ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=27788
หน้า 3 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2009, 18:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

ที่รัก...สร้างศัตรูอีกแระ :b12:

ก็คุณตากลมท่านก็พูดเป็นกลางๆ ทำไมที่รัก...ไปท้าตีท้าต่อยซะล่ะน่ะ :b20:

ไฟล์แนป:
picture-3424.gif
picture-3424.gif [ 29.55 KiB | เปิดดู 4263 ครั้ง ]

เจ้าของ:  kanalove [ 19 ธ.ค. 2009, 18:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

ไม่น่าไปเล่นด้วยเลยแหะ ^^"

เหมือนของมันแรง... พอเล่นแล้วจะโดนไปด้วย

อืมๆ...

เรามาสร้างภาพกันดีกว่า ><
พูดดี คิดดี ทำดี

สร้างภาพมันดีกว่าการสร้างวิบากกรรมเยอะ!!!~

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2009, 18:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

ร้างไม่ได้นานหรอกที่รัก...เพราะขัดนิสัยเรา เดี๋ยวก็หลุดเข้าที่เดิม :b20:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2009, 18:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

แล้วที่ว่า ของแรง คุณเล่นของด้วยหรอ แบบของเขมรป่าว ได้ยินเขาว่าแถวๆจังหวัดชายแดน เช่น สุรินทร์

บุรีรัมย์ เขาว่าของแรง เสกหนังควาย เสกตะปูเข้าท้องได้ คุณน่ากลัวงั้นเลยหรือขอรับ

แบบนี้กรัชกายเห็นต้องขอลา กลัวโดนของแรงๆ :b1:

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 18:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "


สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.

ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่


บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่

หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้

เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถถูปมํ

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่


คำว่า " โลก " ในอรรถกถาหมายถึง อัตตภาพร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งขันธ์ ๕ คือ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันวิจิตร งดงามด้วยเครื่องประดับมีผ้านุ่งห่มเป็นต้น

ส่วนพระมติของสมเด็จพระพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส หทรงอธิบายว่า โลก ในที่นี้

โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย คนเขลาผู้ไม่รู้สัจธรรม

ย่อมหมกมุ่นอยู่กับโลก โดยหลงใหลว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น

ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดรู้เท่าทันในคติของธรรมดาแล้ว จึงไม่ข้องอยู่ในโลก

คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้


เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.

ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร

อาการสำรวมจิตมี ๓ อย่าง


๑. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป

ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ ..

อสุภะ และกายคตาสติ หรืออันยังใจให้สลดคือ มรณสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจรณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์

สันนิษฐานให้เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือ ตัณหา

ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียดเป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร

เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน

วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร ..

เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร

บ่วงแห่งมารนี้ ผู้ที่สำรวมระวังจิตด้วยวิธีทั้ง ๓ วิธีดังกล่าวแล้ว

จึงจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้


คำว่า พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?

พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจรณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ

ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก

เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลกมีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย

เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกียวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว

ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ

ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต

สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ





ไม่ไปคิดแทนใครๆทั้งสิ้น มันคือ วิบากกรรมของแต่ละคนที่เคยกระทำร่วมกันมา
คนบางคนก็มีวิบากกรรมที่ยากจะไปช่วยอะไรเขาด้วย หากคนๆนั้นไม่รู้จักการเจริญสติ
สิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้ด้วยการเจริญสติ

ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง เราไม่ควรจะไปว่าใครๆเขา
ผู้ที่มีสติ สัมปชัญญะ จะไม่มีไปว่าใคร
เพราะเขาเข้าใจถึงเหตุที่กระทำ และผลที่ได้รับ
ฉะนั้น ... เหตุอันเป็นก่อให้เกิดอกุศลเขาจึงไม่สร้างมันขึ้นมา

การที่เราว่าเขาเท่ากับเรานั้นว่าตัวเอง
การพูดจะเกิดได้จากการคิด
ถ้าไม่คิดจะพูดออกมาไม่ได้
ทุกอย่างมันมีเหตุ ผลของมันจบไปแล้ว เรื่องมันจบลงไปแล้ว

แต่คนที่อยู่ต่างหาก กำลังสร้างเหตุใหม่กัน .... นี่แหละผลของความไม่รู้ ความประมาท
อย่าประมาท 1 คำพูด ถ้าพูดผิดล้วนก่อให้เกิดวจีกรรมและกลายเป็นกรรมส่งผลให้ผู้กระทำ

ตราบใดที่ยังส่งจิตออกนอก วิ่งส่ายหาแต่กิเลสชาวบ้าน
ตราบนั้น ย่อมไม่มีวันจะเห็นกิเลสที่มีอยู่ในใจของตัวเอง
ภพชาติจึงเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความไม่รู้ จึงทำให้ก่อเหตุใหม่ที่เป็นอกุศลจิตขึ้นไปเรื่อยๆ
อยู่ก็ร้อน นอนก็ทุกข์ ใครทำให้ล่ะ ล้วนเกิดจากเหตุที่กระทำไว้กันเองทั้งนั้น
ไม่มีใครทำให้เลยนะ ตัวเองทำกันเองทั้งนั้น

เวลาเกิดผลที่ต้องรับ โวยวายแล้ว ว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้
พิจรณาสิ เหตุเกิดขึ้นเพราะใครล่ะ
เราทุกรูปทุกนาม ล้วนเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน ผลเลยเป็นเช่นนี้
ใครที่รู้แล้ว คนนั้นย่อมหยุดเหตุใหม่ที่จะก่อให้เกิดขึ้นมาได้
เขาจบแค่นั้น และเขาก็รับผลจากการกระทำของเขาแค่นั้น
แต่ผู้ที่ไม่รู้ ยังขยันสร้างก่อใหตุใหม่ไม่รู้จักจบสิ้น
ก็เวียนว่ายต่อไปนะ ..... กองกิเลส .....

สติปัฏฐาน 4 ทางสายเอกมีให้เดิน ใยจึงไม่รู้จักพิจรณา
ทำไมยิ่งปฏิบัติ จิตยิ่งตกต่ำ มีแต่คอยคิดละเมิดผู้อื่นเพราะเหตุใด
ทุกอย่างมันมีเหตุนะ ควรพิจรณา ไม่ใช่สักแต่ว่าบอกว่า เจริญสติ
แต่ขาดเมตตา เมตตาที่จะรู้จักให้อภัย ให้การอโหสิกรรมต่อผู้อื่นนั้นไม่มี
มีแต่โทสะ แฝงไปด้วยความพยาบาท ไม่รู้จักปล่อยวาง




ไฟล์แนป:
1136648235.jpg
1136648235.jpg [ 61.28 KiB | เปิดดู 4420 ครั้ง ]

เจ้าของ:  kanalove [ 19 ธ.ค. 2009, 19:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

คะ.... เราทดลองเสร็จแล้วคะ ^^"

เป็นความจริงทุกประการ.. คิดว่าต่อไปจะไม่พูดไม่ดีอีกแล้วคะ
(นอกจากคนที่มองเห็นว่าพอช่วยได้จริงๆ)

เจ้าของ:  chulapinan [ 19 ธ.ค. 2009, 19:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

มองการตายจากเป็นธรรสดาสิคะ เพราะมันเป็นธรรมดาจริงๆ เป็นการที่จิตออกจากร่างนึงไปสู่อีกร่างนึง รับรองว่าถ้าคุณทำบุญร่วมหรือทำบาปกันมา คุณต้องเจอกันอีก จิตของคุณจะจำได้ อารมณ์ชอบแต่แรกเริ่ม อารมณ์เกลียดแต่แรกเริ่มเป็นตัวบอกได้ดีค่ะ

จุฬาภินันท์ว่าคุณเองก็ปลงได้เยอะนะคะ (อ่านจากคำเขียนน่ะค่ะ) เรื่องนี้เป็นเรื่องดี

เชื่อมั้ยคะ จุฬาภินันท์กำลังจะตาย แต่จุฬาภินันท์ไม่คิดเสียดาย ห่วงพ่อห่วงแม่ แน่นอนที่สุด แต่จุฬาภินันท์มองความตายเป็นธรรมดา คนปลงไม่ได้คือพ่อแม่ แต่แล้ววันนึงก็ต้องปลงให้ได้เพราะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

สิ่งที่จุฬาภินันท์จะทำคือ ขอตัดท่านให้ได้ ด้วยไม่ต้องการมีกรรมกับใครทั้งสิ้น เพราะจุดหมายอยู่ที่การได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะึ่ค่ะ การจะเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น เงื่อนไขมีสามอย่างค่ะ หมดกรรมกับทุกสิ่ง บุญถึง และกิเลสหมด จุฬาภินันท์กำลังไต่เต้าค่ะ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2009, 19:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

พร่ำสติปัฏฐาน แต่ก็เป็นสติปัฏฐานผสมไสยศาสตร์ :b1:

ไฟล์แนป:
559802.gif
559802.gif [ 57.14 KiB | เปิดดู 4174 ครั้ง ]

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 19:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "


พฤติกรรมทางจิตที่ถูกต้องคือ " สละออก " ซึ่งอาการเป็นมนุษย์
ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากเคยชิน
ที่จะเอา " เข้าตัว " กันทั้งนั้น ซึ่งนั่นแหละ
คือการชำนิสัยหวงทุกข์ หวงยางเหนียว
ยึดติดกับปฏิกูลทางอารมณ์โดยแท้



ทำดี ดีส่ง ให้เห็นผล
ทำชั่ว ชั่วก็ดล ชั่วให้
ชั่ว ดี ดุจ บาป บุญ ตีบอก ไว้นา
ใครชั่ว ใครดีไซร้ สืบได้ ด้วยกรรม

มวลมนุษย์ ในโลกนี้ .....
เกิดมา ต่างมี ผลกรรม ประจำตน
ไพร่ผู้ดี มีหรือจน มนุษย์ปถุชน
ไม่อาจ หลุดพ้น ด้วยตัณหา

คอยเบียดเบียน ต่อกัน เรื่อยมา
ใช้เล่ห์ ต่างๆนาๆ ไม่นำพา ผลกรรมความดี

มนุษย์เอย .....
อย่าเห็นกงจักร เป็น ดอกบัว
กลัวเวรกรรม กันเถิดหนา
แผ่ความเมตตา ให้กัน ด้วยไมตรี

โปรดได้คิด ....
ชีวิตคน ไม่เห็นใคร จะพ้นหลีก
ไม่พ้น เป็นผี

ควรเร่งคิด สร้างสรรค์ สิ่งดี
เพิ่มบุญ เพิ่มบารมี
เพราะความดี เหมือนเงา ติดตามติดตัว

รอยโค รอยเกวียน ....
วงเวียน แห่งกรรม
ดี - ชั่ว ตัวเราทำ
เป็นกฏแห่งกรรม ของปถุชน


เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2009, 19:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

ดูๆ แล้วเหมือนคนแก่ขี้บ่น

ไฟล์แนป:
18_1222133510.gif
18_1222133510.gif [ 13.24 KiB | เปิดดู 4160 ครั้ง ]

เจ้าของ:  walaiporn [ 19 ธ.ค. 2009, 20:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "


ติสฺโส อิมา ภิกฺขเว วิปตฺติโย, กตมา ติสฺโส กมฺมนฺตวิปตฺติ อาชีววิปตฺติ

ดูกรท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย วิบัติมีอยู่ ๓ ประการดังนี้คือ

๑. กมฺมนฺตวิปฺติ วิบัติเพราะการกระทำ

๒. อาชีววิปฺติ วิบัติเพราะอาชีพ

๓. ทิฏฺฐิวิปฺติ วิบัติเพราะทิฏฐิ



พระบรมศาสดาจารย์เจ้า ทรงตั้งชัยภูมิไว้ในธรรมข้อไหน? เมื่อพิจรณาปัญหานี้ ได้ความขึ้นว่า

พระองค์ทรงตั้งมหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัยมุ่งหมายชัยชนะ
จำต้องหาชัยภูมิ

ย่อมสามารถป้องกันอาวุธของข้าศึกได้ดี ณ ที่นั้นสามารถรวบรวมกำลังใหญ่ เข้าฆ่าฟันข้าศึกให้ปราชัย
พ่ายแพ้ไปได้ ที่เช่นนั้นจึงเรียกว่าชัยภูมิ คือที่ที่ประกอบไปด้วยค่ายคูประตูหอรบอันมั่นคงฉันใด .....

อุปมัยในธรรมฉันนั้น ที่เอามหาสติปัฏฐานเป็นชัยภูมิ โดยผู้ที่จะเข้าสู่สงครามรบคือกิเลส ต้องพิจรณา

กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นต้นก่อน เพราะคนเราที่เกิดกามราคะเป็นต้น ก็เกิดที่กาย
เพราะตาแลไปเห็นกาย

ทำให้ใจกำเริบ เหตุนั้นได้ความว่า กายเป็นเครื่องก่อเหตุ จึงต้องพิจรณาที่กายนี้ก่อน
จะได้เป็นเครื่องดับนิวรณ์

ทำใจให้สงบได้ ณ ที่นี้ พึงทำให้มาก เจริญให้มาก คือพิจรณาไม่ต้องถอยเลยทีเดียว
ในเมื่ออุคคหนิมิตปรากฏ

จะปรากฏส่วนไหนก็ตาม ให้พึงถือเอากายส่วนที่ได้เห็นนั้นพิจรณาให้เป็นหลักไว้
ไม่ต้องย้ายไปพิจรณาที่อื่น จะคิดว่าที่นี่เราเห็นแล้ว ที่อื่นยังไม่เห็น ก็ต้องพิจรณที่อื่นสิ
เช่นนี้หาควรไม่ ถึงแม้จะพิจรณาจนแยกกายออกมา เป็นส่วนๆ ทุกๆอาการ อันเป็นธาตุดิน
น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างละเอียด ที่เรียกว่าปฏิภาคก็ตาม ก็ต้องพิจรณากาย

ที่เราเห็นที่แรกด้วยอุคคหนิมิตนั้นจนชำนาญ ที่จะชำนาญได้ก็ต้องพิจรณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ณ ที่นั้น
ที่เดียวเอง เหมือนสวดมนต์ฉะนั้น อันการสวดมนต์ เมื่อเราท่องสูตรนี้ได้แล้วทิ้งเสีย
ไม่เล่าไม่สวดไว้อีกก็จะลืมเสีย ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ทำให้ชำนาญด้วยความประมาท
ฉันใด การพิจรณากายก็ฉันนั้น

เหมือนกัน เมื่อได้อุคคหนิมิตในที่ใดแล้ว ไม่พิจรณาในที่นั้นให้มาก ปล่อยทิ้งเสียด้วยความประมาท

ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรสักอย่างเดียว การพิจรรากายนี้มีที่อ้างมาก ดังในการบวชทุกวันนี้ เบื้องต้น

ต้องบอกกรรมฐาน 5 คือกายนี้เอง ก่อนอื่นหมด เพราะเป็นของสำคัญ ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์พระธรรมบท

ขุททกนิกาย ว่า อาจารย์ผู้ไม่ฉลาด ไม่บอกซึ่งการพิจรณากาย อาจทำลายอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์

ของกุลบุตรได้ เพราะฉะนั้นในทุกวันนี้จึงต้องบอกกรรมฐาน 5 ก่อน อีกแห่งหนึ่งท่านกล่าวว่า

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย เชื่อว่าจะไม่มีการกำหนดกายในส่วนแห่งโกฏฐาสใด

( การพิจรณาแยกกายออกเป็นส่วนๆ ) โกฏฐาสหนึ่งมิได้มีเลย จึงตรัสแก่พระภิกษุ 500 รูป

ผู้กล่าวถึงแผ่นดิน ว่าบ้านโน้นบ้านนี้มีดินดำดินแดงเป็นต้นนั้นว่า นั้นชื่อว่า พหิธทา .....

แผ่นดินภายนอกให้พวกท่านทั้งหลาย มาพิจรณาอัชฌัตติกา ... แผ่นดินภายใน กล่าวคือ

อัตภาพร่างกายนี้ ให้พิจรณาไตร่ตรองให้แยบคาย กระทำให้แจ้ง แทงให้ตลอด

เมื่อจบวิสัชนาปัญหานี้ ภิกษุทั้ง 500 รูปก็บรรลุพระอรหัตผล เหตุนั้นการพิจรรากายนี้ จึงต้องเป็น

ของสำคัญ ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ทั้งหมดล้วนแต่ต้องพิจรณากายนี้ทั้งสิ้น จะรวบรวมกำลังใหญ่ได้

ต้องรวบรวมด้วยการพิจรณากาย แม้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทีแรก ก็ทรงพิจรณาลม ลมจะไม่ใช่กายอย่างไร?

เราะฉะนั้นมหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนาเป็นต้น จึงชื่อว่า ชัยภูมิ เมื่อเราได้ชัยภูมิดีแล้ว กล่าวคือ

ปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานจนชำนาญแล้ว ก็จงพิจรณาความเป็นจริงตามสภาพแห่งธาตุทั้งหลาย


จากหนังสือมุตโตทัย หลวงปู่มั่น

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 19 ธ.ค. 2009, 20:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

พระอรหันต์ตามตัวหนังสือยกไว้ก่อน :b1:

มีคำถามช่วยกันตอบ

หากไปแนะนำให้เขาภาวนานามรูป จนเขาเกิดอาการแบบนี้ จะเอาหนังสือเล่มไหนให้เขาอ่าน




ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนา แนวทางท่านอาจารย์... คือ นั่งดูลมหายใจเข้าออก เฉยๆ

ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา 10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ

วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกาย ทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะ เหมือนมีเข็ม

เป็นร้อยๆเล่มอยู่ในหัว

บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์ แต่ไม่มีอะไร

ผิดปรกติ อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่ง

อยู่ตลอดเวลา เป็นที่ทรมานมาก

ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน

บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่า รู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอดเวลา24ชั่วโมง ทั้งหลับ

ทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้งไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา

อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา

เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่า

ผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย

ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

เจ้าของ:  ตากลม [ 19 ธ.ค. 2009, 23:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

ตัวอย่างที่คุณกรัชกาย กล่าวมานั้น น่าจะให้เจ้าตัว กลับไปขอคำแนะนำที่สำนักเดิมนะครับ อาจมีคนเคยพบปัญหานี้มาก่อนแล้ว สำนักนี้ผมมีเพื่อนรุ่นน้องไปฝึกมาหลายคน ส่วนใหญ่จะประทับใจในเบื้องต้น แต่ในระยะกลาง และ ระยะยาว ยังไม่ทราบเหมือนกัน

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 20 ธ.ค. 2009, 01:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เพื่อนของฉัน " ปลายฟ้า "

งานเข้าแล้วนะครับ คุณน้ำ สู้ๆ ครับ :b12: :b1: :b8:

หน้า 3 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/