วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 10:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


ชี้ยาลดความอ้วน อันตรายถึงตาย!


เภสัชกร ม.มหิดล เตือนสาวลดความอ้วน ห้ามซื้อยาผ่านทางเว็บไซต์เด็ดขาด
ต้องเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและให้คำแนะนำวิธีใช้ยาอย่างถูกต้อง
เผยยาลดน้ำหนัก 2 ตัวมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แนะควบคุมอาหารดีกว่าใช้ยา



รศ.จุฑามณี สุทธิสีสังข์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ให้ความรู้ถึงวิธีการใช้ยาลดความอ้วนอย่างปลอดภัยว่า
ที่ผ่านมามักจะเกิดปัญหาการรับประทานยาลดน้ำหนักไม่ถูกวิธี
ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกายและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
เนื่องจากผู้ป่วยไม่ไปปรึกษาแพทย์ที่รักษาโรคอ้วนโดยตรง
แต่ไปหาซื้อยาผ่านทางสื่ออินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ และสื่อต่างๆ
ซึ่งไม่ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา
รวมทั้งคลินิกและสถานเสริมความงามที่ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง
ทำให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดน้ำหนักโดยไม่ผ่านการตรวจร่างกายและซักประวัติ



หากใช้ยาเกินขนาดโดยไม่รู้ข้อห้าม หรือข้อบ่งใช้สำหรับรักษาและควบคุมโรคอ้วน
ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจนทำให้ตายได้
สำหรับกรณีสาววัยรุ่นที่เสียชีวิตรายล่าสุด
มีสาเหตุจากการกินยาเกินขนาดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างถูกต้อง



รศ.จุฑามณีให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยาลดความอ้วนประกอบด้วยยาหลายชนิด
และออกฤทธิ์หลายอย่าง ถ้าใช้วิธีผิดจะเป็นอันตราย เช่น
ยาไซบูทรามีน (Sibutramine) เป็นยาควบคุมพิเศษ
มีฤทธิ์กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญร่างกาย ช่วยลดความอยากอาหารและอิ่มเร็วขึ้น
และยาเฟนเทอร์มีน (phentermine) มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
โดยเพิ่มสารสื่อสมองบางชนิดทำให้ไม่อยากอาหาร

เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 ซึ่งต้องควบคุมการซื้อขายไว้
สำหรับโรงพยาบาลหรือคลินิก เพื่อจ่ายให้แก่ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัย
อย่างเหมาะสมแล้วเท่านั้น แต่กลับมีการลักลอบซื้อขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ผู้ซื้อยาโดยไม่ศึกษาข้อมูลวิธีใช้ให้ดีก่อนจึงเกิดอันตรายขึ้นกับตนเอง


"มีรายงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า ยาไซบูทรามีนจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยง
ต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดหัวใจ
หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว ส่วนยาเฟนเทอร์มีนจะใช้ลดความอ้วนระยะสั้น
ไม่ควรเกิน 3-6 เดือน ฤทธิ์ของยาจะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคจิต หวาดระแวง หูแว่ว
เห็นภาพหลอน กระวนกระวาย ผู้ที่มีประวัติทางจิตเวชแล้วใช้ยาตัวนี้
จะทำให้อาการข้างเคียงรุนแรงจนถึงกับเสียชีวิตได้"
คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล กล่าว


นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังในกินยาลดความอ้วนร่วมกับยาอื่น ๆ
เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา หรือที่เรียกว่ายาตีกัน
และส่งผลให้ผู้ที่รับประทานได้รับอันตรายจากผลข้างเคียง
หรือความเป็นพิษของยาได้ในที่สุด


รศ.จุฑามณี กล่าวแนะนำผู้ที่อยากลดความอ้วนว่า
ห้ามซื้อยาจากทางเว็บไซต์โดยเด็ดขาด และควรพบแพทย์เฉพาะทาง
เช่น แพทย์ทางด้านอายุรศาสตร์โรคต่อมไร้ท่อ หรือโภชนวิทยา
จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยจากการใช้ยาได้มากที่สุด
การรักษาโรคอ้วนที่ดี ประหยัดและปลอดภัยที่สุด
คือการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารอย่างถูกวิธี
รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย
และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามใจปาก รวมทั้งความเกียจคร้าน
ทำให้ผู้ที่มีปัญหาโรคอ้วนไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติตามวิธีการรักษาดังกล่าว
ทำให้การใช้ยาลดความอ้วนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับสาววัยรุ่น
ที่ต้องการ รูปร่างผอมและใส่เสื้อผ้าสวยงาม



อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้ยาลดความอ้วนจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีและเห็นผลเร็ว
แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจรับประทานยาลดความอ้วนหรือยาใด ๆ ก็ตาม
ควรศึกษาวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และข้อมูลความปลอดภัยของยาจากเภสัชกร
หรือเข้ารับคำปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ ผู้ต้องการลดความอ้วนสามารถศึกษาข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ของคณะเภสัชศาสตร์
ม.มหิดล เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อผู้ลักลอบขายยาผ่านทางเว็บไซต์
ซึ่งไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม


ที่มา...ไทยโพสต์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 09:17
โพสต์: 239

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b2: :b2: อยากผอม แต่ ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบอดอาหาร..และ กินเก่งเป็นอาชีพ


:b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตะแง๊ว เขียน:
:b2: :b2: อยากผอม แต่ ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบอดอาหาร..และ กินเก่งเป็นอาชีพ


:b2: :b2:


:b2: :b2: :b2:

:b16: :b1: :b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_R จริงๆค่ะ เพราะเคยกินเมื่อหลายๆปีก่อน ไปซื้อที่โรงพยาบาลเลยนะคะ
คุณหมอเป็นคนจัดให้ (โรงพยาบาลความงามน่ะค่ะ)
:b48: ครั้งแรกกินประมาณ 1 เดือนน้ำหนักลดเลยค่ะ เพราะเราจะเกิดอาการเบื่ออาหาร
เห็นแล้วไม่อยากกินไม่อยากกินอะไรเลย
อยากดื่มแต่น้ำ ตอนนั้นกินครั้งแรกอาการข้างเคียงไม่มีเลยค่ะ
รู้สึกถูกใจได้ผอม :b19: ที่จริงตัวเองก็เป็นคนไม่อ้วนสูง 170 ซ.ม. จำได้ว่าหนักแค่ 57 เอง
แต่ความที่อยากสวยอยากหุ่นดี :b21: ประมาณนี้น่ะค่ะ

และแอบกินนะคะคนที่บ้านไม่รู้เลย ลดไป 5 ก.ก.
:b48: ครั้งที่สองห่างกันปีครึ่ง มีลูกคนแรกแล้วก็กินอีก ครั้งนี้รู้สึกได้ว่าเริ่มใจเต้นๆๆ เหงื่อออกมาก
ก็กลับไปหาคุณหมอคนเดิม หมอก็เปลี่ยนยา ตอนนั้นก็กิน 1 เดือนน้ำหนักก็ลดไป 5 ก.ก.
ประมาณอยากสวยอีก.. :b32: (แต่ลืมกลัวตาย.... :b9: )
:b48: ครั้งที่สามก็เหมือนเดิม คุณหมอคนเดิม(โรงพยาบาลเดิม) แต่ครั้งนี้กินไปแค่ 2 อาทิตย์
รู้สึกแปลกๆ คือใจสั่น เหงื่อออก เวียนหัว เริ่มพะอืดพะอม เบื่ออาหาร
อยากแต่จะอาเจียน ประมาณว่าอาเจียนชนิดนั่งเกาะชักโครกเลยค่ะ
แบบไม่ไหวแล้ว ต้องส่งโรงพยาบาลแน่ จำได้ว่าสามีตกใจมากว่าเราเป็นอะไร
จะท้องเสีย อาหารเป็นพิษก็ไม่ใช่ ไปโรงพยาบาลคุณหมอถามว่าไปทำอะไรมา
กินอะไรหรือเปล่า ก็ยังปากแข็งนะคะ (เปล่าตลอด...) อาย :b15: น่ะค่ะ
รู้แต่ว่าทำยังไงก็ได้ให้หยุดอาเจียนทีมันไม่ไหวแล้ว :b22: :b23:
คุณหมอก็หาสาเหตุไม่เจอ แกก็ฉีดยาแก้อาเจียนเข้าในน้ำเกลือหมดแรง เดินไม่ไหว
ตอนนั้นกลัว.....มากค่ะลูกก็ยังเล็ก นอนอยู่ 2 คืนกว่าร่างกายจะฟื้นมีแรง
ต้องกลับมานอนพักอีก4-5 วันถึงจะกลับสู่สภาพเดิม :b7:(ผอมสมใจ)
เลยคิดว่าตัวเองยังโชคดี ที่ไหวตัวทันเพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าไปทำอะไรมา
:b48: เมื่อวานดูข่าวที่นักเรียนกินยาลดความอ้วนแล้วเสียชีวิต รู้สึกเศร้าใจจัง
แล้วที่ร้ายคือเด็กเค้าหาซื้อตาม internet เป็นภัยสังคมที่ร้ายมากๆ
มาคิดดู ตอนที่ตัวเองกินก็ไปซื้อที่โรงพยาบาล คุณหมอเป็นคนแนะนำเลยว่าไม่อันตราย
ทำให้หลายคนสับสน ในเมื่อในโรงพยาบาลนี้ยังมีขายเป็นปกติ แล้วทำไมจะกินไม่ได้
เพียงแต่ให้หมอเป็นคนจ่ายและก็จะแพงกว่าตามร้านที่มีขายอยู่ทั่วไป
:b48: ทุกวันนี้ก็จะเล่าเรื่องนี้ให้กับหลายๆคนที่อยากลองฟัง เพราะตัวเรานี่แหละ...
เป็นตัวจริง...เสียงจริ...ที่เกือบจะ.. :b21: ...แล้วเหมือนกัน
ขนาดรู้ที่มาที่ไปของยายังแทบไม่รอด
แล้วคนที่หาซื้อเองตามทั่วไป หรือปากต่อปากจะเสี่ยงแค่ไหนกันคะ

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณเรื่องเล่าดีดีที่เป็นอุทาหรณ์สอนใจค่ะ คุณO.Wan :b1: :b27: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 09:17
โพสต์: 239

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L (เล่ามั่งๆ)


เป็นคนอ้วนมาแต่เกิด (ดูรูปตอนเด็กอ้วนมั่ก-มาก)พอตอนเข้าประถมก็เพรียวได้
จนมาตอนวัยรุ่นประมาณ 18-20 ปีที่น้ำหนักเริ่มเพิ่มเรื่อยๆ จน 50 กก. ขึ้นไป จึงเริ่มลดน้ำหนักแบบมั่วซั่ว(ขอให้ใช้คำนี้นะค่ะ)


ที่ว่ามั่วซั่วคือ

1.พอคิดจะลดก็อดอาหารเอาเป็นเอาตาย หรือไม่ก็กินผลไม้เป็นอาหารหลัก ผอมจริงแต่ร่างกายเราทนได้ไม่กี่วันหรอกทำแบบนี้อย่างมากก็ 10-20 วันก็กลับมา ตะลุยกินๆๆ สรุปวิธีนี้ไม่ได้ผลค่ะ

2. โหมออกกำลังกาย เชื่อเหอะหากเราไม่ชอบออกกำลังจริงๆทำไม่ได้นานหรอก และหากจัดระบบไม่ดีพอ พอไปโหมออกกำลังกายมาแล้วก็จะกลับมากินๆๆอย่างเอร็ดอร่อย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้เจริญอาหารค่ะ สรุปวิธีนี้ไม่ได้ผลค่ะ

3. แอบแม่ไปซื้อยาลดน้ำหนักที่ร้านขายยา ยาพวกนี้จะเห็นว่าตามร้านขายยาจะไม่วางขายง่ายๆต้องไปหยิบที่หลังร้านหรือในลิ้นชักเฉพาะ (เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าผลเสียมีมากมายที่เราไม่ทราบ) ผลที่กินแล้วก็ผอมสมใจอยาก ก็กินแค่ 30 วันไม่กล้ากินนานเพราะกลัวผลเสีย พอไม่กินก็อ้วนเช่นเดิมค่ะ สรุปวิธีนี้ไม่ได้ผลค่ะ :b9:

4. (หลังจากที่เวียน-วนลดแนวมั่วซั่วมาหลายปี) พอทำงานมีเงินเดือนใช้เอง ก็มาใช้วิธีแนวธรรมชาติที่เขาโฆษณาขายกันโครมครามคือ อาหารเสริมลดน้ำหนักที่เขาว่าผ่าน อย.มาหลายประเทศ แรกๆก็กินพอไหวคือไม่กี่รายการ ผลที่ได้รับคือผอมจริง บวกกับความตั้งใจของเราที่อยากผอมจึงเคร่งครัดในตารางการกิน แต่กินได้ไม่นานก็ต้องหยุดเพราะไม่มีใครจะไปนั่งกินอาหารเสริมแทนข้าวกันได้เป็นปีๆหรอก ครั้งสุดท้ายล่าสุดเมื่อไม่นานมานี่กินติดต่อกัน 4 เดือนกินหลายรายการมาก หมดค่าอาหารเสริมลดน้ำหนักเป็นหมื่นๆ สุดท้ายก็ไม่ลดลงเช่นครั้งแรกๆ อาจจะด้วยเพราะวัยเราเยอะขึ้นนั่นเอง

5. ไปถอยเครื่องออกกำลังกายมาไว้ในห้อง ด้วยเหตุผลว่าเราต้องออกกำลังกายเท่านั้นจึงจะสำเร็จในการไม่อ้วนและเพื่อสุขภาพ (อันนี้คล้ายจะดีหน่อย) แต่ก็ฮิตแค่แรกๆค่ะ ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นที่ตากผ้าแล้วค่ะ (คุคุ)

6. ฯลฯ มีอีกหลายวิธีแต่ไม่อยากบอกแร่ะ ...คุคุ :b32:




Onion_R Onion_R สุดท้าย-ท้ายสุด สรุปกับตัวเองว่า หากเราไม่สามารถจัดระเบียบการทานอาหารหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานแบบเดิมได้ "เราไม่มีวันผอมแบบถาวรได้หรอก" กล้าพูดได้อย่างเต็มปาก เพราะลองมาหลายวิธีมากๆ หากเราปรับพฤติกรรมการกินแบบพอเหมาะดังเช่นตอนที่เรามุ่งมั่นช่วงลดน้ำหนักแบบนั้นได้ เราก็จะมีรูปร่างที่ไม่อ้วนเกินไปอย่างแน่นอน

และด้วยวัยที่มากขึ้นเราต้องเพิ่มการออกกำลังกายช่วยในการเผาผลาญ เพราะระบบเผาผลาญเราแย่ไปตามอายุแล้ว หากไม่ออกกำลังกายช่วยกินน้อยก็มีสิทธิ์อ้วนได้เนื่องจากร่างกายเผาผลาญไม่หมด

เคยเห็นหลายๆท่านที่เขามีระเบียบในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แม้จะอายุ 50 กว่าๆก็ไม่อ้วนมีหุ่นดีสมวัย และ แข็งแรง




:b12: :b12: :b4: มีข้อมูลมากแต่ทำไม่ได้ ก็อ้วนเหมือนเดิมเช่นฉะนี้แล.....กิ๊กิ๊วๆๆ





.


แก้ไขล่าสุดโดย ตะแง๊ว เมื่อ 05 มิ.ย. 2010, 17:18, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 09:17
โพสต์: 239

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ยาลดน้ำหนัก ยาอันตราย 1

ถ้าพูดคำว่า “ยาลดน้ำหนัก” เชื่อว่าทั้งคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก หรือคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ต่างก็รู้จักคำๆนี้เป็นอย่างดี แต่จะมีซักกี่คนที่รู้จัก “อันตราย” ของมันจริงๆ บางคนอาจจะไม่รู้เลย บางคนอาจจะรู้มาบ้างแต่ไม่กล้าค้นรายละเอียดเพิ่มเติมเพราะกลัวความจริง บางคนรู้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลเพราะเกิดขึ้นกับตนเอง แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งในสังคมที่ทราบอันตรายดี และตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักยังไงก็ได้แต่ขอไม่ใช้ยาลดน้ำหนัก

แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ปัจจุบันความรู้เรื่องอันตรายของยาลดน้ำหนัก ค่อนข้างจะเป็นที่แพร่หลาย แต่กลับมีคนจำนวนมาก ที่ยังคงเลือกที่จะลดน้ำหนักด้วยการทานยาลดน้ำหนักโดยมีมูลค่ารวมกันนับพันล้านบาท อาจจะเป็นเพราะว่ามันง่าย ราคาไม่แพง หรือบางคนอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องให้ยามาช่วยควบคุม แต่เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรที่ง่าย ราคาถูก แล้วยังได้ผลดีโดยไม่มีผลข้างเคียงอะไร


ไม่ว่าจะเคยรู้จักหรือไม่ วันนี้เรามาทำความรู้จัก “ยาลดน้ำหนัก” กัน โดยจะไม่เน้นคำศัพท์วิชาการ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทราบไหมว่า โดยทั่วไปแล้ว ยาลดน้ำหนัก ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราทานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งโรงพยาบาล คลินิก และสามารถเข้าถึงได้ทุกคนแบบที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาจะใช้เพื่อเป็นยารักษาในกรณีที่บางคนมีน้ำหนักตัวเยอะมากและเริ่มเป็นอันตรายต่อสุขภาพ “เท่านั้น” และการทานยานั้นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่าง “ใกล้ชิด ” เนื่องจากยาบางตัวที่ทานนั้น “มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ” แม้ในปัจจุบันและในอนาคตอาจจะมีการพัฒนายาลดน้ำหนักให้มีคุณสมบัติบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ก็คงจะไม่แตกต่างจากที่เคยเป็นมา อันตรายจากยาลดน้ำหนักจึงไม่มีทางลดน้อยลง เรามาทำความรู้จักยาลดน้ำหนักกลุ่มหลักๆกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง



1. กลุ่มยาลดความหิว(ที่ต้องเรียกเป็นกลุ่มเพราะมีหลายตัว ตามแต่คุณหมอแต่ละคนจะสั่งให้เรา)

ยาบางตัวดัดแปลงมาจากยาบ้า ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อควบคุมความหิว เวลาที่เราทานเข้าไปแล้วเราจะไม่หิว เพราะระบบประสาทถูกกดเอาไว้ เราจึงทานน้อยลง (น้ำหนักตัวเราก็ต้องลดลงเพราะเราทานน้อยลง) ยากลุ่มนี้แหละที่เวลาทานแล้วจะเกิดผลข้างเคียงแบบที่เจอบ่อยๆ ก็คือ กระสับกระส่าย ปวดหัว หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ คลื่นไส้ เบลอๆ ซึมเศร้า ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เหงื่อออก ท้องผูก อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ระบบประสาทถูกกดเอาไว้นั่นเอง ดูอาการแต่ละอย่างเราจะเห็นเลยว่า มีผลต่อส่วนสำคัญของร่างกายทั้งนั้น สมอง หัวใจ ความดันโลหิต ระบบขับถ่าย น่ากลัวมากๆ

ที่สำคัญยาในกลุ่มนี้หลายๆตัวได้ห้ามการจำหน่ายแล้ว เนื่องจากจะทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว และยาส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ทานติดต่อกันเกิน 12 สัปดาห์ เพราะจะเป็นอันตรายได้ และแม้ว่าเราจะทราบว่ายาอะไรที่ห้ามจำหน่าย แต่ลองนึกดูว่า เวลาเราได้รับยาจากหมอ เราไม่มีทางทราบได้เลยว่ายานั้นคือยาอะไร หากหมอบอกว่าไม่ใช่ยาที่ห้ามจำหน่ายเราก็ต้องเชื่อตาม พอจะจินตนาการออกแล้วใช่ไหมว่าหากเราทานยาลดน้ำหนัก เราเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแค่ไหน แต่ยังไม่หมด เพราะยังมียาอีกหลายกลุ่ม



2. กลุ่มยาเร่งการเผาผลาญ

ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทที่มีบทบาทในการควบคุมการใช้พลังงาน(การเผาผลาญ)ในร่างกายเรา เมื่อทานเข้าไปแล้วจะไปกระตุ้นให้ร่างกายเรามีการเผาผลาญมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรามีการเผาผาญไขมันมากขึ้นนั่นเอง ผลข้างเคียงจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนต่อหัวใจของเรา นั่นคือหัวใจเราจะเต้นผิดจังหวะ และน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ช็อกได้ และผลข้างเคียงระยะยาวคือ อาจจะทำให้มีไขมันลดลงแต่กล้ามเนื้อขนาดใหญ่ขึ้น(ซึ่งคนที่เป็นผู้หญิงคงไม่ต้องการแน่ๆ)



3. กลุ่มยาขับน้ำ(ขับปัสสาวะ)

ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ตรงตัว คือช่วยให้ร่างกายขับน้ำออกจากร่างกายมากขึ้น ซึ่งปกติจะใช้บ่อยกับนักมวยที่ต้องการลดน้ำหนักเร่งด่วน ฉะนั้นพอเราทานน้ำหนักเราก็จะลดลงเร็วเนื่องจากเสียน้ำ แต่เมื่อเราทานน้ำมากขึ้นน้ำหนักก็จะกลับมาใหม่ ยาในกลุ่มนี้ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย จะมีแต่ผลเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำ และสูญเสียเกลือแร่ไปด้วย จะทำให้มีอาการเพลีย และหากใช้นานอาจทำให้ไตพิการได้



4. ยากลุ่มที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมัน

ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่ระบบทางเดินอาหาร ด้วยการยับยั้งเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมัน ยาในกลุ่มนี้ไม่มีผลต่อระบบประสาทจึงไม่มีอาการผลข้างเคียงออกมาให้เห็นมากนัก แต่อาจจะเห็นได้จากการที่อุจจาระออกมาจะเป็นเมือกมันๆ



5. กลุ่มยาลดผลข้างเคียง

ยาในกลุ่มนี้หมายถึง ยาที่พยายามลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราให้น้อยลง ยกตัวอย่างเช่น หากท้องผูกก็เพิ่มยาระบาย หากน้ำตาลในเลือดสูงก็เพิ่มยาลดน้ำตาล หากมีซึมเศร้าก็เพิ่มยาลดอาหารซึมเศร้า ฟังแล้วดูน่าเศร้ามากกว่าดูดี เพราะเราต้องทานยาเพิ่ม เพราะผลข้างเคียงจากยาลดน้ำหนักที่เราทาน(แล้วเราจะทานมันไปทำไม)

ที่สำคัญคืออย่าคิดว่าผลข้างเคียงเหล่านี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนเราทานยา เพราะยาเหล่านี้มีโอกาสตกค้างในร่างกายได้ แม้ว่าเราหยุดทานแล้วผลข้างเคียงต่อระบบประสาท หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ ยังคงอยู่ในร่างกายเรา เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลาแสดงอาการออกมาเท่านั้นเอง แล้ววันหนึ่งเมื่อสิ่งที่ตกค้างในร่างกายแสดงออกมา เราก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคตับ มะเร็ง ฯลฯ ก็อาจจะเกิดเรื่องเศร้าขึ้นกับเราได้ เหมือนข่าวที่หลายคนเคยได้ยินมา เช่น(ขออนุญาต สงวนชื่อและนามสกุล)




- 16 ธันวาคม 2545 หญิงสาวอายุ 27 ปีเสียชีวิตที่จังหวัดอ่างทอง เพราะทานยาลดน้ำหนัก จาก 100 กว่ากิโล ลดเหลือ 60กิโล โดยทานติดต่อกันนาน สุดท้ายหลังจากหยุดทานมาปีกว่าก็เสียชีวิต(จาก ข่าวสด 17 ธ.ค. 2545)

- 12 ธันวาคม 2548 หนุ่มหัวหน้าสถานีอนามัย อายุ 30 ปี ต้องการลดเพียง 6-7 กิโล ทานยาลดความอ้วนพร้อมเครื่องดื่มบำรุงกำลัง หัวใจวายตายที่จังหวัดราชบุรี(คมชัดลึก 13 ธค 2548)

- ธันวาคม 2548 หญิงสาวอายุ 26ปี ทานยาลดความอ้วน ที่จ่ายโดยคลีนิคในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จนสูญเสียความทรงจำไปนานถึง 3 ปี(คมชัดลึก 18 ธค 2548)

- 26 มีนาคม 2550 นักเรียนหญิง ม.4 อายุ 16 ปี ชาวนครราชสีมา เสียชีวิตเพราะทานยาลดน้ำหนัก แล้วไตวายเฉียบพลัน(คมชัดลึก 30 มีค 2550)

- 20 สิงหาคม 2550 หญิงสาวอายุ 36 ปี ชาวกรุงเทพ ทานยาลดน้ำหนัก จนคลุ้มคลั่งขังลูกไว้ในรถ เพราะประสาทหลอนว่าจะมีคนมาทำร้าย(คมชัดลึก 21 สค 2550)



และอีกมากมายทั้งที่เป็นข่าว และไม่เป็นข่าว สิ่งเหล่านี้พร้อมจะเกิดขึ้นกับทุกๆคน โดยเฉพาะคนที่คิดว่าไม่เป็นอะไร การที่เราเห็นคนนั้นไปทาน คนนี้ไปทานแล้วเขาไม่เป็นไร ไม่ได้แปลว่าเมื่อเราไปทานแล้วจะไม่เป็นอะไร เพราะว่าร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน เห็นไหมว่าคนที่ทานยาลดน้ำหนักเหมือนใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้าย ไม่รู้ว่าหวยจะออกที่เราหรือเปล่า…



วิเคราะห์-วิจารณ์

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงทำให้หลายคนสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่า เราควรจะทานยาลดน้ำหนักหรือไม่ แต่ถ้าให้มั่นใจ 1000% มีวิธีหาคำตอบง่ายๆก็คือ

1. ให้ถามหมอที่จ่ายยาว่า ถ้าหมออ้วน หมอจะทานยาลดน้ำหนักที่หมอจ่ายให้คนอื่นทานไหม

2. ให้ถามหมออีกว่า ถ้าพ่อแม่ แฟน ลูก ญาติ ของคุณหมออ้วน คุณหมอจะจ่ายยาลดน้ำหนักให้ทานไหม



เชื่อไหมว่ามั่นใจได้ 1000% เลยว่า คำตอบของทั้ง 2 ข้อก็คือ “ไม่ ” คำถามคือทำไมหมอถึงไม่ทำแบบนั้น หากเราถามหมอก็จะได้คำอธิบายว่า เพราะหมอรู้ถึงอันตรายของยาดี หมอไม่กล้าทานแล้วเราจะไปทานทำไม สำหรับใครที่กำลังทานอยู่ก็หวังว่าหลังจากอ่านจบ คงตัดสินใจได้ และหากเรามีคนรู้จักที่กำลังทานหรือคิดจะทานอยู่ อย่าลืมแนะนำเขาให้อ่านบทความนี้ เพราะเรื่องร้ายๆที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้างเราสามารถป้องกันได้วันนี้



ขอบคุณบทความจาก www.LodnUmnUk.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณเรื่องเล่าดีดี สรุปเป็นขั้นตอน เนื้อหามีหลักการมากค่ะ คุณตะแง๊ว :b1: :b17: :b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: อนุโมทนา..สาธุ..จร้า..น้องลูกโป่ง :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร