ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

อยากสุขต้องรู้จักวาง (ทิฐิ)
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=28783
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 19 ม.ค. 2010, 10:00 ]
หัวข้อกระทู้:  อยากสุขต้องรู้จักวาง (ทิฐิ)

รูปภาพ


บ้านเมืองของเรายามนี้ยอมรับว่ามีปัญหา คนไทยไม่ค่อยมีความสุข
เพราะมีการแบ่งสีแบ่งฝ่าย มีการใช้อารมณ์มากกว่าใช้ปัญญา


ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น คอยตั้งท่าปฏิเสธไม่ยอมรับอีกฝ่ายตลอด
ทุกวันนี้ปัญหานี้ไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขได้
จนกลายเป็นเชื้อโรคที่คอยกัดกินใจ คนไทย ณ เวลานี้


ลดทิฐิหันหน้ามาคุยกัน

พระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวว่า
วิธีที่ง่ายที่สุดคือต้องหันหน้ามาคุย
ปรึกษากันว่าจะสมานแผลรอยรั่วนั้นร่วมกันอย่างไร
แต่ว่าต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องยาก
เพราะทุกฝ่ายไม่ยอมลงมาคุยเจรจากัน เพราะ กลัวเสียหน้าและศักดิ์ศรี
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนตัว
“หากเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ประเทศชาติและประชาชนต้องมาก่อน
ไม่ใช่หน้าเราหรือหน้าใครมาก่อน เพราะประเทศชาติสำคัญกว่าหน้าทุกคน”


ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวว่า
ตอนนี้ไม่มีทางอื่นใด คนไทยต้องหันหน้ามาคุยกัน
เพราะถ้าไม่รีบคุยก็ถือว่าจบ
เพราะต้องไม่ลืมว่ากว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะรู้ว่าแพ้ชนะ
ถึงวันนั้นประเทศชาติก็พังพินาศแล้ว


“ทำไมไม่ดูประเทศเขมรฆ่ากันตายกี่ล้าน
ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น
แต่ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
ประเทศไทยก็มีสิทธิที่จะเป็นเหมือนเขมร และอาจจะยิ่งกว่าเขมรด้วยซ้ำ”


พระศรีญาณโสภณ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้คนไทยต้องแตกแยกกันขนาดนี้
เพราะมีความอิจฉาริษยา คิดว่าตนแน่ มากด้วยมิจฉาทิฐิ
ความเห็นผิด ไม่ยอมกัน
คิดว่าการยอมคือการเสียหน้า การยอมคือการเสียศักดิ์ศรี



คนไทยไม่ช่วยอุดรอยรั่ว


ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวว่า
หากเปรียบประเทศไทยในตอนนี้ก็เหมือนเรือขนาดใหญ่ที่กำลังแล่นออกไปกลางทะเล
แล้วถูกพายุแรงและคลื่นสูงซัดกระหน่ำจนเรือทะลุเป็นรู
พอเรือทะลุคนในเรือถ้าเปรียบคือคนไทยที่อยู่กันคนละสีละฝ่าย
แทนที่จะช่วยกันหาวิธีอุดรูรั่วเรือเพื่อไม่ให้น้ำเข้า
แต่กลับชี้หน้าอีกฝ่ายว่าเป็นคนทำเรือรั่ว
ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ปัดความรับผิดชอบ


“ฉะนั้น รูรั่วเมื่อถูกคลื่นแรงๆ กระแทกบ่อยๆ
รูเล็กก็กลายเป็นรูใหญ่ และในที่สุดไม่มีใครคาดคิดว่า
เรือที่มีคนอยู่เป็นล้านๆ คนจะอับปางลง
คนทั้งหมดจมน้ำตาย ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว”



พระศรีญาณโสภณ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าบ้านเมืองของเราตอนนี้
ไม่มีบรรยากาศของการที่จะสร้างความสมัคร สมานสามัคคี
เพราะเหตุที่ทุกคนนึกถึงตัวเองเป็นหลัก ไม่ใช่นึกถึงชาติบ้านเมืองเป็นหลัก
เพราะถ้านึกถึงชาติบ้านเมืองทุกคนจะไม่เป็นอย่างนี้
แม้จะอยู่สีไหนฝ่ายไหนก็ตาม


ใช้ 4 ร. สร้างความสุข


ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวว่า
ขอฝากธรรมะ 4 ข้อ คือ ความรัก ความรู้ ความเร็ว และความร้อน

ให้คนไทยได้นำไปคิดพิจารณาและนำไปใช้
เพื่อที่จะทำให้สภาพทุกอย่างได้กลับคืนมาเป็นปกติ
คือ คนไทยกลับมารักกัน สามัคคีปรองดองกัน
แต่ทุกวันนี้คนไทยขาดความรักกัน ขาดความรู้ในเรื่องส่วนรวม
และขับเคลื่อนชีวิตด้วยความเร็วและความร้อนมากเกินไป


ทั้งนี้ ท่านได้อธิบายธรรมะ 4 ร. ว่า
สำหรับ ความรักนั้น คนไทยทุกวันนี้รักกันก็จริง แต่ลืมรักแผ่นดินถิ่นเกิด
รักกันแต่บนผลประโยชน์ของตนพวกตน
และไม่เคยคืนกำไรให้แผ่นดิน มีแต่ทำกำไรจากแผ่นดิน



ส่วนความรู้ คือ ต้องรู้หน้าที่ของตนที่จะทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ประเทศชาติ

“ไม่คิดหาความรู้ประเภททำกำไรให้บริษัทของตนอย่างเดียว
เช่น ชาวนาทำนาขายข้าวมากที่สุด แต่ก็ยังจนที่สุด
ต่างจากเจ้าของโรงสี พ่อค้าคนกลางทำไมรวยอยู่คนเดียว
นั่นแสดงว่าพ่อค้าคนกลาง เจ้าของโรงสี มีความรู้
แต่เป็นความรู้ที่จะทำประโยชน์ให้ตนอย่างเดียว อย่างนี้ถือว่าอันตรายมาก”


ความเร็ว ท่านอธิบายว่า คนไทยชอบทำอะไรเร็วๆ
คือ ทำแล้วต้องการเห็นผลเร็ว ไม่ทำอะไรที่เห็นผลช้า
เพราะคนไทยเป็นคนอดทนไม่ค่อยได้
จึงไม่ชอบเริ่มต้นจากการศึกษาเป็นขั้นๆ ไป
อย่างต้นไม้ก็ต้องขุดมาเป็นต้นๆ แล้วมาปลูก ใช้ขาหยั่งค้ำยันไว้



ส่วนความร้อน ท่านอธิบายว่า หมายถึงความร้อนทั้งภายในและภายนอก
ซึ่งความร้อนภายนอกคนไทยจะต้องช่วยกันอย่าทำให้โลกร้อนเพิ่มขึ้น
อะไรที่ช่วยโลกได้ก็ควรทำ เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก เป็นต้น
ส่วนความร้อนภายในคือในใจ พยายามดูแลอย่าให้ร้อน
ซึ่งเมื่อรู้สึกว่าร้อนต้องพยายามทำให้เย็นลงให้ได้



“อยากให้คนไทยขับเคลื่อนชีวิตของตนด้วยความพอดีพองาม
และด้วยความระมัดระวัง อย่าขับเคลื่อนด้วยความร้อน อารมณ์ร้อน
และความหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด”


เข้าสู่ปีใหม่มาแล้ว อยากให้คนไทยมีความสุข
ปัญหาที่มีอยู่ก็ขอให้ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องถูกวิธี
และวิธีที่ดีก็น่าจะเป็นการหันหน้าพูดคุยกัน
ทุกฝ่ายต้องลดทิฐิลงและยินดีที่จะเข้ามาคุยกัน
หากทำได้ความสุขก็จะกลับมาสู่คนไทยอีกครั้ง



รายงานโดย :วรธาร ทัดแก้ว:
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553
ที่มา...โพสต์ ทูเดย์


:b48: :b8: :b48:

เจ้าของ:  คนเดินทาง [ 19 ม.ค. 2010, 15:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากสุขต้องรู้จักวาง (ทิฐิ)

ขออนุโมทนากับบทความดีๆ นี้ค่ะ
และจะ print ไปติดบอร์ด ให้ได้อ่านกันหลาย ๆ คนด้วย
เพราะใน office ที่ทำงาน ก็มีคนที่เมิน "รู้รัก สามัคคี"
เผื่ออ่านบทความนี้ เค้าอาจเปลี่ยนใจ อิอิ :b4:

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 19 ม.ค. 2010, 21:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากสุขต้องรู้จักวาง (ทิฐิ)

:b8: :b8: :b8:

ขออนุโมทนากับบทความดี ๆ ด้วยครับคุณลูกโป่ง


:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  เจ้านาง [ 19 ม.ค. 2010, 23:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากสุขต้องรู้จักวาง (ทิฐิ)

:b27: :b27: :b27: :b27: :b27: :b27: :b27: :b27: :b27:

เจ้าของ:  น้องพลอย [ 08 มิ.ย. 2019, 10:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อยากสุขต้องรู้จักวาง (ทิฐิ)

:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/