วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 17:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้

นพ.กฤษดา ศิรามพุช

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
เรื่องโดย...นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ. (จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์
(American Board of Anti-aging medicine)
drkrisda@gmail.com


:b48: :b8: :b48:

ในอนาคตนั้นสาเหตุการเสียชีวิตของปุถุชนคนเดินดินอย่างเรา
จะเปลี่ยนจากเรื่องของโรคทางกายไปเป็นโรคที่เกิดจาก “จิตทำร้ายกาย”
หรือโรคทางจิตใจกันมากขึ้น ซึ่งก็มักเป็นโรคที่เกิดจากการทำตัวเอง
โดยเฉพาะนโยบายตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ไม่รู้จะมัวอยู่ไปใยชวนให้ฆ่าตัวตายกันเป็นเบือดังที่เป็นข่าวครึกโครมไป

ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกได้ให้เกียรติประเทศไทยมากโดยได้จัดว่า
การฆ่าตัวตายจะนำโด่งขึ้นมาเป็นสาเหตุสำคัญอันดับสอง
รองจากมัจจุราชโรคหัวใจในอีก 12 ปีข้างหน้า

นอกจากนั้นเหล่าซือแป๋ฟิวเจอริสต์นักทำนายอนาคต
อันไม่เกี่ยวกับโหรดวงตกทั้งหลายท่านยังกะการณ์ไว้ว่า
อีกไม่ถึงห้าสิบปีเราจะกำจัดโรคทางกายได้หมด
จนทำให้เหตุการณ์ตายเปลี่ยนเป็นเกิดจากผู้ก่อการร้ายและภัยธรรมชาติแทน
ดังที่อเมริกาได้ทำรูป “นาฬิกาสิ้นโลก (Doomsday clock)” ไว้ให้ดูง่ายๆ
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เข็มของนาฬิกานั้นยิ่งเข้าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด
แปลว่า โลกอยู่ใกล้หายนะมากเท่านั้น

แต่แท้จริงนั้นถ้าดูกันให้ดีเราอาจลืมเผอเรอไปว่าเรื่องของอาหารการกิน
ก็มีส่วนสำคัญในการลาลับโลกของมนุษย์ไม่แพ้การก่อการร้ายเลย
แถมยังแย่กว่าเสียอีกด้วยว่ามักงุบงิบสะสมพิษร้ายไปเรื่อย
ให้เราตายใจไม่ใคร่จะกลัวกันนัก
แต่เมื่อถึงเวลาก็กลายเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายหรือหัวใจวายตายไปเลย

รูปภาพ

รูปที่ 1 “นาฬิกาสิ้นโลก” ที่ใช้เป็นหน้าปกของวารสารอะตอมมิกไซแอนทิสต์
มาตั้งแต่ปี 1947 แล้ว เป็นสัญลักษณ์บอกถึงปัญหานานาประเภทที่มนุษย์ก่อขึ้นมา
แล้วทำให้โลกเข้าใกล้กาลอวสานมากเพียงใดแล้ว
โดยดูจากเข็มยาวว่าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด


เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องอาหารปลอดภัยแล้ว
ถึงแม้อาหารของชาติใดจะมีอันตรายร้ายกาจอย่างไรก็ตาม
แต่อาหารชาติไทยนั้นอย่างไรก็ยังปลอดภัยและมีสารอาหารต้านแก่อยู่อย่างเต็มล้นปรี่
ทำให้ผมหวนนึกไปถึงเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนที่ท่านอดีตประธานาธิบดีเคนเนดี้
ได้กล่าวอมตะวาจาไว้ ณ ประเทศเยอรมันตะวันตก ว่า
“เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว คำพูดที่ถือว่าเป็นสิ่งน่าภาคภูมิใจของมนุษย์
คือ ข้าพเจ้าเป็นประชาชาติโรมัน แต่ ณ บัดนี้
คำกล่าวอ้างอันน่าภูมิใจนั้นต้องเปลี่ยนไปเป็นว่า
ข้าพเจ้าเป็นประชาชนแห่งเบอร์ลินแทน...”


ถือได้ว่าเป็นสุนทรพจน์อันยิ่งใหญ่กินใจคนทั้งโลก
เพราะกล่าวหลังจากสตาลินสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นแยกชาติเยอรมันได้ไม่นาน
แต่สำหรับตัวผมเองนั้นผมว่า ณ ขณะปี พ.ศ. 2551 นี้
คำพูดที่ควรจะพูดได้เต็มปากและแสดงความภาคภูมิใจให้ชาวโลกเห็นได้ดีที่สุด
คือ “ข้าพเจ้าเป็นคนไทย” ครับ
เพราะคนไทยนั้นมีทั้งหลักยึดเหนี่ยวแห่งจิตใจอันประเสริฐ
ทำให้มีกำลังใจแข็งแกร่งกันอยู่ชั้นหนึ่ง
แล้วยังมีเรื่องของความอุดมสมบูรณ์จากพฤกษมังสาหารทั้งหลาย
จนเป็นที่น่าอิจฉาของประเทศอื่นเป็นยิ่งนัก แม้จะไร้เงาเขาพระวิหารไปแล้วก็ตาม (โฮ!)

รูปภาพ

รูปที่ 2 “อิคช บิน ไอน์ แบลินเนอร์” หรือข้าพเจ้าเป็นพลเมืองแห่งเบอร์ลิน
อมตะวัจนะแห่งประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่กล่าวไว้ว่าจะเป็นประโยคที่ภาคภูมิใจแก่ผู้พูด
ซึ่งก็คงไม่แพ้คำว่า “ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองแห่งราชอาณาจักรไทย”
ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารกายอาหารใจเป็นแน่


ทว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ดีร้อยเปอร์เซ็นต์
อาหารการกินในปัจจุบันนี้นอกจากจะไม่ประณีตเหมือนเมื่อก่อน
แล้วยังแถมไปด้วยอันตรายแฝงอยู่ทุกอณูทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกดูสวยชวนชิมทีเดียว
ดังที่ท่านผู้อ่านก็คงได้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันจนทำให้หลายต่อหลาย
ท่านท้อไปว่าการจะมีชีวิตอยู่ดีมีสุขนี่ก็ยากพอดูอยู่แล้ว
แต่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขชักกระตุกทีเดียวตายนี้ยิ่งยากหนักหนา
ด้วยก่อนตายอาจต้องทุพพลภาพ เป็นโรคสมองเสื่อมจากสารพิษ
หรืออัมพฤกษ์อัมพาตนอนเป็นผักอยู่
เพราะอาหารมันๆ ทั้งหลายประดังกันเข้าไปอุดหลอดเลือดเสียสิ้น

แต่กระนั้นก็ดีคงไม่จำเป็นต้องถึงขนาดเก็บตัวเป็นดักแด้หนอนไหมอยู่ในบ้าน
ไม่ออกไปเดินเล่นตลาดนัดหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใคร
ใฝ่ใจมุ่งแต่ประพฤติพรหมจรรย์ดุจชีมืด
เพราะถึงแม้อุตส่าห์ทำถึงเพียงนั้นก็ตามทีถ้ายังมี “อวิชชา”
ไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยีอาหารอยู่ท่านก็ยังเหมือนอยู่ใกล้ป่าช้าแค่เอื้อม
ด้วยว่าสารพิษบางอย่างมาในรูปของยาและอาหารเสริม
ก็มีดังในบทความที่ได้เคยคุยกันไปแล้ว

ขนาดราชาธิราชใหญ่ค้ำฟ้าขนาดจิ๋นซีเมื่อสองพันกว่าปีก่อนยังเชื่อว่า
น้ำปรอทเป็นหนึ่งในอมตะโอสถ
จะช่วยให้ท่านดำรงขันธ์เป็นโอรสสวรรค์ต่อไปได้เป็นหมื่นปี
แต่ไม่ช้านานหลังจากนั้นก็กลับกลายเป็นว่า
สวรรค์ทูลเชิญท่านไปเป็นโอรสอยู่ใกล้ชิดเง็กเซียนเบื้องบนแทน
หรือแม้แต่เครื่องสำอางค์หน้าขาวสมัยอลิซาเบแธน
(ในราวสมัยสมเด็จพระนเรศวรของไทย)
ก็ทำมาจากตะกั่วขาวซึ่งใช้กันตั้งในในราชสำนัก
ท้าวพญามหากษัตริย์ไปจนถึงชั้นขุนน้ำขุนนางนางพญาอังกฤษ
อย่างควีนอลิซาเบธที่หนึ่งหรือพระนางแมรี่ควีนแห่งสก็อตก็ทรงใช้อย่างสม่ำเสมอ

หาดูได้ง่ายจากพระบรมฉายาลักษณ์ในสมัยนั้นที่สตรีชั้นสูงจะดูวงหน้าขาวเด่น
ลอยออกมาจากรูปและรอบคอก็ใส่วงลูกไม้ระบายขนาดใหญ่โตเหมือนพาน

ว่ากันว่าสารตะกั่วหน้าขาวนี้นอกจากสะสมทำให้เกิดพิษภัยกับผู้ใช้
แล้วก็ยังไพล่ไปเกิดพิษกับบุรุษผู้อยู่ใกล้ชิดด้วย

ดังที่ว่ามีเรื่องราวร้องเรียนกันในสมัยนั้นว่าสามีของสตรีชั้นสูงเหล่านี้
ต่างพากันโอดครวญถึงพิษของสารตะกั่วที่ได้รับจากสุภาพสตรีมายเลดี้ทั้งหลาย
แต่กระนั้นก็ดีปัจจุบันนี้หาใช่จะมีแต่อิตถีเพศหรือผู้ลากมากดีเท่านั้น
ที่อยากจะมีสุขภาพดีผิวสวยงาม แต่ไม่ว่าจะเพศใดวัยใดก็ตาม
ลึกๆ ในใจทุกท่านก็ล้วนแต่อยากมีรูปร่างดีมีเสน่ห์และสุขภาพเป็นเลิศด้วยกันทั้งนั้น
บางท่านว่ามักน้อยไม่ได้อยากหล่อสวยอันใด
แต่ขอให้ไม่ต้องเป็นโรคทุกข์ทรมานก่อนตายก็พอ
แม้จะปรารถนาน้อยเพียงนี้แต่บางทีมันก็นำท่านไปสู่อันตรายได้เช่นกัน

ด้วยว่าอาหารและยาส่วนใหญ่ที่จะเอามาใช้บำรุงขันธ์ห้าของท่านได้นั้น
จำต้องใส่สารกันบูดกันเสียทั้งนั้น ดังนั้นก็เห็นจะมีวิธีเดียว
ที่ท่านสามารถจะสามารถกินอยู่อย่าง “ทุกข์น้อยที่สุด” อยู่บนโลกใบนี้ได้
ก็ด้วยการ “รู้เท่าทัน” เท่านั้น ต้องรู้เท่าทันพิษร้ายที่อาจปนเปื้อน
หรือถูกใส่มาในอาหารให้ได้ดีที่สุด
แล้วที่เหลือก็สุดแล้วแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนท่านจะกรุณาเราเอง

รูปภาพ

รูปที่ 3 ตั้งแต่ก่อนคริสตกาลในยุคของจิ๋นซีมาจนถึงยุคเรอเนสซองส์ในยุโรป
ผู้คนเชื่อว่าสารพิษโลหะหนักเช่นปรอทหรือตะกั่วขาวเป็นสารพิเศษ
ที่ช่วยบำรุงสุขภาพและบำรุงผิวพรรณได้
ถือเป็นสูตรหนึ่งของยาบำรุงร่างกายเลยทีเดียวครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปที่ 4 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่หนึ่ง
และพระนางแมรี่แห่งสก็อต
เป็นผู้นำแฟชั่น
การใช้ตะกั่วขาวในการผัดหน้าให้ขาวสวยจะได้ดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
ซึ่งสมัยนั้นเรียกเครื่องสำอางนี้ว่า “แป้งตะกั่วขาวของชาวเวนิส”


ปริทรรศ์แห่ง “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

ทราบกันดีว่าถ้าไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตม์ใช่ไหมครับ
แต่อาจต้องมองลึกไปสักนิดว่าถ้ามันยังไม่ถึงที่ตาย
แต่ก็ไม่วายชีวาวาตม์เสียทีเดียวนี้มันก็ทรมานไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
ดังนั้นต้องพยายามอย่าใช้ช้อมส้อมขุดหลุมศพให้ตัวเองครับ
ถ้าจะกินหรือจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดต้อง “Use with good judgment”
เหมือนสโลแกนของท่านโอบาม่า
อย่าไปเลือกชนิดที่เก่าแก่หรือเก่าเก็บมากจนเกินไป
ด้วยว่าอาจมีสารพิษเกิดขึ้นในตัวของมันเองได้
เช่น สารพิษโบทูลินุ่มในอาหารกระป๋องปนเปื้อน ที่ไม่นุ่มนิ่มจิ๋มจุ๋มอย่างที่คิด
แค่สะกิดชิมเพียงนิดก็อาจพากันนอนชักเกร็งเป็นอัมพาตไปได้
อย่าไปคิดว่ายิ่งแก่ยิ่งเจ๋ง Old but not expired
แบบคุณแม็คเคนไปทุกสิ่งสรรค์ครับ มันอาจเป็นยิ่งแก่ยิ่งแสบ ยิ่งบ่นเก่งก็เป็นได้

เลยขอนำดาวเด่นของสารผสมอาหารสิบสองชนิดที่พบบ่อย
ที่มีผลพลอยได้คือถ้ากินสะสมเข้าไปมากแล้ว
ก็เป็นที่แน่นอนเลยว่าจะใช้แลกคูปองของรางวัล
ไปทัวร์ยมโลกได้เร็วกว่าใครทีเดียวครับ

:b14: เริ่มจาก 1) โซเดียมไนเตรท (โซเดียมไนไตรท์)
หรือมืชื่อจุ๋มจิ๋มที่รู้จักกันว่า “ดินประสิว”


พอได้ยินชื่อเพื่อนรักคนนี้แล้ว ต้องเห็นสีแดงตามมาเลยนะครับ
ด้วยว่าอยู่ในกุนเชียงรสอร่อยมันเยิ้ม, ไส้กรอกรถเข็นสีแดงจัดจ้านราดน้ำจิ้มรสเด็ด,
แหนมตุ้มขนาดพอคำ, ปลารมควันของฝากจากเมืองไกล
หรือจะไส้กรอกฮ็อทด็อกสัญชาติอเมริกันสุดหรู จากร้านสะดวกซื้อ
ที่เอามายืนถืองับกันจนน้ำราดแดงเหลืองไหลเยิ้มง่ามมือ

เมนูอาหารสร้างสรรค์สังคมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีดินประสิว
ช่วยเสริมให้เนื้อแดงจัดชวนกินทั้งนั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ตัวเราไม่ใช่พลุหรือปุ๋ยมูลค้างคาว
เราจึงไม่ต้องการดินประสิวมากขนาดนั้น
เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะร้องค้านว่าเป็นส่วนเกินแล้ว
ก็กระทำอารยะขัดขืนไม่ ยอมรับพร้อมกับสร้างกระแสมะเร็งขึ้นมาทันที
โดยพบว่าเด็กที่กินไส้กรอกฮ็อทด็อกแบบนี้เพียงปีละโหลกว่าเท่านั้น
จะมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินถึงสองเท่าเลยทีเดียว
ในผู้ใหญ่ก็ไม่แพ้กันครับจะได้มะเร็งแถมมาด้วยพอกัน

รูปภาพ

:b14: 2) บีเอชเอ และบีเอชที
(Butylated hydroxyanisole, butylated hydrozyttoluene)


ฟังดูชื่อแล้วยังกับต้องทายปรัศนีบุคคลในคอลัมน์ซ้อเจ็ด
หรือราวกับ อ่านภาษาต่างดาวอยู่ แต่แท้จริงแล้วชื่อจริงของมันยาว
จึงขอเรียกเป็นชื่อย่อให้ไม่ระคายหูกันครับ
สารร้ายนี้มีมากในอาหารเช้าแบบฝรั่งจำพวกซีรีล, ธัญพืชสำเร็จรูป, หมากฝรั่ง,
มันฝรั่งและน้ำมันพืชครับ สารนี้เป็นสนิมอนุมูลอิสระโดยตรงเลยครับ
ด้วยว่าตัวมันไม่เสถียร สามารถแตกตัวไปกลายเป็นเสือหิวอิเล็กตรอน
ไปกัดกินอณูร่างกายคุณให้กลายเป็นมะเร็งได้ครับ


:b14: 3) โพรพิล แกลเลท

ชื่อนี้ไม่คุ้นหูนัก แต่ก็ร้ายเงียบไม่แพ้กัน
โดยมักใส่มากับสหายสนิทคู่คิดเจ้าเก่าสองนายคือ
“บีเอชเอ” และ “บีเอชที” โดยเป็นศัตรูร้ายของผู้ที่พิสมัยในการบริโภคเนื้อแดง
เช่น เนื้อวัว, เนื้อหมูหรือแม้แต่เนื้อก็มีในซุปไก่ และในหมากฝรั่งเป็นต้น
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า
สารนี้มีพรสวรรค์ในการรังสรรค์มะเร็งได้ไม่แพ้กันครับ


:b14: 4) โมโนโซเดียมกลูตาแมท (เอ็มเอสจี)
หรือที่รู้จักกันในชื่อสุดคลาสสิกว่า “ผงชูรส”


เมื่อพูดถึงผงชูรส ก็ชวนให้คิดไปถึงเมื่อกาลก่อน
ที่รถเข็นขายบะหมี่ป๊อกๆตามบ้านที่จอดลวกเส้น ทำก๋วยเตี๋ยวตามสั่งให้
แล้วเมื่อใส่เครื่องเคราเสร็จแล้วก็จะหยิบช้อนปลายเล็ก
ขนาดเท่าไม้แคะขี้หูมากระดกเทเกล็ดขาวเล็กๆ ใส่ลงไปด้วยนิดหนึ่ง
เรียกว่านับเกล็ดได้ทีเดียว ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่นเองคือผงชูรส
และที่ใส่ให้น้อยกว่าไม่พรั่งพรูเหมือน กากหมูเจียวก็เพราะว่ามันแพงมากในสมัยนั้น
ด้วยเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งคิดค้นได้ว่าโลกนี้ยังมีรสที่ลิ้นรับสัมผัสได้
ว่าอร่อยนอกจากเปรี้ยว, หวาน, เค็ม, ขม
(แต่เผ็ดนั้นไม่ใช่รส เป็นความแสบร้อนจากกรดแคปไซสิกแทน)
แล้วก็ยังมี “รสอุมามิ (Umami)” ซึ่งแปลว่า “โอชารส” หรือรสอร่อยนั่นเอง

แต่ข้อเสียของผงชูรสคือในภัตตาคารที่ทำอาหารขายคนหมู่มากนั้น
มักไม่มีเวลาที่จะมานั่งทำน้ำสต๊อกให้ได้ปริมาณมากเป็นถุงเป็นถัง
จึงต้องใช้วิธี ลักไก่โยนผงซุปชูรสนี้ลงไป
ซึ่งถ้าเหยื่อ เอ๊ย...ลูกค้ารับประทานไม่มากและไม่บ่อยนักก็ไม่เป็นไร
แต่บางท่านต้องผูกปิ่นโตไว้กับร้านเดิมตลอดก็อาจเกิดอาการพิษจากผงชูรสได้

โดยอาการนั้นจะเป็นอาการของพิษต่อระบบประสาทเป็นส่วนใหญ่ครับ
ตั้งแต่ปวดศีรษะไม่ทราบเหตุ, ลิ้นชาปร่าแปลกๆ ไป
จนถึงขั้นที่ทำให้อาเจียนเวียนศีรษะและตาบอดได้เลยทีเดียว
ซึ่งที่จริงแล้วนั้นเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผงวิเศษนี้
เพื่อทำให้อาหารของเรา ประดุจออกมาจากห้องเครื่องแดจังกึม
เพราะว่าแท้จริงแล้วรสอุมามินี้คือ รสของกรดอะมิโน
ซึ่งก็มีอยู่ตามธรรมชาติในเนื้อสัตว์ทั่วไป,
น้ำซุปเนื้อ, เนื้อปลา หรือแม้แต่ผักคะน้า

ดังนั้น จะเห็นว่าภูมิปัญญาเราที่เอาคะน้ามาผัดกับปลานั้น
ก็ถือว่า เป็นความอร่อยแบบอุมามิได้โดยไม่ต้องใส่ผงชูรสเลย
หรือถ้าท่านรู้จักเลือกชนิดของอาหารและนำน้ำเนื้อมาปรุงรวมกับผัก
ก็จะให้รส อร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผงชูรสสุดหวงของอาแปะบะหมี่เกี๊ยว
หรือเพื่อทำให้อาหารของคุณรสเลิศ
ประดุจเป็นฝีมือของจอมนางซางกุงแห่งวังหลวงเลย

รูปภาพ

รูปที่ 5 ไส้กรอกแดงสวยราดน้ำจิ้มรสเด็ดหน้าโรงเรียนหรือเนื้อแดดเดียว,
แฮมและเนื้อรมควันทั้งหลายเป็นแหล่งสำคัญของดินประสิว
ที่แม้กินเพียงไส้กรอก เดือนละแท่ง
ก็ช่วยเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งให้แซงหน้าเพื่อนพ้องได้แล้ว


:b14: 5) ทรานส์แฟ็ท หรือไขมันล่องหน

ผู้ร้ายรายนี้เป็นไขมันชนิดหนึ่งครับตัวไม่ใหญ่โตอะไรมาก
มักอยู่ใน คุกกี้, บิสกิต, ขนมเค้ก, ฟาสต์ฟู้ด, เบเกอรี่, ปาท่องโก๋ทั้งหลาย
แต่ขยันก่อเรื่องนานัปการ โดยสถานที่เกะกะเกเรที่สำคัญอยู่ที่ทำเนียบฯ
เอ๊ย...ทันโทษ อยู่ที่หลอดเลือดหัวใจครับ
มันโปรดปรานการอุดหลอดเลือดหัวใจที่ชื่อ โคโรนารีมาก
วันร้ายคืนร้ายมันก็ไปจับตัวรวมหัวกับสนิมอนุมูลอิสระ
เกิดเป็นตะกรันชวนครั่นคร้ามให้หัวใจสูบเลือดไม่ออกเสียอย่างนั้น
แล้วทีนี้จะไปหา กทม. มาลอกท่อที่ไหนก็ไม่ได้ด้วยว่า
หลอดเลือดหัวใจนี้เล็กจิ๋วขนาดเพียงไม่ถึงปลายนิ้วก้อยเท่านั้นเองครับ

สำหรับผู้ที่ติดการบริโภคเบเกอรี่นานาพันธุ์แบบหยุดไม่ได้นี้
สิ่งที่ทำได้ก็คงจะเพียงนั่งหน้าป๋อหลอรอเปลี่ยนบายพาสหลอดเลือดเท่านั้นเองครับ

รูปภาพ

รูปที่ 6 ถ้าไม่อยากใช้ผงชูรสก็ยังมีวัตถุดิบธรรมชาติอื่น
ที่ให้รส “อุมามิ” เหมือนกัน ได้แก่ เห็ดหอม เนื้อสัตว์ ปลา และกุ้ง
ดังนั้นการจับคู่อาหารอย่างชาญฉลาดของแม่ครัวพ่อครัว
จะทำให้อาหารมีรสอร่อยลิ้นขึ้นมาก ได้แก่ ผัดผักคะน้ากับปลาเค็ม
ผัดผักกระเฉดใส่หมูกรอบ ผัดผักกาดขาวใส่เห็ดหอม
หรือพิซซ่าซึ่งมีมะเขือเทศกับชีส เป็นต้น

รูปภาพ

รูปภาพ

:b14: 6) แอสปาแตม

รู้กันดีอีกชื่อคือน้ำตาลเทียม มีหลายชนิดหลากยี่ห้อ
แต่ที่ดั้งเดิมเจ้าเก่าเล่ายี่ห้อนี้ก็คือแอสปาแตมนี่เอง
แต่ก่อนแต่ไรนั้นมีการใช้ขัณฑสกรให้ความหวาน
โดยชื่อของมันก็แปลว่า ผู้ทำให้หวานอยู่แล้ว
ส่วนชื่อภาษาอังกฤษว่า ซัคคาริน ก็ยิ่งฟังดูหวานเข้าไปอีก
ต่อมารู้ว่ามีพิษก็เลยผลิตแอสปาแตมขึ้นมาให้ความหวานแทน
แต่กระนั้นก็ดีไม่นานก็มีผู้พบว่า
แอสปาแตมนี้ถ้าโดนความร้อนก็อาจกลายเป็น “หวานมรณะ”
ก่อม็อบให้ร่างกายรำคาญใจให้เป็นมะเร็งไปเสียรู้แล้วรู้รอดเลย
และเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมีน้ำตาลเทียมให้เลือกหลายชนิดขึ้น
โดยอ้างว่า ปลอดภัยใสซื่อมาก
ซึ่งก็จริงอยู่ครับแค่ระวังอย่าไปใช้ชงกาแฟ
หรือเหยาะบนก๋วยเตี๋ยวร้อนควันโฉ่เข้าก็แล้วกันเดี๋ยวมะเร็งถามหาครับ

รูปภาพ

รูปที่ 7 ไม่ว่าจะ ปาท่องโก๋, โดนัท, แคบหมู, เนยเทียมหรือเฟร้นช์ฟรายด์
ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งอันอุดมของทรานส์แฟ้ท ชวนอุดตันหัวใจให้น่ากลุ้มทั้งสิ้น


:b14: 7) อะเซซัลแฟม-เค

ตัวนี้ก็เป็นตระกูลเทือกเถาเหล่ากอเดียวกับ “น้ำตาลเทียม” อีกเหมือนกันครับ
แต่มักใช้กับขนมอบทั้งหลาย, วุ้นสีสวยสด
และหมากฝรั่งเคี้ยวหนุบหนับผลัดกันเคี้ยว (อ้วก!)
เหล่านี้มีสารนามประหลาดดังว่านี้แฝงอยู่เป็นส่วนใหญ่
เพื่อให้เกิดความหวานติดลิ้นติดใจผู้ใหญ่และเด็ก
ก็เอาเป็นว่าถ้าเป็นเรื่องของความหวานเทียมนี้
ถ้ากลัวมันมากนักก็อย่าใช้จะดีกว่าครับ

สมุนไพรอื่นที่ให้ความหวานแบบไม่ซ่อนมะเร็งยังมีอีกเยอะแถมไม่อ้วนด้วย
นั่นคือ ชะเอมเทศ (แต่อย่าไปใช้ชะเอมไทยนะครับ) และหญ้าหวาน
ผมใช้แทนน้ำตาลให้ผู้ป่วยเบาหวานมานานแล้ว และได้ผลดีเสียด้วย
เพราะน้ำตาลไม่ขึ้น มีข้อเสียอยู่สักหน่อยคือไม่ได้หวานจัดจ้านถึงใจนัก
แต่ถ้ารักจะมีสุขภาพดีก็ต้องยอมครับ


:b14: 8) สีผสมอาหาร บลู 1, 2, เร้ด 3, กรีน 3, เยลโล่ 6

สีผสมอาหารที่ใช้กันอย่างเบิกบานในปัจจุบันนี้มีทั้งแบบที่เป็นสังเคราะห์และธรรมชาติ
ซึ่งแบบสังเคราะห์นั้นที่ปลอดภัยก็มีแต่ก็ต้องดูให้ดีครับ
เพราะอย่างที่ว่าคืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของธรรมชาติร่างกายมักจะต่อต้าน
และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แยกได้ในยุคหินใหม่จนถึงยุคกลางนั้น
ผู้รังสรรค์งานศิลป์มักใช้สีจากธรรมชาติในการแต่งแต้มงานของตัวเอง
ดังเช่นภาพการรับบัพติสมาของพระคริสต์โดยเวอร็อคคิโอซึ่งใช้สีที่ผสมด้วยไข่แดง
ส่วนมิเคลันเจโลก็เคยวาดภาพพระแม่ที่มีผ้าคลุมสีฟ้าเข้ม
ตามจารีตที่มีไว้ในไบเบิลโดยสีม่วงนี้ในสมัยนั้นได้มาจากหินสีน้ำเงินเข้มขาบสวย
ที่หลายท่าน รู้จักดีในฐานะเครื่องประดับนั่นคือ “ลาพิซ ลาซูรี่” ครับ

ส่วนสีผสมอาหารดังที่กล่าวมาทั้งห้าอย่างนี้มีการศึกษาพบว่า
ก่อให้ เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ในหนูทดลอง
โดยมักถูกเจือไว้ในอาหารพวกสีเชอรี่สด, ค็อกเทลผลไม้,
ลูกกวาด, ไส้กรอกและขนมอบทั้งหลายครับ

รูปภาพ

รูปที่ 8 “น้ำตาลเทียม” ถ้าใช้ให้ปลอดภัย
ขอให้ระวังอย่าใส่ในของร้อน เช่น กาแฟ, ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารร้อนอื่น


:b14: 9) โอเลสตร้า

โอเลสตร้าเป็นไขมันสังเคราะห์ที่พบมากในมันฝรั่งแผ่นทอดกรุบกรอบ
และ ขนมทอดใส่ถุงชวนหยิบเคี้ยวเล่นแก้เหงาปากทั้งหลาย
โดยโอเลสตร้านั้นถ้าเผลอหยิบกระแทกปากมากไปก็จะเกิดอาการท้องเดิน,
ปวดมวนท้องแบบบีบๆ และท้องอืดหลามไปด้วยแกสได้
นอกจากนั้นโอเลสตร้ายังก่อกรรมให้วิตามินเอ
ที่คุณอุตส่าห์กินจากผลไม้เข้าไปนั้นไม่สามารถดูดซึมได้ดีด้วย

รูปภาพ

รูปที่ 9 ขนม “มาซิแพน (Marzipan)” ของฝรั่ง
ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์บดเคลือบน้ำตาล เป็นต้นกำเนิดของ “ลูกชุบ” บ้านเรา
ที่ต้องระวังเรื่องของสีสันอันสดใสจากสารสังเคราะห์ให้ดี


:b14: 10) โพแทสเซียม โบรเมต

ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเมื่อต้องการเพิ่มปริมาตรของขนมปัง,
เค้ก, แยมโรลและขนมแป้งทั้งหลาย
มันเป็นสารที่รู้กันดีในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า
ทำให้เกิดมะเร็งได้ไม่ยากเย็นนักในสัตว์ทดลอง
ส่วนในคนนั้นแม้มีปริมาณเพียงน้อยในขนมปังขาวสักแผ่น
ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้แล้วครับ


:b14: 11) น้ำตาลขัดขาว

ท่านที่อ่านงานของผมมาตลอดอย่างน้อยต้องจำคาถาพาอายุยืนข้อหนึ่ง
ที่ผมขอให้ท่องกันให้ได้ขึ้นใจครับ นั่นคือเลี่ยง “แป้งกับน้ำตาลขัดขาว”
ซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในเบเกอรี่ทั้งหลาย, ธัญพืชสำเร็จรูป, คุกกี้, แคร็กเกอร์,
ซอสปรุงรสและอาหารที่ผ่านกระบวนการทำให้น่ากินตามห้าง
ด้วยว่าแป้งและน้ำตาลขัดขาวนี้ถ้าได้มากเกินไป
ร่างกายก็ต้องทำงานหนักในการช่วยลดมันลงให้ไม่ไปจับตามอวัยวะต่างๆ
เมื่อทำงานหนักมากเข้าร่างกายก็อาจสไตร๊ค์และปล่อยให้คุณแก่เลยตามเลยไปก็ได้

รูปภาพ

รูปที่ 10 มันฝรั่งทอดกรุบกรอบรสยอดนิยมที่ไว้กินเล่นยามเหงาปากหรือเชียร์บอลนั้น
ถ้ารับประทานมากไปจะได้สาร “โอเลสตร้า”
ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเดินปวดท้อง และขาดวิตามินเอได้ครับ

รูปภาพ

รูปที่ 11 ถ้าไม่อยากแก่เร็วให้เลี่ยง “แป้งและน้ำตาลขัดขาว”
ซึ่งเจืออยู่ในอาหารเกือบทุกอย่างในยุคนี้
และเมื่อกินเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายยิ่งหลั่งฮอร์โมนแก่ออกมามากขึ้น


:b14: 12) โซเดียมคลอไรด์ หรือชื่อที่ซับซ้อนกว่าคือ “เกลือแกง”

เรียกได้เต็มปากว่าเป็น “ภัยเงียบ” เลยทีเดียวครับ
สำหรับเกลือแกงนี้ ด้วยว่าปัจจุบันแทรกซึมเป็นยาดำอยู่
จนแม้กระทั่งอาหารเด็กอ่อนด้วยว่า เมื่อสำรวจแล้วพบว่าเด็กก่อนวัยเรียนนี้
ได้รับเกลือแกงสูงกว่าที่ควรจะได้หลายเท่าทีเดียว
ซึ่งเป็นปริมาณที่เกินกว่าไตอ่อนๆของเด็กจะขัดล้างออกไปได้หมด
และเมื่อเกลือมีค้างอยู่ในกายมากก็จะทำให้ความดันสูงขึ้น เกิดไตวายและตายไวได้
ดังจะเห็นได้ว่า เด็กเดี๋ยวนี้หลายคนต้องไปนั่งไขว่ห้าง
ล้างไตแข่งกับผู้ใหญ่ ก็มีให้เห็นหนาตาแล้วเหมือนกัน

ส่วนในผู้ใหญ่นั้นก็หายห่วงได้เลยว่า เกลือแกงที่สูงจะไปช่วยดองเค็มหัวใจ
ให้ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อคุมความดันที่พากันสูงขึ้น
อย่างไม่ปรานีปราศรัยจากฤทธีของโซเดียมตัวร้าย
ถ้ายังนอนใจไม่แก้ไขลดเกลือก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่า
หัวใจไร้รักเปลี่ยนเป็นเต้นกระตุกผิดจังหวะฮิปฮอปแล้วก็ขี้เกียจเต้นไปเองในที่สุดครับ

รูปภาพ

รูปที่ 12 ขอให้เปลี่ยนจากแป้งและน้ำตาลขัดขาวเป็นแป้งที่มีกาก
(Complex carbohydrate, High GI) แทน
เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดขึ้นอย่างพรวดพราด
จนร่างกายตั้งรับไม่ทันแล้วทำให้เกิดสนิมแก่ขึ้นมากมาย


สรุปส่งท้ายไว้อย่าให้ “กลัวจนอดตาย”

เท่าที่อ่านๆ ดูก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงสรุปได้เช่นเดียวกันว่า
การจะรู้ว่าอาหารใดใส่สารปรุงแต่งอันใดบ้างนั้นค่อนข้างยาก
ราวกับประกวดเอเอฟให้ได้ถูกใจครูเป็ด
แต่ก็พอจะบอกได้ว่าอาหารที่ควรจะเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้สารพิษแถม
คือ อาหารสอดไส้สองล้าน
เอ๊ย...ทันโทษ อาหารจำพวกของทอดกรอบเกรียมเปี่ยมน้ำมัน,
อาหารแปรรูปรมควันทั้งหลายได้แก่ ไส้กรอก, กุนเชียง, หมูแฮม,
หมูแผ่น, เนื้อรมควัน, ปลาเค็มทั้งหลายครับ
และอาหารที่มีสีสันสดใสไร้ขีดจำกัดจนแทบจะเรืองแสงฉับเมื่อดับไฟ
รวมถึงอาหารตามเหลาดังคนนั่งเต็มล้นเพราะมีโอกาสสูง
ที่จะใช้ผงชูรสแทนความหวานจากการนั่งเคี่ยวกระดูกคาตั๊งหรือโครงไก่
ให้โอชะจากกระดูกออกมาเจือจน
น้ำซุปหวานกลมกล่อมตามธรรมชาติ
เพราะไม่มีเวลาและไม่มีคนพอที่จะมานั่งทำงานให้เกินเวลาอย่างนั้น

ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่า การจะอยู่ได้ในสังคมปัจจุบันอย่างมีสุขภาพดีนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การมีเงินทองกองมากพากันลากซื้อของดี
มากินบำรุงมุ่งแต่สวยหล่อ ด้วยว่าของดีเหล่านั้น
อาจเป็นพิษก็ได้ใครจะรู้ เช่นหูฉลามหรือปลิงทะเลที่มีโลหะหนักแถมอยู่มากมาย
รวมถึงอาหารเสริมต่างๆนาๆราคาเฉียดซื้อรถได้นั้น
ก็อาจทำให้เราได้รับสารอาหารเกินไปแล้วไปสะสมก็ได้

แต่สิ่งสำคัญของการกินให้มีสุขภาพดีคือ “กินด้วยปัญญา” หรือกินอย่างรู้เท่าทัน
ไม่มันส์ไปกับการกินอย่างคะนองปากหรือกิน
เพราะความเสียดายบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ที่เหลืออยู่ค่อนหม้อ
ไปจนถึงเนื้อชาบูที่ถูกเคี่ยวกรำจนหดเหี่ยวจับจีบ
ประดุจงานฝีมือทำดอกไม้จากวัสดุธรรมชาติ
คือถ้าท่านได้บริโภคโดยใช้สมองไปพร้อมกับกล้ามเนื้อช่วยเคี้ยวที่ครอบอยู่
รอบกระพุ้งแก้มที่เรียกว่า กินด้วยปัญญาและมีสติก่อนนำอาหารแต่ละคำใส่ปาก
แล้วก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้วครับ ที่เหลือถ้าจะมีสิ่งใดเกิดก็ขอให้อย่าไปโทษตัวเองครับ


รูปภาพ

รูปที่ 13 ภาพ “มรณพิธีของท่านเคาท์แห่งออกาซ”
โดยฝีมือจิตรกรเอกลูกรักของชาวสเปนนาม “เอล เกรโค่”
แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรานั้นถ้าแม้นทำดีใฝ่ดีมาตลอดชีวิตแล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนก็อาจเมตตาถึงขนาดเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ฮานาโกะระวังเรื่องอาหารมากๆเลยค่ะ พิษภัยรอบตัว แต่ที่สำคัญก็คือ การบริโภคแบบตามกิเลสนี่ล่ะที่เป็นที่มาของโรคมากมาย ถ้าเรากินแค่พออยู่ไปได้ก็โรคน้อยเนอะ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: ที่อ่านมานั้นของชอบ :b22: :b22: ในอดีตค่ะ ตอนนี้พยายามเลี่ยงๆๆๆๆๆๆให้ได้มากที่สุด :b32:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2011, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


เฮ้อ ของโปรดทั้งนั้นเลย ตอนนี้เลิกแล้วค่ะ แต่บางทีก็ยังนึกถึงอยู่ สายไปหรือเปล่านี่? :b5:
อนุโมทนาสาธุๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8: :b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2012, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 11:34
โพสต์: 74


 ข้อมูลส่วนตัว


ของเคยชอบทั้งนั้นเลย ตอนนี้แค่นานๆครั้ง หวังว่าต่อไปคงเป็นงดไปเลย

:b8: :b8: อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2016, 09:45 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron