เกือบหมดค่ะ ปล้องไผ่ ผิวไผ่ เยื่อไผ่
รากไผ่แห้งๆเรียกได้เลยว่าไผ่ทั้งลำได้ประโยชน์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

มีคนทำงานวิจัยเกี่ยวกับไผ่ว่าสามารถปลูกทดแทนในป่าที่ถูกทำลาย
จนเสื่อมโทรมได้ดี มีระบบรากที่เป็นแขนงฝอยเล็กสามรถยึดเกาะหน้าดิน
ไม่ไห้ถูกชะล้างด้วยกระแสน้ำป่าที่ไหลหลากในหน้าฝนโตเร็ว
อัตราการเจริญเติบโตเร็วมากที่สุดประมาณ 3 ฟุตต่อวันยังสามารถดูดซึม
คาร์บอนไดอ็อกไซด์ได้ดีและปล่อยก้าซอ็อกซีเจนสู่ชั้นบรรยากาศมากว่า
พืชชนิดอื่นถึง 35% ทุกส่วนของไผ่ใช้ประโยชน์ได้หมดค่ะ
เรียกว่าตั้งแต่ทำไม้จิ้มฟัน ยันเตียงนอนไปเลย ที่สำคัญการปลูกไผ่ทดแทน
ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงใดใดทั้งสิ้น ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์
เรียกว่าไผ่พอโตปุ๊ปสามารถขายได้ทันทีเพราะไผ่ขึ้นง่าน เลี้ยงง่าย โตเร็ว
ระยะเวลา ๑-๕ ปีสามารถเก็บเกี่ยวได้เลย

หลายคนคงสงสัยว่าไผ่เกี่ยวกับชาได้อย่างใร?คือคนไท (Dai)
ในประเทศจีนมีธรรมเนียมที่จะเสิร์พชาจีนให้กับแขกที่มาเยี่ยมเยียน
เป็นใบชาที่ผ่านกรรมวิธีอย่างอื่นมาแล้ว แต่ยังไม่ได้อบแห้งหรือ
ยังไม่ได้ทำให้แห้ง แต่เอาใบชาอ่อนๆนี้ใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่
จนเกือบเต็มแล้วเอาใบไผ่ปิดกระบอกไผ่จนแน่นแล้วนำไปผิงไฟ
หรืออังไฟแบบข้าวหลามประมาณ ๕ นาที
หรือเมื่อกระบอกไผ่กลายเป็นเหลืองอ่อนใบชาแห้งดีแล้ว
นำไปชงกับน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ประมาณ ๕ นาที
ชาจากกระบอกไผ่จะมีสีเหลืองอมเขียวอ่อนกลิ่นหอม
ชื่นใจดื่มแล้วสดชื่นหายเหนื่อยค่ะ

ต้นไผ่ในความหมายของคนจีนหมายถึงการมีอายุยืนนาน
อินเดียกลับหมายถึงความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
หมู่เกาะในทะเลอันดามันความเชื่อเกี่ยวกับไผ่กล่าวว่า
มนุษย์เกิดมาจากกระบอกไผ่ ต่างจากประเทศฟิลิปปินส์
กลับเชื่อว่าต้นไผ่เกิดจากการต่อสู้กันระหว่างทะเลกับท้องฟ้า
เมื่อมีต้นไผ่ก็มีมนุษย์เพศหญิงคนแรกเกิดขึ้น
ซึ่งคล้ายกับทางมาเลย์เซียว่าแต่เดิมในโลกนี้มีแต่มนุษย์ผู้ชายค่ะ
เขาได้นอนหลับใต้กอไผ่พอตื่นขึ้นปล้องไผ่ลำหนึ่งเกิดแตกออก
ก็เจอมนุษย์เพศหญิงคนแรกในโลกอยู่ในปล้องไผ่ที่แตกออกเลย
มีมนุษย์เพศหญิงคู่กับชายตั้งแต่นั้นมา

แต่ความหมายของจีนเกี่ยวกับไผ่นี่สูงส่งกว่าที่อื่นนะคะ
เพราะถือว่าไผ่เป็นครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่มีคุณค่าสูงมาก
เท่าๆกับดอกเบญจมาศ ดอกกล้วยไม้ ดอกท้อซึ่งเป็นตัวแทน
ของฤดูกาลทั้ง ๔ ยังมีชื่อเรียกว่า " สุภาพบุรุษทั้งสี่ "
(Four Men of Honour)
ในคำสอนของขงจื้อ ไผ่ยังหมายถึงขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์อีกด้วย

ไผ่ยังหมายถึงความเข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ที่เข้ามาและ
ยืนหยัดต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากลำบากหรืออุปสรรค์จนได้รับชัยชนะ
เช่นเดียวกับต้นสน ต้นท้อที่สามารถทนทานต่อฤดูหนาวที่ทารุณ
โหดร้ายที่มีพายุหิมะน้ำค้างแข็งในฤดูหนาวได้ดีจนได้ชื่อว่า
สามสหายแห่งฤดูหนาว(Three Friends Of Winter)
ที่ญี่ปุ่นยังนิยมปลูกต้นไผ่เพื่อไว้ป้องกันสิ่งชั่วร้ายหรือผีปีศาจ

ไผ่ในวัฒนธรรมจีนหยั่งรากลึกมากมีตั้งแต่ทำตะเกียบไม้ไผ่
จานชามถาดที่เป็นไผ่และยังนำไปลงรัก หรือเคลือบด้วยยางเหนียว
ของครั่ง ทำเครื่องดนตรีเช่นขลุ่ยดีซี่(DIZI)ก็ทำมาจากไผ่
ภู่กันจีนที่ทำจากไผ่ ก็ยังนิยมใช้กันอยู่แม้ว่าจะมีภู่กันสมัยใหม่
มาครองตลาดแล้วก็ตาม

ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากๆที่จะเห็นต้นไผ่เสมอ
ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าถนน ในสวนหลังบ้านหน้าบ้านของคนจีนในเอเชีย
ในประเทศจีนยังมีงานนิทรรศการเทศกาลเกี่ยวกับต้นไผ่ทุกปี
ผลงานเกี่ยวกับไผ่ชนิดต่างๆ การแกะสลักไผ่ โคลงกลอนเกี่ยวกับไผ่
รูปวาดภู่กันจีนเป็นรูปไผ่ เรียนวาดภู่กันจีนครั้งแรก ครูจะให้วาดรูปไผ่
ปล้องไผ่ และใบไผ่เป็นอย่างแรก

มาทางด้านวรรณคดีหรือว่าวรรณกรรมโบราณของจีนที่กล่าวถึงไผ่กันบ้าง
มีกวีเอกของจีนที่ชื่อ Bai Juyi สมัยราชวงศ์ถังได้เขียนกลอนเกี่ยวกับต้นไผ่
ไว้ด้วย ชื่อเรื่องว่า"ปลูกต้นไผ่หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Planting Bamboo"
เนื้อเรื่องนี้กวีได้กล่าวถึงศิลธรรมจรรยาของมนุษย์
ว่ามนุษย์เราเกิดมาต้องมีความอดทน แข็งแรง กล้าหาญ ถ่อมตน
สุภาพเปิดเผยสูงส่งและเที่ยงธรรมกับต้นไผ่
เพราะว่าไผ่แข็งแรง ลำต้นตรง และภายในกลวง
และสามารถจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้
ด้วยสามารถทำประโยชน์ได้หลายอย่าง

คนจีนชอบไผ่มากโดยเฉพาะคนที่มีความรู้ นักคิด
นักปรัชญาที่ได้สั่งสอนมักจะมีความชื่นชมต้นไผ่หลงไหล่ต้นไผ่เป็น
พิเศษอาจเป็นเพราะว่าป่าไผ่ทำให้มีความรู้สึกสงบสันโดษ
สมัยก่อนเคยดูหนังจีนของชอว์บราเดอร์ค่ะ หนังกำลังภายใน
พระเอกมักจะดูคลาสสิคมากกว่า หนังกำลังภายในโชกเลือด
มากกว่าหนังกำลังภายในสมัยนี้ค่ะ เพราะดูว่าตัวเอกจะท่องกวี เป่าขลุ่ย
ได้ไพเราะและเชิงการต่อสู้ก็แยบยลไม่เน้นการต่อสู้กันเหมือนหนัง
สมัยใหม่ ที่กว่าผู้ร้ายจะตายได้ทุเรศและทารุณมากเหมือนกับไม่ใช่
มนุษย์มะนา ถ้าเป็นเราโดนโครมเดียวคงจะม้วยไปแล้ว

ตอนนั้นพวกกวี ผู้รู้ นักเขียนชาวจีนโบราณมาจะหลบหนีภัย
จากความวุ่นวายทางการเมืองมาหลบในป่าไผ่ที่มีการกล่าวขวัญมาก
คือ นักปราชญ์ทั้งเจ็ดในป่าไผ่(Seven wise men in the bamboo
forest)ยังมีนักวาดเขียน ๗ คนที่มีชื่อเสียงก็มาหลบอยู่ในป่าไผ่ด้วย
เหมือนกันเช่น เรืนจี้ และ จิ้กัง ก็หนีความโกลาหล-อลหม่านใน
สังคมเมืองมาอยุ่ในป่าไผ่แม้แต่ หวังเว่ย กวีเอกสมัยราชวงศ์ถัง
(คนนี้ได้ชื่อว่าเป็นศาสดาของการเขียนโคลงกลอนจีน)ได้ร่ายกวี
เกี่ยวกับชีวิตในป่าไผ่ไว้ว่า

" โดดเดี่ยวกลางป่าไผ่ จรรโลงใจด้วยเสียงดนตรี
ร่ำร้องเพลงขับข่านอย่างแผ่วเบา มีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นอยู่เคียงข้าง

Sitting among the bamboo, playing instrument and singing
without being disturb by others, with only moon for company."

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณนะจ๊ะ...คุณป่าอ้อ คุณลุงมะตูม คุณเพลิง.
สำหรับเรื่องราวที่น่ารักและงดงามที่หมั่นนำมาฝากกัน

:b48: ระลึกถึงนะคะ :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2009, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




uchitokaeru02.jpg
uchitokaeru02.jpg [ 30.46 KiB | เปิดดู 7387 ครั้ง ]
กอบัวเล็กๆ

กอบัวกอเล็กย่อมมีนิเวศที่ไม่ซับซ้อนนัก
องค์ประกอบเพียงเล็กน้อยที่ปรากฏแก่สายตาของคนรอบข้าง
คงเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศขนาดใหญ่
แต่มันก็ยังมีความหลากหลายในตัวมันเอง
คงไม่ผิดหากเราจะเป็นดั่งดอกบัวที่กำลังบานรับแสงแดดในยามเช้า

โดดเด่นสะดุดตาของผู้พบเห็น
กลีบแต่ละกลีบประกอบกัน
จากหนึ่งเป็นสอง
จากสองเป็นสี่
จากสี่เป็นแปด
และในที่สุดก็เป็นดอกบัวอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่บัวไหนเลยจะงาม
หากไม่มีก้านที่รองรับน้ำหนักและชูดอกสะพรั่งนั้น
ไว้ลำเลียงน้ำลำเลียงอาหารถึงยอดถึงดอก
ไม่มีก้าน... ดอกบัวนั้นก็คงยังเป็นเพียงบัวใต้น้ำ
มิอาจโผล่พ้นขึ้นรับแสงแดด และอากาศสดชื่นสู้สายตาของผู้คน

ก้านดอกจะคงอยู่ได้อย่างไร
หากไม่มีฐานดินมั่นคง
เป็นโคลนตมในน้ำ
ให้รากบัวชอนไชยึดเหนี่ยวและเติบโต
โคลนตมนี้เปรียบดั่งผู้หนุนนำแบกรับบัวดอกแล้วดอกเล่า

ดอกหนึ่งร่วงหล่น ดอกใหม่โผล่พ้น
ก็ยังคงมีแร่ธาตุเพียงพอจะส่งดอกบัวใหม่สู่สายตาของผู้พบเห็น
โคลนตมก็ยังทำหน้าที่ของโคลนตม
ก้านดอกก็ยังคงเป็นก้านดอก
ดอกบัวก็ยังคงเป็นดอกบัวอยู่วันยันค่ำ

แต่สิ่งใดคือความจีรัง
วันหนึ่งดอกบัวนั้นก็ย่อมต้องเหี่ยวแห้งร่วงโรยไป
และทิ้งกอบัวกอเล็ก ๆ นั้นไว้
และบัวดอกใหม่ที่กำลังผลิบาน.

แม้วันนี้ดอกบัวรุ่นห้าหนึ่งจะร่วงโรย แต่อีกรุ่นจะยังคงอยู่ตลอด
ดอกบัวดอกนี้คงไม่มีวันลืมกอบัวกอเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ถึงหกปี
คงไม่มีวันลืมก้านดอกที่คอยลำเลียงน้ำลำเลียงอาหาร ส่งเสริมดอกบัวดอกนี้ให้เจริญเติบโต

จากที่เคยมุ่งมั่นฟันฝ่าผ่านวันเวลามา
จนกระทั่งใช้เวลาสุดท้ายในการเฝ้ามองดอกบัวเหล่านั้น
ความทะเยอทะยาน ความฝัน
ความหวัง ประกายเจิดจรัส
แสงแรกของวันที่เฝ้ารอ ลมเย็นที่พัดโบก

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 14:07 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้ที่ยังคงมีคุณค่าประโยชน์ยิ่ง สาธุๆค่ะ :b39:
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร