วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 06:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ชีวิตและการทำงาน
สิ่งที่นายจ้างต้องการจากคุณ
เชิญครับ…ไหนช่วยเล่าประวัติของคุณให้ผมฟังหน่อย
๑. รู้จักตัวเอง และข้อบกพร่องต่างๆ ของตน มีเป้าหมายในการทำงาน และมีความรับผิด
ชอบแสดงให้เห็นความเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะทำงาน
๒. สามารถปรับ และควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆ
๓. มีมิตรสัมพันธ์ต่อทุกๆ คน และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เห็นความสำคัญของกลุ่ม
งานเป็นทีม มากกว่าตนเอง
๔. พร้อมจะทำงานหนัก ด้วยความมุ่งมั่นอดทน และสู้กับงานอย่างเต็มที่
๕. มีความจริงใจ และซื่อตรงกับตนเอง อีกทั้งเพื่อนร่วมงาน รักษาเกียรติยศชื่อเสียงของตน
เอง
๖. มีความประพฤติดี สุภาพ อ่อนน้อม และมีวินัยในการทำงาน



:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

เหตุผลที่นายจ้างปฏิเสธในการรับผู้สมัครเข้าทำงาน
เอ้อ…ผมเสียใจด้วยครับ คุณควรแก้ไขปรับปรุงตัวให้พร้อมก่อนมาสมัครงาน
๑. ขาดความเสมอต้นเสมอปลายในการทำงาน ประวัติการทำงานไม่ดี เปลี่ยนที่ทำงาน
บ่อย?…
๒. ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ หรือเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่สมัคร
๓. ชอบทำงานคนเดียว ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมงานไม่ได้
๔. ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความกระตือรือร้น ผลการปฏิบัติล้มเหลวมาในอดีต
๕. กำลังศึกษาต่อ และมีแนวโน้ม เมื่อสำเร็จการศึกษาจะลาออก
(แรกๆ เราก็อาจต้องเหนื่อย แต่ก็ อย่าท้อ นะลูก มันต้องมีหนทางให้เราเดินเสมอ)
(เพียงบางที อาจต้องรอเวลา รอโอกาส ให้มาถึงเราซะก่อน)
“ เดินก้าวไปบนทางที่แสน…ลำบาก ใจและกายเหนื่อยจน หมดแรงอ่อนล้า จำต้องทนผืนทุกข์ตรม ไม่หมดลมหายใจ ต้องสู้ สู้ต่อไป สู่ต่อ…อ๊า อ๊า”
๖. มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน
๗. ไม่มีเป้าหมายในการ ต้องการเพียงหาประสบการณ์จากการทำงานในระยะเวลาสั้นๆ
๘. ไม่สนใจและทุ่มเทให้กับการทำงาน และมักมีข้อแม้ไม่สามารถเดินทางไปต่างจังหวัดได้
๙. ชอบเกี่ยงงาน ถนัดแต่งานสบาย หนักไม่เอาเบาไม่สู้
๑๐. มีญาติ พี่น้องทำงานกับบริษัทคู่แข่ง ซึ่งเสี่ยงต่อการเก็บความลับของบริษัท ข้อมูลอาจ
รั่วไหลได้
๑๑. เป็นบุคคลมีประวัติเคยต้องโทษคดีอาญา อาจส่งผลให้เสียภาพลักษณ์บริษัท
(ทำไมถึงไม่มีใครให้โอกาสฉันบ้างเลย กับความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ฉันจะเป็นคนไม่มีอนาคตอะไรอีกแล้วหรอเนี่ย)
(พี่อย่าพึ่งท้อ ซิจ๊ะ คงมีสักทีที่เขาจะให้โอกาสกับเรา เพียงแต่เราต้องอดทน แล้วพี่ก็คงได้งานสักวัน ในอีกไม่นานนี้ หรือถ้าไม่มีงาน เราก็ต้องสร้างงานขึ้นมาเอง)
(นะ จ๊ะ พี่ สิ่งสำคัญ อย่างแรก คือเราต้องมีกำลังใจ ที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ คิดหางาน หรือไม่ก็สร้างงานทำอะไรด้วยตัวเองของเราเอง)
(ใช่สิลูกเอ๊ย ดูอย่างแม่ซิแก่ปานนี้แม่ยังมีงานทำได้เลย ยังหนุ่มยังแน่น มีแรงก็ต้องทำได้ซิ ใช่ไหมล่ะ)


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ข้อแนะนำสำหรับคนหางาน
อ่านให้เข้าใจนะครับ จะได้ไม่ผิดพลาด
๑. หาตำแหน่งงานหลายๆ วิธี ที่ตรงกับความรู้ ความสามารถของตัวเองและศึกษาหาความรู้
เกี่ยวกับตำแหน่งงาน ลักษณะงานนั้นๆ ให้เข้าใจถึงการทำงานว่าเราสามารถทำได้แน่นอน
๒.สอบถามแหล่งงานได้จากเพื่อนฝูง ประกาศในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สถาบัน การ
ศึกษา กพ. และหน่วยงานสำนักจัดหางานของรัฐ และงานนัดพบแรงงาน
๓. เขียนจดหมายพร้อมแนบประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน เพื่อส่งสมัครงานหรือเดินทาง
ไปสมัครด้วยตนเอง
๔. ฝึกซ้อมการสัมภาษณ์ ก่อนเข้าสัมภาษณ์จริง เพื่อสร้างความมั่นใจ
๕. แต่งกายไปสัมภาษณ์ ให้ถูกกาละเทศะ และสุภาพเรียบร้อย
๖. ไปถึงสถานที่นัดหมายสัมภาษณ์ก่อนเวลาหรือตรงเวลา
๗. สร้างความประทับใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และไม่สร้างภาพลักษณ์ในแง่ลบให้กับ
ตนเอง
๘. ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท เพื่อแสดงความสนใจและตั้งใจในการสมัครงาน
๙. ตอบปัญหาในการสัมภาษณ์ด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง มีความฉลาดไหวพริบและสุภาพ
ชัดเจน มีความกระตือรือร้นโดยแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ
๑๐. อย่าเรียกร้องเงินเดือน หรือค่าจ้างก่อนที่บริษัทจะตอบตกลงรับจ้างคุณเข้าทำงาน
๑๑. หากถูกสอบถามเรื่องเงินเดือนที่ต้องการ ควรใช้ไหวพริบในการสอบถามกลับถึงอัตรา
เงินเดือนกันความรู้ความสามารถในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณเอง
๑๒. ใบสมัครงานเป็นเสมือนข้อสอบด่านแรก ก่อนการสัมภาษณ์ที่นายจ้างจะพบ จึงควร
กรอกอย่างถูกต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย
๑๓. อย่าเป็นคนเลือกงานมากนัก เพราะทุกสาขาอาชีพต้องอาศัยฝึกฝนสร้างประสบการณ์
มิเช่นนั้นจะกลายเป็นคนว่างงานตลอดไป


(ด้วยความปรารถนาดี จากวรานนท์ครับ)


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การหยุดอยู่กับที่ไม่ดีเลย ไม่เสียเลย

คงจะเหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไร หยุดอยู่กับที่

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L ไม่เสมอไปขอรับ Onion_L

เคยเจอกับตัว....ไม่รับทำงานเพราะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง :b21:
สมัครไปหลายที่ ไม่มีใครเอา เพราะเขาบอกว่าเกรดสวยๆอย่างนี้ มหาวิทยาลัยดีๆอย่างนี้ เสียดายน่าจะเรียนต่อไปเป็น อาจารย์ :b33: :b34:

อยากจะบอกก็เพราะไม่อยากเป็นอาจารย์อะครับ เงินเดือนมันน้อย ไม่พอกิน จะว่าเขากลัวเราจะทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ก็ไม่ใช่ เราก็ทำกิจกรรมเยอะอยู่นะ... :b33:

สุดท้ายหางานไม่ได้....ก็ต้องเรียนต่อจริงๆ.....รู้อย่างนี้ ไม่เรียนให้ได้เกียตรนิยมก็ดี เพื่อนได้ 2 ต้นๆ มันได้งานบริษัท ดีๆ ก่อนเพื่อนเลย..... :b2:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อวบอั๋นขั้นสุดท้าย เขียน:
Onion_L ไม่เสมอไปขอรับ Onion_L

เคยเจอกับตัว....ไม่รับทำงานเพราะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง :b21:
สมัครไปหลายที่ ไม่มีใครเอา เพราะเขาบอกว่าเกรดสวยๆอย่างนี้ มหาวิทยาลัยดีๆอย่างนี้ เสียดายน่าจะเรียนต่อไปเป็น อาจารย์ :b33: :b34:

อยากจะบอกก็เพราะไม่อยากเป็นอาจารย์อะครับ เงินเดือนมันน้อย ไม่พอกิน จะว่าเขากลัวเราจะทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ก็ไม่ใช่ เราก็ทำกิจกรรมเยอะอยู่นะ... :b33:

สุดท้ายหางานไม่ได้....ก็ต้องเรียนต่อจริงๆ.....รู้อย่างนี้ ไม่เรียนให้ได้เกียตรนิยมก็ดี เพื่อนได้ 2 ต้นๆ มันได้งานบริษัท ดีๆ ก่อนเพื่อนเลย..... :b2:



การที่เราไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

ลองคิดในแง่บวกนะ แสดงว่างานนั้นมันไม่ใช่ของเรา

เราพลาดจากจุดนั้น บางที อาจทำให้เราได้เจองานที่เราควรเจอตั้งนานแล้วซะทีนะ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




images33.jpeg
images33.jpeg [ 4.31 KiB | เปิดดู 5357 ครั้ง ]
หวัดดีครับ..ท่านวรานนท์..

ผมอ่านเจอ..เลยนำมาฝากว่าตรงกับชื่อกระทู้...ชีวิตกับการทำงาน

วิธีทำงานอย่างมือโปรที่ไม่น่าเบื่อ และส่งผลกับผลงานของคุณทุกครั้ง

1. รู้จักงานที่ทำอยู่ตรงหน้า
เริ่ม ตั้งแต่รู้จักปรัชญาของบริษัทที่ทำอยู่ตอนนี้เลยว่าคืออะไร จากนั้นก็ซอยย่อยๆ ลงมายังตำแหน่งที่คุณทำอยู่ เพื่อให้มองเห็นภาพกว้างและทำงานไปในทิศทางที่สอดคล้องกันมากที่สุด

2. ประเมินผลงานของตัวคุณเอง (จากมุมของเจ้านาย)
ทำ งานมาถึงตอนนี้แล้วต้องชี้ให้ได้ว่า งานที่คุณทำอยู่ต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง ต้องทำตัวอย่างไรบ้างเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย ฯลฯ จากนั้นก็ลุยประเด็นที่ลิสต์มาว่า ทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน (ย้ำว่าจากมุมของเจ้านาย) แล้วจัดการอุดช่องโหว่เสีย

3. พึ่งตัวเองได้
หัด เป็นพนักงานที่ผลักดันงานของตัวเองให้เดินหน้าไปได้โดยที่ไม่ต้องให้เจ้า นายคอยชี้แนะอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญขายไอเดียอะไรไปก็ต้องทำให้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาไว้ ไม่อย่างนั้นเสียเครดิตแย่

4. สร้างบรรยากาศการทำงานในทางบวก
อย่า เป็นพนักงานที่คอยเม้าท์เจ้านายหรือบริษัทลับหลัง ซึ่งอันที่จริงเม้าท์ไปอาจจะช่วยระบายความคับข้องใจได้บ้าง แต่ทางที่ดีควรเปลี่ยนมาใช้วิธีพูดจาโน้มน้าวให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทีนี้ตัวคุณก็จะอยู่เป็นสุข บริษัทก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย

5. ทำงานให้ได้ตามเป้าของเจ้านาย
การ ที่เราทำงานเสร็จตามเป้านอกจากจะช่วยให้เห็นว่าเจ้านายของเราบริหารลูก ทีมได้ดี ยังพิสูจน์ได้ว่า คุณเป็นคนทำงานดี มีคุณภาพ และตรงต่อเวลา ซึ่งหมายถึงความเป็น “มืออาชีพ” เคล็ดลับที่ควรจำให้ขึ้นใจคือ ตอนนี้งานสำคัญของเจ้านายคืออะไร คุณก็ควรเพ่งความสนใจที่งานนั้นด้วย

6. ผิดเป็นครู
แอ่นอกยอมรับผิดในสิ่งที่ทำพลาดไป เร่งแก้ไข แล้วเก็บสิ่งที่พลั้งพลาดไปเป็นครู ดีกว่าจะมานั่งโทษตัวเองหรือโทษคนรอบข้าง

7. จัดระบบการทำงาน
ก่อน สะบัดก้นออกจากที่ทำงานเพราะได้เวลากลับบ้านแล้ว ให้จัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นของงานที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้นไว้เลยว่า มีอะไรบ้าง (ลิสต์มาอย่างน้อย 2-3 ข้อต่อวัน)

8. ตรงต่อเวลา
ไม่ ว่าจะเวลารูดบัตรหรือตอกบัตร นัดหมาย การประชุม ฯลฯ ก็หมั่นไปให้ตรงเวลาทุกครั้ง และจะดีที่สุดหากคุณมาก่อนเวลาเพื่อเตรียมความพร้อม เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าคุณเป็นคนกระตือรือร้นกับงาน

9. ช่างถามไปก็ไม่ดี
จริงอยู่การเป็นคนช่างซักถามแสดงถึงความใส่ใจ แต่ถ้ามีนิสัยช่างถามกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างนี้นิ่งไว้จะดีกว่า
นึกไว้เสมอว่าคิดก่อนพูด พูดแล้วมีประโยชน์ค่อยพูด และถ้าจะต้องแจ้งปัญหาต่างๆแก่เจ้านาย ควรลิสต์ทางแก้อื่นๆ ไว้เสนอด้วยจะดีมาก

10. หมั่นเติมทักษะและความรู้ให้กับตัวเอง
บางบริษัท มีคอร์สอบรมพิเศษต่างๆ เพื่อเติมความรู้และทักษะให้กับพนักงานไปต่อยอดความคิด ปรับปรุงเนื้องานให้ดีขึ้น หรือแม้แต่กิจกรรมการกุศล เพื่อสังคม ฯลฯ นอกเหนือจากงานก็เถอะ ควรเข้าร่วมหากมีเวลา เพราะจะทำให้คุณกว้างขวางและมีทักษะด้านอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นอีก

11. ติดตามข้อมูลข่าวสาร
ความ เคลื่อนไหวในแวดวงของงานที่ทำ เทรนด์ของโลก หรือเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ เรื่องเหล่านี้คุณสามารถติดตามได้จากสื่อทุกประเภท รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นอยู่เป็นครั้งคราว นอกจากจะทำให้รู้ทันชาวบ้านเขาแล้ว ยังได้ไอเดียใหม่ๆมาขายเจ้านายอีกด้วย

12. เป็นคนไม่เชย
การ เป็นคนทันสมัยทำได้หลายแบบ ตั้งแต่อัพเดทเรื่องเทคโนโลยี ข่าวสารความรู้เรื่องใกล้ตัว ไปจนถึงเรื่องบ้านเมือง แต่แค่รู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องนำมาประยุกต์ใช้ในสังคมการทำงานที่คุณอยู่ให้ได้ด้วย

13. สุภาพนอบน้อม
ทำ ตัวเสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเคารพเจ้านายในฐานะที่เป็นหัวหน้างาน เวลาจะพูดจาทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรเม้าท์เจ้านายในทางเสียหาย เพราะไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณเม้าท์จะถูกขยายต่อไปถึงหูเจ้านายเมื่อไร ถึงตอนนั้นผลลัพธ์ที่ได้คงไม่สวยแน่ๆ

14. หัดยืดหยุ่นไว้บ้าง
ความ เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหลายบริษัทก็ต้องการคนทำงานที่พร้อมจะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือวัฒนธรรมองค์กร

15. ดูแลตัวเอง
ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจอย่าให้บกพร่อง เพราะหากเรามีความสมบูรณ์ในตัวเองก็จะมีเรี่ยวแรงทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ

16. เพื่อนไม่ใช่กระโถน
เรื่อง ส่วนตัวต่างๆ เก็บไว้ที่บ้าน บางครั้งเพื่อร่วมงานก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาที่จะคอยรับฟังคุณทุกเรื่อง ที่สำคัญไม่ควรอาศัยไหว้วานหรือกินแรงเพื่อนบ่อยนัก (แม้เขาจะไม่ว่าอะไร) บางครั้งแม้จะมีงานมาส่งเจ้านาย แต่ถ้าต้องอาศัยจมูกคนอื่นหายใจบ่อยๆ เจ้านายก็คงไม่ปลื้มคุณนักหรอก

17. เต็มที่กับงาน
นอกจากทำงานใน ส่วนของตัวเองให้สมบูรณ์แล้ว บางครั้งการได้งานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาก็เป็นโอกาสดีๆ ที่ท้าทายคุณไม่น้อย อย่าไปคิดว่านั่นไม่ใช่งานในความรับผิดชอบ แล้วมัวแต่ปฏิเสธหัวชนฝา “เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส” น่ะ เคยได้ยินไหม

18. ทำงานเป็นทีม
แสดง ให้เจ้านายเห็นเลยว่า คุณกับเพื่อร่วมงานมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน เวลาที่ใครติดขัดอะไรคุณก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเพื่อให้ถึงเป้าหมายด้วย กันเร็วๆ นี่แหละการทำงานเป็นทีมที่ทุกบริษัทต้องการ

19. พักบ้าง
จริง อยู่ความมุ่งมั่นเป็นเรื่องดี แต่หากถึงขั้นหมกมุ่นก็ทำให้เสียสมองได้เหมือนกัน หาเวลาพักเติมพลังงานหรือมุมมองใหม่ๆให้ชีวิตเป็นเรื่องควรทำ เพราะคนเราไม่ใช่หุ่นยนต์

20. ทำงานเพราะ “มีใจ” และ “มีไฟ”
อย่า ทำไปเพียงเพราะต้องการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหรือมีเงินใช้ไปวันๆ เพราะผลงานที่ออกมาสะท้อนตัวตนและสิ่งที่คุณคิดอยู่ดี แม้บางทีคุณอาจไม่รู้ตัวก็ตาม

งานคือชีวิต งานบันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงานเสมอ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 17:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุกับท่าน บุหลัน..เลื่อนลอย ด้วยครับ

จริง ๆ แล้วท่านมีหลักการดีมากครับ...ไม่เลื่อนลอยเลยครับ


ขอบคุณที่ชี้แนะครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2009, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ขอร่วมทำงานด้วยค่ะ....

คนเราส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักจะไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนอยากจะทำจริง ๆ
แต่กลับต้องทำงานที่ใจไม่รัก ไม่ชอบ ที่ต้องจำใจทำก็เพราะไม่มีทางเลือก
ด้วยเหตุจำเป็นที่จะต้องหารายได้มาเลี้ยงชีวิตและครอบครัว
เพราะขืนมัวแต่เลือกงานเดี๋ยวได้อดตายกันพอดี ก็เลยต้องทนทำงานกันต่อไป
การงานบางอย่างต้องทำซ้ำๆซากๆ จำเจน่าเบื่อหน่าย
การงานบางอย่างก็ช่างดูน่าต่ำต้อย เฮ้อ..จะไม่ทำก็ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีเงินใช้
จะทำอย่างไรดีหนอ..หากท่านพบกับปัญหาทำนองนี้

ลองอ่านเคล็ดลับวิธีทำงานให้สนุก 4 วิธี
ท่านอาจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของท่านได้บ้าง

1. มองให้เห็นคุณค่าของงาน การงานทุกอย่างถ้าไม่ใช่อาชีพทุจริต
ล้วนแต่มีคุณค่าแฝงอยู่ในการงานทั้งนั้น
ดังนั้นขอเพียงแต่คุณรู้จักมองให้เห็นคุณค่าของมัน
แล้วสร้างความประทับใจในงานที่คุณทำอย่างสุดซึ้ง
ความรักความประทับใจในการงานของคุณนี้เอง
ที่จะเป็นพลังใจทำให้คุณสามารถต่อสู้งานที่ยากลำบาก หรือ น่าเบื่อหน่ายต่อไปได้
ย้ำอีกคร้งว่า ขอให้คุณสร้างความภูมิใจในสิ่งที่คุณทำ คือ
มีความมั่นใจในงานที่คุณทำว่าเป็นงานที่มีคุณค่า
ความรักความมั่นใจในสิ่งที่คุณทำนั่นแหละครับ
ที่จะเป็นพลังใจสำคัญทำให้คุณทำงานของคุณอย่างมีความสุข

ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย
คุณก็ควรจะคิดว่าหน้าที่ของคุณนั้นสำคัญที่สุดในโลก คือ ถ้าบริษัทขาดคุณไป
บริษัทก็จะไม่มั่นคงปลอดภัยทันที หรือ ถ้าหากคุณเป็นพนักงานบัญชี
คุณก็ควรจะคิดว่า บริษัทต้องพึ่งพาอาศัยคุณ นี่ถ้าบริษัทไม่มีคุณมาช่วยงาน
บริษัทจะต้องประสบปัญหาเรื่องบัญชีจนวุ่นวายแน่ ๆ
หรือถ้าคุณเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง คุณก็ควรจะคิดว่า การที่ลูกค้าทุก ๆ
คนได้พ้นจากความหิวโหย รอดชีวิตไปได้ในวันนี้
ก็เพราะคุณได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้นั่นเอง (ขืนใครไม่กินข้าวก็ตายสิ)

สรุปคือ มองให้เห็นคุณค่าในงานที่คุณทำอยู่ว่าได้ช่วยเหลือเกื้อผมลต่อใคร
ทำประโยชน์ให้แก่ใครได้บ้าง คิดให้ได้อย่างนี้แล้วสร้างความภูมิใจ
ความมั่นใจในการงานของตนเอง
ชีวิตการทำงานของคุณก็จะมีความสุขมากขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว

2. กระตือรือร้นอยู่เสมอ สร้างอริยาบถของคุณให้มีกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา
ทำให้ติดจนเป็นนิสัย คุณก็จะพลอยมีความกระตือรือร้นในการทำงานไปด้วย
ความรู้สึกกระตือรือร้นนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ครับ
เวลาที่คุณอยู่คนเดียวในห้อง ให้คุณลองทำดูเล่น ๆ ก็ได้ คือ
คุณลองทำโน่นทำนี่อย่างเนือย ๆ เฉื่อยแฉะสัก 5 นาที
จากนั้นให้เปลี่ยนบุคลิกใหม่คราวนี้ลองทำอะไรต่ออะไรด้วยท่าทีกระฉับเฉงว่องไวดูสัก
5 นาที ลองเปรียบเทียบดูสิครับ คุณจะพบว่าความรู้สึกมันต่างกันลิบลับเลยเดียว
คนที่มีความรู้สึกกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรมันก็ดูน่าสนุกไปหมด

ดังนั้นในแต่ละวันหากคุณลองทำตัวให้เป็นคนที่กระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง
สักวันละครึ่งชั่วโมงกับการงานอะไรก็ได้ ให้คุณลองตั้งกติกากับตัวเอง ว่า
คุณจะเป็นคนActive วันละครึ่งชั่วโมง ดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
ในที่สุดคุณจะพบด้วยตัวของคุณเองว่า
ทุก ๆ วันที่คุณฝึกทำงานอย่างว่องไวตื่นตัวอยู่เสมอ
ความกระตือรือร้นของคุณมันจะค่อยๆ ขยายตัวออกไป สู่กิจกรรมอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนในที่สุดมันก็จะกลายเป็นบุคลิกใหม่ของคุณอย่างถาวร
คือเป็นคนทำงานอย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวาด้วยความกระตือรือร้นนั่นเอง

3.ฝึกสมาธิกับการงาน การงานบางอย่างมันก็ดูน่าเบื่อน่าเซ็ง
จริงๆเสียด้วย มันจะไม่น่าเบื่อได้อย่างไร ก็ต้องทำซ้ำ ทำซาก
หาความหมายอะไรไม่ได้เลย ทำไปเบื่อไปเมื่อใดจะเลิกงานเสียที
ถ้าใครคิดอย่างนี้นาน ๆ จะพาลเป็น โรคประสาท เพราะจิตใจไม่มีความสุขกับการทำงาน
ต้องฝืนใจทำไปวัน ๆ

ใครพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ให้ใช้วิธีนี้สิ
คือฉวยโอกาสฝึกสมาธิกับงานเสียเลยเป็นอย่างไร คือได้ทั้งความสงบใจ
และได้ทั้งผลของงาน การทำสมาธิกับการทำงานอาจจะใช้วิธีง่าย ๆ
ด้วยการกำหนดรู้อริยาบถ คือแต่ละขั้นตอนของการเคลื่อนไหวร่างกาย
ให้มีสติติดตามทันไปในทุกอริยาบถ โดยก่อนที่เราจะเริ่มทำงาน
ให้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะไม่คิดอะไรนอกเรื่องนอกราวในขณะทำงาน
แต่จะใช้ความคิดมากำหนดการเคลื่อนไหวทุกอริยาบถ เพื่อให้จิตเกิดเป็นสมาธิ
มันจะได้เกิดความปีติสุขในขณะทำงาน วิธีทำก็ไม่ยาก ลองดูสิ

ยกตัวอย่าง สมมุติว่าคุณต้องประทับตรายางซองจดหมายสองร้อยซอง
ก็ให้คุณกำหนดจิตลงไปแต่ละขั้นตอนของอริยาบถ เช่น " หยิบจดหมาย -
วางซองเข้าที่- จับตรายาง-กดผ้าหมึก-ปั๊มลงไป- เลื่อนซองออก-หยิบ
ซองใหม่-วางซองเข้าที่-จับตรายาง-กดผ้าหมึก ฯลฯ "
ใส่ใจจดจ่อการเคลื่อนไหวทุกๆอริยาบถ พร้อมกับ ใช้ความคิดของคุณกำหนดรู้ลงไป
(พูดในใจตามอริยาบถที่เปลี่ยนไป) เพื่อไม่ปล่อยให้ความคิดลอยหนีไปเรื่องอื่น
เชื่อไหมครับว่า กว่าคุณจะปั๊มซองเสร็จ
บางทีจิตของคุณอาจจะเกิดตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้มีความปีติสุข
ราวกับว่าอยู่บนสรวงสวรรค์เลยก็เป็นได้
สรุปง่าย ๆว่า ถ้าคุณรู้จักทำสมาธิในขณะทำงาน
ก็เหมือนกับว่าคุณได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นในขณะทำงานเลยทีเดียวครับ

4.สนุกกับการทดลองปรับปรุงคุณภาพของงาน
การงานทุกอย่างมีเรื่องท้าทายอยู่ในตัวของมันเองเสมอว่า
คุณจะสามารถปรับปรุงให้มันมีคุณภาพดีขึ้นได้หรือไม่
ดังนั้นในแต่ละวันที่คุณมาทำงาน
คุณอาจสนุกกับการเฟ้นหาปัญหาในที่ทำงานนำมาลองฝึกคิดแก้ไขดู
คิดเสียว่าเป็นการท้าทายสติปัญญาของคุณว่าคุณสามารถจะทำได้หรือไม่ อาทิเช่น
ทำอย่างไรถึงจะประหยัดทรัพยากร ประหยัดเวลา หรือ
ทำอย่างไรผลผลิตจึงจะเพิ่มมากขึ้น หรือ
ทำอย่างไรจึงจะวางแผนงานให้เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน ฯลฯ
ลองทำเรื่องเหล่านี้ให้มันดูน่าสนุก
เหมือนกับเล่นเกมประเภทฝึกสมองลองปัญญาอะไรทำนองนั้น
สรุปคือให้หาเรื่องมาท้าทายสมอง
มองหาปัญหาให้เจอแล้วคิดแก้ไขปรับปรุง ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวัน
การงานมันก็จะไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอนครับ แถมยังฉลาดขึ้นทุกวันอีกต่างหาก

ยกตัวอย่าง สมมุติว่าคุณเป็นพนักงานOffice
วันนี้คุณอาจจะคิดคำนวณดูเล่น ๆ ว่า วัน ๆ หนึ่งเราใช้กระดาษ
แบบไม่ประหยัดไปเท่าใด จะหาวิธีปรับปรุงอย่างไรให้มันประหยัดมากขึ้น
คิดให้มันเป็นตัวเลขออกมาเลยครับ คำนวณดูว่าวันๆหนึ่งใช้เปลืองไปเท่านี้
ถ้าคูณกับหนึ่งปี มันจะเปลืองไปอีกสักเท่าใด อะไรทำนองนั้น พอวันต่อๆ
ไปก็หาเรื่องอื่น ๆ มาคิดท้าทายสมองเล่นอีก เช่น
จัดโต๊ะอย่างไรถึงจะนั่งทำงานไม่เสียสุขภาพ , วางอุปกรณ์ สนง.
อย่างไรถึงจะหยิบก็ง่ายหายก็รู้ , ฯลฯ
ทีนี้พอหมดเรื่องรอบโต๊ะคุณอาจจะไปมองหาปัญหาอื่น ๆ ในบริษัท
มานั่งฝึกสมองเล่นก็ได้ ยิ่งเป็นการดีเสียอีก
เพราะนั่นแสดงว่าคุณกำลังพัฒนาตนเองให้เป็นนักบริหารที่ดีในอนาคต
ทำอย่างนี้ได้ทุกวันรับรองว่า ชีวิตการทำงานของคุณจะต้องพบกับความก้าวหน้าอย่างแน่นอน

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2009, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 19:01
โพสต์: 60

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่บอกว่าการทำงานคือปฏิบัติธรรมนั้นจริงเหรอเปล่าครับ

ผมติดปัญหาหนึ่งคือผมทำงานด้านขายตรง แต่ทำบ้างไม่ทำบ้าง

ไม่กล้าลุยไปโดยตรง เพราะการทำงานด้านนี้ต้องวางแผน
วางเป้าหมาย ไปให้ถึงที่จะทำให้เราหมดปัญหาทางการเงินได้

แต่ผมติดอยู่กับการที่วางเป้าหมายสูง กับกิเลส และการพอกพูนกิเลส

ทำให้สับสน ไม่กล้าตัดสินใจทำอะครับ
ขอคำแนะนำด้วยครับ ถ้าทำ ควรทำไปเรื่อยๆ เอาปัจจุบัน

เหรอว่าทุ่มเท ขายและปรึกษากับอัพไลน์

คืออยากรวยเหมือนกัน ตอนนี้ทำงานประจำรายได้ปานกลาง
ไม่ค่อยมีเงินเก็บกับใครเขา คือเงินชนเดือน

ตอนนี้ไม่ค่อยได้ตามใจกิเลส คือไม่ค่อยได้ไปตามงานของเอเอฟแล้ว

แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่นะครับ

อยากทำบุญ อยากใช้เงินอ่ย่างพอเพียงตามในหลวง
แต่ทำไม่ได้อะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2009, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ขอบคุณครับ :b42:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หนึ่งในกระแสพระราชดำรัส...เมื่อทรงงาน
"ฉันอยากจูงใจคนทำงาน....ด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เงิน..."

วิธีที่ผู้บริหารสามารถนำมาใช้เพื่อจูงใจให้พนักงานรู้สึกพอใจในงาน และสนุกที่จะทำงานมีหลายวิธี
เช่น จูงใจด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เงิน คือ

1.ต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่าหน่วยงานมั่นคง..

2.มีสวัสดิการที่ดี..

3.ให้พนักงานเห็นว่า ทำงานแล้วมีโอกาสก้าวหน้ามีอนาคต มีตำแหน่งที่ดี..

4.มีระบบการให้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม คุ้มกับผลงานนั่น
หมายถึงงานเสี่ยงมากก็ควรจะได้ค่าตอบแทนที่เท่าเทียม

5.มีนายที่ดี ทำงานด้วยแล้วสบายใจ..

6.มีเพื่อนร่วมงานที่ดี..

7.ให้พนักงานมีอำนาจหน้าที่ที่แน่นอนรู้ว่าตนจะทำอะไรได้บ้างและขึ้นกับใคร..

8.เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงาน

9.มีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำงาน เช่นวันเสาร์-อาทิตย์ได้หยุดงาน
หรือหลังจาก 17.00 น. ใครจะไม่ทำงานก็ได้..

10.ให้เขาได้ทำงานที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ

สร้างพฤติกรรมความเป็นผู้นำ
ซึ่งแนวคิดในการสร้างพฤติกรรมความเป็นผู้นำให้กับผู้ร่วมงานทุกคน
โดยผู้บริหารจะมองลูกน้องเสมือนเป็นศูนย์กลาง ของความคิดใหม่ๆ
พวกเขาสามารถรับบทบาทเป็นผู้นำ ในการสร้างสรรค์ความคิดดี ๆ
และรู้จักหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สมาชิกของทีม
ที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้บริหารเท่านั้น

ผู้นำที่ดีจะต้องกระตุ้นลูกน้องให้พัฒนาความสามารถของเขา
และให้รางวัลตอบแทนเมื่อเขาประสบความสำเร็จ
การสร้างพฤติกรรมความเป็นผู้นำ ให้กับพนักงานเป็นแรงบันดาลใจ
ให้พนักงานทุกคนเกิดความคิดสร้างสรรค์มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
ในความสำเร็จขององค์การ ทำให้เขามีความรู้สึกดีๆกับงานที่ทำอยู่
และพร้อมที่จะให้บริการด้วยความเต็มใจ มีความเป็นมิตรและรับผิดชอบในการให้บริการ

การทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน ต้องอาศัยเคล็ดลับ ไม่ยาก ต่อให้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน
คุณก็สามารถทำให้งานต่าง ๆ เสร็จได้ไม่ยากเลย มาดูเคล็ดลับความสำเร็จกันเถอะ

1. เตรียมพร้อม
คือเตรียมรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน จัดลำดับความสำคัญ แล้วทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน..

2. อย่ารับงานมาก
ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ควรตัดสินใจเลือกทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
ให้เสร็จก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป..

3. อย่าหวังว่าทำได้ดีที่สุด
เพราะการทำทุกอย่างให้ดีไม่มีที่ตินั้น ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก
ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญจนกลายเป็นการบริหารเวลาไม่เป็น..

4. รู้จักปฏิเสธ
หากไม่สามารถทำได้ทันเวลาหรือเป็นงานที่เกินกำลัง..

5. อย่าเสียเวลากับกองกระดาษ
ไม่ควรเก็บเอกสารทุกอย่างรวมกันไว้เต็มโต๊ะ เพราะเมื่อต้องการใช้เอกสารสำคัญจะต้อง
เสียเวลานาน ควรจัดทำเป็นแฟ้มเอกสาร เพื่อจะใช้ได้ง่าย..

6. หาคนช่วย
ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถ้าเราเดือดร้อนแล้ว บอกเพื่อน เพื่อนที่ดีจะช่วยเรา
และเขาก็จะพอใจที่เราวางใจเขาให้ช่วย..

7. พักผ่อนบ้าง
เช่น ถ้าเป็นเวลาทำงาน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถ้าเป็นหลังเลิกงานก็หาสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ
เช่นอ่านหนังสือหรือดูหนังฟังเพลง…

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 05 พ.ย. 2009, 14:25, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ทรงงานพร้อมการปฏิบัติธรรมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

พลตำรวจเอกวสิษฐ์ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจประจำราชสำนัก ได้เล่าให้ฟังว่า เวลามีโอกาสเข้าเฝ้าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงรับสั่งเรื่องสมาธิกับพวกท่านเสมอ และเวลามีโอกาสก็จะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกครั้ง ซึ่งท่านก็ยังจำได้และนำวิธีฝึกสมาธิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาฝึก ปฏิบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอ

พระ ราชจริยาวัตร ในการปฏิบัติ สมาธิภาวนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะทรงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังทรงให้ความสนใจศึกษาตลอดเวลา จะเห็นว่าเวลาเสด็จพระราชดำเนินไปไหนก็ตาม มักจะเสด็จเข้าไปในวัด ไปรับสั่งกับพระผู้ใหญ่เป็นเวลานาน ๆ อย่างเช่นกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลางเพล ในสมัยที่ หลวงปู่ ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ทรงศึกษาทั้งสิ้น

การศึกษาสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงศึกษาอย่างละเอียดลออจริง ๆ เท่าที่ท่านจำได้ในสมัยโน้น พระ ผู้ใหญ่ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษา พระองค์จะทรงนิมนต์ให้เข้าไปในวัง ที่เรียกว่า ถวายกรรมฐาน นอกจากที่รู้ ๆ กันอยู่ ก็มีท่าน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมญาณ) พระอาจารย์วัน อุตตโม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นต้น

คำสอนคำถวายกรรมฐานของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พระองค์จะทรงบันทึกเทปไว้ ถ้าคำเทศน์คำสอนใดที่ทรงเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่หัดใหม่ทั้งหลาย พระองค์ท่านมักจะพระราชทานมาให้ ซึ่งข้าราชการบริพารที่ใกล้ชิด มักจะได้รับพระราชทานเทปจากในหลวงเสมอ ท่านจำได้ว่า ที่ได้รับพระราชทานมา ก็มีของ สมเด็จพระสังฆราช ของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นต้น และก็ในทำนองเดียวกัน เวลาพวก พล.ต.อ.วสิษฐ์ฯไปไหนก็มักจะหิ้วเทปไปด้วย ได้พบพระอาจารย์องค์ไหนก็ตาม ต้องขอธรรมะจากท่าน เมื่อท่านสอนก็บันทึกเอาไว้ แล้วก็มาคัดกันดูว่า ม้วนไหน องค์ใดควรถวายพล.ต.อ.วสิษฐ์ฯก็จัดถวาย พล.ต.อ.วสิษฐ์ฯยังจำได้ในสมัยนั้น ท่านอาจารย์ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ยังไม่อาพาธ ครั้งหนึ่งพล.ต.อ.วสิษฐ์ฯ เดินทางกลับจากภูพานลงมาทางอุบลฯ ได้แวะไปกราบท่านพระอาจารย์ชาฯ แล้วก็ได้เทปท่านมา ยาวถึง 40–45 นาที เป็นคำเทศน์โดยตรงที่ท่านให้โดยตรงมา เมื่อได้เทปของ พระอาจารย์ชา มาแล้วได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าอยู่หัว ทรงฟังแล้วรับสั่งว่าเป็นเทปม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง เป็นต้น

เรื่องราวดังกล่าวนั้นเป็นตัวอย่างที่พอชี้ให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยและทรงศึกษา และปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา

พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ได้เล่าต่อไปว่า นอกจากเรื่องที่ทรงศึกษาแล้ว ก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติที่ทรงนำสมาธิเข้ามามีส่วนในการปฏิบัติพระราช กรณียกิจ เพราะเท่าที่สังเกตเห็น พล.ต.อ.วสิษฐ์ฯเล่าว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงศึกษาสมาธิอย่างเดียว แต่ได้ทรงนำ สมาธิมา ใช้ในพระราชกรณียกิจประจำวันด้วย ในเรื่องนี้จะสังเกตเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ที่โดยปกติแล้วอย่างพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่น่าจะทำได้ แต่พระองค์ทรงทำได้ อย่างที่ต้องประทับในที่นั่งเป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกันถึง 2–3 ชั่วโมง จะทรงปฏิบัติได้อย่างไม่น่าเชื่อ คือไม่ทรงมีอาการเหนื่อยหรือง่วงเลยแม้แต่น้อย

ตลอดเวลาที่พลตำรวจเอกวสิษฐ์ เดชกุญชร รับใช้เบื้องยุคลบาทอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 11 ปี 11 เดือน ท่านเล่าว่าไม่เคยเห็นเลยว่า เวลาเสด็จพระราชดำเนินที่ใดแล้วจะทรงแสดงอาการเหนื่อยจนถึงขนาดนั่งหลับ ไม่มีแม้จะเป็นการทรงงานทั้งวันก็ตาม ดังเรื่องที่จำได้และจะเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้

คงจะทราบกันอยู่แล้วว่า เวลาเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เพื่อเยี่ยมเยือนประชาชน พระเจ้าอยู่หัวโปรดทรงขับรถยนต์ด้วยพระองค์เอง ท่านเคยได้ตามเสด็จทั้งในและนอกรถพระที่นั่งมาหลายครั้ง เป็นระยะทางทั้งไกลและใกล้ ถนนเรียบบ้าง ขรุขระบ้าง ลุ่มดอนบ้าง ตามสภาพภูมิประเทศ บางครั้งแม้เสด็จถึงที่หมายแล้วทรงจอดรถพระที่นั่ง และเสด็จฯ ลงไปประกอบพระราชกรณียกิจด้วยความตรากตรำพระวรกาย เช่น พระราชดำเนินเป็นระยะทางไกล และเป็นเวลาหลายชั่วโมง ขากลับนึกว่าจะทรงพักผ่อนพระวรกาย และให้นายสารถีทำหน้าที่ขับรถพระที่นั่งถวาย ก็เปล่ากลับทรงขับด้วยพระองค์เองอีกโดยไม่ทรงแสดงพระอาการเหนื่อยหรือง่วง เจ้าหน้าที่ผู้ตามเสด็จนั้น พอกลับขึ้นไปบนรถ ก็ต้องผลัดกันหลับไปในรถเพราะความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางไกล

หลายปีมาแล้ว ตามเสด็จไปบ้านแม่สา ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ บ้านแม่สานั้น เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็รู้จักเพราะได้กลายเป็น “แม่สาแวลเล่ย์” มีถนนชั้นหนึ่ง เชื่อมกับโลกภายนอก และมีอาคารบ้านเรือน ตลอดจนรีสอร์ท หรือที่พักตากอากาศอันทันสมัยโผล่ขึ้นมามากมาย แต่แม่สาในสมัยที่พล.ต.อ.วสิษฐ์ฯตามเสด็จไปเมื่อ 20 ปี ก่อนโน้น เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา เวลาเสด็จๆ โดย เฮลิคอปเตอร์ ไปลงตรงที่เขาเตรียมไว้ แล้วทรงพระราชดำเนินเดินเท้าไปยังหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ไหล่เขาลูกถัดไปอีก

เมื่อก่อนนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดการบริหารพระวรกายด้วยการวิ่ง ถ้าเป็นที่ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ก็ทรงวิ่งใน ศาลาดุสิดาลัย ครั้งหนึ่ง ๆ เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร เมื่อยังปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจประจำราชสำนักอยู่นั้น พลตำรวจวสิษฐ์ เดชกุญชร เคยตามเสด็จฯ เป็นประจำ เวลาวิ่งสังเกตเห็นทุกครั้งที่ตามเสด็จฯ ว่าพระองค์ทรงก้าวยาวและพระองค์ปล่อยพระอัสสาสะและพระปัสสาสะ (หายใจเข้า–ออก) สม่ำเสมอ ในขณะที่พล.ต.อ.วสิษฐ์ฯตามเสด็จฯ ต้องซอยเท้าถี่ยิบ เพื่อให้ทันและหอบกันอย่างไม่อับอาย

พระราชสมาธิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ท่านเชื่อว่าเป็นเหตุให้ประกอบพระราชกรณียกิจทุกครั้งสำเร็จลุล่วงไปด้วย ความเรียบร้อยสมพระราชประสงค์ และสมความต้องการของทุกฝ่าย แต่ที่ท่านเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เวลามีอุปสรรคขัดข้องในพระราชกรณียกิจไม่ว่าครั้งใด ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงหวั่นไหวหรือสะดุ้งสะเทือน ทรงดำรงพระสติมั่น และพระราชทานคำแนะนำให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องมีกำลังใจและสามารถปัดเป่า อุปสรรคข้อขัดข้องเหล่านั้นได้ดีที่สุด หรือถ้าหากเหลือวิสัยที่จะแก้ไขได้ ก็ไม่ทรงกริ้ว หรือทรงแสดงความไม่พอพระราชหฤทัย แต่กลับทรงแสดงให้ผู้อื่นเห็น และเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้ทุกคนโล่งใจ และมีกำลังใจที่จะอุทิศกำลังกายและกำลังใจถวายต่อไปอีก

การฝึกสมาธิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น มิได้ทรงปฏิบัติแต่พระองค์เดียว หากยังทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำให้ผู้อื่นอย่างถ้วนหน้า ข้าราชสำนัก(รวมทั้งตัวพลตำรวจวสิษฐ์ เดชกุญชรด้วย) ได้รับพระราชทานทั้งหนังสือและเทปคำสอนของครูอาจารย์ที่ทรงเองแล้ว และทรงเห็นว่าแยบคายหรือาจมีประโยชน์อยู่เสมอ เมื่อทรงมีโอกาสก็ทรงพระกรุณาพระราชทานดำริเกี่ยวกับสมาธิให้ข้าราชบริพาร ฟังเป็นครั้งคราว ทำให้ข้าราชบริพาร นายทหารและนายตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ได้เริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เข้าไปรับ หน้าที่นายตำรวจประจำราชสำนัก และยังฝึกติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ผลของพระมหากรุณาธิคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้พระราชฐานที่ประทับ กลายเป็นสำนักวิปัสสนากลาย ๆ การแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับ สมาธิ หรือ กรรมฐาน เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของข้าราชบริพารผู้ใฝ่ธรรม

เวลาเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับต่างจังหวัด งานอดิเรกอย่างหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ผู้ตามเสด็จฯ ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารชอบทำก็คือ เร่ร่อนไปตาม วัด หรือ สำนักสงฆ์ ต่าง ๆ เพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสมาธิจาก พระภิกษุสงฆ์ ในฝ่าย วิปัสสนาธุระ เมื่อการฝึกสมาธิได้กระทำโดยสม่ำเสมอเช่นนั้น ผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติก็คือ “มีสติมั่นคง” สามารถนำเอาสมาธิไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันและการงาน สามารถเผชิญกับอุปสรรคปัญหาข้อขัดข้อง ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น ไม่ตีโพยตีพายหรือเสียสติ

“พระราชสมาธิในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” จึงไม่เพียงแต่จะทำให้พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติลุล่วงไปอย่างเรียบร้อย เท่านั้น แต่อานิสงส์ ทำให้มีผู้ตามเสด็จฯ และทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือธุรกิจอื่นใดสำเร็จลุล่วงไปอย่างเรียบร้อยเช่น เดียวกันด้วย ขนาดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้เหนือหัวสูงสุดของพวกเราชาวไทย พระองค์ยังทรงสนใจในการปฏิบัติธรรม การฝึกอบรมพัฒนาจิตใจด้วยการ ปฏิบัติธรรม จึงนับเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ไม่ควรเพิกเฉยละเลย ธนาคารฯให้โอกาสแก่พนักงาน และบุคคลในครอบครัวอย่างเต็มที่เช่นนี้แล้ว หากเราไม่รับโอกาสที่ดีในชีวิตโดยเร็ว หากหมดโอกาส เพราะหากเราหายใจเข้า แล้วไม่หายใจออก เราก็จะไปไม่กลับ หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี และสูญสิ้นโอกาสที่ดีในชาตินี้อย่างน่าเสียดาย

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




0.jpg
0.jpg [ 28.07 KiB | เปิดดู 5228 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุกับลุงมะตูมและทุกท่านด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

หากจิตใจคิดว่าทำไม่ได้ แค่เอื้อมมือไปหยิบสำลีสักก้อน….ก็ยังยาก

หากจิตใจคิดว่าทำได้แม้งานขุดเขาถมทะเลที่แสนยาก……ก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้

ความสำเร็จของงานขึ้นอยู่กับจิตใจเป็นสำคัญว่า วันนี้จะอยู่อย่างยอมแพ้….หรือ ยืนหยัดสู้

จิตใจที่จะทำงานสู่ความสำเร็จ คือ ต้องมีใจรักและสนุกกับงาน ต้องขยันสู้งานหายใจเป็นงานและทบทวน แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร