วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คาร์ล ทอมป์สัน ฝรั่งหัวใจพุทธ

โพดผลจากการที่พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เมืองไครสต์เซิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ นอกจากคนไทยที่อยู่เมืองนั้นจะได้เรียนรู้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ชาวต่างชาติก็ยังได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย

และหนึ่งในนั้นคือ คาร์ล ทอมป์สัน เด็กหนุ่มที่สนใจธรรมะและการปฏิบัติสมาธิ ถึงขนาดเดินทางติดตามพระอาจารย์นวลจันทร์กลับเมืองไทย เพื่อจะได้สัมผัสดินแดนที่เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธศาสนาเติบโต ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เส้นทางธรรมอย่างเต็มตัว

“เขาเคยตายมาแล้วนะ” พระอาจารย์นวลจันทร์ เอ่ยถึงลูกศิษย์คนใหม่

ประโยคนี้ทำให้หลายคนสนใจอยากรู้เรื่องราวของเขาขึ้นมาทันที จากการพูดคุยกันทำให้เราทราบว่าคาร์ล ทอมป์สัน เด็กหนุ่มท่าทางสุภาพเรียบร้อยคนนี้เป็นชาวเมืองไครสต์เซิร์ช เขาเริ่มศึกษาและฝึกสมาธิด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นวิถีของพระภิกษุไทย เขาเกิดความคิดว่า นี่แหละ คือเส้นทางที่เขาต้องการเลือกเดิน เมื่อเราถามว่า ทำไมเขาถึงสนใจและเลือกที่จะเดินบนเส้นทางของพระพุทธศาสนา คาร์ลจึงได้อธิบายถึงที่มาและสิ่งที่เป็นไปในชีวิตของเขาให้ฟัง

ชีวิตและเส้นทางของการปฏิบัติ

ผมเริ่มฝึกสมาธิด้วยตัวเองตอนอายุสิบสอง เพราะความคิดในหัวของผมมันแล่นรวดเร็วมาก ผมสามารถคิดสองเรื่องได้ในเวลาเดียวกัน จริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะแม่ของผมก็เป็นเหมือนกัน เธอเป็นคนฉลาดมาก ปกติคนทั่วไปมีไอคิวหนึ่งร้อย แต่แม่ของผมอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบ ซึ่งไม่ดีเลย เหมือนเธอยู่คนละโลกกับพวกเรา เธอไม่สามารถคุยกับใครที่ไอคิวต่ำกว่าเธอได้

แม่ของผมเป็นฮินดูมาสิบหกปี ก่อนหน้านั้นท่านเคยเป็นแม่ชีมาสิบสี่ปี ท่านฆ่าตัวตายเมื่อปี 2547 เพราะสมองที่แล่นเร็วเกินไป ทำให้ท่านควบคุมมันไม่ได้ พ่อของผมตอนนี้อาศัยอยู่ในไร่ ผมแยกมาอยู่ในเมืองตั้งแต่อายุสิบแปด ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง

แม้สมองของผมจะเหมือนแม่ แต่ผมคุยเก่งกว่า ผมสามารถคุยกับใครก็ได้ เรื่องอะไรก็ได้ และด้วยความที่มีสมองแบบนี้ ผมจึงเป็นคนนอนไม่หลับตั้งแต่เด็ก ผมต้องใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงถึงจะหลับได้ที่ผมเริ่มฝึกสมาธิก็เพื่อให้จิตใจสงบลง

ตอนนี้ผมเรียนจบด้านการศึกษาสาขาปรัชญาและศิลปะ เวลาทำงานศิลปะผมจะมีสมาธิมากขึ้น ผมเคยลองทำอะไรมาหลายอย่าง เคยเป็นทหารอยู่สองเดือน เคยเดินทางไปทวีปแอนตาร์กติกา ออกทะเลลึกกับเรือหาปลา เป็นชีวิตที่ยากลำบากนะ แต่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ช่วยทำให้ผมมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนและถูกต้องมากขึ้น

หลังจากนี้ผมจะไปบวชที่ออสเตรเลีย อันที่จริงผมไม่ได้ต้องการที่จะนุ่งห่มแบบพระหรอก เพราะผมก็เหมือนเป็นอยู่แล้วในตอนนี้ ที่ผ่านมาผมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับใคร ไม่ได้ดื่มเหล้า หรือแสวงหาความบันเทิงใดๆ มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ผมได้เลือกแล้ว

บทเรียนแรกจากพระภิกษุสงฆ์

ครั้งแรกที่ผมได้ฝึกสมาธิในแนวทางของพุทธ ตอนนั้นผมอายุสิบแปด วันหนึ่งมีพระภิกษุประมาณห้าหกรูปมาที่บ้าน ผมเปิดประตูรับ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้ธรรมะและได้ร่วมฝึกสมาธิกับพระภิกษุ ท่านสอนว่า ธรรมะคือทุกสิ่ง ปรากฏการณ์ทั้งหมดล้วนแต่เป็นธรรม และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มวิเคราะห์สิ่งต่างๆ

ที่จริงตอนอายุสักห้าหกขวบ ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ธรรมชาติของทุกสิ่งล้วนแต่ไม่มีตัวตน เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และไม่ยั่งยืน (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) นี่คือเหตุแห่งความทุกข์ คนส่วนใหญ่คิดว่าเรื่องนี้เข้าใจง่าย แต่ที่จริงแล้วไม่เลย บทเรียนนี้บอกถึงความจริงและสัจธรรมของธรรมชาติ มันเป็นนามธรรม เป็นต้นว่า เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าโต๊ะ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นไม้ต่างหาก แต่มันก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน เพราะเราต่างหากไปเรียกมันว่าไม้ ดังนั้นทุกอย่างไม่มีโครงสร้าง ไม่มีวัตถุแก่นสาร เพราะแม้มันจะเหมือนต้นไม้แต่มันก็ไม่ใช่ เราเรียกมันว่าต้นไม้ แต่ที่จริงมันไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นของมันอย่างนี้ สิ่งนี้คืออะไร สิ่งที่ผมเพิ่งนั่งทับลงไป อะไรคือสิ่งที่มีอยู่จริง องค์ประกอบหรือ จิตสำนึกหรือ ไม่มีอะไรอื่นเลย นอกจากความสุข ความทุกข์ และผลของกรรม

จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วผมจึงคิดว่า น่าจะดี ถ้าได้ศึกษาธรรมจากพระภิกษุจริงๆ เสียที ผมอ่านหนังสือมามาก แต่ไม่มีเล่มไหนพูดเรื่องการปฏิบัติ แล้วใคร่ล่ะที่จะรู้เรื่องดีไปกว่าพระภิกษุ หลังจากศึกษาพระไตรปิฎกมาหลายปี ผมเลยเที่ยวตามหาพระภิกษุ จนในที่สุดผมก็มาพบกับพระอาจารย์นวลจันทร์ ซึ่งหากจะมองแบบธรรมะ ก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะผลของกรรมกระมัง

เป้าหมายของชีวิต

คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตทางโลก เป้าหมายของเขาอาจจะอยู่ที่เงินหรือความสำเร็จ แต่สำหรับผม ชื่อเสียงและโชคลาภ อาจนำคนดีๆไปสู่ทางเสื่อมได้โดยง่าย ผมมีความรู้สึกว่าร่ำรวยกว่าทุกคน หลังจากที่ผมได้เดินทางมาพบที่นี่ คนอื่นๆ ไม่ได้ร่ำรวยหรอก การใช้ชีวิตของพวกเขาแตกต่างจากผมมาก พวกเขาชอบคิดว่ามีพร้อมทุกสิ่ง แต่จริงๆ แล้วเขาไม่มีอะไรเลย ผมได้รู้จักกับผู้คนมากมายที่ทั้งฉลาดและมีความสามารถ พวกเขาทำงานทุกวันเพราะต้องทำและไม่รู้ว่าจะทำอะไรอื่นอีก พวกเขาอยู่อาศัยในบ้านที่หรูหรา เต็มไปด้วยวัตถุราคาแพง แต่ในสังคมวัตถุนิยม เมื่อคุณซื้ออะไรมาสักอย่าง ในไม่ช้าคุณก็ต้องซื้ออย่างอื่นเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วสิ่งที่คุณซื้อมาก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น

มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอก ผมแค่คิดว่ามันแปลก เพียงคุณซื้ออะไรมาสักอย่างหนึ่งแล้วคุณก็จะมีความสุข คุณซื้อเสื้อสวยๆ มาคุณก็มีความสุข คุณซื้อบ้านมาสักหลัง คุณก็มีความสุข แต่ความสุขนั้นมันจะอยู่กับคุณได้นานสักเท่าไร น่าแปลกที่พวกคุณปล่อยให้กลไกนี้มาเป็นตัวควบคุมความสุขของพวกคุณ สำหรับผม ผมไม่ต้องการเงื่อนไขที่จะมีความสุขหรือเงื่อนไขที่จะรักใคร เมื่อไรที่ผมเริ่มคิดถึงเหตุผล นั่นแสดงว่าผมต้องหยุดกลับไปทบทวนฝึกฝนอีกรอบ

ประสบการณ์ตายก่อนตาย

ตอนนั้นอายุสิบห้า ผมกินยาพิษเข้าไป ผมรู้สึกว่าวิญญาณลอยออกจากร่างกาย ผมเห็นร่างของผมนอนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตร ทีแรกผู้รู้สึกทรมาน เพราะว่าจิตสำนึกยังคงอยู่ ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก จากนั้นความเจ็บปวดก็ค่อยๆ หายไป ผมยืนอยู่ในความมืด และก็คิดได้ว่าชีวิตนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ผมรู้สึกว่าดวงจิตของผมสามารถจะไปที่ไหนก็ได้ ตามที่ผมต้องการ ผมมองเห็นเส้นทางสามทาง ทางหนึ่งมีเด็กทารกน้อยสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าผม ผมสามารถเลือกได้ว่าจะไปต่อ หรือจะกลับมาที่ร่างเดิมและหลังจากนั้นผมก็คิดได้ว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ก่อนที่ผมจะฟื้นขึ้นมา ผมมองเห็นชีวิตของผมในอดีตด้วย ในตอนนั้นผมยังรู้สึกได้ถึงจิตสำนึกและความตระหนักรู้ผมได้รู้ว่าผมไม่จำเป็นต้องใช้กายหยาบเพื่อจะคงอยู่แต่อย่างใด

ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเข้าใจชีวิตดียิ่งขึ้น ตอนนี้ผมไม่รู้สึกกลัวความตายแม้แต่นิดเดียว ที่จริงมันสนุกด้วยซ้ำเวลาที่ความเจ็บปวดต่างๆ หายไป ดังนั้นผมเลยไม่กังวล เมื่อเวลานั้นมาถึงผมก็พร้อมเสมอผมพร้อมจะไปเกิดใหม่ในชาติต่อๆไป แต่พุทธศาสนาได้ชี้ให้เห็นว่าเราสามารถจะหยุดวัฏจักรนี้ได้ด้วยตัวของเราเอง

ท่าน ว.วชิรเมธี ได้เคยกล่าวไว้ว่า ธรรมะคือธรรมชาติ หากใครเข้าใจธรรมชาติก็เข้าใจธรรมะได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ที่ใด จะมีสัญชาติไหน แต่หากตื่นรู้กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของธรรมชาติรอบกายได้ ธรรมะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

:b8: http://www.kanlayanatam.com/sara/sara158.htm

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2020, 10:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนานะครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร